ขอบฟ้าจรดขอบน้ำ บทที่ 4 : มื้ออาหาร
โดย : กฤษณา อโศกสิน
ขอบฟ้าจรดขอบน้ำ บทสรุปของความรักที่ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ของสมุทรไทและบนฟ้าจากปลายปากกาของกฤษณา อโศกสิน ศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์ ได้จบลงแล้ว คุณผู้อ่านสามารถสั่งซื้อได้จาก 2 ช่องทางคือ ทางเว็บไซต์ของ GROOVE > http://groovepublishing.lnwshop.com และ ทางกล่องข้อความ GROOVE > m.me/read.groove.publishing
***************************
– 4 –
จริงดังที่เขานึกไว้ไม่มีผิด…เพราะขณะรับประทานอาหารกลางวันใกล้บ่ายโมง ณ ห้องอาหารในบ้านที่ปู่ประธาน ย่าใบบุญ ปรายและบนฟ้าครอบครองอยู่ด้วยกันนั้น พลันเสียงมือถือก็ดังขึ้น
สมุทรไทจึงขอตัวออกไป
แต่บนฟ้าเริ่มเสียอารมณ์จึงเอ่ย
“ลองทายซิย่า ใครโทร.มา”
“จะใคร้” ปรายทำเสียงอย่างนึกรู้
หญิงรุ่นสาวผู้ไม่หรูหราแต่ประเปรียวกว่าน้องของเขาสักสองสามเท่าตัวแน่นอนที่จะไล่ต้อนเพื่อนหนุ่มให้เข้าสู่มุมของหล่อน
‘ไม่เป็นไรหรอก แล้วเอ็งก็จะรู้เองแหละแม่หนูเยีย’
เขานึกในใจอย่างไม่เกี่ยงงอน เพราะถึงอย่างไรหล่อนก็คือน้องของเพื่อนซึ่งก็เหมือนน้องของเขา
ฝ่ายชายหนุ่มเจ้าของมือถือที่เพิ่งดังก็กำลังบอกกล่าวสาวปลายสาย
“นี่พี่อยู่บ้านคุณปู่ของปรายนะฮะน้อง…คงต้องอยู่นี่อีกนานเหมือนกัน”
“บ้านพี่ปรายอยู่ตรงไหนหรือคะ…น้องไปเดี๋ยวนี้ได้ไหม อยากคุยต่อเรื่องไปอิตาลีกันน่ะค่ะ…คือน้องก็มีพี่สาวของเพื่อนนะคะ…มีสามีเป็นอิตาเลียน”
สมุทรไทจึงได้แต่นิ่งฟังเพราะ…กว่าจะถึงวันนั้นก็อีกนาน…ยาเยียอาจมีเรื่องใหม่ที่น่าสนใจกว่ามาทำให้ความอยากทั้งหลายค่อยๆเปลี่ยนไปจนถึงแก่เปลี่ยนแปลงก็เป็นได้
“แล้วยังไงหรือฮะ” ชายหนุ่มก็เลยตั้งคำถาม
“คือ ถ้าพี่ว่าง…น้องก็อยากชวนพี่ไปคุยกับพี่สาวเพื่อนกับสามีเขาไงคะ”
“แต่กว่าจะไปก็คง…อีกตั้งนานละมังน้อง”
“คุยไว้ก็ไม่เสียหายอะไรนี่พี่ก็”
“ถ้างั้นขอหารือโยกับปรายก่อนได้ไหมฮะ…เพราะพี่เองก็มีภาระเรื่องต้องตอบรับการเข้างานเหมือนกัน”
“งานที่ไหนหรือพี่…”อีกฝ่ายไม่หยุดไล่เลียง
สมุทรไทก็เลยต้องตัดบท
“ขอพี่กลับไปทานข้าวก่อนดีกว่า…หิวมากเลย แล้วเราค่อยคุยกันใหม่นะฮะ”
“นี่น้องก็เพิ่งตื่นอ่ะค่ะ…แค่นั้นก่อนน้า-า-า…”
ชายหนุ่มกลับเข้าไปนั่งที่เก่า หากก็ไม่มีผู้ใดละลาบละล้วงถามเขาแม้แต่หญิงสาวผู้นั่งถัดไป แม้จะมีสีหน้าไม่สู้ดี ด้วยว่าทั้งย่าทั้งพี่ชายห้ามไว้ มิให้รุกไล่ใดๆกับเพื่อนพี่
‘เดี๋ยวเขาก็เลยเบื่อซะหรอก แล้วจะไปควานหาใครที่ทำเป็นทำได้เท่าไท”
‘ไอ้เจ้าสามก็โกยอ้าวไปแล้ว’ พี่ชายยังคงหยอกยั่ว
ดังนั้น เมื่อเจ้าตัวกลับมา ปู่จึงเอ่ยเรื่องอื่นที่ชวนให้ชื่นบาน
“ไท…ปู่ก็ไม่ต่อว่าหรอกนะว่าทำไมไทไม่ทำงานกับที่นี่…ไทก็คงมีเหตุผลของไทนั่นแหละ แต่ถึงไงก็ขอไว้อย่างได้ไหม…ไม่ว่าไปไหน ปู่จะชวนไทไปด้วย”
“ได้เลยครับคุณปู่…ถ้าผมว่างผมไปด้วยได้แน่นอนครับ”
“ไม่น่าเชื่อเลยนะว่าเราเดินทางด้วยกันแค่ 11 วัน จะรู้สึกสนิทกันยังกะคบกันมาสิบเอ็ดปี”
“ทำมั้ยปู่…ทำไมถึงจะไม่เชื่อ” หลานชายขัดจังหวะ “อย่าว่าแต่สนิทกันเลย แต่งงานกับยังเป็นไปได้ เชื่อไหมปู่”
“เชื่อ” ปู่พยักหน้า เคี้ยวอาหารช้าๆเพราะยึดหลัก…ผู้สูงอายุมิควรรีบร้อน ไม่ว่า กิน นอน ยืน เดิน แม้กระทั่งอารมณ์ก็ต้องรู้จักข่มมิให้แปรปรวน
“ปู่เห็นของจริงแล้วใช่ไหม” ปรายสัพยอก ตักแกงจืดเต้าหู้ขาวหมูสับในถ้วยแบ่งเข้าปาก “แต่ที่จริงยิ่งกว่าก็ยังมีนาปู่”
“จริงยังไง” ย่าซัก
สมุทรไทได้แต่เหลือบมองหน้าหลานผู้เพิ่งน้ำตาแห้ง พร้อมยิ้มอย่างปลอบใจ
จะกระไรเสียนักหนาน้องบน
“บางคนเดินทางไกลด้วยกัน แต่ไม่เคยปริปากพูดกันเลยซักคำ” ปรายใช้ตะเกียบหยิบกระดูกหมูทอดมาใส่จานให้เพื่อนพลางเอ่ยต่อ “แต่พอถึงบ้านซักพักก็ประกาศแต่งงาน…นี่มันหมายความว่ายังไง”
“แล้วเขาพูดกันตอนไหน ตอนเดินทาง เขาคงแอบคุยกันมั่งละน่า แต่เราไม่เห็น” ย่าคาดเดา
ขณะที่น้องสาวปรายตวัดนัยน์ตา
สมุทรไทก็เลยยิ้มๆ…ยิ้มให้กับ ‘ท้องฟ้า’ ที่บัดนี้ดูมีกังวล ไม่เหมือนคนในเรือตลอดสิบเอ็ดวันที่ผ่านไป
“ไม่ทราบเหมือนกัน ย่าว่าเขาพูดกันตอนไหนล่ะฮะ” ปรายบ่ายวันนี้เสมือนคนไม่มีงาน ปลดเปลื้องการบ้านเต็มเวลาออกจากตัวได้ชั่วคราว “ตอนนอนหรือไง…แต่ตอนนอน ผู้หญิงก็นอนกับแม่นะ เท่าที่ทราบ”
“ก็อาจจะเข้าไปคุยโทรศัพท์ในห้องน้ำก็ได้นี่นา” ย่าคิดอย่างทะลุ “จริงไหมไท…ห้องน้ำน่ะดีหลายอย่างไม่ใช่เหรอ”
“ก็อาจเป็นได้ครับ…แต่…ผมว่า…ถ้าเขาเป็นคู่กัน ถึงไงก็ต้อง…เอ้อ…แต่งงานกันวันยังค่ำแหละฮะ…แต่ถ้าไม่ใช่…ขนาดแจกการ์ดแล้วก็ยังยกเลิกได้”
เสียงย่าตอบว่าจริง
ขณะที่ปู่หัวเราะหึๆพลางมองมาที่หลานสาวแวบหนึ่ง แลเห็นหล่อนจะบึ้งก็ไม่บึ้ง เพียงแต่ไม่ยิ้มหัว
ครั้นแล้ว ประธานก็ย้ายสายตามาทางชายหนุ่มคล้ายอยากถาม
‘จะไหวไหมไท’
พอดีปรายสวนทันควัน
“ถ้าเป็นนายนี่ คงไม่ได้แต่ง”
สีหน้าหญิงสาวก็เลยเปลี่ยนไปอีก…คราวนี้น้ำตาค่อยๆคลอขึ้นมา ด้วยว่าสงสัยอาการของเขาเมื่อครู่อยู่ก่อนแล้ว
คงออกไปฟังเด็กนั่นเจื้อยแจ้วมาเต็มหู ขากลับจึงรู้สึกถึงทีท่าอิ่มเอม
ชวนให้ใจเต้นครึกโครม พร้อมน้ำในตาเอ่อจาง
“น้องบน” ย่านั่งตรงข้ามจึงเรียกเชิงเตือนให้มีสติ
“กินซะน้อง” ปรายนั่งติดกับปู่…พลางหันมา
เขาน่ะหรือจะไม่รู้ว่าฟ้าผืนนี้คือเช่นไร
รวมทั้งรู้ต่อไปอีกด้วยว่า หลานรักของปู่ย่า ลูกรักของพ่อแม่ น้องรักของพี่ชาย นับจากนี้เป็นต้นไปจะมิอาจเป็นฝ่ายให้ชายมาง้อ
นั่นก็คือ…พอจะมีเค้าลางปรากฏแล้วว่าน้องของเขามีคู่แข่ง
เป็นคู่แข่งแรงฤทธิ์ไม่ผิดจากพี่ชาย
ก็ด้วยโยธีนั้นมีแต่ ‘กิ๊ก’ รอบตัว ถ้านับหัวก็แขวนเอวได้รอบ มิหนำซ้ำ พ่อของเพื่อนที่ดูว่ากว่าจะเอื้อนเอ่ยแต่ละคำก็ราวกับน้ำในท่อตัน เพียงแต่อย่าเผลอเป็นอันขาดเท่านั้น เพราะเท่าที่รู้มา ยงยุทธผงาดเงียบ แม่ของโยธีจึงมีแต่โรคภัยเบียดเบียน ส่วนหนึ่งก็คือสิ่งที่เรียกว่าทุกข์ใจ จนกระทั่งจากไปก่อนวัยอันสมควร
สมุทรไทจึงตักผัดมะเขือม่วงให้หล่อน
หญิงสาวได้แต่งึมงำขอบคุณในลำคอ ใจฝ่อลงกว่าแต่ก่อนจนตนเองก็รู้สึก
เพียงแต่ยังระลึกมิได้ว่าเกิดจากเหตุอันใด
“กับข้าวที่นี่กับที่บ้านเป็นยังไงกันไท” ย่าคอยเอ่ยถามมิให้ความเงียบครอบคลุม
เพราะปรายเองก็ชักจะเริ่มกลุ้มกับเรื่องราวไม่คาดฝันจนนิ่งไป
“ที่นี่อร่อยทุกอย่างเลยครับคุณย่า ผมทานเพลินเลย” เขาตอบพลางมองดูข้าวที่พร่องไปเกือบครึ่งจาน
ตรงข้ามกับเจ้าของบ้านผู้นั่งข้างๆที่ดูจะรับประทานไปไม่กี่คำ
“มาทานบ่อยๆนะไทนะ” ย่าชวนเชิญจนปู่ยิ้มนิดๆ…ยายคนนี้ชักจะ ‘เรียกแขก’ ถี่ไปหน่อยแล้ว “อยากทานอะไรบอกย่า จะทำไว้ให้”
“เห็นไหมไท” เสียงปรายก็เลยใสขึ้น “สงสัยมึงจะมีของดี ปู่กับย่าทำท่ารักมึงมากกว่ารักกู จะได้ยังไง”
บรรยากาศแห่งการกินก็เลยไหลลื่นขึ้นทันใด ขณะที่สมุทรไทคอยตักอาหารให้หญิงสาว
แต่ยังไม่ทันที่ทุกคนจะรวบช้อน ชายสองคนก็เดินเข้ามา พนมมือไหว้จนชิดบ่าย่าและปู่ พลางหันไปจุมพิตแก้มบนฟ้า ตามด้วยชายหญิงสูงวัยไม่เกินหกสิบปี
บนฟ้าก็เลยลุกขึ้น โผเข้ากอดพ่อแม่
“ป๊า…” ครั้นแล้วน้ำในตาก็พรั่งพรู
สมุทรไททำท่าจะลุกตาม แต่มารดาปรายกดไหล่เขาให้นั่งลง
“ทานให้อิ่มก่อนจ้ะ…นี่ก็เลยรีบออกมาจ๊ะจ๋ากันหน่อย ค่อยกลับไปทำงาน” เฟื่องฟ้าบอกเขาอย่างคุ้นเคยชื่อนามที่ปรายคุยให้ฟังแทบทุกวัน…ไทยังงั้นยังงี้…สุดแสนจะเลื่อมใสศรัทธา…ในเพื่อนรัก “เมื่อคืนดึกแล้ว กลับมากันเหนื่อยๆเลยไม่เข้ามากวน”
หากปรายก็แลเห็นสายตาพี่ชายใหญ่มองสมุทรไทอย่างชวนให้หนาวนิดๆเหมือนกันขณะถาม
“แล้วนายสามมันไปไหน มาด้วยกันหรือเปล่า”