คุณหลวงเจ้าขา…ข้ากลัวผี บทที่ 4 : ได้เวลาเดบิ้วต์

คุณหลวงเจ้าขา…ข้ากลัวผี บทที่ 4 : ได้เวลาเดบิ้วต์

โดย : พงศกร

Loading

คุณหลวงเจ้าขา…ข้ากลัวผี นวนิยายโรแมนติกคอมเมดี้จากอ่านเอา โดย พงศกร เมื่อวิญญาณของแพทย์หญิงยุคปัจจุบันเข้าไปอยู่ในร่างแม่หญิงแห่งกรุงศรีผู้บอบบางที่มีคนหมั่นไส้ทั้งเมือง เธอจึงต้องลุกขึ้นมาปฏิวัติชีวิตของแม่หญิงคนนี้ให้แข็งแกร่ง ไม่ต้องพึ่งพาผู้ชายคนไหน โดยเฉพาะคุณหลวงกำแหงฤทธิรณ หนุ่มหล่อ…อยุธยาคิ้วต์บอยคนนั้น!

 

“เด…” แหวนทำหน้าเลิ่กลั่ก “เดอะไรเจ้าคะแม่หญิง”

“เดบิวต์” ดาราเรศนึกได้ว่าคนยุคนี้คงไม่รู้จักคำนั้น เลยอธิบายเพิ่มเติมว่า “ฉันหมายถึงว่า ฉันจะไปเปิดตัวที่ป่าผ้า ประกาศให้รู้กันทั้งพระนครไปเลยว่า…ฉันนี่ละคือเมียตัวจริงของออกหลวงกำแหงฤทธิรณ พวกเหลือบริ้นไร แมลงวันแมลงหวี่ทั้งหลายจะได้หลบไป”

“จะดีหรือเจ้าคะ” แหวนลังเล

“ดีสิ” แม่หญิงดารายืนยันเสียงหนักแน่น “ก็หล่อนว่าคนในพระนครไม่มีใครรู้ว่าฉันคือเมียคุณหลวงไม่ใช่หรือ…ทีนี้ละ จะได้รู้กันเสียที”

“แต่…” สีหน้าของแหวนเป็นกังวล

“ไม่ต้องมาต่งมาแต่” ดาราเรศเสียงเด็ดขาด “ไม่ว่าหล่อนจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย ไม่ว่าหล่อนจะไปกับฉันหรือไม่…ยังไงฉันก็จะไป”

“ถ้าคุณหลวงรู้เข้า…” แหวนไม่วายวิตก

“รู้แล้วยังไง คุณหลวงจะทำอะไรได้ จะตบจะตีฉัน จะลงโทษฉันในข้อหาอะไร” ดาราเรศยังยืนยันในแผนการ “ในเมื่อฉันไม่ได้โกหกสักหน่อย ฉันแค่พูดความจริงเท่านั้น”

“เอาวะ” แหวนพูดเหมือนพึมพำกับตัวเองมากกว่า “ดีเหมือนกัน มาถึงขนาดนี้แล้ว”

หล่อนหันไปทางแม่หญิงดาราแล้วว่า

“ตกลงเจ้าค่ะ…แม่หญิงไปไหน บ่าวก็ไปกัน”

“แล้วเราควรไปเมื่อไหร่” ดาราเรศปรึกษา “วันนี้เลยไหม”

“วันนี้ยังไม่เหมาะเจ้าค่ะ” แหวนส่ายหน้า “รอสัปดาห์หน้า ตอนสำเภาจากจีนเข้าเทียบท่าดีกว่า…ถึงตอนนั้นมีผ้าผ่อนแพรพรรณใหม่ๆ มาวางขาย บรรดาแม่หญิงทุกคนในพระนครจะพากันมุ่งหน้ามาที่ป่าผ้า นับเป็นเวลาเหมาะที่สุดที่แม่หญิงจะทำตามแผน”

 

ระหว่างยังไม่ถึงวันที่สำเภาสินค้าจากเมืองจีนจะเข้ามาเทียบท่า ดาราเรศหรือแม่หญิงดาราก็เตรียมตัวพร้อมด้วยการขัดสีฉวีวรรณ บำรุงผิวพรรณด้วยสมุนไพรต่างๆ ที่มีอยู่ในบ้าน

จะเปิดตัวทั้งทีต้องปัง ต้องเป็นที่จดจำ จะไปแบบง่อยๆ นั้นย่อมไม่ใช่หล่อน

นอกจากผิวพรรณจะสวยงามด้วยการอาบน้ำขมิ้น ขัดตัวด้วยมะขามเปียก สระผมด้วยมะกรูดแล้ว เรือนร่างของแม่หญิงดาราจะต้องหอมกรุ่นจนคนเอาไปร่ำลือ ด้วยเหตุนี้ดาราเรศจึงตั้งใจจะทำน้ำหอมสูตรพิเศษขึ้นมาใช้

เริ่มต้นด้วยการต้มน้ำเปล่าใส่โถ จากนั้นนำมะลิ ชมนาด กุหลาบ ปีบ สายหยุด แก้ว กรรณิการ์ พุด และกระดังงา ดอกไม้ทั้งเก้าชนิดที่เธอกำลังทำน้ำหอมกลิ่นใหม่ก่อนวิญญาณจะล่องลอยมาอยู่ในร่างนี้ เธอจะนำเอาดอกไม้ทั้งเก้ามาลอยน้ำทิ้งไว้ทั้งคืน ดอกไม้ชนิดใดหอมยามเช้า ดาราเรศก็จะเก็บมาในเวลาเช้า ดอกไม้ชนิดใดหอมยามเย็น เธอก็จะเก็บในช่วงเย็น เพื่อที่จะได้น้ำมันหอมที่สมบูรณ์ที่สุด

ในเช้าวันต่อมา ดาราเรศก็จะนำน้ำที่ลอยดอกไม้มาต้มอีกครั้ง คราวนี้จะใส่ชะลูดและใบเตยลงไปด้วย จากนั้นตอนค่ำก็นำดอกไม้หอมมาลอยไว้อีก ครั้นพอถึงเช้าวันที่สาม ดาราเรศก็จะนำน้ำนั้นมาอบด้วยกำยาน ผิวมะกรูด ใส่น้ำตาลทรายแดงลงไปด้วยนิดหนึ่ง ถึงวันที่สี่ก็ปรุงน้ำที่หอมกรุ่นนั้นให้เป็นน้ำปรุง ก่อนจะอบด้วยเทียนอบอีกครั้ง เป็นอันสิ้นสุดกระบวนการ

“กลิ่นอะไรเจ้าคะคุณแม่ ฮ้อม หอม” แม่บัวสูดกลิ่นหอมที่ลอยกรุ่นมาจากเรือนของแม่ดาราด้วยความอยากรู้ หากเป็นเมื่อก่อนเธอคงแล่นไปถามแล้ว

“นั่นสิ” คุณหญิงแป้นนิ่วหน้า

“หรือมันจะปรุงน้ำอบ เพื่อกลบกลิ่นคาวของตับไตไส้พุงที่มันเก็บมากินเจ้าคะคุณแม่” แม่บัวสันนิษฐาน

“นั่นสิ…เราไปดูกันไหมแม่บัว” คุณหญิงแป้นชวน

“มะ…ไม่เจ้าค่ะ” แม่บัวส่ายหน้าดิก รอดจากวันนั้นมาได้ หล่อนไม่คิดอยากไปเหยียบเรือนของแม่ดาราอีกแล้ว

นอกจากเรื่องกลิ่นหอมที่ลอยอวลมาจากเรือนหลังเล็ก สองแม่ลูกก็เริ่มสงสัยว่ามันจะต้องมีอะไรมากกว่านี้แน่ เพราะแม่หญิงดาราทำตัวลับๆ ล่อๆ ตื่นนอนตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง ลงไปในสวนแล้วกลับขึ้นเรือนก่อนตะวันขึ้น จากนั้นก็เอาแต่ขลุกอยู่แต่ในห้องทั้งวันจนตะวันตกดิน  แถมนังเจียม…บ่าวคนสนิทของคุณหญิงแป้นยังแอบเห็นนังแหวนไปไขกำปั่นสมบัติ แล้วขนเงินออกมาหลายถุง

“พวกมันกำลังจะทำอะไรกันนะ” คุณหญิงแป้นนิ่วหน้า “ทำไมต้องขนเงินออกมามากมายเช่นนั้น”

“หรือว่าพวกมันเห็นว่าลูกไปขอกุญแจกำปั่นวันนั้น เลยไขเอาเงินออกมาให้พวกเรา” แม่บัวสันนิษฐาน

“นังลูกโง่” คุณหญิงแป้นใช้นิ้วจิ้มหน้าผากลูกสาว “ใครจะใจดีเช่นนั้น มันจะขนเงินไปแอบไว้ที่อื่นละสิไม่ว่า”

“แปลกนะเจ้าคะ” แม่หญิงรูปร่างผอมบางอีกคนที่นั่งอยู่ด้วยในห้องออกความเห็น เธอคือแม่หญิงใจ ลูกสะใภ้คนโตของคุณหญิงแป้นนั่นเอง “แม่ดาราคนนี้เหมือนไม่ใช่แม่ดาราคนเก่า…”

“ใช่” นับวันความแปลกประหลาดของลูกสะใภ้คนเล็ก ก็ยิ่งเห็นชัดขึ้นทุกที “แม่ดาราคนเก่าโง่งม ทั้งยังหัวอ่อน ไม่ว่าแม่จะพูด จะสั่งให้ทำอะไรก็เชื่อและยอมทำตามทุกอย่าง แต่ฟื้นมาหนนี้กลายเป็นคนหัวแข็ง…และดูเหมือนจะฉลาดขึ้นมาก”

“เราคงต้องเปลี่ยนวิธีการกันเสียใหม่แล้วละเจ้าค่ะ” แม่ใจถอนใจ

เธอเป็นธิดาของเจ้าคุณกรมวัง ผู้มีอิทธิพลสูงในราชสำนัก ออกพระพินิจธรรมผู้สามีและคุณหญิงแป้นจึงเกรงใจสูกสะใภ้คนนี้ค่อนข้างมาก

แม่ใจไม่ชอบหน้าน้องสะใภ้มานานแล้ว

ไม่ใช่แค่ไม่ชอบ แต่ถึงขั้นเกลียดด้วยซ้ำ

เกลียดตั้งแต่ทั้งสองยังไม่แต่งงานมาเป็นคู่สะใภ้กันเสียด้วยซ้ำ แม่ใจรู้ว่าแม่ดาราแอบหลงรักคุณพระขามมานานแล้ว ตอนแรกที่เจ้าคุณโชดึกบังคับให้คุณหญิงแป้นเรื่องแต่งงาน ท่านเจ้าคุณหมายถึงบุตรชายคนโต หากคุณพระขามรู้ทัน จึงชิงไปสู่ขอเธอมาแต่งงานเสียก่อน สุดท้ายเลยต้องเปลี่ยนตัวเจ้าบ่าวไปเป็นคุณหลวงเข้มผู้เป็นน้องชายแทน

“นั่นสิ” คุณหญิงแป้นพยักหน้าเห็นด้วย

“แต่ก่อนหน้าจะเปลี่ยนแผนการกัน เราหาหมอเก่งๆ มาไล่ผีที่สิงร่างพี่ดาราอยู่เป็นอันดับแรก จะดีกว่านะเจ้าคะ” แม่บัวทำคอย่น นึกถึงความสยดสยองวันที่เข้าไปขอกุญแจกำปั่นได้แม่น “ลูกว่าพี่ดาราตายไปแล้ว ในร่างนั่นเป็นผีปอบแน่นอน”

“แต่ถ้าเราทำแบบนั้น พ่อเข้มจะยอมหรือ” คุณหญิงแป้นเป็นกังวล

“จะยากอะไรเจ้าคะ” แม่ใจเสนอ “เรากำลังจะทำบุญบ้านกันอยู่แล้วพอดี แทนที่จะนิมนต์หลวงพ่อวัดค้างคาว…ดิฉันคิดว่าเปลี่ยนไปนิมนต์หลวงพี่วัดขนุนดีกว่า เพราะหลวงพี่เทียนวัดขนุนมีอาคมขลัง จะต้องจัดการกับผีในร่างแม่ดาราได้แน่”

“ก็ดีเหมือนกัน” คุณหญิงแป้นเห็นด้วย “จะได้ถามหลวงพี่ว่า ไอ้ที่อยู่ในร่างแม่ดาราเนี่ย มันผีอะไร…ปอบ ฉมบ ขโมด จะกละ กระสือ ผีโพง ผีไพร ผีชนิดไหนกันแน่”

“ลูกว่าปอบแน่นอน ลิ้นยาว ตาขวางขนาดนั้น” แม่บัวมีน้ำเสียงมั่นใจ “วันนั้นมันจะกินตับลูกด้วยนะเจ้าคะ น่ากลัวที่สุด…เราจะไล่มันออกไปจากเรือนเราได้ไหมเจ้าค่ะคุณแม่”

“แม่ก็อยากจะทำเช่นนั้น” คุณหญิงแป้นเม้มริมฝีปากแน่น ยิ่งเห็นหน้าลูกสะใภ้ ยิ่งตอกย้ำถึงความอัปยศอดสู “แต่เจ้าก็รู้ว่าทำไม่ได้…ที่เรามีกินมีใช้ทุกวันนี้เพราะท่านเจ้าคุณโชดึกสนับสนุน ขืนไล่แม่ดาราออกไป เราจะเอาเงินที่ไหนใช้ล่ะ”

“ว่าแต่…ปอบจะมาสิงร่างแม่ดาราได้อย่างไร” แม่ใจเปลี่ยนหัวข้อสนทนา จะว่าไปเรื่องเงินๆ ทองๆ ก็เป็นเรื่องแสลงใจหล่อนอยู่ไม่น้อย ถึงเจ้าคุณพ่อของหล่อนจะเป็นขุนนางผู้ใหญ่ใกล้ชิดพระเจ้าอยู่หัว หากไม่ร่ำรวยเหมือนอย่างบิดาของแม่หญิงดารา

“ปอบมาได้อย่างไรไม่รู้ แต่ว่ามาอยู่ในเรือนของเราแล้ว ยังไงเราก็ต้องระวังตัวเอาไว้ให้ดี” คุณหญิงแป้นทำท่าสยดสยอง

“ถ้าคุณแม่เห็นด้วยเรื่องหลวงพี่วัดขนุน…ดิฉันจะรีบไปจัดการ” แม่ใจว่า

“แต่พี่เข้มไปนิมนต์หลวงพ่อวัดค้างคาวแล้วไม่ใช่หรือเจ้าคะ” แม่บัวนึกขึ้นมาได้ “ทำแบบนี้เราจะไม่ขัดแย้งกับพี่เข้มหรือเจ้าคะ”

“ไม่ต้องห่วง” พี่สะใภ้คนโตหันมาทางน้องสามี “พี่จะอ้างว่าเป็นความคิดของพี่ขาม…รับรองว่าพ่อเข้มไม่กล้าขัดแน่…อีกอย่าง แต่ไหนแต่ไรมา พ่อเข้มก็ไม่เคยสนใจเมียคนนี้อยู่แล้วไม่ใช่รึ จะไปนิมนต์พระจากวัดไหนมาก็คงไม่สนใจหรอก คุณแม่กับแม่บัวอย่าได้วิตกไปเลยนะเจ้าคะ…”

 

Time to Debut…อะฮ้า…ในที่สุดวันที่ดาราเรศรอคอยก็มาถึง

ข่าวสำเภาจากเมืองจีนเข้าเทียบท่าสร้างความตื่นเต้นให้กับผู้คนทั้งพระนคร ย่านการค้าต่างๆ เต็มไปด้วยความคึกคัก ด้วยมีสินค้าจากเมืองจีนมาวางขายเต็มไปหมด โดยเฉพาะย่านป่าผ้าที่มีผ้าไหมสีสวยๆ ลวดลายงดงามมาวางขายให้แม่หญิงทั้งหลายได้เลือกซื้อ

แม่หญิงดาราตื่นแต่เช้ามืด อาบน้ำ บรรจงเลือกผ้านุ่งและสไบสีสด เหตุเพราะเป็นวันอาทิตย์ เธอจึงเลือกสไบสีแดงให้เข้ากับวัน จากนั้นก็นั่งส่องกระจก มองดูดวงหน้าเรียวยาวรูปไข่และผมยาวถึงกลางหลัง

อันที่จริงแม่ดาราก็จัดได้ว่าเป็นคนสวยมากคนหนึ่ง เพียงแต่ที่ผ่านมาสตรีผู้นี้มัวแต่นอนซม ร่างกายจึงผอมซูบ หน้าตาดูไม่มีสง่าราศีเอาเสียเลย หลังจากดาราเรศเริ่มบำรุงดูแลร่างกายได้ไม่ถึงเดือน ความงามของแม่ดาราจึงกลับมาฉายชัด จนแม้แต่ดาราเรศที่เป็นผู้หญิงเหมือนกันก็อดจะชื่นชมมิได้

แต้มสีผึ้งสีชมพู แล้วบรรจงแต้มน้ำปรุงไปบนร่างกาย ก่อนจะลุกขึ้นเดินออกจากหอนอน และทันทีที่แหวนเหลือบเห็นผู้เป็นนาย นางบ่าวผู้จงรักภักดีก็ถึงกับอ้าปากค้างด้วยความตื่นตะลึง

“เป็นอะไรไป” ดาราเรศนิ่วหน้า “เห็นฉัน ทำหน้าเหมือนเห็นผี”

“งามเจ้าค่ะ” แหวนพูดซื่อตามนิสัย “ที่บ่าวตกตะลึงก็เพราะไม่เคยเห็นแม่หญิงงามขนาดนี้มาก่อน…ปกติแม่หญิงชอบห่มสไบสีอ่อนๆ บ่าวไม่เคยเห็นแม่หญิงห่มสีแดงสดเหมือนวันนี้ แต่จะว่าไปห่มสีสดๆ เสียบ้างก็ดีนะเจ้าคะ งามแปลกตาดี”

“สรุปว่าดีใช่ไหม” ดาราเรศถามย้ำ

“ดีสิเจ้าคะ” แหวนรับพยักหน้า “นอกจากงามแล้ว ยังหอมมากด้วย…น้ำปรุงของแม่หญิงนี่พิเศษจริงๆ ถ้ามีเหลือบ่าวขอสักขวดนะเจ้าคะ”

แหวนเหลือบสายตามองดูขวดแก้วเล็กๆ ในตะกร้า นอกจากขนเงินไปหลายถุงแล้ว ดาราเรศยังเตรียมน้ำปรุงพวกนี้ไปเป็นตัวอย่างสำหรับแจกผู้คนที่ป่าผ้าให้ลองเอาไปใช้ แผนการถัดจากเดบิวต์ประกาศสถานะตัวเองให้โลกรู้ ก็คือเปิดร้านขายน้ำอบน้ำปรุง แต่ก่อนจะถึงวันนั้น เธอต้องทำให้คนในพระนครรู้จักฝีไม้ลายมือเสียก่อน

ป่าผ้าหรือตลาดค้าขายผ้าผ่อนแพรพรรณนั้นอยู่ในกำแพงพระนคร แหวนพาแม่ดาราลงเรือแล้วให้บ่าวผู้ชายพายลัดเลาะไปจนถึงที่หมาย

ตลอดทางที่นั่งเรือเข้าไปในย่านการค้านั้น ดาราเรศเหลือบมองรอบกายด้วยสายตาตื่นตะลึง วัดวาอารามที่เธอเคยเห็นเป็นเพียงซากปรักหักพังในยุคที่จากมา บัดนี้กลับคืนมามีชีวิต มีความงามสง่า พระเจดีย์ปิดทองอร่าม วัดวาอาราม พระบรมมหาราชวังใหญ่โตอลังการ ทำเอาหญิงสาวถึงกับขนลุกซู่ ต้องหยิกตัวเองเพื่อให้แน่ใจว่านี่คือความจริง เธอไม่ได้นอนหลับฝันไป

ป่าผ้าวันนี้คึกคักจริงๆ ดังเช่นที่แหวนว่าเอาไว้ มีสตรีมากมายหลายวัยหลายฐานะเดินเลือกซื้อผ้าผ่อนแพรพรรณในร้านที่รายเรียงอยู่ในบริเวณนั้น ทุกคนแต่งกายสวยงาม มีบ่าวเดินถือร่ม ถือตะกร้าเดินตามหลังมาเป็นกลุ่มๆ เมื่อเดินสวนกัน ใครรู้จักกับใครต่างพากันทักทายเสียงดังขรม หากกวาดตามองไปทั่วทั้งป่าผ้าแล้ว วันนี้ไม่มีใครแต่งกายงามโดดเด่นเกินหน้าแม่ดาราไปได้

“อุ๊ย…นั่นใครน่ะ” มีเสียงใครบางคนกระซิบถามกัน

“ง้าม งาม” อีกคนว่า

“หน้าคุ้นๆ นะ” คนเดิมเอียงศีรษะ “แต่ทำไมนึกไม่ออก”

“ดูเหมือนกับแม่ดารา…ใช่ไหมนะ” อีกคนหนึ่งตอบ

“ฉันก็ไม่แน่ใจ” สตรีคนแรกว่า ดาราเรศเห็นเด็กสาววัยราวสิบเจ็ดสิบแปดกำลังเอียงคอมองเธอมาด้วยความสนใจ “ไม่ได้พบหน้าแม่ดารามานานแล้ว”

“เธอ เธอ” หญิงสาวอีกคนสะกิดแขนแม่ดารา “ใช่แม่หญิงดาราหรือเปล่า”

“ใช่จ้ะ” ดาราเรศหันไปตอบเสียงดังฟังชัด เธอสังเกตว่าคนแถวนั้นชะงักมือที่กำลังเลือกผ้า แล้วเงี่ยหูฟังว่าพวกเธอจะคุยอะไรกัน

“โอ๊ย…แม่ดารา ดีใจจริงๆ เธอเปลี่ยนไปมาก มีน้ำมีนวลขึ้น งามราวกับเป็นคนละคน ตัวหอมด้วยนะ น้ำปรุงของเธอหอมราวกับดอกไม้บนสวรรค์…ว่าแต่เธอจำฉันได้ไหม”

ท่าทางของแม่หญิงผู้นั้นดูดีใจ หน้าตาของเธอคมเข้ม ดวงตากลมโต ผิวคล้ำเหมือนผู้หญิงแขกมากกว่าผู้หญิงอยุธยา

“เธอ…” ดาราเรศกะพริบตาปริบๆ ขณะที่แหวนช่วยผู้เป็นนายตอบว่า

“ช่วงนี้แม่หญิงดาราไม่ค่อยสบาย หัวมึนๆ งงๆ จำอะไรไม่ค่อยได้เจ้าค่ะ”

“ฉันชื่อมีนา เพื่อนของเธอไงล่ะ…เจ้าคุณพ่อของฉัน เจ้าคุณจุฬาราชมนตรีก็เป็นเพื่อนสนิทกับเจ้าคุณพ่อของเธอ” แม่มีนารีบบอก เธอหันไปทางเพื่อนที่มาด้วยกันแล้วพูดอีกว่า “ส่วนนี่ก็แม่เข็ม เพื่อนของเธอกับฉันอย่างไรเล่า”

“มีนา” แม่ดาราจ้องหน้าหญิงสาวที่บอกว่าเป็นเพื่อน “เข็ม”

“ใช่” มีนาเขย่ามือแม่ดารา “ฉันเอง…เธอหายไปนานมาก ไปหาที่เรือน แม่เลี้ยงของเธอก็ไม่ต้อนรับ บอกแค่ว่าเธอไม่อยู่ ฉันกับเข็มเป็นห่วงเธอมาก”

“นั่นสิ” เข็มถามบ้าง สีหน้าดูเป็นห่วงไม่แพ้มีนา “แม่ดาราหายไปไหนมา”

อ้ะ…เข้าทางที่สุด นี่ละที่ฉันรอคอย..

“ที่หายหน้าไป…ก็เพราะฉันแต่งงานออกเรือนไปน่ะสิจ๊ะ” ดาราเรศเสียงดังเกือบจะเป็นตะโกน และเสียงจ้อกแจ้กจอแจในตลาดผ้าเงียบลงในทันใดนั้น แม้มีผู้คนมากมาย หากไม่มีใครพูดจาอะไรกัน ทุกคนวางผ้าที่เลือกซื้อในมือลงและทำตาโต นิ่งฟังด้วยความสนใจ

“แต่งงานออกเรือน” มีนาร้องเสียงลั่น

“ใช่” ดาราเรศพยักหน้า “แต่งงานแล้ว…สามีฉันเขาหวง ไม่ยอมให้ฉันออกไปไหนเลย วันๆ นั่งอยู่แต่ในเรือน พวกเราจึงไม่ได้เจอกัน”

“นี่ฉันฟังผิดไปหรือเปล่า เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ทำไมไม่มีใครรู้…เธอแต่งงานกับใคร แต่งเมื่อไหร่กันแม่ดารา” แม่เข็มแทบไม่เชื่อหูตัวเอง “แล้วทำไมไม่บอกพวกฉัน…พวกฉันเป็นเพื่อนสนิทของเธอนะแม่ดารา”

“แต่งได้เกือบปีแล้ว…ต้องขอโทษด้วยที่ไม่มีโอกาสได้บอกใคร สามีของฉันเขาห้ามเอาไว้ เขาขี้อายน่ะจ้ะ” แม่ดาราตอบด้วยเสียงดังระดับเดิม “เขาไม่อยากให้คนรู้ว่าแต่งงานแล้ว”

“น่าเกลียดที่สุด” มีนาตำหนิตรงๆ “เขาทำกับเธอแบบนั้นได้ยังไง”

“นั่นสิ” แม่เข็มพยักหน้า

“เขาอาจมีเหตุผลของเขาก็ได้” แม่ดาราแกล้งทำเสียงอ่อน ในใจหัวเราะชอบใจ เพราะปลากำลังกินเบ็ดที่เธอวางเอาไว้ “อย่าไปว่าเขาเลยนะ”

“เขาทำไม่ถูก” แม่เข็มทำเสียงไม่พอใจ “เธอเองก็ไม่ควรเข้าข้างเขา”

“บอกมาเดี๋ยวนี้…สามีของเธอคือใคร” มีนาถาม

“สามีของฉันน่ะหรือ” แม่ดารากวาดตาไปรอบๆ ก่อนจะป้องปากตะโกนชื่อของเขาออกมาเสียงดังลั่นไปทั่วทั้งตลาด “เขาชื่อว่าออกหลวงกำแหงฤทธิรณยังไงล่ะ…พวกเธอรู้จักไหมจ๊ะ…”

 



Don`t copy text!