คุณหลวงเจ้าขา…ข้ากลัวผี บทที่ 2 : แม่หญิงผู้นี้ มีศึกรอบด้าน

คุณหลวงเจ้าขา…ข้ากลัวผี บทที่ 2 : แม่หญิงผู้นี้ มีศึกรอบด้าน

โดย : พงศกร

Loading

คุณหลวงเจ้าขา…ข้ากลัวผี นวนิยายโรแมนติกคอมเมดี้จากอ่านเอา โดย พงศกร เมื่อวิญญาณของแพทย์หญิงยุคปัจจุบันเข้าไปอยู่ในร่างแม่หญิงแห่งกรุงศรีผู้บอบบางที่มีคนหมั่นไส้ทั้งเมือง เธอจึงต้องลุกขึ้นมาปฏิวัติชีวิตของแม่หญิงคนนี้ให้แข็งแกร่ง ไม่ต้องพึ่งพาผู้ชายคนไหน โดยเฉพาะคุณหลวงกำแหงฤทธิรณ หนุ่มหล่อ…อยุธยาคิ้วต์บอยคนนั้น!

 

“พ่อเข้ม…น้องฟื้นแล้ว ดีใจไหม” คุณหญิงแป้นรีบลุกขึ้น เธอเดินไปเกาะแขนลูกชาย พร้อมกับพยักหน้าให้แม่แก้วถอยไปอย่างรู้กัน

“ผมเห็นแล้วขอรับ” ออกหลวงกำแหงฤทธิรณกล่าวกับผู้เป็นมารดา ไม่เอ่ยออกมาให้ใครรู้ว่าเขารู้สึกดีใจหรือเสียใจกันแน่ สายตาที่มองตรงมายังดาราเรศนั้นราบเรียบจนเดาไม่ออกว่าเขารู้สึกเช่นไร “ฟื้นขึ้นมาก็ปากเก่งเลย”

“อ้าว” ดาราเรศอดไม่ได้ “ดิฉันพูดผิดตรงไหนเจ้าคะ ในเมื่อดิฉันไม่ตาย ก็ไม่มีงานศพ แล้วจะให้แม่หญิงแก้วจะอยู่ที่นี่ต่อไปทำไม เมียก็ไม่ใช่ ญาติก็ไม่ใช่ หรือว่าคุณหลวงอยากได้แม่หญิงแก้วเป็นเมียอีกคนล่ะเจ้าคะ”

“เจ้า…” ดวงตาของคุณหลวงหนุ่มลุกวาวด้วยความไม่พอใจ “ปากกล้านักนะแม่ดารา”

“ดิฉันก็แค่พูดไปตามที่เห็น” ดาราเรศลอยหน้าลอยตา “หรือว่าไม่จริง”

“ไม่จริง” ออกหลวงหนุ่มเสียงเข้ม หน่วยตาวาววับ

“จริง” ดาราเรศเถียง

“ไม่จริง” เขาแค่นเสียง

“ไม่จริงก็ให้หล่อนกลับไปสิเจ้าคะ” ดาราเรศพยักหน้าไปทางแม่แก้ว

“เสียมารยาท” คุณหลวงเอ็ด

“พอทีเถอะเจ้าค่ะคุณพี่เข้ม อย่าทะเลาะกันเพราะดิฉันเลยเจ้าค่ะ” น้ำเสียงแม่แก้วอ่อนแอน่าสงสาร เธอก้มหน้าซ่อนสายตาไม่พอใจเอาไว้ไม่ให้ใครเห็น

“โถ…แม่แก้ว” คุณหลวงรูปหล่อหันไปทางหญิงสาวผู้บอบบาง

“คุณพี่อยู่ดูแลคุณพี่ดาราเถิดเจ้าค่ะ เธอเพิ่งจะฟื้นได้สติ คงจะต้องการกำลังใจ” แม่แก้วก้มหน้า “น้องเองก็มีเรื่องของคุณแม่ให้ต้องจัดการอีกหลายอย่าง…ขอลากลับเรือนไปก่อน เอาไว้เสร็จธุระแล้วน้องจะมาเยี่ยมใหม่นะเจ้าคะคุณพี่ดารา”

ประโยคหลังแม่แก้วหันมาเอยกับแม่หญิงดาราด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน หากแววตาที่จ้องมองมานั้นหาได้อ่อนโยนเหมือนกับน้ำเสียงไม่ และดาราเรศไม่แน่ใจว่านอกจากหล่อนและนังแหวนแล้ว ยังจะมีใครทันสังเกตเห็นหรือไม่…

แม่แก้วหันหลังเดินจากไป นังจวงบ่าวของแม่แก้วหันมาจ้องมองนังแหวนอย่างผูกอาฆาต ทำปากขมุบขมิบเป็นทำนองว่า…ฝากไว้ก่อนเถอะหล่อน…

คล้อยหลังแม่แก้วไปไม่ถึงอึดใจ อยุธยาคิ้วต์บอยของดาราเรศก็หันหลังทำท่าจะเดินออกจากห้องตามไปอีกคน คุณหญิงแป้นเห็นเช่นนั้นจึงรีบร้องห้ามเอาไว้

“อ้าว แล้วนั่นพ่อเข้มจะไปไหน ทำไมไม่อยู่เป็นเพื่อนน้อง”

“กระผมจะต้องรีบไปแจ้งหลวงลุงที่วัดขอรับคุณแม่” ออกหลวงหนุ่มว่า “บอกให้ท่านทราบว่าแม่ดาราฟื้นแล้ว จะได้ไม่ต้องตระเตรียมงานศพ”

“ก็ดีเหมือนกัน” คุณหญิงแป้นพยักหน้า “ไหนๆก็ไปแล้ว พ่อเข้มลองขอหลวงลุงช่วยดูวันที่ฤกษ์งามยามดีให้สักหน่อย แม่ว่าเรือนของเราน่าจะทำบุญใหญ่กันสักหน่อย พ่อว่าดีไหม”

“ดีขอรับ” ออกหลวงกำแหงฤทธิรณพยักหน้า สีหน้าท่าทางไม่ได้แสดงความกระตือรือร้นแต่อย่างใด เขาเหลือบสายตามามองดาราเรศนิดหนึ่ง จากนั้นก็หันหลังเดินจากไปอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้ดาราเรศอยู่กับมารดาของเขาและบ่าวไพร่ แทนที่จะอยู่ดูแลเธออย่างที่สามีพึงกระทำต่อภรรยา…

 

แท้จริงแล้วดาราเรศเป็นแพทย์นิติเวชผู้มีความชำนาญชนิดหาตัวจับยาก ไอดอลของเธอ คือแพทย์หญิงคุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผู้มีอุดมการณ์ผดุงความยุติธรรมให้กับสังคม

จบแพทยศาสตรบัณฑิต ดาราเรศเลือกเรียนนิติเวชต่อทันที เพราะชื่นชมและอยากเป็นคนเก่งอย่างคุณหญิงพรทิพย์ เวลาเรียนนิติเวช นอกจาผ่าศพแล้วยังมีวิชาย่อยอีกมากมาย วิชาที่แพทย์หญิงดาราเรศเชี่ยวชาญเป็นพิเศษ คือเรื่องพิษวิทยา ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญหนึ่งของการป่วยและการตายของคนไข้

หลังจากเรียนจบ หญิงสาวก็มาทำงานอยู่ที่แผนกนิติเวชของโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ชันสูตรศพมาแล้วไม่ต่ำกว่าสองหรือสามร้อยศพ เธอเป็นคนทำงานละเอียด และมีสัญชาตญาณที่ไวต่อเงื่อนงำอำพรางต่างๆ ต่อให้เป็นคดีฆาตกรรมซับซ้อนซ่อนเงื่อนแค่ไหน ถ้าผ่านมือของแพทย์หญิงดาราเรศแล้ว เธอจะต้องขุดมันออกมาตีแผ่ได้เสมอ

และนี่อาจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอย้อนอดีตกลับมาสมัยอยุธยาก็เป็นได้

วันนั้นเธอกำลังผ่าพิสูจน์ศพของเศรษฐีนีวัยกลางคนผู้หนึ่ง สามีวัยรุ่นของผู้ตายให้ข้อมูลว่า เขานั่งรับประทานอาหารอยู่กับคุณวาทินี…เศรษฐีนีวัยหกสิบอยู่ที่บ้าน จู่ๆขณะกำลังกินไก่ย่าง คุณวาทินีก็หัวเราะแล้วเลยสำลัก กระดูกไก่ติดคอจนขาดใจตาย แต่ดาราเรศตรวจพบว่าไม่ใช่…

เศรษฐีนีผู้นั้นถูกสังหารก่อน จากนั้นมีคนพยายามเอาเศษไก่ย่างกรอกลงไปในปาก เพื่อสร้างสถานการณ์ว่าคุณวาทินีสำลักอาหารจนเสียชีวิต คนสำลักอาหารจะต้องพบเศษอาหารในหลอดลม แต่หลอดลมของผู้ตายกลับว่างเปล่า แสดงว่าเธอไม่ได้สำลักอย่างที่นายพาทิศผู้เป็นสามีวัยรุ่นให้ปากคำ

แล้วค่ำวันนั้น ขณะที่เธอกำลังเดินออกมาจากห้องทำงาน ใครบางคนก็โผล่ออกมาจากเงามืด และรัดคอเธอจนหมดสติ

เธอพยายามดิ้นรน มือไขว่คว้าหาอากาศ ดวงตาเหลือบเห็นจมูกโด่งๆ และดวงหน้าคมสันของฆาตกร คุ้นๆเหมือนจะเป็นนายพาทิศ แต่ไม่แน่ใจ ในตอนนั้นดาราเรศคิดอะไรไม่ออก นอกจากพยายามเอาตัวรอด แต่เป็นคราวเคราะห์ของหล่อน เพราะไม่มีใครอยู่แถวนั้นเลย

โลกตีลังกา พลิกคว่ำคะมำหงาย ดาราเรศมารู้สึกตัวอีกทีก็มาอยู่ในร่างของแม่หญิงดารา แห่งพระนครศรีอยุธยาเสียแล้ว…

นับจากวันนั้น ที่เธอฟื้นคืนสติมาในร่างของแม่หญิงรูปร่างผอมแห้งแรงน้อยจนถึงวันนี้ เวลาผ่านมาเกือบหนึ่งสัปดาห์แล้ว

ดาราเรศรู้จากนังแหวนว่า ขณะนี้เป็นแผ่นดินของสมเด็จพระทรงธรรม…

อิหยังวะ…ดาราเรศเกาศีรษะแกรก…รัชกาลไหน พอศอไหน ยุคไหนของอยุธยากันเนี่ย…เธอเรียนสายวิทย์มา ไม่มีความรู้ประวัติศาสตร์เลย ตอนเรียนก็ไม่สนใจ เพราะไม่ใช่วิชาที่ชอบ ดังนั้น จะให้บอกว่าจะมีเหตุการณ์สำคัญอะไรเกิดขึ้นรัชกาลนี้บ้าง ความรู้ของเธอมีค่าเท่ากับศูนย์

เรื่องนั้นเอาไว้ก่อนเถอะ ยังไงตอนนี้ เวลานี้เธอจะต้องอยู่รอดปากเหยี่ยวปากกาให้ได้ ดูๆไปแล้วถ้าไม่ใช่เพราะพ่อรวย แม่หญิงดารานี่คงจะตกกระป๋องไปนานแล้ว

ความอ่อนเพลียทำให้เธอนอนอยู่แต่ในห้องมาตลอดหนึ่งสัปดาห์ เมื่อได้พักผ่อนเต็มที่ อาการปวดเมื่อยตามเนื้อตัวเริ่มหายไป แต่กระนั้นดาราเรศรู้สึกเรี่ยวแรงของตัวเองมีน้อยกว่าที่เคยเป็น อาจจะเพราะว่าร่างของเธอผอมซูบเหมือนคนขาดอาหาร

ถ้าจะฟาดกับคนพวกนี้ อันดับแรกเธอต้องมีแรงเสียก่อน…ดาราเรศตั้งสติบอกตนเอง…ดังนั้น หลายวันที่ผ่านมา หญิงสาวจึงเริ่มลุกขึ้นมาบำรุงตัวเองด้วยการรับประทานอาหารทุกอย่างที่แหวนจัดหามาให้

น่าแปลก ทั้งๆที่เรือนแห่งนี้มีผู้คนอยู่กันมากมาย หากนายบ่าวอยู่กันตามลำพัง ไม่ใครแวะมาเยี่ยมเธอบ้างเลย โดยเฉพาะอยุธยาคิวต์บอยที่เป็นสามีของเธอ ดาราเรศถามหาคุณหลวงกำแหงฤทธิรณกับนังแหวน บ่าวผู้นั้นก็ได้แต่ส่ายหน้า บอกว่าคุณหลวงงานยุ่งมาก

“ช่วงนี้คุณหลวงงานหนักมาก ไม่ได้กลับมานอนบ้านหลายเพลาแล้ว เห็นว่าออกลาดตระเวนกับลูกน้องอยู่ในกำแพงเมือง กว่าจะกลับก็เช้าตรู่เลยเจ้าค่ะ” นางบ่าวว่า “กลับมาถึงก็เข้าห้องนอนเลย ไม่พูดไม่จากับใคร พอบ่ายก็ออกไปใหม่”

“ปกติคุณหลวงทำอะไรบ้าง” ดาราเรศถามเพราะอยากรู้

“คุณหลวงรับราชการกรมพระนครบาล มีหน้าที่ดูแลสุขทุกข์ของไพร่พลเมืองเจ้าค่ะ” แหวนตอบเท่าที่พอมีความรู้

“โอว…เท่จัง” ดาราเรศทำตาโต สามีเธอเป็นตำรวจเสียด้วย

“หมู่นี้มีข่าวผีปอบอาละวาดในเมืองเจ้าค่ะ” แหวนกระซิบ ดวงตาของเธอเหลือบซ้ายแลขวาเหมือนกำลังหวาดกลัว “กินตับไตไส้พุงผู้คนล้มตายไปหลายรายแล้ว ผู้คนหวาดกลัวไม่เป็นอันทำอะไร ตกค่ำก็ดับไฟเข้านอน ถนนหนทางร้างราผู้คน คุณหลวงเป็นห่วงกลัวขโมยขโจรจะออกอาละวาด จึงต้องออกไปลาดตระเวนทุกคืน”

“ผีปอบเหรอ” ดาราเรศทำตาโต วิชาแพทย์สอนว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องอธิบายได้ เธอจึงไม่เชื่อกับเรื่องเหนือธรรมชาติอะไรพวกนี้ “หน้าตาเป็นยังไง หล่อนเคยเห็นหรือเปล่า”

“ไม่เคย และไม่อยากเห็นด้วยเจ้าค่ะ” แหวนปากคอสั่น “ขึ้นชื่อว่าผี จะผีอะไรก็อย่าไปยุ่งกับมันเลยเจ้าค่ะ อยู่ห่างไว้ดีทีสุด”

“แต่ฉันอยากเห็น” ดาราเรศพึมพำ

“ไม่ได้เลยนะเจ้าคะ” แหวนสั่นหน้า “แม่หญิงเพิ่งรอดชีวิตจากความตายมาได้ อย่าเข้าไปข้องแวะกับอะไรแบบนี้เลย”

คุยกันถึงตรงนี้ เสียงแหลมเล็กของใครบางคนก็ดังขึ้นจากทางด้านหน้าประตู

“คุณพี่ดารา ตื่นหรือยังจ๊ะ”

“ใครอีกล่ะเนี่ย” ดาราเรศนิ่วหน้า

“บัวเองจ้ะพี่ดารา” คนภายนอกร้องบอก

แหวนรีบขยับลุกขึ้นจากพื้นกระดาน แล้วเดินไปเปิดประตูให้แม่หญิงบัว น้องสาวของคุณหลวงเข้ม

ดวงหน้าของหญิงสาวคนนั้นสะสวย น่ารัก หากดวงตายามมองมาทางพี่สะใภ้ดูจะหวั่นหวาดอย่างไรชอบกล…

ก็แหงละ พี่สะใภ้ผู้อ่อนแอของเธอตายไปแล้ว ไม่หายใจ หน้าขาวจนเขียว กำลังจะหามศพไปวัดก็เกิดฟื้นขึ้นมาเสียก่อน แถมยังพูดจาประหลาดๆ แบบนี้ใครจะไม่กลัวบ้าง อย่าว่าแต่หล่อนจะกลัวเลย คุณหญิงแป้นแม่ของเธอก็กลัวเหมือนกัน

แต่ถึงจะกลัวอย่างไร วันนี้แม่บัวก็มีภารกิจที่จะต้องมาทำให้สำเร็จ

“พี่ดาราเป็นอย่างไรบ้าง” แม่บัวเดินไปนั่งตรงตั่งใกล้ๆ ดวงตากวาดมองแม่หญิงดาราขึ้นๆลงๆราวพินิจพิเคราะห์ “ไม่เจอหน้าหลายวัน ดูมีน้ำมีนวลขึ้นเยอะเลยนะคะ”

แหงละ…แหวนอยากจะตะโกนออกมาดังๆ

จะไม่ให้แม่หญิงดารามีน้ำมีนวลได้อย่างไร ในเมื่อแม่หญิงของเธอเล่นกินข้าวครบวันละสามมื้อ แต่ละมื้อต้องมีกับข้าวครบทั้งแกง ต้ม นึ่ง ตบท้ายด้วยส้มสูกลูกไม้และขนมหวานนานาชนิด แถมบางวันแม่หญิงยังเรียกกินของว่างก่อนนอนอีกต่างหาก

ก่อนหน้าเป็นลมตาย กว่าแม่หญิงดาราจะกินข้าวเข้าไปได้แต่ละคำ ต้องกล้ำกลืนฝืนทน แหวนต้องหลอกล่อสารพัดไม่ต่างกับป้อนข้าวเด็กเล็กๆ ครั้นพอกินไปได้สองสามคำก็บ่นเบื่อแล้วไม่ยอมกินอะไรอีก ฟื้นขึ้นมาคราวนี้ราวกับเป็นคนละคน

“พี่สบายดี” ดาราเรศตอบเสียงเรียบ

ดวงตาของเธอจ้องมองน้องสามีด้วยความสงสัยว่าจะมาไม้ไหน ด้วยรู้มาจากปากของแหวนว่าแม่บัวไม่ได้ชอบหน้าแม่ดารามากนัก เหตุเพราะครั้งหนึ่งเคยแข่งขันร้อยมาลัยกันต่อหน้าพระที่นั่ง แล้วพ่ายแพ้แก่แม่ดารา

อันที่จริง ถ้าวัดกันที่ฝีมือ ใครๆก็รู้ว่ามาลัยที่แม่บัวร้อยนั้นสวยกว่ามาลัยของแม่ดาราหลายเท่า แต่เพราะว่าบิดาของแม่ดาราเป็นขุนนางคนสนิท มีตำแหน่งใหญ่โตควบคุมกรมท่า แถมยังสำเภาไปค้าขายกับเมืองจีนสร้างรายได้ให้กับบ้านเมืองมากมายนัก พระมเหสีจึงเกรงใจเลยตัดสินให้แม่ดาราชนะการแข่งขัน สร้างความอับอายให้กับแม่บัวจนผูกใจเจ็บมาจนถึงวันนี้

“แม่บัวมีธุระอะไร”

“น้องจะมาขอกุญแจกำปั่นจากคุณพี่น่ะเจ้าค่ะ” น้ำเสียงของเด็กสาวเหมือนพูดเรื่องลมฟ้าอากาศทั่วไป หากอาการสะดุ้งของแหวนทำให้ดาราเรศระวังตัว

“กำปั่น…” แม่ดารานิ่วหน้า ด้วยไม่รู้ว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไร

“กำปั่นสมบัติที่เจ้าคุณพ่อของแม่หญิงให้เป็นสินติดตัวมาตอนออกเรือนยังไงเจ้าค่ะ” แหวนแอบกระซิบเบาๆให้ได้ยินกันแค่สองคน “คุณหญิงแป้นกับแม่หญิงบัวอยากได้ของในนั้นมานานแล้ว แต่แม่หญิงไม่ยอมให้”

“กุญแจกำปั่นอยู่ไหนเจ้าคะพี่ดารา” แม่บัวถาม ได้กุญแจแล้วจะได้รีบกลับไปเสียที อยู่ห้องนี้นานไปแล้วรู้สึกอึดอัด บรรยากาศอึมครึมอย่างไรก็ไม่รู้

“ขอบใจแม่บัวมากที่เป็นห่วง” ดาราเรศฉีกยิ้ม “แต่พี่ไม่ได้จะไปออกงานอะไร ไม่จำเป็นต้องใช้ของในกำปั่นในตอนนี้หรอกจ้ะ”

“ฉันไม่ได้หมายความว่าจะไปไขกำปั่นเอาของมาให้พี่” แม่บัวหงายเงิบ ไม่รู้ว่าตัวเองพูดไม่ชัด หรือพี่สะใภ้กำลังสับสนกันแน่ “คุณแม่เป็นห่วง เห็นว่าพี่เจ็บออดๆแอดๆ เลยให้ฉันมาขอกุญแจกำปั่น เพื่อจะเอาไปเก็บรักษาแทนพี่เจ้าค่ะ”

“เก็บรักษา…” ดาราเรศแกล้งพึมพำ “เก็บรักษาทำไมกันจ๊ะ”

“อย่าทำเป็นงงสิเจ้าคะ” แม่บัวฝืนยิ้ม “ดูๆไปคุณพี่น่าจะยังไม่หายขาด มีอาการงุนงงแบบนี้ สู้มอบกุญแจมาเสียดีๆ ยกหน้าที่ให้คุณแม่กับน้องช่วยดูแลกำปั่นสมบัติให้จะดีกว่านะคะ ฉวยคุณพี่เป็นลมตายไป…เอ้อ เป็นลมหมดสติไปอีกหน จะได้มีคนคอยดูแลแก้วแหวนเงินทองพวกนั้น”

“งั้นก็รอให้ฉันตายก่อนดีกว่านะแม่บัว” ดาราเรศเริ่มหมดความอดทน คนอะไรหน้าด้านหน้าทน เจ้าของสมบัติเขาไม่ยอมให้ยังจะดื้อด้านขอกุญแจอยู่ได้ “ฉันตายไปเป็นผี ไม่รู้เรื่องอะไรแล้ว พวกเธอค่อยมาเอาสมบัติของฉัน”

“หมายความว่าคุณพี่ไม่ยอมให้” แม่บัวชักจะหมดความอดทน

“ฉันว่าฉันพูดชัดแล้วนะ” แม่หญิงดารายันกายลุกขึ้นยืนเท้าเอว ถลึงตาจ้องมองอีกฝ่าย แกล้งแลบลิ้นเลียริมฝีปากไปมา

“คุณพี่” แม่บัวถอยหลังกรูด “คุณพี่ดาราแลบลิ้นทำไม”

“ฉันหิว” ดาราเรศแกล้ง สมัยเด็กๆหล่อนชอบแกล้งทำผีหลอกเพื่อนอยู่เสมอๆ ยิ่งตอนอยู่โรงเรียนประจำ เธอเคยแกล้งแม้กระทั่งครูพี่เลี้ยงด้วยซ้ำ

“แหวน…” เรียกหาบ่าวคนสนิท “ในครัวมีตับ ไต ไส้ เซ่งจี๊ไหม เอาใส่ชามมาให้ฉันกินไวๆ เอาดิบๆนะ…ฉันชอบ” ว่าแล้วหล่อนก็แลบลิ้นแปลบๆอีก “ฉันหิวจนทนแทบไม่ไหวแล้ว ถ้าในครัวไม่มี ฉันจะหาเอาแถวๆนี้ละ”

รำคาญน้องสามีเหลือทน พูดตัดบทอย่างไรแม่บัวก็ไม่ยอมกลับไปเสียที นึกถึงเรื่องผีปอบกำลังอาละวาดในเมืองได้ เลยแกล้งทำท่าแลบลิ้นแปลบๆใส่เสียเลย ไม่นึกว่าจะได้ผล

“ว๊าย” แม่บัวหันหลังวิ่งออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้ดาราเรศหัวเราะชอบใจอยู่คนเดียว

“แม่หญิง” แหวนดึงชายผ้านุ่งของเจ้านายด้วยท่าทางประหวั่น “แม่หญิงแค่แกล้งหลอกแม่หญิงบัวใช่ไหม แม่หญิงไม่ได้เป็นผีปอบจริงๆใช่ไหม”

“จะบ้าเหรอแหวน” เธอหันไปทางบ่าวคนสนิท “ถ้าฉันเป็นปอบจริงๆ หล่อนโดนฉันกินคนแรกแน่ บอกเลย”

“แม่หญิง…ฮือ ฮือ…” แหวนน้ำตาไหล ทำเอาดาราเรศตกใจ

“เป็นอะไรไปอีกล่ะ” หล่อนนิ่วหน้า “ร้องไห้ทำไม”

“บ่าวดีใจเจ้าค่ะ ในที่สุดแม่หญิงก็สู้คนเสียที” แหวนสะอื้น “ฟื้นขึ้นมาหนนี้ แม่หญิงเปลี่ยนไปเป็นคนใหม่จริงๆ ที่ผ่านมาแม่หญิงมีแต่ความทุกข์ เอาแต่ร้องไห้ เก็บเนื้อเก็บตัว บ่าวไม่เคยได้ยินเสียงหัวเราะของแม่หญิงนานจนจำไม่ได้แล้ว”

“ที่ผ่านมา แม่ดาราคงทุกข์ใจมากสินะ” หล่อนถอนใจเบาๆ

“ใช่เจ้าค่ะ” แหวนพลอยถอนใจไปด้วยอีกคน “ตลอดเวลาแม่หญิงต้องทำตามความต้องการของคนอื่น ไม่เคยมีความสุข แม้จะทำทุกอย่างตามที่คนอื่นต้องการแล้ว แต่คนพวกนั้นก็ไม่มีใครเห็นความดี ไม่มีใครชอบแม่หญิงเลยสักคน ถ้าคุณหญิงช่วงยังอยู่ ท่านจะไม่มีทางยอมให้ใครกลั่นแกล้งแม่หญิงได้แบบนี้ แต่งงานออกมา พ้นจากพวกคนร้ายๆ บ่าวนึกว่าแม่หญิงจะได้มีความสุขกับเขาเสียที กลับหนีเสือปะจระเข้ แม่หญิงต้องตกระกำลำบากยิ่งกว่าเก่า”

“หล่อนหมายความว่า…” ดาราเรศสะดุดหูกับคำบอกเล่าของบ่าวคนสนิท “ตอนอยู่ที่บ้านของฉันเอง…ฉันก็ถูกกระทำอย่างนั้นหรือ”

“เจ้าค่ะ” แหวนพยักหน้า ก่อนจะเท้าความเล่าเรื่องราวในอดีตให้ดาราเรศฟัง “หลังจากคุณหญิงช่วง มารดาของแม่หญิงเสีย…ท่านเจ้าคุณก็ยกคุณเนียนขึ้นมาเป็นเมียเอก ถึงเธอจะดูแลแม่หญิงเป็นอย่างดี แต่เธอก็ทำให้ท่านเจ้าคุณเห็นต่อหน้าเท่านั้น ลับหลังคุณเนียนเธอกลั่นแกล้งแม่หญิงสารพัด…แน่ละสิเจ้าคะ ก็คุณเนียนเธอมีลูกสาวถึงสองคน แม่หญิงดวงจันทร์และแม่หญิงเดือน…มีของอะไรที่ดีที่สุด แม่หญิงทั้งสองก็ต้องได้รับก่อนแม่หญิงดาราเสมอ แม้แต่ชื่อก็ยังตั้งข่มแม่หญิง…แม่หญิงเป็นแค่ดารา แต่แม่หญิงสองคนนั้นเป็นถึงดวงจันทร์กับดวงเดือน…เวลาท่านเจ้าคุณพาไปเที่ยวไหน ก็มีแค่คุณเนียนกับแม่หญิงทั้งสองที่ได้ติดตามไป แม่หญิงของแหวนต้องอยู่เฝ้าเรือน เพราะคุณเนียนอ้างว่าแม่หญิงร่างกายอ่อนแอ ไม่เหมาะจะออกงานหรือเดินทางไปที่ไหนไกลๆ…จนระยะหลังมานี้ ผู้คนในพระนครแทบจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำ ว่าท่านเจ้าคุณยังมีลูกสาวอยู่อีกคนหนึ่ง”

“แล้วการที่ฉันออกเรือนมานี่ล่ะ” ดาราเรศเก็บข้อมูลรายละเอียดทุกอย่างไม่ให้ตกหล่น “อย่าบอกนะว่าเป็นแผนการของแม่เลี้ยงของฉัน”

“ถูกต้องเจ้าค่ะ” แหวนพยักหน้า “ยิ่งท่านเจ้าคุณรักและเอ็นดูแม่หญิงเพียงใด คุณเนียนก็ยิ่งเกลียดแม่หญิงมากเพียงนั้น…ที่แต่งงานออกเรือนมาก็เป็นแผนการของคุณเนียนทั้งนั้น ปีที่ผ่านมา ท่านเจ้าคุณเริ่มสุขภาพไม่ดี เจ็บออดๆแอดๆ คงพอจะรู้ว่าตัวเองอาจจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน หากท่านมีอันเป็นไป แม่หญิงจะลำบาก จึงตัดสินใจบังคับให้คุณหญิงแป้นยอมให้บุตรชายมาแต่งงานกับแม่หญิงเพื่อล้างหนี้ เดิมทีท่านเจ้าคุณตั้งใจอยากให้แม่หญิงแต่งงานกับคุณขาม เพราะเห็นแม่หญิงมีท่าทางเหมือนชอบคุณขาม…แต่ยังไงบ่าวก็ไม่รู้ คุณพระขามกลับรีบแต่งงานกับแม่หญิงใจ ลูกสาวท่านเจ้าคุณกรมวังไปเสียก่อน เหลืออยู่แต่คุณเข้ม”

“เขาเลยจำใจต้องแต่งงานกับฉันแทนพี่ชายทั้งๆที่มีคนรักอยู่แล้ว”

โธ่…อยุธยาคิ้วต์บอยของฉัน ช่างน่าสงสารเสียจริง

เคยได้ยินแต่ให้ลูกสาวแต่งงานเพื่อล้างหนี้ ใครจะคิดว่าผู้ชายบางคนก็โดนบังคับเช่นกัน มิน่าล่ะ เขาถึงไม่ปลื้มเมียคนนี้เอาเสียเลย

“เจ้าค่ะ” แหวนเม้มริมฝีปากแน่น “แต่คุณหลวงเข้มก็ไม่ได้เลวร้ายนักหรอกนะเจ้าคะ…ยิ่งตอนที่แม่หญิงเป็นลมตาย คุณหลวงตกใจและเสียใจมากจริงๆ”

“แล้วก่อนหน้านี้ล่ะ” ดาราเรศอยากรู้ “ความสัมพันธ์ของฉันกับเขาเป็นอย่างไรบ้าง”

“ก็ไม่ค่อยดีนักเจ้าค่ะ” แหวนเล่า สุ้มเสียงออกจะเกรงใจ “ก่อนหน้านี้แม่หญิงชอบคุณขามมาก ได้เจอคุณขามที่ไหนแม่หญิงก็เดินตามต้อยๆไปทุกที่ จนคนเขาเอาไปร่ำลือกันทั้งพระนคร ครั้นพอเกิดผิดฝาผิดตัว ต้องมาแต่งกับคุณเข้ม แม่หญิงก็เลยมีท่าทางปั้นปึ่งอยู่ตลอดเวลา…อีกอย่าง เวลาคุณเข้มเห็นแม่หญิงวิงเวียน ไม่สบายเนื้อไม่สบายตัว พยายามอยากจะเข้ามาช่วย แม่หญิงก็จะปัดป้อง ทำตัวว่าเข้มแข็ง ไม่ยอมให้คุณเข้มช่วย ไม่ยอมให้คุณเข้มเห็นความอ่อนแอของตัวเอง…บ่าวคิดว่าเพราะเหตุนี้ คุณเข้มเลยทำตัวห่างไป ประกอบกับมีแม่หญิงแก้วเข้ามาแทรกกลาง…แม่หญิงเลยไม่มีตัวตนในสายตาของสามีเจ้าค่ะ…”

“ฉันเข้าใจละ” ดาราเรศพยักหน้า

เอาละ…ไหนๆก็ต้องอยู่ในร่างนี้ แถมจะต้องอยู่ไปอีกนานแค่ไหนก็ไม่รู้ เธอจะต้องลุกขึ้นมาปฏิวัติตัวเองเสียใหม่ ไม่ยอมตกเป็นเบี้ยล่างให้คนเรือนนี้โขกสับอีกต่อไป

“แหวนไม่ต้องห่วงนะ ต่อไปแม่หญิงดาราคนนี้จะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายได้อีกแล้ว…ฉันสัญญาว่าจะสู้ยิบตา ฉันจะทำทุกวิถีทางเพื่อทวงทุกอย่างที่เป็นของฉันกลับคืนมา”



Don`t copy text!