สีตคีตา (๒๔๗๕) บทที่ 2 : Leonore Overture No. 3
โดย : กันต์พิชญ์
สีตคีตา (๒๔๗๕) โดย กันต์พิชญ์ เรื่องราวของ ‘ฮันกี’ หนุ่มน้อยชาวเกาหลี และ ‘คีตา’ ทายาทสายเลือดตระกูล ‘ชระ’ คนสุดท้าย ที่จะเป็นผู้ปลดปล่อยวิญญาณมากมายซึ่งถูกจองจำภายใต้อาคมที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนานในเรือนมนิลาแสนสวยงาม วิญญาณทุกดวงจะสู่สุขคติไหม อ่านออนไลน์ได้ในเว็บไซต์ anowl.co ที่ๆ มีนวนิยายออนไลน์สนุกๆ ให้อ่านออนไลน์
ละอองฝนละเอียดยิบโปรยปรายคล้ายฝอยสเปรย์ทั้งที่แดดยังแผดจ้า
ฮันกีวิ่งหาที่หลบไปตามถนนในย่าน ปิอัซซา ซัน เฟเดเล อันเป็นย่านสำหรับผู้เดินเท้าใจกลางเมืองมิลาน
ตอนนั้นเองฝีเท้าหนุ่มชาวเอเชียก็สะดุดกึก สายตาปะทะเข้ากับป้ายร้านกาแฟอันโดดเด่น ตัวอักษรสีขาวบนพื้นดำถูกล้อมรอบด้วยเส้นกรอบสีโรสโกลด์นั้น ช่างเย้ายวนผู้สัญจรไปมาให้ลองเข้าไปเยือนสักครั้ง
ทันทีที่ผลักประตูเข้าไปภายใน ฆานประสาทก็สัมผัสกับกลิ่นหอมอบอวลลอยกรุ่นจากถ้วยกาแฟเซรามิกของลูกค้าที่มาก่อนทันที ไล่ความหมองหม่นออกไปจากนัยน์ตาให้เหือดหายไปจนสิ้น
เด็กหนุ่มเผลอสูดอากาศเข้าปอดลึกล้ำพลางกวาดตามองการออกแบบภายในแสนวิจิตร เหนือเคาน์เตอร์ขนาดใหญ่สีไม้มะฮอกกานีตรงกึ่งกลางร้านเป็นกลุ่มดวงไฟคล้ายหยดน้ำสีอำพันห้อยย้อยลงมาจากเพดาน พวกมันดูประหนึ่งฟองอากาศวาววับกำลังลอยเอื่อยตามแรงลมอย่างเสรี
เมื่อเขาละสายตาจากเพดาน ก็สะดุดตาเข้ากับกรอบทองขนาดใหญ่บนผนัง ทว่าสิ่งที่ถูกบรรจุเอาไว้ภายในกลับไม่ใช่รูปถ่าย เป็นตัวอักษรที่เขียนลายมือไล่เรียงลงไปเป็นแถวเป็นแนว ดูแล้วคงเป็นการลอกลายลักษณะการเขียนแบบโบราณมากกว่าจะเป็นการรังสรรค์ขึ้นมาใหม่
ตอนนั้นเองที่สายลมพัดหอบเอาเมฆขาวขุ่นและหมอกหนาด้านนอกให้คล้อยเคลื่อน ปล่อยลำแสงสีทองสาดส่องเข้ามากระทบเหลี่ยมลายใบมะกอกบนกรอบรูปวิบวับ
ฮันกีเห็นประกายระยิบเริงร่าก็อดไม่ได้ จึงยกกล้องถ่ายรูปขึ้นมากดชัตเตอร์บันทึกข้อความในกรอบทองเกือบเต็มผนังชิ้นนั้นเอาไว้
ขณะที่นักกีฬาไอซ์สเกตหนุ่มยืนฟังเสียงแกนหมุนฟิล์ม ในใจหวังว่าเมื่อล้างฟิล์มออกมาแล้ว รูปที่ได้คงไม่แย่จนเกินไปนัก
“วันนี้รับเมนูเดิมใช่ไหมครับ”
ฮันกีเงยหน้าขึ้นจากกล้องถ่ายรูปในมือ อดหันไปมองทางต้นเสียงไม่ได้
ตอนนั้นเองหัวคิ้วของหนุ่มชาวเกาหลีใต้ถึงกับยกสูง จ้องเขม็งไปยังใบหน้าด้านข้างของเด็กหนุ่มซึ่งยืนรับออร์เดอร์จากลูกค้าอยู่ด้านหลังเคาน์เตอร์ ก่อนเคลื่อนไปยังไฝเม็ดเล็กตรงนิ้วนางข้างซ้ายของเขา
“แปลกจริง”
ฮันกีพึมพำ รู้สึกคุ้นเคยกับไฝเม็ดนั้นอย่างน่าประหลาด ประหนึ่งนัยน์ตาถูกตรึงเอาไว้บนร่างสูงสง่าราวกับกำลังเปล่งรัศมี
คำว่า ‘พร้อมสรรพ’ มีไว้สำหรับบรรยายผู้ชายคนนี้โดยแท้
เท่าที่คะเนจากสายตา เด็กหนุ่มผู้นี้คงสูงเกือบร้อยแปดสิบ แต่น่าจะเตี้ยกว่าฮันกีอยู่เล็กน้อย
หนุ่มพร้อมสรรพเบื้องหน้าสวมผ้ากันเปื้อนยาวสีดำเลยเข่าทาบทับเอาไว้บนเสื้อเชิ้ตเรียบกริบ ตัวอักษรสัญลักษณ์ชื่อร้านปักด้วยด้ายขาวอยู่เหนืออกขวาดูโดดเด่น ชุดขาวตัดดำยิ่งขับให้ผิวชายตรงหน้าดูนวลผ่องชวนมองมากขึ้นไปอีก
“ใช่ค่ะ มาสเตอร์คีตช่างรู้ใจจังเลยนะคะ”
ลูกค้าสาวตอบด้วยภาษาถิ่นอย่างกระมิดกระเมี้ยน
ฮันกีชำเลืองดูเข็มกลัดระบุชื่อ Keith ที่ติดเอาไว้บนผ้ากันเปื้อนดำ ถึงได้มั่นใจว่าคำเรียกขานเมื่อครู่ คือชื่อของพนักงานรูปหล่อเบื้องหน้าผู้นี้
การที่ลูกค้าประจำเรียกเขาว่า ‘มาสเตอร์’ นั่นหมายความว่า หนุ่มคีตสั่งสมผลงานมาระยะเวลาหนึ่งจนได้รับคัดเลือกให้เข้ารับทดสอบเป็นคอฟฟีมาสเตอร์ ซึ่งในฐานะผู้ที่ได้ตำแหน่งนี้ เขาต้องศึกษาข้อมูลของกาแฟที่ชงในแต่ละแก้วอย่างลึกซึ้ง รวมถึงมีความรู้ข้อแตกต่างต่างในการดึงเอารสชาติของกาแฟจากเครื่องชงหลากหลายรูปแบบอีกต่างหาก
เมื่อลูกค้าสาวรับใบเสร็จแล้วเดินไปรอรับเครื่องดื่มอีกฟากหนึ่งของเคาน์เตอร์ มาสเตอร์คีตจึงหันมายิ้มให้ฮันกี แม้จะมีร่องรอยเหนื่อยล้าบนใบหน้าปรากฏอยู่ก็ตามที
“ตุตเต เล รีเซตเต โซโน ดิสโปนีบีลี กอน เดกัฟเฟอีนาโต เอ ลัตเต ดี โซยา”
คีตอธิบายด้วยประโยคยาวเหยียด เพราะเห็นสายตาเลิ่กลั่กของฮันกีมองสลับไปมาระหว่างเมนู กัฟเฟลัตเต กับ กัปปุชชีโน
“เอ่อ…” ฮันกีอึกอัก
“ผมหมายถึง ทุกเมนูของเราสามารถเลือกกาแฟแบบไร้กาเฟอีนและใช้นมถั่วเหลืองแทนได้ครับ”
คีตอธิบายประโยคเมื่อครู่เป็นภาษาอังกฤษอีกครั้ง ด้วยเอะใจว่าฮันกีไม่เข้าใจภาษาอิตาเลียน และเข้าใจไปว่าลูกค้าตรงหน้าไม่อยากดื่มเครื่องดื่มแบบมีกาเฟอีนและนมวัว รอยยิ้มสว่างไสวยังคงประดับอยู่บนใบหน้าเด็กหนุ่ม
“ผมสั่งคัปปุชชีโนได้ไหม”
ริมฝีปากสีชมพูบนใบหน้าซีดเซียวขยับเล็กน้อย นัยน์ตาคมฉายแววขวยเขิน ฝุ่นบางร่ายระบำอยู่ในแสงแดด มองเห็นเป็นประกายสีทองแวววาววิบวับคลอเคลียอยู่รอบกายฮันกี
คีตยกหัวคิ้วขึ้นเล็กน้อย “ทำไมจะไม่ได้ล่ะครับ”
“ผมเคยได้ยินว่าคนมิลานไม่ดื่มคัปปุชชีโนตอนบ่าย”
คีตหัวเราะเบาๆ “อ้อ…” แล้วคลี่ยิ้มกว้างมากขึ้นไปอีก “คนที่นี่มักดื่มคัปปุชชีโนเป็นอาหารเช้าคู่กับครัวซองต์น่ะครับ จะดื่มตอนบ่ายก็ไม่ได้แปลกอะไร เว้นเสียแต่ว่าจะดื่มคัปปุชชีโนหลังมื้ออาหาร เพราะชาวอิตาเลียนไม่ดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของนมหลังกินข้าวเสร็จครับ”
“ดีเลยผมยังไม่ได้กินมื้อเที่ยง” ฮันกียกมือข้างที่ว่างขึ้นเกาขมับ “งั้นผมเอาคัปปุชชีโนเย็น ใส่นมถั่วเหลือง และไม่ใส่น้ำเชื่อมครับ”
“ขนาดใหญ่ที่สุดเลยไหมครับ”
ฮันกีพยักหน้าแทนการตอบคำถาม
คีตมองเรือนผมตัดสั้นดำเป็นเงาและถูกจัดทรงมาเป็นอย่างดีของฮันกี ก่อนจิ้มปลายนิ้วลงบนเครื่องบันทึกเงินสด
ผิวของหนุ่มเอเชียร่างสูงตรงหน้าคีตผู้นี้ช่างเนียนละเอียด แขนยาวทั้งสองข้างโผล่พ้นออกมาจากสเวตเตอร์ผ้าแคชเมียร์สีน้ำตาลอ่อนซึ่งถูกรูดปลายแขนขึ้นไปจนถึงข้อศอกช่างน่ามอง
“ไม่ทราบว่าคุณลูกค้าชื่ออะไรครับ”
“ฮันกี…”
“มะรืนก็เป็นวันแข่ง World Figure Skating Championships 1951 แล้วสิครับ ช่วงนี้เลยเห็นนักกีฬากับนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาในมิลานหนาตากว่าปกติ” คีตชวนคุยต่อ เมื่อเห็นว่าไม่มีลูกค้าใหม่เดินเข้ามาต่อแถวในร้านอีก
ฮันกีรอจังหวะให้คีตเขียนชื่อตัวเองลงบนแก้วให้เสร็จก่อน แล้วจึงถามออกไป “คุณรู้ด้วยหรือครับ ว่าจะมีการแข่งขันฟิกเกอร์สเกตชิงแชมป์โลกที่นี่”
“รู้สิครับ มีป้ายโฆษณาเชิญชวนให้คนไปเชียร์ที่ขอบสนามติดอยู่เต็มไปหมด จะว่าไปก็ไม่แปลกหรอก นานทีปีหนอิตาลีถึงจะได้เป็นเจ้าภาพการแข่งขันสเกตลีลาชิงแชมป์โลกกับเขาบ้าง”
ฮันกีมองตามสายตาคีตซึ่งกำลังทอดมองมาที่กล่องไวโอลินในมือซ้าย ก่อนย้ายไปที่ขายาวๆ ของตัวเอง “มีอะไรหรือเปล่าครับ”
“ถ้าให้ผมเดานะ คุณเองก็น่าจะเป็นนักกีฬาไอซ์สเกตใช่ไหม”
คราวนี้อาการฉงนสนเท่ห์ผุดชัดบนใบหน้าหนุ่มเกาหลี
“แขนขายาว โครงสร้างของข้อต่อและกล้ามเนื้อก็น่าจะยาวตามไปด้วย ผมเห็นลักษณะของร่างกายคุณเลยเดาว่าน่าจะมีความยืดหยุ่นสูง” คีตอธิบาย แล้วเคลื่อนสายตาไปหยุดที่กล้องถ่ายรูปตัวใหญ่ “ชอบถ่ายรูป?”
ฮันกีคลี่ยิ้ม พยักหน้าอีกครั้ง แล้วเอื้อมมือไปรับใบเสร็จจากคีต
“แต่ผมไม่ค่อยชอบแสงเซฟไลต์สีแดงในห้องมืดกับกลิ่นของกรดอะซิติกเอาเสียเลย” คีตมองตามร่างสูงที่เดินไปรอตรงจุดรับเครื่องดื่ม “แล้วชอบถ่ายรูปแบบไหนเหรอ”
“วิวทิวทัศน์เรื่อยเปื่อยครับ แต่ที่มิลานไม่ค่อยมี ‘อะไร’ เท่าไหร่…”
“ไม่ค่อยมีอะไรหรือครับ…”
“ผมรู้สึกว่าเมืองใหญ่ๆ แบบนี้อะไรๆ ก็ ‘ล้น’ ไปหมด จนรู้สึกว่าอะไรที่มีมากเกินพอดีไม่ใช่สิ่งที่ควรถ่าย…” เสียงฮันกีค่อยๆ จางหายไปในลำคอ
คีตผินหน้ามองผ่านผนังกรุกระจกใสขึ้นไปยังผืนฟ้าปลอดโปร่งระหว่างยอดแหลมบนหลังคาแบบกอธิก “แต่อย่างน้อย…ความรู้สึกของผู้กดชัตเตอร์ที่มีต่อสิ่งที่เห็น ณ ขณะนั้น ก็น่าจะติดตรึงอยู่ในภาพทุกภาพไม่ใช่หรือครับ…”
“นั่นสินะ” ฮันกีระบายยิ้มบาง เสียงของเด็กหนุ่มแว่วผ่านเสียงอื้ออึงของผู้คนขวักไขว่ภายนอก ครู่หนึ่งเขาจึงเอื้อมมือไปหยิบแก้วเครื่องดื่มของตนซึ่งพนักงานเพิ่งเดินเอามาวางไว้บนเคาน์เตอร์เมื่อครู่
จังหวะนั้นเอง ดูเหมือนแก้วกาแฟกำลังจะลื่นหลุดลงจากมือหนุ่มไอซ์สเกต
คิดไม่ถึงว่าคีตจะมีปฏิกิริยาโต้ตอบฉับไวอย่างไม่น่าเชื่อ เขาโน้มตัวมาคว้าแก้วกาแฟพร้อมเกาะกุมเรียวนิ้วฮันกีเอาไว้จนแน่น
ฮันกีรู้สึกว่าคีตาโน้มใบหน้าและร่างกายเข้ามาใกล้เขามาก มาเสียจนใบหน้าชวนมองอยู่ห่างออกไปไม่ถึงห้าเซนติเมตร เด็กหนุ่มมองเห็นขนตาอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน รวมถึงใบหน้าตัวเองที่สะท้อนอยู่ในแก้วตาดำสนิทคู่นั้น
“ไม่เป็นอะไรนะครับ” คีตจ้องฮันกีนิ่ง
หนุ่มไอซ์สเกตจึงรีบอธิบาย “เอ้อ…ไม่เป็นอะไรครับ ขอบคุณมาก”
มาถึงตอนนี้คีตยังไม่ทันรู้ตัว จึงเกาะกุมแก้วกาแฟกับนิ้วฮันกีเอาไว้อยู่อย่างนั้น ปฏิกิริยาตอบสนองฉับไวเมื่อครู่คงเป็นความเคยชินจากการทำงานในร้านกาแฟมานาน
“ดีที่ไม่ได้เป็นกาแฟร้อน ไม่งั้นแย่แน่ๆ”
ฮันกีพยักหน้า ไม่กล้าดึงมือกลับ ด้วยเกรงว่าจะสร้างบรรยากาศกระอักกระอ่วนเก้อเขินโดยไม่จำเป็น “ผมว่า…”
คีตยกหัวคิ้วสงสัย
ฮันกีเบือนหน้ามองผนังอีกด้านหนึ่ง นิ้วมือเด็กหนุ่มคล้ายกำลังสัมผัสกับไม้ขนไก่นุ่มนิ่ม กระทั่งมีลูกค้าเดินเข้าร้านมา คีตคงรู้สึกตัว จึงคลายมือออกจากแก้วกาแฟของเขา
หนุ่มไอซ์สเกตยืดตัวตรงทันที พร้อมกับระบายลมหายใจออกมายาวเหยียด
หลังจากลูกค้ารายล่าสุดรับใบเสร็จไว้ในมือ แล้วไปนั่งรอเครื่องดื่มตัวเองที่โต๊ะ คีตจึงเขยิบเข้ามาชวนฮันกีคุยต่อ “เมื่อกี้คุยเรื่องถ่ายรูปถึงไหนแล้วนะครับ”
“ผม…ชักอยากถ่ายภาพพอร์เทรตขึ้นมาบ้างแล้วละ”
คีตมองลึกเข้าไปในดวงตาฮันกี แต่ยังไม่ทันจะได้พูดอะไร หนุ่มเกาหลีใต้กลับโพล่งขึ้นมาก่อน คล้ายกำลังลุกลี้ลุกลน รู้สึกว่าถ้าหากตัวเองต้องรีบระบายสิ่งที่อยู่ในหัวออกมาให้ได้ในตอนนี้ เขาอาจไม่มีความกล้าอีกแล้วก็เป็นได้
“ว่ากันว่าการจะถ่ายภาพพอร์เทรตให้ได้ดี คนถ่ายต้องกระหายใคร่รู้เรื่องราวของคนตรงหน้า…” ฮันกีเอ่ยรัว
“กระหาย?”
“ความอยากรู้จักผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้าแบบลึกลงไปจนถึงก้นบึ้งของหัวใจน่ะ”
สิ้นคำอธิบายของฮันกี จู่ๆ คีตก็รู้สึกร้อนผ่าวตรงใบหู “ผมว่าผมพอจะเข้าใจสิ่งที่คุณพูดนะ”
ฮันกีมองแก้มกับใบหูที่ซับเฉดแดงเรื่อของคีตแล้วอมยิ้มออกมาอย่างไม่ตั้งใจ ก่อนก้มหน้างุดมองกล้องถ่ายรูปในมือ เมื่อรู้สึกได้ว่าผิวบริเวณคอระหงของตัวเองก็กำลังร้อนระอุอยู่เหมือนกัน
“หากไม่มีธุระที่อื่น เชิญคุณลูกค้านั่งจิบเครื่องดื่มตรงเคาน์เตอร์ก่อนได้นะครับ”
คีตผายมือไปทางฝั่งที่มีเก้าอี้ จุดนั้นมีตู้กระจกใส ด้านในวางแก้วและถ้วยกาแฟรูปทรงต่างๆ ซึ่งถูกออกแบบโดยคำนึงถึงพื้นที่ผิวของของเหลวที่สัมผัสกับอากาศ ขนาด รวมถึงรูปทรงที่มีส่วนในการยกระดับกลิ่น รส และเพิ่มเนื้อสัมผัสของกาแฟที่หลงเหลือในช่องปากหลังจากดื่มผ่านลำคอลงไปแล้ว
“อ้อ…”
คีตไม่ปล่อยให้หนุ่มเกาหลีใต้ได้เอ่ยอะไรไปมากกว่านั้น เขาโน้มตัวข้ามเคาน์เตอร์ก่อนกระซิบเบาๆ “เดี๋ยวผมก็เลิกงานแล้ว เผื่อคุณต้องการไกด์ท้องถิ่นพาไปหาจุดถ่ายภาพพอร์เทรตสวยๆ”
ฮันกีถึงกับปากอ้าตาเบิกโพลง
เท่าที่เขาจำได้ เมื่อกี้เขาเป็นฝ่าย ‘หยอด’ ออกไปก่อนไม่ใช่หรือ ไฉนจึงถูกย้อน ‘คำหยอด’ กลับมาอย่างไม่ทันได้ตั้งตัวแบบนี้เล่า
แต่กระนั้นหนุ่มนักกีฬาไอซ์สเกตกลับพยักหน้าอือออ เดินไปนั่งริมเคาน์เตอร์ด้วยอาการสติสตังไม่ค่อยจะอยู่กับเนื้อกับตัวอย่างว่าง่าย
ในร้านมีลูกค้านั่งอยู่บนเก้าอี้หุ้มเบาะข้างโต๊ะเตี้ยกระจัดกระจายทั่วทั้งร้าน ผู้หญิงคนหนึ่งพาดเสื้อโคตสีครีมไว้บนพนักเก้าอี้ใกล้กับประตูทางเข้า เหลือเพียงเสื้อแขนกุดกับกางเกงยีนส์ขาสามส่วนคลุมกาย แผ่นหน้าหนังสือในมือของเธอพะเยิบพะยาบตามแรงลมเย็นที่กรูเข้ามาทุกครั้งที่ประตูถูกเปิดออก
ไม่หนาวหรือไงนะ…ฮันกีนึก
เขายกแก้วกาแฟขึ้นดูดพลางมองพนักงานเสิร์ฟหญิงที่ยกแซนด์วิชอบร้อนเดินเข้าไปวางไว้ตรงหน้าผู้หญิงคนนั้น
เธอหยิบมีดกับส้อมขึ้นมาหั่นชิ้นพอดีคำใส่ปากแล้วเอ่ยกับพนักงานเสิร์ฟ “หน้าตาไม่โดดเด่นเท่าไร แต่รสชาติแฝงความประณีต ทำให้ฉันหวนคิดถึงประโยคที่คนในรายการอาหารชอบพูดกันว่า ‘อาหารนับเป็นสิ่งเปิดเผยตัวตนของคนปรุง’ ขึ้นมาทันที”
“ดีใจที่คุณลูกค้าชอบ เดี๋ยวฉันไปบอกเชฟให้นะคะ” พนักงานเสิร์ฟยิ้มหวาน
เมื่อเธอย้อนกลับเข้าไปด้านหลังเคาน์เตอร์ ไม่รู้ทำไมถึงได้ชำเลืองมาทางเขาก่อนทำหน้ามีเลศนัย แถมยังหันไปสะกิดชวนคีตคุยอีกต่างหาก
เมื่อฮันกีเห็นนัยน์ตาคีตเริ่มมีประกายวาววับ ก็ชักจะหวั่นใจ
นี่พวกเขาคงไม่ได้กำลังวางแผนจะทำอะไรเขาอยู่ใช่ไหม!?