คุณหลวงเจ้าขา…ข้ากลัวผี บทที่ 3 : เมียในเงามืด

คุณหลวงเจ้าขา…ข้ากลัวผี บทที่ 3 : เมียในเงามืด

โดย : พงศกร

Loading

คุณหลวงเจ้าขา…ข้ากลัวผี นวนิยายโรแมนติกคอมเมดี้จากอ่านเอา โดย พงศกร เมื่อวิญญาณของแพทย์หญิงยุคปัจจุบันเข้าไปอยู่ในร่างแม่หญิงแห่งกรุงศรีผู้บอบบางที่มีคนหมั่นไส้ทั้งเมือง เธอจึงต้องลุกขึ้นมาปฏิวัติชีวิตของแม่หญิงคนนี้ให้แข็งแกร่ง ไม่ต้องพึ่งพาผู้ชายคนไหน โดยเฉพาะคุณหลวงกำแหงฤทธิรณ หนุ่มหล่อ…อยุธยาคิ้วต์บอยคนนั้น!

การจะลุกขึ้นมาฟาดคนรอบข้างนั้น ดาราเรศต้องจัดการตัวเองเสียก่อนเป็นอันดับแรก ด้วยเหตุนี้เธอจึงลุกขึ้นปฏิวัติชีวิตแม่หญิงดาราเสียใหม่

เริ่มด้วยการสั่งให้แหวนขนเอากำยานทั้งหมดในห้องนอนของแม่ดาราไปทิ้ง เพราะวิชาพิษวิทยาทำให้เธอรู้ว่ากำยานที่ใช้จุดในห้องมีส่วนประกอบของดอกไม้ที่มีอันตราย หากจุดน้อยๆ กลิ่นจะทำให้เกิดการผ่อนคลาย แต่ถ้าจุดมากเกินไปจะทำให้เกิดอาการซึมเศร้า หมดแรง ไม่อยากทำอะไร

เป็นไปได้ว่า การที่แม่ดาราเอาแต่นอนทั้งวัน ไม่สดชื่น ไม่มีชีวิตชีวา อาจเกิดจากการสูดเอากลิ่นเหล่านี้ไปมากจนเกินพอดี

“กำยานพวกนี้มาจากไหน” หล่อนถามแหวน

“คุณหลวงเข้มจัดหามาให้เจ้าค่ะ” แหวนเอียงคอ “มีอะไรหรือเจ้าคะแม่หญิง…ปกติบ่าวก็เห็นแม่หญิงชอบนี่เจ้าคะ”

“แต่ตอนนี้ฉันไม่ชอบแล้ว” ดาราเรศทำเสียงเข้ม “กวาดทิ้งไปให้หมด ห้ามจุดในห้องของฉันอีก”

“เจ้าค่ะ” แหวนลนลานกวาดกำยานทั้งหมดทิ้งไปตามคำสั่งของผู้เป็นนาย

คุณหลวงกำแหงฤทธิรณ…นี่คุณกำลังวางแผนจะฆ่าเมียตัวเองอยู่หรือเปล่านะ…

เถอะ…เรื่องนี้เอาไว้ก่อน ฉันจะต้องหาคำตอบให้ได้ สิ่งสำคัญในตอนนี้คือฉันต้องบำรุงตัวเองให้แข็งแรงเสียก่อน

สารอาหารคือสิ่งที่จำเป็นกับสุขภาพ หลังจากที่ดาราเรศในร่างของแม่หญิงดาราเริ่มบำรุงร่างกายตัวเองอย่างจริงจังด้วยการกินทุกอย่างที่ขวางหน้า หญิงสาวก็เริ่มจะมีกำลังวังชา และแข็งแรงมากพอจะลงไปเดินในสวนท่ามกลางสายตาประหลาดใจของบ่าวไพร่ในบ้าน

“ฉันเดินเองได้ ไม่ต้องประคอง” ดาราเรศหันไปบอกแหวน

“แต่…” แหวนอดเป็นห่วงไม่ได้ ที่ผ่านมาคุณหนูของเธอผอมแห้งแรงน้อย โดนลมทีแทบจะปลิว

“นี่ไง เห็นไหม” ดาราเรศกระโดดโลดเต้น วิ่งโผจากต้นไม้ต้นนั้น ไปเกาะต้นไม้ต้นนี้ เลียนแบบนางเอกหนังอินเดียที่เคยดู “ฉันแข็งแรงแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วง…ว้าย…”

พูดยังไม่ทันจบประโยค ร่างผอมบางของแม่ดาราก็ปะทะเข้ากับใครบางคนจนเสียหลัก พร้อมกันนั้นเธอก็ล้มลงไปอยู่ในอ้อมแขนแข็งแรงของเขาคนนั้นพอดี

“นี่มันอะไรกัน”

เสียงเข้มๆ ของออกหลวงกำแหงฤทธิรณเอ็ดขึ้น

อุ๊ย…อยุธยาคิวต์บอย

มาได้ไงเนี่ย…เธอเงยหน้าขึ้นมองสบดวงตาคู่คมของเขา คนอะไร…น่ารักที่สุด

“กระโดดโลดเต้นอย่างกับเด็กๆ” ประโยคต่อมาราบเรียบเสียจนดาราเรศจับไม่ได้ว่าเขารู้สึกอย่างไร ดีใจที่ได้เจอหน้าเมีย เป็นห่วงเมีย ตกใจที่เจอเมีย หรือเสียใจกันแน่ “ป่วยไข้ทำไมไม่นอนพัก”

“ดิฉันหายดีแล้วเจ้าค่ะ” แม่ดาราจีบปากจีบคอ ขณะที่อ้อมแขนของชายหนุ่มคลายออกรวดเร็ว ออกหลวงกำแหงฤทธิรณขยับถอยหลังไปนิดหนึ่ง ดวงหน้าคมสันของเขามีสีเข้มขึ้น ดวงตาของชายหนุ่มกวาดมองภรรยาด้วยความแปลกใจ

“หายแล้วก็ยังไม่ควรออกมาตากลมเช่นนี้ ฉวยเจ็บไข้ไปอีกคนอื่นจะเดือดร้อน”

“ตกลงเป็นห่วงดิฉันหรือเป็นห่วงคนอื่นกันแน่เจ้าคะ” อดไม่ได้ที่จะต่อล้อต่อเถียง เธอชอบตอนที่เขารู้สึกขัดใจจนดวงตาลุกวาว “ถ้าเป็นห่วงดิฉันละก็…บอกแล้วไงเจ้าคะว่าดิฉันหายดีแล้ว”

“ฟื้นขึ้นมาหนนี้…หล่อนเปลี่ยนไปมาก” ออกหลวงหนุ่มไม่ตอบคำถามนั้น ดวงตาที่ลุกวาวของเขายังไม่ละไปจากดวงหน้าของหญิงสาว

“ตกลงเธอคือใครกันแน่”

“ฉันก็คือเมียคุณพี่อย่างไรเล่าเจ้าคะ…” ดาราเรศจ้องเขากลับไม่ลดละ

“เมียของฉันหรือ” มือแข็งแรงจับคางของเธอเชยขึ้น ดวงตาสีสนิมเหล็กจ้องมองลึกไปในดวงตาของดาราเรศ “แน่ใจหรือ”

“นี่ นี่…คุณพี่ทำอะไรดิฉัน” หล่อนร้องโวยวาย

“อยู่เฉยๆ” เขาเอ็ด “ฉันจะดูตาหล่อน”

“ดูตาดิฉัน ดูทำไม…โอ๊ย” ดาราเรศร้องลั่น

“ตาก็มีแววอยู่นี่นะ” เขาพึมพำ

“ถ้าตาไม่มีแววก็เป็นผีน่ะสิ” ดาราเรศเถียง

“กลับขึ้นเรือนได้แล้ว” เขาขี้เกียจเถียงด้วย

“ขอดิฉันเดินชมสวนอีกสักหน่อยได้ไหมเจ้าคะ” ดาราเรศทำเสียงสอง เธอได้ข้อมูลจากแหวนว่าแม่หญิงดาราตัวจริงมักจะทำตัวเก่งกล้า ท้าทายสามีอยู่ตลอดเวลา จึงไม่น่าแปลกใจที่เขาจะรู้สึกเอือมระอา

เอาใหม่…เธอต้องทำตัวเสียใหม่ อ้อนเขาเสียหน่อย ทำตัวอ่อนแอเสียบ้าง แบบนี้ผู้ชายจะได้รู้สึกอยากปกป้อง

“นะเจ้าคะ…คุณพี่เจ้าขา…ดิฉันได้แต่นอนจับเจ่าอยู่แต่ในห้องมาเป็นอาทิตย์แล้ว ขอสูดอากาศบริสุทธิ์สักหน่อย สัญญาว่าจะเดินไม่นาน แล้วจะรีบขึ้นเรือนเจ้าค่ะ”

“งั้นก็ตามใจ” เขาขยับดาบในมือ เตรียมเดินไปอีกทาง “ฉันไปละ”

“นั่นคุณพี่จะออกไปไหนหรือเจ้าคะ เห็นบ่าวบนเรือนพูดกันว่าคุณพี่เพิ่งจะกลับมา” ถามเขาสักหน่อย และร่างสูงล่ำสันถึงกับชะงักไป ด้วยคนเป็นเมียไม่เคยใส่ใจถามอะไรเช่นนี้มาก่อน ระหว่างเขาและเธอพูดคุยกันแทบจะนับคำได้

“ว่าจะออกไปลาดตระเวนดูเหตุการณ์ในกำแพงพระนครสักหน่อย” เขาตอบสั้นๆ

“คุณพี่ไม่เหนื่อยหรือ” ดาราเรศอยากรู้จริงๆ “เห็นพวกบ่าวว่า เมื่อคืนคุณพี่ก็ออกลาดตระเวนอยู่ทั้งคืน”

“ไม่เหนื่อย” เขาตอบสั้นๆ ดวงตาที่จ้องมองดาราเรศเหมือนกำลังมองคนแปลกหน้า ครั้นพอเห็นหญิงสาวยังคงมองเขาไม่ละสายตา ออกหลวงหนุ่มจึงเสริมว่า “เพลานี้ในพระนครกำลังวุ่นวายหนัก เราต้องพาทหารไปช่วยดูแล”

“วุ่นวายหนัก” แม่หญิงดาราเลิกคิ้ว “เรื่องผีปอบอาละวาดน่ะหรือ”

“รู้ได้ยังไง” เขานิ่วหน้า

“ก็…” ดาราเรศกลอกตาไปมา “ก็คนเขาพูดกันไปทั่วว่า ปอบกำลังอาละวาดหนัก”

“เป็นเช่นนั้นจริงๆ” เขาพยักหน้ารับ “เมื่อวานมีแม่หญิงตายเพราะถูกปอบกินอีกสองคน ชาวบ้านหวาดกลัวกันมากจึงเข้านอนกันตั้งแต่ยังไม่พลบ”

น้ำเสียงของเขาเคร่งขรึม ดาราเรศพยักหน้า พยายามตั้งใจฟัง

“พอตกดึก พวกโจรเลยฉวยโอกาสปล้นสะดมไปหลายครัว”

“ฟังแล้วแปลกๆ นะเจ้าคะ” หล่อนวิเคราะห์

“ใช่…ฉันก็ว่าแปลก” คุณหลวงพึมพำ ครั้นพอรู้สึกตัวก็รีบบอกว่า “ฉันไปก่อน…หล่อนก็อย่าเถลไถลล่ะ เดินชมสวนจนพอใจแล้วก็รีบกลับขึ้นเรือน เข้าใจไหม”

“เจ้าค่ะ” ดาราเรศรีบรับปาก หันไปมองนังแหวนก็เห็นบ่าวคนสนิทมีท่าทางดีใจจนออกนอกหน้า

“ยิ้มอะไร” หล่อนถาม

“ยิ้มดีใจที่เห็นคุณหลวงเป็นห่วงแม่หญิงไงเจ้าคะ เมื่อก่อนไม่เห็นจะเป็นเช่นนี้”

อุ๊ย…ดาราเรศเผลอยิ้มบ้าง…ถ้าเช่นนั้น ฉันก็มาถูกทางแล้วสินะเนี่ย…

 

สวนของเรือนหลังนี้ปลูกดอกไม้ไทยเอาไว้จำนวนมาก หลายชนิดมีสีสันสวยงาม หลายชนิดส่งกลิ่นหอมกรุ่น ดวงตาของดาราเรศเบิกกว้างเมื่อเห็นมวลดอกไม้นานาพันธุ์ ตอนเรียนพิษวิทยา เธอต้องศึกษาเรื่องกลิ่นของดอกไม้เพื่อแยกแยะดอกไม้ที่มีอันตรายให้เป็น

นอกจากนี้เพื่อนสนิทของเธอคนหนึ่งเป็นหมอผิวหนัง สนใจเรื่องความสวยความงาม พวกเธอทั้งสองคอยติดตามเทรนด์ความงามต่างๆ อยู่ตลอดเวลา เวลาว่างจากงานประจำ เธอกับแพทย์หญิงศศิกานต์มักจะคุยกันถึงเรื่องน้ำหอม แชมพู ครีมบำรุงต่างๆ กันอยู่เสมอ

จะแปลกอะไร…

ถึงเธอจะเป็นหมอนิติเวช ทำงานอยู่กับศพทุกวัน แต่ดาราเรศก็รักสวยรักงามเหมือนกับผู้หญิงคนอื่น ก่อนจะย้อนเวลามาอยู่ในร่างของแม่หญิงดารา เธอและศศิกานต์เข้าหุ้นกัน เตรียมจะทำแบรนด์เครื่องสำอางออกขายอยู่พอดี ดังนั้น ดาราเรศจึงมีความรู้เกี่ยวกับน้ำหอม แชมพู สบู่ และครีมบำรุงเป็นอย่างดีมาก

ดอกไม้ในสวนแห่งนี้มีแต่ดอกไม้ไทยที่หายาก วัตถุดิบชั้นดีทั้งนั้น…ดาราเรศดีดนิ้ว…สวนแห่งนี้มีดอกไม้ละลานตา มีแม้กระทั่งกุหลาบ ซึ่งเป็นดอกไม้ที่มาจากดินแดนอาหรับ

“แหวน” หล่อนหันไปถามบ่าวที่เดินตามต้อยๆ “สาวๆ อยุธยานี่เขาใช้น้ำหอมกันหรือเปล่า”

“น้ำหอม” แหวนหน้าตาเหรอหรา “แม่หญิงหมายถึงน้ำอบน้ำปรุงหรือเจ้าคะ”

“ใช่…นั่นละ” ดาราเรศพยักหน้า พอจะนึกออกบ้างแล้ว  “เขามีขายกันที่ไหนเหรอ”

เธอนึกสนใจ

“ส่วนใหญ่เขาทำใช้กันเองทั้งนั้นละเจ้าค่ะ แม่หญิงที่ดีไม่นิยมซื้อของคนอื่นทำขายหรอก อยากได้กลิ่นหอมแบบไหนก็ปรุงเอาเองตามที่ใจชอบ เพราะไปซื้อก็ไม่ได้กลิ่นเหมือนอย่างที่เราต้องการ” สายตาของแหวนดูประหลาดใจกับคำถามของผู้เป็นนาย “น้ำปรุงพวกนี้เขาหวงสูตรกันมากนะเจ้าคะ สูตรใครสูตรมัน เป็นความลับของแต่ละตระกูล เขาไม่บอกกันหรอก แต่ถ้าแม่หญิงคนไหนไม่มีเวลาทำเอง อยากไปซื้อละก็…ที่ริมวัดพร้าวพอจะมีขายอยู่นะเจ้าคะ”

“อืม” ดาราเรศพยักหน้า วัดพร้าวอยู่ที่ไหนไม่รู้หรอก ตอนนี้หัวสมองคิดไปไกลกว่านั้นแล้ว “แปลว่า ส่วนมากคนที่นี่ทำน้ำอบน้ำปรุงใช้เอง แล้วถ้าฉันอยากทำขายบ้าง…แหวนว่าจะมีคนซื้อไหม”

“อะไร้” แหวนร้องเสียงตกใจ ท่าทางเหมือนเธอไปฆ่าใครตาย “แม่หญิงเป็นกุลสตรี เป็นผู้ดี เป็นถึงภรรยาคุณหลวงนะเจ้าคะ จะไปค้าไปขายเป็นแม่ค้าได้อย่างไรกัน ทำแบบนั้นคนจะติฉินนินทาเอาได้นะเจ้าคะ”

“ฉันเบื่อ” หล่อนรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ “ฉันว่าจะทำน้ำหอม…เอ๊ย น้ำปรุงขาย ฉันทำเป็นนะ ทำเก่งด้วย ดูสิแหวน…ในสวนนี้มีแต่ดอกไม้ดีๆ ทั้งนั้นเลย รับรองว่าน้ำหอมของฉันต้องขายดิบขายดีแน่นอน”

“แม่หญิง…แม่หญิงต้องไข้กลับแล้วแน่ๆ อยู่ดีไม่ว่าดี จะไปตรากตรำทำของขายทำไมเจ้าคะ เงินทองเรามีเป็นหีบๆ ไม่ได้ขัดสนอะไรเลย แม่หญิงอยากได้เงินอีกเท่าไหร่ แค่ให้คนไปบอกท่านเจ้าคุณ ขี้คร้านจะได้มาเพิ่มอีกหลายหีบ”

แหวนปรี่เข้ามาหาดาราเรศ ใช้หลังมืออังหน้าผากหญิงสาว

“เอ…ตัวก็ไม่ร้อน ไม่มีไข้นี่เจ้าคะ ทำไมถึงเพ้อไปได้ถึงเพียงนี้”

“บอกแล้วไงว่าฉันหายป่วยแล้ว และฉันก็ไม่ได้เพ้อด้วย…ฉันพูดจริง” ดาราเรศถอนใจ เริ่มหนักใจขึ้นมาครามครัน เพราะเพิ่งจะตระหนักในตอนนั้นเองว่าผู้หญิงอยุธยามีหน้าที่เป็นแค่แม่บ้านแม่เรือน ไม่จำเป็นออกไปทำงานหาเลี้ยงตัวเองเหมือนผู้หญิงในสมัยที่หล่อนจากมา

แต่นั่นไม่ใช่หล่อน…

ดาราเรศไม่ใช่คนพับเพียบเรียบร้อย ไม่ชอบอยู่เฉยๆ เธอมีความสามารถ เธอจะต้องเอาความสามารถนี้มาใช้หาเลี้ยงตัวเอง ถึงแม้เจ้าคุณพ่อจะมีเงินมีทองมากมาย แต่เงินทองมีได้ก็หมดได้ หากไม่รู้จักหามาเพิ่มเติม อีกอย่างเธอเองก็มีแม่เลี้ยงกับน้องเลี้ยงอีกสองคนที่จ้องจะงาบสมบัติของเจ้าคุณพ่ออยู่ตลอดเวลา ของแบบนี้เผลอไม่ได้ ห้ามประมาทเด็ดขาด

และที่สำคัญที่สุด ขณะนี้แม่หญิงดาราอยู่ในสถานะที่ไม่มั่นคง ผัวจะทิ้งเสียเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ศัตรูก็มีอยู่รอบด้าน ที่ว่าเป็นลมตายนั้น ดาราเรศยังสงสัยอยู่ว่าเป็นความจริงหรือเปล่า หล่อนจะไม่แปลกใจเลยถ้าหากจะพบว่าแท้จริงแล้ว…มีคนวางแผนสังหารแม่หญิงดารา…

ผู้ต้องสงสัยนั้นมีมากมาย ล้วนแล้วแต่อยู่รอบกาย นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่จะประมาทไม่ได้ ดังนั้น สิ่งที่ดาราเรศเฝ้าคิดอยู่ในหัวตอนนี้ก็คือ จะต้องหาทางพึ่งตัวเองให้ได้เร็วที่สุด

“เอาเถอะแหวน ไม่ต้องทำหน้าแบบนั้นหรอก ตกลงฉันยังไม่ทำน้ำปรุงขายก็ได้”

พูดจบประโยคนั้น สีหน้าของแหวนค่อยดูผ่อนคลายลง ตอนนี้โอกาสยังไม่เหมาะจะทำอย่างที่ใจคิด หากจะผลิตน้ำปรุงออกมาจำหน่ายให้สาวๆ ชาวอยุธยาจริงๆ ละก็ เธอจำเป็นจะต้องเรียนรู้สิ่งต่างๆ ในโลกใบใหม่ให้มากกว่านี้ก่อน

“ว่าแต่แหวน…ฉันมีเรื่องอยากถามแหวนอีกสักหน่อย” ดาราเรศดึงมือบ่าวคนสนิทไปนั่งที่ศาลาริมคลอง สายลมเย็นสบายแผ่วมารวยริน บริเวณนี้ห่างไกลจากสายตาบ่าวไพร่

“มีอะไร แม่หญิงถามมาได้เลยเจ้าค่ะ” แหวนพยักหน้าอย่างเต็มใจ

หลังจากฟื้นคืนชีพขึ้นมา แม่หญิงดาราเหมือนคนใหม่จริงๆ เธอเฝ้าถามถึงแต่เรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านมาในอดีต ราวกับว่าเรื่องเหล่านั้นไม่ใช่เรื่องที่เคยเกิดขึ้นกับตัวเอง แม่หญิงดาราคนใหม่นี้จดจำอะไรไม่ได้เลยสักเรื่อง นอกจากนี้เธอยังมีวิธีพูด วิธีเดินที่แตกต่างไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง แหวนจึงไม่แปลกใจที่แม้แต่คุณหลวงเข้มก็ยังมีท่าทางสงสัย

โดยเฉพาะหลังจากแม่ดาราแกล้งจนแม่บัวหนีกระเจิงไปในวันนั้น บรรดาบ่าวไพร่ยิ่งเอาไปเล่าลือกันว่าแม่หญิงดาราตัวจริงตายไปแล้ว ที่อยู่ในร่างคือวิญญาณของผู้หญิงคนอื่นต่างหาก หากสำหรับแหวนแล้ว ไม่ว่าในร่างของแม่หญิงดาราจะเป็นผู้ใดก็ตาม เธอรู้สึกสัมผัสได้ถึงความเป็นนักสู้ แม่หญิงดาราคนนี้จะไม่ยอมให้ใครมาข่มเหงรังแกเช่นที่ผ่านมา

“ฉันรู้อยู่ละนะว่า คุณหลวงแต่งงานกับฉันเพราะถูกบังคับ” ดาราเรศพยายามเรียบเรียงคำพูด “แต่ในเมื่อแต่งงานกันแล้ว คุณหลวงก็ควรจะตัดใจจากคนรักเก่า เหตุใดจึงยอมให้แม่หญิงแก้วเข้ามาวุ่นวายในบ้านของเราอยู่ได้”

“เฮ้อ” แหวนถอนใจยาว นางบ่าวผู้จงรักภักดีชะโงกหน้ามาใกล้ๆ นาย และกระซิบว่า “มันเป็นข้อแลกเปลี่ยนเจ้าค่ะ”

“ข้อแลกเปลี่ยนอะไร” ดวงตาของดาราเรศเบิกกว้าง

“บ่าวได้ยินพวกนังจวงมันพูดกัน” แหวนหมายถึงบ่าวคนสนิทของแม่แก้ว “พวกมันว่าคุณหลวงต่อรองกับคุณหญิงแป้นว่า หากคุณหลวงยอมแต่งงานกับแม่หญิงดารา…ห้ามคุณหญิงแป้นมาวุ่นวายเรื่องของคุณหลวงกับแม่หญิงแก้ว…”

“หมายความว่า ถึงจะแต่งงานกันแล้ว แต่คุณหลวงก็ยังจะคบหากับแม่หญิงแก้วอยู่อย่างงั้นหรือ” ดาราเรศนิ่วหน้า

“ทำนองนั้นเจ้าค่ะ แต่บ่าวก็ไม่รู้แน่ชัดหรอกนะเจ้าคะว่าเรื่องมันเป็นยังไงกันแน่” แหวนไม่มั่นใจ “บ่าวฟังมาจากพวกนังจวงอีกที…แต่ก็น่าจะมีเค้าความจริงอยู่บ้าง เพราะหลังจากแต่งงาน แม่หญิงแก้วก็ยังคงเข้านอกออกในเรือนของเราได้โดยสะดวก ไม่เห็นหัวแม่หญิง ทำเหมือนกับคุณหลวงยังไม่มีเมียยังงั้นละเจ้าค่ะ”

“แล้วผู้คนในพระนครเข้าไม่ครหานินทากันหรืออย่างไร” ดาราเรศไม่เข้าใจ

“นี่ละเจ้าค่ะ ที่บ่าวน้ำท่วมปากมาตลอด” แหวนยกมือขึ้นทุบอกตัวเอง “พูดไปแล้วก็เจ็บใจ”

“ยังไงกัน” แม่หญิงดาราเรศนิ่วหน้า

“นอกจากบรรดาผู้คนที่ใกล้ชิดแล้วแล้ว ไม่มีผู้ใดรู้เลยเจ้าค่ะว่าคุณหลวงแต่งงานแล้ว” แหวนกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

“หา” ดาราเรศตาเหลือก “มีแบบนี้ด้วยหรือ”

“บ่าวคิดว่าคุณหลวงคงรู้สึกเสียหน้า เลยพยายามปิดบังเรื่องนี้เอาไว้ไม่ให้ใครรู้ แม้แต่เจ้านายของคุณหลวงก็ไม่รู้นะเจ้าคะ” แหวนพยายามจะเข้าใจออกหลวงหนุ่ม

“ทำแบบนั้นได้ด้วยหรือ” ดาราเรศประหลาดใจ

“ได้เจ้าค่ะ” แหวนยืนยัน “แม้อยุธยาจะแคบแค่นี้ แต่คุณหลวงเป็นคนเงียบๆ ไม่ค่อยเข้าเจ้าเข้านาย ไม่ใช่คนโปรดของหัวหน้า ดังนั้น ถ้าคุณหลวงไม่บอกก็ไม่มีใครรู้หรอกเจ้าค่ะ”

“ก็จริงของเธอนะแหวน…เขาคงอับอายมากจริงๆ” ดาราเรศนึกถึงสายตาคู่คมของอยุธยาคิวต์บอยแล้วออกจะเห็นใจเขาขึ้นมา ชายหนุ่มผู้เป็นถึงขุนนางใหญ่ แต่กลับถูกบังคับให้แต่งงานใช้หนี้แทนผู้เป็นมารดา รู้ไปถึงไหน อับอายไปถึงนั่น สู้ปิดเอาไว้ไม่บอกใครยังจะดีเสียกว่า

“ก่อนถึงวันแต่งงาน คุณหลวงไปขอร้องท่านเจ้าคุณโชดึก ขอให้จัดพิธีเงียบๆ ระหว่างสองครอบครัว…พิธีมีแค่ทำบุญตักบาตรถวายอาหารพระ แล้วก็ส่งตัวเจ้าสาวเลย ไม่ได้จัดงานเอิกเกริก ไม่ได้เชิญแขกเหรื่อ ไม่มีพิธีซัดน้ำ ไม่มีขันหมากด้วยซ้ำ”

“แล้วเจ้าคุณพ่อของฉันก็ยอมหรือ” ดาราเรศนึกประหลาดใจ

“ตอนแรกท่านเจ้าคุณก็ไม่พอใจเจ้าค่ะ” แหวนว่า “แต่คุณหญิงเนียนกลับเห็นด้วย ช่วยสนับสนุน เธอให้เหตุผลว่าแม่หญิงเจ็บออดๆ แอดๆ ไม่แข็งแรง มีโอกาสได้แต่งงานออกเรือนไปก็ดีมากแล้ว ไม่ควรเรื่องมากโวยวาย ฉวยเจ้าบ่าวเปลี่ยนใจจะเสียโอกาส”

“ตกลงงานแต่งงานของฉันก็เลยเป็นงานเงียบๆ ไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำว่าคุณหลวงมีแต่งงานมีเมียแล้ว” ดาราเรศเข้าใจสถานการณ์มากขึ้นอีกหนึ่งขั้น “แม่หญิงแก้วเลยกล้าที่จะแล่นมาหาคุณหลวง เพราะไม่มีใครจะเก็บไปนินทา เนื่องจากฉันเป็นเมียในเงามืด เป็นเมียที่ไม่มีผู้ใดรู้จัก”

ดาราเรศถอนใจยาว ศึกครั้งนี้หนักหนาไม่ใช่น้อย

“จะว่าอย่างนั้นก็ได้เจ้าค่ะ” เสียงของแหวนเหมือนคนหมดแรง

“ดีละ” ดาราเรศกำหมัดแน่น เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องเร่งด่วนต้องจัดการก่อนเรื่องอื่นๆ เธอหันไปหาแหวนแล้วถามว่า “ในพระนคร…มีสถานที่ใด ที่มีผู้คนไปชุมนุมกันเยอะๆ บ้างไหม”

“วัดเจ้าค่ะ” แหวนตอบรวดเร็ว “เวลามีงานบุญต่างๆ ผู้คนจะไปทำบุญกันอย่างเนืองแน่น”

“ไม่เอา” ดาราเรศส่ายหน้า สิ่งที่เธอกำลังจะลงมือทำไม่เหมาะจะทำในวัด “มีที่อื่นอีกไหม…สถานที่ที่ผู้คนจะมาอยู่รวมกันเยอะๆ น่ะ”

“ป่าเจ้าค่ะ” แหวนนึกถึงตัวเลือกที่สอง

“ป่า” ดาราเรศตาเหลือก “จะบ้าเหรอ ไปอยู่กันตามป่า เดี๋ยวงูเงี้ยวก็ฉกเอาหรอก”

“ไม่ใช่ป่าเขาเจ้าค่ะแม่หญิง” แหวนเกาหัวแกรก พูดกันเหมือนจะเริ่มรู้เรื่อง หากสุดท้ายแม่หญิงของเธอก็ยังงงเหมือนเดิม “ป่า หมายถึงสถานที่ที่พ่อค้าแม่ค้าเอาของมาขายกัน”

“อ๋อ” ดาราเรศพยักหน้า “ตลาด”

“อะไรนะเจ้าคะ” คราวนี้กลายเป็นแหวนที่เป็นฝ่ายงงเสียเอง

“เอาเถอะ” ดาราเรศขี้เกียจต่อความยาว “ป่าก็ป่า…ป่าไหนคนเยอะสุด”

“แม่หญิงจะไปทำอะไรเจ้าคะ ถ้าจะเที่ยวดูเที่ยวซื้อข้าวของละก็ ป่าขนม ป่าถ่าน ป่าทอง ป่าดินสอ…คนก็พอมีอยู่บ้างเดินสบายหน่อย” แหวนไล่เรียง “แต่ถ้าเป็นป่าผ้านี่คนออกจะแน่น…ผู้หญิงทั้งนั้น ส่วนใหญ่แล้วไปเลือกซื้อหาผ้าผ่อนแพรพรรณ เสียงจ้อกแจ้กอึกทึกราวกับนกแตกรัง ยิ่งถ้าวันไหนมีสำเภามาจอดเทียบท่า มีผ้าแบบใหม่ๆ มาขายละก็…ผู้คนเบียดเสียดกันแน่น ป่าแทบจะแตกกันเลยทีเดียวเจ้าค่ะ”

“ดีมาก” แม่ดาราดีดนิ้วเสียงดังเปาะ เล่นเอาแหวนอ้าปากค้าง ด้วยไม่เคยเห็นกุลสตรีที่ไหนจะมีกิริยาแบบนี้ “ผู้หญิงเยอะๆ แบบนี้ยิ่งดี…เหมาะมาก ปะแหวน…เราเตรียมตัวไปป่าผ้ากัน”

“เดี๋ยวก่อน…แม่หญิงจะไปทำอะไรที่ป่าผ้าเจ้าคะ” แหวนถามแล้วกลั้นใจรอฟังคำตอบ

“หุหุ” แม่ดาราหัวเราะเสียงแหลมเล็ก ก่อนจะหันมาจ้องหน้านางบ่าวคนสนิท พร้อมกับตอบชัดถ้อยชัดคำว่า “ฉันจะไปเดบิวต์ที่นั่น”

 



Don`t copy text!