คุณหลวงเจ้าขา…ข้ากลัวผี บทที่ 1 : ย้อนเวลา…มันไม่ได้มีแต่ในนิยายเหรอ

คุณหลวงเจ้าขา…ข้ากลัวผี บทที่ 1 : ย้อนเวลา…มันไม่ได้มีแต่ในนิยายเหรอ

โดย : พงศกร

Loading

คุณหลวงเจ้าขา…ข้ากลัวผี นวนิยายโรแมนติกคอมเมดี้จากอ่านเอา โดย พงศกร เมื่อวิญญาณของแพทย์หญิงยุคปัจจุบันเข้าไปอยู่ในร่างแม่หญิงแห่งกรุงศรีผู้บอบบางที่มีคนหมั่นไส้ทั้งเมือง เธอจึงต้องลุกขึ้นมาปฏิวัติชีวิตของแม่หญิงคนนี้ให้แข็งแกร่ง ไม่ต้องพึ่งพาผู้ชายคนไหน โดยเฉพาะคุณหลวงกำแหงฤทธิรณ หนุ่มหล่อ…อยุธยาคิ้วต์บอยคนนั้น!

ดาราเรศไม่เคยคิดเลยว่าเรื่องย้อนกาลเวลาจะเกิดขึ้นได้จริงๆ

ใช่…

มันเกิดขึ้นได้จริงๆ

และมันเกิดขึ้นแล้ว…กับตัวเธอนี่ละ

ที่ผ่านมาเรื่องแบบนี้ เคยอ่านแต่ในนิยายทั้งนั้น

นิยายจีนเอย นิยายไทยเอย โดยเฉพาะนิยายแปลจีนนั่นยิ่งตัวดี การย้อนเวลาไปเข้าร่างคนในอดีตดูจะเป็นเรื่องปกติ เกิดขึ้นได้อย่างง่ายดาย มีพล็อตแบบนี้ให้อ่านมากมายหลายสิบเรื่อง หรืออาจจะถึงร้อยเรื่อง ส่วนมากแล้วนางเอกจะตกน้ำ ถูกรถชน ถูกตัวร้ายสังหาร หรือเกิดเหตุร้ายแรงอะไรสักอย่าง พอฟื้นอีกทีพวกเธอก็มาอยู่ในร่างคนอื่นเสียแล้ว

และกรณีของเธอล่ะ มันเกิดขึ้นได้อย่างไร

นั่นสิ มันเกิดขึ้นได้อย่างไร

ดาราเรศพยายามนึกทั้งๆ ที่ในตอนนั้นรู้สึกปวดหัวแทบระเบิด แถมแม่สาวที่นั่งอยู่ปลายเตียงก็เอาแต่ส่งเสียงร้องไห้จนเธอปวดหัว

“แม่หญิง…ฮือ ฮือ…บ่าวนึกว่าแม่หญิงตายไปเสียแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าแม่หญิงจะฟื้นขึ้นมาได้”

ไม่มีเวลาคิดแล้ว หล่อนบอกตัวเอง ไม่ว่าจะย้อนเวลามาเข้าร่างผอมๆ นี้ได้อย่างไร ตอนนี้ต้องเล่นตามน้ำไปก่อน

เหลือบสายตามองไปรอบๆ พบว่าตัวเธอกำลังครึ่งนั่งครึ่งนอนอยู่บนตั่งไม้ตัวยาว ภายในห้องมีเพียงแสงสว่างวอมแวมจากตะเกียงดวงเล็กที่ปลายเตียง กรุ่นหอมรุนแรงนั้นมาจากธูปและกำยานที่จุดเอาไว้ข้างตะเกียง พาให้บรรยากาศรอบกายเต็มไปด้วยความวังเวง

นอกจากบรรยากาศจะวังเวงแล้ว กลิ่นยังหอมแปลกๆ หอมแบบเมาๆ มึนๆ อย่างไรชอบกล

แต่เอาเถอะ…เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน

ดูสภาพเครื่องเรือน เครื่องแต่งกาย และสิ่งแวดล้อมภายในห้องแล้ว ดาราเรศเคยเห็นอะไรแบบนี้ในละครย้อนยุค เลยออกจะมั่นใจว่านี่คงเป็นสมัยอยุธยา ไม่ใช่รัตนโกสินทร์แน่ๆ แต่จะเป็นอยุธยาในช่วงปีไหนนั้น เอาไว้ค่อยหาคำตอบทีหลัง

“ตายแล้วฟื้น…ไม่น่าเชื่อ” นางบ่าวยังร้องไห้คร่ำครวญ “ทูนหัวของบ่าว…”

“ตกลงฉันเป็นอะไรตาย” ดาราเรศกลั้นใจถาม เด็กสาวที่เป็นบ่าวของเธอมีหน้าตาใสซื่อ ดวงตากลมโตเต็มไปด้วยแววจงรักภักดี

“เป็นลมตายเจ้าค่ะ” หล่อนตอบ

“เป็นลมตาย” ดาราเรศร้องเสียงแหลม…เวรกรรม…จะตายทั้งที ตายให้สวยๆ หน่อยก็ไม่ได้ เธอก้มมองร่างของตัวเอง เห็นท่อนแขนเรียวยาว ผิวเหลืองนวลและร่างกายที่ผ่ายผอมจนเห็นกระดูก

ผอมขนาดนี้ก็สมควรแล้วที่จะเป็นลมตาย ดาราเรศถอนใจยาว…หากจะต้องอยู่ในร่างนี้ต่อ สิ่งแรกที่ต้องทำคือลุกขึ้นมาบำรุงตัวเองเป็นการเร่งด่วน

“แม่หญิงจำไม่ได้หรือเจ้าคะ” บ่าวคนเดิมถาม

“จำไม่ได้เลย” หล่อนส่ายหน้า

“แล้วจำได้ไหมเจ้าคะว่าบ่าวชื่อแหวน”

“ก็จำไม่ได้เหมือนกัน” ดาราเรศว่า “แม้แต่ตัวฉันเอง ชื่ออะไร ยังไม่รู้เลย”

“อพิโธ่ อพิถัง” แหวนรำพัน “แล้วจะทำประการใดกันต่อไปล่ะเนี่ย”

“จะยากอะไร” ดาราเรศยักไหล่ ไหนเรื่องก็เป็นแบบนี้แล้ว ยังไงเธอก็ต้องพยายามทำความเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับ ‘ร่าง’ นี้ให้เร็วที่สุด “เล่าทุกอย่างที่เธอรู้ให้ฉันฟัง…ฉันชื่ออะไร เกิดอะไรขึ้น”

“แม่หญิงชื่อแม่หญิงดาราเจ้าค่ะ”

“แม่หญิงดารา…”

ดาราเรศ…ดารา

ดวงตาของดาราเรศเบิกกว้าง หรือจะเป็นเพราะมีชื่อคล้ายกัน เธอเลยย้อนเวลามาอยู่ในร่างของหญิงสาวรูปร่างผอมบางคนนี้

แต่เอาเถอะ…เดี๋ยวค่อยหาเหตุผล มาฟังนางบ่าวต่อดีกว่า

“เมื่อคืนที่ผ่านมา แม่หญิงไปงานศพคุณหญิงกลอย พอกลับมาถึงบ้าน แม่หญิงก็บ่นว่าร้อนไปทั้งตัว พอเข้านอนก็ร้องโวยวายว่าผีคุณหญิงกลอยตามมาหลอก จะมาเอาตัวแม่หญิงไป ตอนนั้นแม่หญิงหน้าซีดมาก บอกว่าวิงเวียนเหมือนลมจะจับ คุณหญิงแป้นเกรงว่าแม่หญิงจะโดนผีเอาตัวไปจริงๆ เลยเอาน้ำมนต์หลวงพ่อวัดค้างคาวมาให้แม่หญิงดื่ม ส่วนบ่าวก็ออกไปเตรียมน้ำลอยดอกมะลิจะเอามาให้แม่หญิงเช็ดหน้าเช็ดตา…ครั้นพอบ่าว…พอบ่าว…” แหวนสะอึกสะอื้น “พอบ่าวกลับเข้าไปในห้อง แม่หญิงก็เป็นลมตายไปแล้ว”

“อย่างนั้นหรือ ตายกันง่ายๆ แบบนี้เลยหรือ” ฟังแค่นี้ดาราเรศก็รู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากล เธอเป็นคนไม่เชื่อเรื่องผี เรื่องนี้จะต้องมีเงื่อนงำบางอย่างอยู่แน่ๆ แต่เอาเถอะ มันเร็วเกินไปที่เธอจะลุกขึ้นมาหาคำตอบ

“ใช่เจ้าค่ะ ตายกันง่ายๆ แบบนี้ละ ว่าไม่ได้ แม่หญิงอ่อนแอมาตั้งแต่เด็กๆ แล้วนี่เจ้าคะ” แหวนยกมือขึ้นปาดน้ำตา “พอเป็นลมตาย ทีนี้ก็เกิดโกลาหลกันทั้งบ้าน คุณหญิงแป้นสั่งให้บ่าวเฝ้าศพแม่หญิงเอาไว้จนรุ่งเช้า  พอฟ้าสว่างคุณหลวงก็…เอ้อ…คุณหลวงก็ออกไปนิมนต์พระมาทำพิธีเจ้าค่ะ”

คุณหญิงกลอย คุณหญิงแป้น คุณหลวง…

อืม…ดาราเรศพยักหน้ากับตนเอง มีตัวละครเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ

“คุณหญิงกลอย…คุณหญิงแป้น และคุณหลวง…พวกเขาคือใครอะแหวน”

แหวนยกมือขึ้นเกาศีรษะแกรก ท่าทางของเด็กสาวดูเหนื่อยใจ แต่ก็พยายามตอบคำถามของหล่อนเป็นอย่างดี

“คุณหญิงกลอยเป็นมารดาแม่หญิงแก้วเจ้าค่ะ ส่วนคุณหญิงแป้นเป็นมารดาคุณหลวงเข้ม…เอ้อ คุณหลวงกำแหงฤทธิรณ และคุณหลวงเข้มนี่ละเจ้าค่ะ เป็นสามีของแม่หญิง…”

“หา” ดาราเรศร้องเสียงดังลั่น “นี่ฉันมีสามีแล้วหรือ”

“เจ้าค่ะ” แหวนก้มหน้างุด พึมพำตอบว่า “เพิ่งแต่งกันได้ไม่ถึงปี”

“แล้วฉันมีลูกไหม” ดาราเรศถาม

“เอ้อ…” แหวนถอนใจยาว ท่าทางเต็มไปด้วยความอึดอัด

“ทำไม มีอะไร” ดาราเรศสังเกตเห็นท่าทางผิดปกติของบ่าวสาว “เล่ามา ตกลงฉันมีลูกกับคุณหลวงหรือยัง”

“ไม่มีหรอกเจ้าค่ะ” น้ำเสียงของแหวนติดจะไม่พอใจ “จะมีได้อย่างไรเจ้าคะ ในเมื่อแม่หญิงกับคุณหลวงยังไม่ได้เข้าหอกันด้วยซ้ำ หลังจากคืนส่งตัว คุณหลวงจะแยกไปนอนที่เรือนใหญ่ทุกคืน ส่วนแม่หญิงก็นอนเฝ้าเรือนหอแต่เพียงผู้เดียว…โธ่…แม่หญิงเจ้าขา แม่หญิงอย่าเสียใจไปเลยนะเจ้าคะ ถึงคุณหลวงจะไม่รักแม่หญิง แต่บ่าวก็รักแม่หญิงนะเจ้าคะ…ที่สติสตังแม่หญิงเป็นแบบนี้ เพราะเสียใจมากใช่ไหมเจ้าคะ…ฟื้นขึ้นมาคราวนี้ กลับเรือนเราก็ได้นะเจ้าคะ ไม่ต้องอดทนอยู่เรือนคุณหลวงอีกต่อไปแล้ว ถ้าแม่หญิงไม่กล้า…บ่าวจะกลับไปเรียนท่านเจ้าคุณให้เอง”

“เดี๋ยว” ดาราเรศรีบร้องห้าม

เริ่มจะเข้าเค้า…

นิยายย้อนอดีตทั้งหลายแหล่ที่เธอเคยอ่านมา บรรดานางเอกก็มักจะตกระกำลำบากแบบนี้…เหมือนกันไม่มีผิด เคราะห์ดีนะที่เธออ่านมาเยอะ ถึงตอนนี้จะได้เอาความรู้ที่ได้จากหนังสือเหล่านั้นมาใช้บ้างละ

“เล่าต่อไปสิว่า ทำไมคุณหลวงถึงไม่ยอมเข้าหอกับแม่หญิงดารา…เอ้อ…ไม่เข้าหอกับฉัน”

“คุณหลวงมีคนรักอยู่แล้วเจ้าค่ะ” น้ำเสียงของแหวนเต็มไปด้วยความเจ็บแค้นแทนนาย “ที่แม่หญิงกับคุณหลวงแต่งงานกัน เพราะผู้ใหญ่จัดการ…หลายปีก่อนท่านเจ้าคุณราชโยธี บิดาของคุณหลวงสิ้นในสงคราม ฐานะของคุณหญิงแป้นยากจนลง เลยไปขอหยิบยืมเงินจากเจ้าคุณพ่อของแม่หญิง…บ่าวไม่รู้หรอกนะเจ้าคะว่าเท่าไร แต่น่าจะมากโขอยู่ สุดท้ายคุณหญิงแป้นไม่มีเงินคืน เจ้าคุณพ่อของแม่หญิงเลยเสนอให้คุณหลวงกับแม่หญิงแต่งงานกัน แล้วจะยกหนี้ให้ทั้งหมด”

นั่นไง…ฉันว่าแล้ว…ดาราเรศพยักหน้าหงึกๆ กับตนเอง ก่อนจะตั้งอกตั้งใจฟังต่อ

“คุณหลวงไม่พอใจ เพราะมีคนรักอยู่แล้วคือแม่หญิงแก้ว แต่ขัดคุณหญิงแป้นไม่ได้ เลยต้องจำใจแต่งงานเพื่อล้างหนี้” แหวนเสียงแผ่ว

“เข้าใจละ” ดาราเรศหรือแม่หญิงดาราพึมพำ “เพราะเหตุนี้…คุณหลวงผัวฉันเลยไม่ยอมเข้าหอกับคนที่ตัวเองไม่ได้รัก”

“เจ้าค่ะ” แหวนถอนใจเป็นครั้งที่นับไม่ถ้วน

“นี่เขาคงดีใจสินะ ที่ฉันตายไปเสียได้” หล่อนนึกเดา กำลังนึกเลยไปถึงเรื่องการฆาตกรรม ดีไม่ดีความตายของแม่หญิงดาราอาจเป็นเพราะตาคุณหลวงนั่นวางแผนก็เป็นได้

เมียหลวงตาย จะได้ไปเสวยสุขกับผู้หญิงที่ตนเองรัก

“ไม่จริงนะเจ้าคะ” คำตอบของแหวนออกจะสร้างความประหลาดใจให้กับดาราเรศไม่น้อย “ตอนแรกบ่าวก็คิดว่าคุณหลวงคงจะดีใจ แต่กลายเป็นว่าคุณหลวงตกใจมากเจ้าค่ะ นอกจากตกใจแล้ว น่าจะเสียใจด้วยนะเจ้าคะ…ตอนออกจากเรือนไปนิมนต์พระที่วัด บ่าวเห็นคุณหลวงตาแดงก่ำ เหมือนคนร้องไห้เลย”

“เวอร์ละ” ดาราเรศไม่เชื่อ

“แม่หญิงว่าอะไรนะเจ้าคะ” แหวนกะพริบตาปริบๆ

“ฉันว่า…คุณหลวงอาจเสียใจ เพราะเสียถุงเงินไปมากกว่า” ดาราเรศพูดตรงๆ ตามนิสัย “แม่หญิงดาราเป็นขุมสมบัติของบ้านนี้ไม่ใช่หรือ”

“ก็อาจจะมีส่วนนะเจ้าคะ เพราะตั้งแต่แต่งงานกันมา เรือนนี้ขาดเหลือเรื่องอะไร ท่านเจ้าคุณบิดาของแม่หญิงก็จะช่วยเหลือเสมอ คุณหญิงแป้นไม่เคยมีปัญหาเรื่องเงินอีกเลย” แหวนคล้อยตาม “ถ้าแม่หญิงตายไป คุณหญิงแป้นคงลำบาก”

เธอเป็นบ่าวคนสนิทของแม่หญิงดารา เติบโตมาด้วยกัน กินด้วยกัน เล่นด้วยกัน เมื่อแม่หญิงแต่งงานออกเรือนมา เธอก็ติดตามมารับใช้ จึงได้รู้เห็นความเป็นไปทุกอย่าง และยังรู้ด้วยว่า ตั้งแต่แต่งงานกัน เจ้าคุณโชดึกราชเศรษฐี บิดาของแม่หญิงดาราก็คอยอุปถัมภ์ค้ำชูครอบครัวของคุณหญิงแป้นมาโดยตลอด ส่งเงินทองให้ใช้ไม่เคยขาดมือ ยังจะผ้าผ่อนแพรพรรณที่เจ้าคุณโชดึกฯ ส่งมากำนัลคุณหญิงแป้นและบุตรชายหญิงของเธออยู่เนืองๆ

“ใช้เงินมือเติบนัก” ดาราเรศนึกเดาได้ไม่ยาก “นี่คงชอบเล่นพนันละสิ”

“ถูกต้องเจ้าค่ะ” แหวนตบเข่าเสียงดังฉาด “ถั่ว โป จิ้งหรีด ปลากัด สกา ไพ่ เต๋า การพนันทุกอย่าง คุณหญิงชำนาญนัก ตระเวนไปเล่นมาหมดทุกที่ รู้จักนายบ่อนทุกคนในพระนคร จะเหลือก็แค่เปิดบ่อนเองเท่านั้นละเจ้าค่ะ”

“แล้วนอกจากคุณหญิงแป้น คุณหลวงเข้ม บ้านนี้ยังมีใครอีกไหม” ดาราเรศถามต่อ

“มีเจ้าค่ะ” แหวนพยักหน้า “คุณหญิงแป้นมีบุตรชายหญิงอีกอย่างละหนึ่งคน คือคุณพระขามหรือออกพระพินิจธรรม กับแม่หญิงบัว…คุณพระขามกับแม่หญิงบัวนี่ละเจ้าค่ะ คือลูกจริงๆ ของคุณหญิงแป้น”

“หมายความว่าอย่างไร” ดาราเรศนิ่วหน้า เริ่มงง

“ท่านเจ้าคุณราชโยธีมีเมียสองคนเจ้าค่ะ” แหวนเล่าอย่างคล่องแคล่ว “คุณหญิงแป้นคือเมียเอก ส่วนคุณจัน มารดาคุณหลวงเข้มคือเมียรอง หลังคลอดคุณหลวงเข้มได้ไม่นาน คุณจันก็ล้มเจ็บและตายไป ท่านเจ้าคุณเลยอุ้มคุณหลวงเข้มมาให้คุณหญิงแป้นเลี้ยง…”

“อ้อ เป็นอย่างนี้น่ะเอง” ดาราเรศพยักหน้า “แล้วคุณพระขามมีเมียไหม”

“เอ้อ…มีเจ้าค่ะ” แหวนอ้อมแอ้ม “ชื่อคุณใจ”

“คุณใจ” ดาราเรศจ้องหน้าบ่าว “ดูจากท่าทางของเธอ…คุณใจคงไม่ชอบฉันใช่ไหม”

“เจ้าค่ะ” แหวนถอนใจยาว ก่อนจะพึมพำต่อมาว่า “ที่จริงแล้ว…คนที่นี่ไม่มีใครชอบแม่หญิงสักคน”

“เวรกรรม” ดาราเรศอ้าปากค้าง จะย้อนเวลาทั้งที ไปอยู่ในร่างแม่หญิงสวยๆ เก่งๆ เป็นที่หมายปองของบรรดาผู้ชายก็ไม่ได้ ทำไมต้องมาอยู่ในร่างผอมแห้งแรงน้อย แถมคนเกลียดกันทั้งเรือนแบบนี้ด้วยนะ

หากยังไม่ทันที่จะได้ไต่ถามอะไรต่อ เสียงร้องแหลมเล็กของสตรีผู้หนึ่งก็ดังขึ้น พร้อมกับที่ประตูห้องถูกผลักออกอย่างรวดเร็ว

“ไหน…ไหน ลูกสะใภ้ฉันยังไม่ตายหรือ”

ร่างอวบอ้วนที่ห่มผ้าแถบและนุ่งซิ่นยาวกรอมเท้าเดินตรงมายังเตียงที่ดาราเรศนอนอยู่ คุณหญิงแป้นทรุดกายนั่งลงพร้อมกับดึงร่างผอมบางของแม่หญิงดาราไปกอดจนแน่น

“โถ โถ…แม่ดารา…ขวัญเอ๋ย ขวัญมานะลูกนะ…พ่อเข้มกลับมา คงจะดีใจมากที่เห็นว่าเมียยังไม่ตาย เคราะห์ดีนะที่ยังไม่ทันได้ส่งข่าวให้เจ้าคุณโชดึกรู้ ไม่งั้นจะยิ่งโกลาหลไปกันใหญ่”

ฟังแล้วแปลกๆ ดาราเรศนิ่วหน้า ลูกสาวตายทั้งคน แทนที่จะรีบให้คนไปส่งข่าวให้พ่อแม่คนตายรู้ แต่กลับมาวุ่นวายอยู่กับการจัดการงานศพ

เอ๊ะ…หรือต้องการจะปกปิดอะไรหรือเปล่านะ

“ดวงแข็งดีนะเจ้าคะคุณพี่”

ยังไม่ทันได้นึกอะไรต่อ เสียงสตรีอีกคนดังขึ้นจากทางด้านหลังคุณหญิงแป้น เมื่อดาราเรศเหลือบสายตาไปมอง ก็เห็นหญิงสาวรูปร่างโปร่งระหงผู้หนึ่งเดินเข้ามา

ท่าทางของเธอสง่างาม ดวงหน้าสวยหวาน ผมยาวประบ่า ห่มผ้าสไบสีขาวบริสุทธิ์ ผ้าซิ่นที่นุ่งยาวกรอมเท้าก็เป็นสีขาวเหมือนกำลังอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ เธอกำลังจ้องมองมายังดาราเรศด้วยดวงตาที่ลุกวาว

“ใส่ชุดไว้ทุกข์ให้ฉันแล้วหรือ…เสียใจด้วยนะ ฉันยังไม่ตายง่ายๆ หรอก ไม่ต้องห่วง” ดาราเรศในร่างของแม่ดาราตอบ ทั้งๆ ที่ยังไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร

“ครั้งนี้รอดมาได้ ครั้งหน้าก็ไม่แน่” แม่แก้วแค่นเสียงแผ่วต่ำ

“แม่แก้ว” คุณหญิงแป้นหันไปเอ็ดหญิงสาวผู้นั้น “พูดแบบนี้กับพี่ดาราได้อย่างไรกัน”

นั่นไง…แม่แก้วจริงๆ ด้วย

สายตาของหล่อนเต็มไปด้วยความผิดหวังที่ศัตรูหัวใจกลับฟื้นขึ้นมาได้อย่างน่าอัศจรรย์

“อิฉันก็พูดไปตามที่คิดเจ้าค่ะคุณแม่” แม่แก้วรีบแก้ตัว สายตาที่ไม่เป็นมิตรเปลี่ยนไปรวดเร็วจนดาราเรศปรับอารมณ์ตามไม่ทัน “น้องดีใจนะเจ้าคะ ที่คุณพี่ฟื้นจากความตายมาได้”

“ใช่เจ้าค่ะ ดวงแข็งจริงๆ” บ่าวร่างอ้วนผิวเนื้อดำแดงที่เดินตามหลังแม่แก้วมารีบพูดบ้าง

“ไม่ใช่เรื่องของหล่อน นังจวง” แม่แก้วหันไปเอ็ดบ่าวเสียงเข้ม

ดาราเรศนิ่วหน้า มองคนนั้นที มองคนนี้ทีด้วยความงุนงงว่าทั้งสองมาไม้ไหนกันแน่ คุณหญิงแป้นเห็นสายตาของลูกสะใภ้แล้ว เลยรีบพูดด้วยอาการร้อนตัว

“แม่เป็นคนชวนแม่แก้วให้มาช่วยงานเองน่ะจ้ะ ก็ใครใช้ให้แม่ดาราเป็นลมตายกะทันหันแบบนี้เล่า ทุกคนตกใจกันหมด ไม่มีใครทันตั้งตัว พี่เข้มน่ะสิตกใจจนทำอะไรไม่ถูก น้ำตาลูกผู้ชายไหลพราก แม่เองก็คิดอะไรไม่ออกว่าจะทำอย่างไรต่อดี ก็ได้แม่แก้วนี่ละที่อาสามาเป็นแม่งานให้”

“ในเมื่อดิฉันฟื้นแล้ว ก็คงไม่ต้องจัดงานอะไรแล้วใช่ไหมเจ้าคะ” ดาราเรศแอบเบ้ปาก พยายามพูดให้เป็นภาษาโบราณ คนในบ้านจะได้ไม่ผิดสังเกต พร้อมกันนั้นก็นึกเห็นใจแม่หญิงดาราตัวจริงขึ้นมาครามครัน ดวงตาของหญิงสาวกวาดมองไปโดยรอบ เพื่อสังเกตปฏิกิริยาของแต่ละคน

“ชะ…ใช่จ้ะ” คุณหญิงแป้นรีบพยักหน้า “ไม่มีงานศพแล้ว หลังจากนี้เราจะทำบุญใหญ่ สะเดาะเคราะห์ให้แม่ดารา ที่รอดจากความตายมาได้”

“ไม่มีงานศพแล้ว ถ้างั้นเธอ…ยังจะอยู่ทำไม” ดาราเรศหันไปทางแม่แก้วที่ยืนอยู่หลังคุณหญิงแป้น “ไม่กลับเรือนตัวเองไปหรอกเหรอ”

แม่แก้วผงะไปด้วยคาดไม่ถึงว่าจะถูกไล่เอาซึ่งๆ หน้าเช่นนี้ ก่อนหน้าเป็นลมตายแม่ดาราไม่เคยปากกล้าแบบนี้ นี่วิญญาณเข้าผิดร่างหรืออย่างไรกัน

“ฉัน…”

เจอแบบนั้นเข้าไป แม่แก้วจึงได้แต่อึกอัก หากยังไม่ทันที่เธอจะหันหลังกลับ เสียงห้าวทุ้ม เต็มไปด้วยความกังวานทรงอำนาจของชายหนุ่มที่เพิ่งเดินเข้ามาก็ดังขึ้นเสียก่อน

“ทำไมไปไล่แม่แก้วแบบนั้น แม่แก้วอุตส่าห์มีน้ำใจมาช่วย ทำกิริยาเช่นนี้ ไม่งามเลยนะแม่ดารา”

ดาราเรศกำลังจะอ้าปากเถียง หากทันทีที่หันไปมอง เธอถึงกับอ้าปากค้างไปด้วยความตื่นตะลึง

เจ้าของเสียงคือชายหนุ่มรูปร่างสูงล่ำสัน ผิวเนื้อดำแดง ดวงหน้าคร้ามคม เรือนร่างเต็มไปด้วยมัดกล้าม เรียวหนวดเหนือริมฝีปากบางเฉียบทำให้ผู้ชายคนนี้ดูเซ็กซี่สุดๆ

ที่สำคัญคือดวงตาคู่นั้น…

มันสุกสกาว กะพริบระยิบระยับเหมือนดวงดาวบนฟ้า

ดาราเรศได้แต่กะพริบตาถี่ๆ นึกพึมพำอยู่ภายในใจว่า

…โอว…นี่มันอยุธยา คิวต์บอยชัดๆ!

 



Don`t copy text!