โคมรัตติกาล บทที่ 1 : แรงริษยา
โดย : น้ำน่าน
โคมรัตติกาล นวนิยายแนวพีเรียดแฟนตาซีล้านนา โดย น้ำน่าน เล่าถึงเจ้านวลจันทร์ส่องหล้าที่จำต้องเดินทางไปเป็นบรรณาการยังเวียงนาวา หากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับขบวนเรือของเธอ ทำให้เดินทางไปไม่ถึงจุดหมาย นี่คือเหตุบังเอิญหรือแผนการร้ายของใครบางคน หาคำตอบได้จากนวนิยายออนไลน์เรื่องนี้ เพราะนิยายฟรี อ่านสนุก #มีให้อ่านที่อ่านเอา
“เพราะเจ้าเด่นดวงดาราคนนี้ มีแม่เป็นเจ้านางเวียงหวายแม่นก่อ เจ้าพ่อถึงบ่เลือกลูก”
ขณะชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง ใบหน้าสวยซึ้งของหญิงสาวแดงก่ำไปด้วยฤทธิ์โทสะ เธอน้ำหูน้ำตาไหล เมื่อได้ทราบความจากปากของ ‘เจ้าหลวงวงศ์ตะวัน’ พระบิดาว่า ปีนี้เครื่องบรรณาการที่เมืองประเทศราชอย่างเวียงทอง หมายใจส่งไปให้เมืองแม่แผ่อำนาจกินอาณาเขตกว้างไกลอย่างเวียงนาวา ไม่ใช่แร่ทองคำอันเป็นทรัพย์ในดินสินในน้ำประจำนครเวียงทองอย่างที่เคยทำสืบกันมา
ทว่าเจ้าพ่อกลับส่ง ‘เจ้านวลจันทร์ส่องหล้า’ น้องสาวต่างมารดาของเธอไปแทน
ดวงตากลมโตฉายแววรั้นแลเอาแต่ใจของ ‘เจ้าเด่นดวงดารา’ ไหวระริก เธอเม้มริมฝีปากบางเข้าหากันแน่น พยายามข่มกลั้นความไม่พอใจไว้ในอก แต่ไม่สำเร็จ จึงผุดลุกขึ้นยืนต่อหน้าเจ้าหลวงวงศ์ตะวันอย่างไม่กลัวเกรง สายตาคมเฉี่ยวหันไปจับจ้องสตรีสูงศักดิ์ที่นั่งเคียงคู่พระบิดาของตนอยู่บนบัลลังก์กลางคอคำหลวงอย่างเอาเรื่อง
เจ้านางหลวง ผู้เป็นนางนั่งเมืองคู่บัลลังก์ของเจ้าผู้ครองนครเวียงทอง
ที่ตรงนั้น…ควรเป็นพระที่นั่งของสตรีสูงศักดิ์จากเวียงหวาย ซึ่งมีสิทธิ์อันชอบธรรมในตำแหน่งเจ้านางหลวง แลมาก่อนอย่างเจ้าดารารัตน์ พระมารดาของเธอ หาใช่ที่ของคนมากเล่ห์ชอบฉวยโอกาส ผู้มาทีหลัง แต่ตั้งหน้าวางแผนแย่งชิงทุกอย่างที่แม่ของเธอควรพึงได้ไปเสียหมดสิ้น
แย่งเจ้าพ่อไปจากเจ้าแม่ของเธอยังมิพอ มิหนำซ้ำเมื่อมันมีลูก สตรีใจต่ำจากเวียงหมอกคนนี้ ยังสอนสั่งสร้างลูกสาวคนโตของมัน ให้เป็นคู่แข่งของเธอไปเสียทุกเรื่อง ภายใต้กิริยาที่ฉาบทาด้วยความนุ่มนวลอาทรใจดี เห็นจักมีก็แต่เธอเท่านั้น ที่รู้ว่านางผู้นี้ร้ายลึก
เธอเกลียดผู้หญิงคนนี้ สตรีที่แย่งความรักของพ่อไปจากแม่ ‘เจ้านางหลวงเดือนเต็มดวง’
“มันบ่ใช่อย่างนั้นดอกดารา”
เจ้าหลวงวงศ์ตะวันถอนหายใจยาว มองใบหน้าอันงดงามไร้ที่ติของบุตรสาวคนโตด้วยแววตาอันมั่นคงมิแปรเปลี่ยน ยากเหลือเกินที่จักต้องอธิบาย ‘เรื่องใหญ่’ แลเกี่ยวข้องกับอาณาประชาราชเมืองเวียงทองเช่นนี้ ให้เจ้าเด่นดวงดารา ธิดาที่เกิดมาพร้อมกับคำว่าต้องเป็นที่หนึ่งในทุกเรื่องฟังแลเข้าใจ
“แล้วมันเป็นอย่างใดเจ้าพ่อ” หญิงสาวเชิดหน้า เถียงกลับมิลดละ “ในฐานะลูกสาวคนโตของเจ้าผู้ครองนครเวียงทอง ข้าเจ้ามีสิทธิ์อันชอบธรรมในการประกอบภารกิจอันใหญ่หลวงนี้ แต่แทนที่เจ้าพ่อจักส่งลูกไป เจ้าพ่อกลับเลือกที่จักส่งเจ้านวลจันทร์ส่องหล้าไปเป็นบาทบาจาริกาแทนลูก”
“ถ้าบ่แม่นเพราะว่าข้าเจ้า เป็นหน่อเนื้อเชื้อไขของเจ้าดารารัตน์ นางนั่งเมืองลำดับรองที่เจ้าพ่อบ่เกยแบ่งเสี้ยวความฮักมาหื้อ มิหนำซ้ำยังบ่เคยดูดำดูดี” เจ้าเด่นดวงดาราหาญกล้าเงยหน้าสบตาพระบิดาอย่างถือดี เอื้อนเอ่ยวาจาเชือดเฉือนชัดถ้อยชัดคำ
“ขอเจ้าพ่อช่วยบอกลูกหื้อแจ้งแก่ใจ มันเป็นเพราะอันใดกันแน่”
“ด้วยความสัตย์จริง พ่อบ่อยากควักลูกตาข้างใดข้างหนึ่งของพ่อส่งไปให้คนอื่นดอก” เจ้าหลวงวงศ์ตะวันถอนหายใจอีกหนึ่งคำรบ อ่อนใจกับนิสัยเอาแต่ใจไร้แลเหตุผลของลูกสาวคนนี้ยิ่งนัก ถึงอย่างนั้นก็ยังพยายามอธิบายให้ฟังอย่างใจเย็น “ทั้งดาราแลนวลจันทร์ พ่อบ่อยากให้ใครไปทั้งนั้น”
น้ำเสียงของเจ้าหลวงแห่งนครเวียงทองช้าชัดทรงพลัง “อย่างที่ลูกรู้นั่นแล เวียงทองของเราเป็นแค่เมืองเล็กๆ แม้จักมั่งคั่งไปด้วยแร่ทองคำสมชื่อนครแห่งทอง แต่เราบ่มีกำลังพลแลบารมีเพียงพอที่จักไปต่อกรกับหัวเมืองใหญ่อย่างเวียงนาวา ที่นับวันจักแผ่อำนาจกว้างใหญ่ขยายอาณาเขตกินเมืองออกไปไกลจนยากเกินต้านทาน”
“เวียงทองเป็นเมืองประเทศราชเขา เราส่งแร่ทองคำเป็นเครื่องราชบรรณาการไปให้เวียงนาวาทุกปีก็จริง แต่ใช่ว่าเขาจักปราณีเราตลอดไป ลูกคงบ่รู้ ยามนี้พญาแสนค้ำฟ้า เจ้าหลวงองค์ใหม่ของเวียงนาวา นำกำลังพลขยายอำนาจไปตีเอาเมืองเชียงรุ่ง เมืองตาก เมืองยอง ไว้ได้หมดแล้ว”
“เวียงนาวายิ่งใหญ่ ห้าวหาญแลแผ่บารมีแก่กล้า สมดังคำกล่าวที่ว่า สายน้ำของไหลเลาะไปถึงที่ไหน แสนยานุภาพของพญาแสนค้ำฟ้าแผ่กล้าไปถึงที่นั่น” เจ้าหลวงวงศ์ตะวันบอกเล่าความจริงให้ลูกสาวหัวดื้อฟัง “หากเวียงทองของเรา บ่รู้จักเตรียมการ อีกบ่นานก็จักถึงกาลล่ม…”
“เรื่องนั้นข้าเจ้าบ่สนใจ เจ้าพ่อแค่บอกมาคำเดียวเท่านั้น เหตุอันใดถึงบ่ใช่ลูก”
เจ้าเด่นดวงดาราเผยวาจาทะลุกลางปล้อง เรื่องทหาร การขยายอาณาจักรแลการปกป้องบ้านเมือง หาใช่หน้าที่ของอิสตรีผู้เลอโฉมอย่างเธอไม่ หญิงสาวผู้หมายใจจักได้เป็นเจ้านางนั่งเมืองเคียงคู่เจ้าหลวงองค์ใหม่แห่งเวียงนาวาเช่นนาง อยากรู้แค่เพียงว่า เหตุใดเจ้าพ่อถึงไม่เลือกเธอ
“เพราะในราชสาสน์อันราชทูตจากเวียงนาวานำมามอบให้พ่อเมื่อสามวันก่อน มีจารึกกำกับไว้เป็นลายลักษณ์อักษร กำหนดหมายตัวคนไว้ชัดแจ้งว่า แม่หญิงที่พญาแสนค้ำฟ้าหมายใจ อยากได้ไปนั่งเรียงเคียงบัลลังก์ คือเจ้านางนวลจันทร์ส่องหล้า บ่ใช่ลูก…” เจ้าหลวงแห่งนครเวียงทองตัดสินใจบอกความจริงกับบุตรสาวคนโต
“ไม่จริง! เจ้าพ่อจุ๊ลูก”
วาจาปกาศิตของเจ้าหลวงวงศ์ตะวัน ส่งผลให้เจ้าเด่นดวงดาราโกรธกริ้วจนเนื้อตัวสั่นเทาราวกับถูกผีร้ายเข้าสิง หญิงสาวทั้งเสียใจแลเสียหน้า รีบผุดลุกขึ้น ดวงตากลมโตของเธอไหวระริก มีน้ำตาไหลรินเป็นสาย จับจ้องไปยังพระบิดาที่กำลังนั่งหน้าเคร่งอยู่บนแท่นบัลลังก์กลางหอคำด้วยแววตาตัดพ้อต่อว่า
“ข้าเจ้าจักจารจดใส่หัวใจไว้ เจ้าพ่อลำเอียง รักลูกบ่เท่ากัน”
เจ้าเด่นดวงดารานำพาหัวใจที่ร้อนรุ่มไปด้วยฤทธิ์โทสะ เยื้องย่างอย่างถือดีออกจากคุ้มเจ้าหลวงวงศ์ตะวัน มุ่งหน้าสู่คุ้มพระมารดา ความอิจฉาที่สุมอก ทำให้ทุกย่างก้าวของนางหนักแน่นมุ่งมั่น แลรวดเร็วราวกับติดปีกบิน จนแสงคำกับบัวเงินนางข้าไทคู่บารมีทั้งสองที่เดินตามต้อยๆ เร่งฝีเท้าแทบไม่ทัน
“เจ้าพ่อของลูก ว่าอย่างไรบ้างดารา”
เจ้าดารารัตน์นั่งจิบชาเลิศรสรออยู่แล้วในห้องโถงกลางคุ้ม เอ่ยปากถามอย่างใคร่รู้ ท่าทางฮึดฮัดขัดใจของบุตรสาว เดาคำตอบได้ไม่ยาก แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังอยากได้ยินจากปาก ด้วยเพราะตนเองเป็นคนแนะนำให้เจ้าเด่นดวงดารามุ่งหน้าไปคาดคั้นเอาคำตอบจากเจ้าหลวงวงศ์ตะวัน
เรื่องเจ้าหลวงองค์ใหม่แห่งเวียงนาวาส่งราชสาสน์มาขอตัวเจ้านางจากเวียงทองไปเป็นบาทบาริจาริกานั้นแล
“เจ้าพ่อบอกว่าเวียงนาวาระบุมาอย่างชัดเจนว่า แม่หญิงที่เวียงทองของเราจักส่งตัวไปเป็นบาทบาริจาริกา ต้องเป็นธิดาที่เกิดกับเจ้านางหลวงเท่านั้นเจ้า” เจ้าเด่นดวงดาราเอื้อนเอ่ยเสียงดังฟังชัด โทสะยังไม่สิ้นไปจากหัวใจ แววตาที่มองพระมารดาเต็มไปด้วยความโกรธกริ้วไม่ปิดบัง
“อยากรู้แต๊ๆ ชาติก่อนลูกไปก่อกรรมหนักอันใดไว้นักหนา เกิดมาชาตินี้ ลูกถึงบ่เคยชนะเจ้านวลจันทร์แลแม่ของมันได้เลยแม้แต่ครั้งเดียว” หญิงสาวพรั่งพรูความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ในใจออกมา “นับตั้งแต่ที่มันเกิดมา ความสุขของลูกมลายหายไปหมดสิ้น ลูกชังมันเข้าตับเข้าไต มันเป็นตัวมาร ขัดบารมีของลูก มันกับแม่ของมันฉกฉวยทุกอย่างที่ควรเป็นของเราไปอย่างหน้าไม่อาย แม้กระทั่งความรักจากเจ้าพ่อ”
พระสนมเอกแห่งนครเวียงทองฟังแล้วถอนหายใจยาว แววตาคมกล้าของนางลุกโชนขึ้นมาชั่วครู่ แล้วหม่นหมองลงอย่างรวดเร็ว เจ้าดารารัตน์เห็นด้วยกับสิ่งที่บุตรสาวกล่าวอ้างทุกประการ ยังมิทันได้เอ่ยคำใดก็พอดีกับที่บัวเงินนางข้าไทคนสนิทของเจ้าเด่นดวงดาราคลานเข่าเข้ามาพนมมือต่อหน้าเสียก่อน
“มึงมีเรื่องอันใดกาอีบัวเงิน” เจ้าดารารัตน์ถาม
“สีวงค์มาขอเข้าเฝ้าจ้านางเจ้า” บัวเงินแจ้งข่าว “ตอนนี้ข้าเจ้าหื้อรออยู่ที่หน้าคุ้ม”
เจ้าดารารัตน์ได้ยินแล้วบอกเสียงดัง “แล้วมึงจักมานั่งอยู่ทำไม รีบไปเรียกมันเข้ามาเดี๋ยวนี้”
บัวเงินหน้าตื่นด้วยความตกใจ รีบดีดตัวคลานเข่าหายออกไปเพียงชั่วครู่ก็กลับเข้ามาอีกครั้ง พร้อมนายทหารหนุ่มผิวคมเข้มร่างกายกำยำนามสีวงค์ องครักษ์คนสนิทของเจ้าแสงฟ้าขวัญหาญ ลูกชายคนเล็กผู้เป็นดังแก้วตาดวงใจของนาง
“ข้าแต่พระสนมเอก” สีวงค์ยกมือขึ้นพนม
“หุบปากเดี๋ยวนี้ ไอ้ทหารขี้ครอก มึงใช้สิทธิ์อันใดมาเอ่ยผรุสวาทวาจาจ้วงจาบเรียกกูว่าพระสนม” คำพูดของสีวงค์มีอานุภาพคล้ายโยนไฟเข้าใส่ตัก เจ้าดารารัตน์ผุดลุกขึ้น กริ้วโกรธหน้าดำหน้าแดง ลืมไปเสียสิ้นว่านายทหารหนุ่มผู้นี้หาใช่คนในปกครองของตน
“ข้ากราบขออภัยเจ้านางดารารัตน์” สีวงค์เพิ่งนึกขึ้นได้ในเดี๋ยวนั้นเองว่า สตรีสูงศักดิ์ที่ยืนตัวสั่นเทาด้วยความไม่พอใจอยู่ตรงหน้า ไม่เคยยินดีในการอวยยศแต่งตั้งให้เป็นพระสนมเอก หากแต่นางปรารถนาในตำแหน่งเจ้านางหลวงแห่งเมืองเวียงทองมากกว่า
เกรงว่าเรื่องราวจักบานปลายใหญ่โต สีวงค์ไม่อยากต่อความยาวสาวความยืด รีบบอกกล่าวความประสงค์ของตน “เจ้าน้อยแสงฟ้าให้ข้านำความมาแจ้งแก่เจ้านางทั้งสองว่า เที่ยงนี้บ่ต้องรอกินข้าว เพราะหลังจากฝึกศาสตราวุธเสร็จแล้ว เจ้าน้อยจักอยู่กินข้าวกลางวันที่คุ้มเจ้าพันแสง”
สีวงค์แจ้งข่าวเสร็จก็ขอตัวรีบลุกออกมา แต่ก็ยังทันได้ยินเจ้าเด่นดวงดาราส่งเสียงลอยมาตามหลัง
“แสงฟ้านี่ก็แหมคน วันๆ เอาแต่สนุกสนานม่วนงันแอ่วเล่น เป็นลูกไล่ตามติดชีวิตเจ้าพันแสงราวกับเงาตามตัว นี่คงลืมไปแล้วกระมังว่า ตนเองยังมีหน้าที่ดูแลแม่ แลปกป้องข้าเจ้าพี่สาวแท้ๆ ที่คลานตามกันออกมา” เจ้าเด่นดวงดารายังพาลพาโลไม่หยุด
“แสงฟ้าบ่ได้ทิ้งแม่แลเจ้าเน้อ แต่น้องเป็นละอ่อนผู้ชาย ย่อมชอบเล่นปืนผาหน้าไม้กับกลุ่มผู้ชายด้วยกันเป็นธรรมดา จักให้มาเรียนเย็บที่นอน ร้อยมาลัย ปั่นฝ้าย เหมือนแม่หญิงเช่นเดียวกับลูก แม่ว่าคงบ่เหมาะ” เจ้าดารารัตน์ออกปากป้องลูกชายคนเล็กของตนอย่างออกนอกหน้า
พระสนมเอกมีความหวังเล็กๆ ในใจ เจ้าแสงฟ้าขวัญหาญเป็นชาย ยังมีโอกาสในราชบัลลังก์
“แสงฟ้าอายุสิบหกปีแล้วนาเจ้าแม่ บ่แม่นละอ่อนต่อนแต่นแล้ว” เจ้าเด่นดวงดาราย้อนพระมารดาเข้าให้ “อีกอย่างเจ้าแม่ก็เป็นคนบอกลูกเองบ่ใช่กาว่า ไอ้อีแฝดนรกคู่นั้น รวมไปถึงแม่ของมัน บ่ใช่คนดี ขี้โกงอย่างไร้ยางอาย เกิดวันดีคืนดีเจ้าพันแสงมันประเมินการแล้วเห็นว่าแสงฟ้าเป็นศัตรู แกล้งง้างธนูปักอกลูกบ่าวสุดที่รักของเจ้าแม่ขึ้นมา เจ้าแม่จักว่าอย่างใด”
“พันแสงคงบ่ทำเช่นนั้นดอก” เจ้าดารารัตน์เสียงเบาลง
“คนพวกนั้นไว้ใจบ่ได้ มันบ่ใช่คนดี” เจ้าเด่นดวงดาราสรุปชัด ฉายแววตาเคียดแค้นชิงชัง “ลูกเกลียดที่พวกมันรวมหัวกันแย่งทุกอย่างไปจากครอบครัวของเรา โดยเฉพาะเจ้านวลจันทร์ส่องหล้า ลูกชังน้ำหน้ามันเข้ากระดูกดำ อยากเสกควายสะตวงเข้าท้องขวิดไส้มันหื้อขาดกระจาย อยากให้ผีพรายมาหักคอมัน”
“ถ้าเป็นไปได้ ลูกอยากหื้อมันตายวันนี้พรุ่งนี้เสียด้วยซ้ำ” ธิดาคนโตของพระสนมเอกแห่งนครเวียงทอง ระบายความรู้สึกในใจออกมายาวเหยียด ลืมไปเสียสิ้นว่า สตรีที่ตนกำลังแช่งชักหักกระดูกในตายตกไปเมืองผี คือน้องสาวต่างมารดาของตน
“ลูกคิดอย่างนั้นแต๊กา” เจ้าดารารัตน์ถามนิ่งๆ
“แต๊ๆ เจ้าแม่” เจ้าเด่นดวงดาราสบตาพระมารดา “ถ้าบ่มีมัน ทุกอย่างก็ต้องตกเป็นของลูก”
พระสนมเอกแห่งเมืองเวียงทองฟังแล้วเชิดหน้า แววตาแห่งความกระหายชัยชนะฉายชัด นางสบตาบุตรสาวแล้วยิ้มอย่างพึงพอใจ ไม่เสียแรงที่เฝ้าบ่มเพาะปลูกเมล็ดพันธุ์แห่งความชิงชังริษยาใส่ในหัวใจเจ้าเด่นดวงดารา ให้จงเกลียดจงชังเจ้านางหลวง แลลูกทั้งสองของนาง
คนพวกนั้น แย่งชิงทุกอย่างไปจากเธอ ถึงเวลาแล้ว ที่เธอกับลูกจักทวงทุกสิ่งคืน!
“ถ้าเช่นนั้น แม่จักช่วยลูกเอง”
สนามฝึกศาสตราวุธที่หน้าคุ้มหลวงยามนี้ เนืองแน่นไปด้วยเหล่าคนชายวัยฉกรรจ์กว่าร้อยนาย ทหารหาญต่างมุ่งมั่นขยันฝึกซ้อมวิชาการต่อสู้ทุกรูปแบบมิเคยขาด พวกเขาคือนักรบฝีมือฉกาจ อันเป็นกองกำลังสำคัญในการปกป้องเวียงทอง ให้รอดพ้นจากอริราชศัตรู
กลางลานกว้าง บุรุษหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา รูปร่างสูงใหญ่ ร่างกายทุกส่วนอัดแน่นไปด้วยกล้ามเนื้อสมชายชาตรี ยืนเด่นเป็นสง่าอยู่กลางฝูงชน ดวงตาคมเข้มดังเหล็กกล้ากำลังจดจ่ออยู่กับการตั้งสายธนู กระทั่งใจสงบนิ่งดุจผิวน้ำไร้คลื่นลม จึงปล่อยลูกธนูหัวตะกั่วปลายแหลมแหวกอากาศออกไปอย่างรวดเร็ว
ระยะห่างราวสามช่วงลำไผ่ ผลลัพธ์ที่ได้คือ ลูกธนูปักทะลุกลางเป้าพอดิบพอดี
“ฝีมือการยิงธนูของเจ้าอ้ายถูกใจข้าขนาด” เจ้าแสงฟ้าขวัญหาญที่ยืนอยู่ไม่ไกลเขยิบเข้าใกล้เจ้าพันแสงตะวัน แววตาซุกซนแจ่มใสของเจ้าชายหนุ่มน้อย แสดงออกถึงความชื่นชมพี่ชายต่างมารดาไม่ปิดบัง “เจ้าอ้ายของข้าเก่งแต๊ๆ บ่ว่าไกลแค่ไหน ลูกธนูของเจ้าอ้ายบ่เคยพลาดเป้า”
“มันบ่มีอันใดยากหรอกแสงฟ้า เคล็ดลับของการยิงธนูหื้อตรงเป้า อยู่ที่เจ้าต้องขึ้นสายธนูให้ตรง ระยะทางแลความแรงของลูกธนูที่ปล่อยออกไปก็สำคัญไม่แพ้กัน มันขึ้นอยู่กับกำลังของคนยิง ขอเพียงแต่มีสมาธิแลหมั่นฝึกฝน แหมบ่เมิน เจ้าก็จักยิงธนูได้เหมือนอ้าย” เจ้าพันแสงตะวันสอนน้อง
“ข้าอยากเก่งเหมือนเจ้าอ้าย” เจ้าแสงฟ้าขวัญหาญบอกพี่ชาย
เจ้าอ้ายพันแสงตะวัน เก่งกล้าทั้งในวิชาการใช้ศาสตราวุธทุกชนิด ไม่ว่าจักเป็นมีด ดาบ หอก ธนู เจ้าอ้ายสามารถรับมือได้ทุกกระบวนยุทธ์ เรื่องเชิงหมัดเชิงมวยก็เช่นกัน เจ้าอ้ายของเขาก็เก่งกาจไม่ด้อยไปกว่าใคร ไหนจักวิชาคาถาอาคมประดามี เจ้าอ้ายผู้นี้ก็เรียนรู้ซึมซับไว้ได้หมด
เจ้าแสงฟ้าขวัญหาญไม่เคยนึกสงสัยในฝีมือของพี่ชาย เจ้าอ้ายพันแสงของเขา ทั้งเก่งกาจสารพัดวิชา แลใจกว้างยิ่งกว่าสายธาราที่รินไหลในแม่น้ำของเสียอีก เหมาะแล้วที่เจ้าพ่อวงศ์ตะวัน ตั้งใจจักสถาปนาเจ้าอ้ายให้เป็นพระอุปราชเจ้าแห่งนครเวียงทองในอนาคต
“ได้อย่างไรแสงฟ้า” เจ้าพันแสงตะวันเอ่ย “เจ้าเป็นลูกศิษย์ ต้องเก่งกว่าครูอย่างอ้าย ถึงจักถูก”
เจ้าชายหนุ่มน้อยเงยหน้าสบตาพี่ชายที่สูงใหญ่กว่าตนเกือบสองฝ่ามือด้วยสายตาเคารพลึกซึ้ง เจ้าอ้ายพันแสงอายุมากกว่าเขาเพียงสองปีเท่านั้น แต่มีความคิดความอ่านเป็นผู้ใหญ่น่าเลื่อมใสศรัทธายิ่ง ไม่เสียแรงที่ตนเห็นชายผู้นี้เป็นแบบอย่างมาตั้งแต่จำความได้
“ข้าเชื่อคำเจ้าอ้าย จักตั้งใจฝึกซ้อมหื้อเก่ง” เจ้าแสงฟ้าขวัญหาญบอกอย่างมุ่งมั่น
“อยากเรียนอันใดก็บอกมา บ่ต้องเกรงอกเกรงใจ อ้ายจักสอนให้เจ้า” เจ้าพันแสงตะวันบอกน้องชายต่างมารดา แล้วยื่นคันธนูในมือให้นายทหารรับใช้นำไปเก็บ หันไปสั่งเหล่านายทหารหาญในสังกัดของตนให้เลิกฝึกซ้อมศาสตราวุธ แยกย้ายกันไปพักผ่อน
เพียงมินาน ลานกว้างก็เหลือแต่เหล่าองครักษ์คนสนิท ว่าที่อุปราชเจ้าแห่งนครเวียงทองจึงหันไปบอกเจ้าน้องของตนอย่างอารมณ์ดีว่า “ได้เพลากินข้าวกลางวันแล้วแสงฟ้า อ้ายว่าเรารีบปิ๊กเข้าไปในคุ้มกันดีกว่า ป่านนี้เจ้าเอื้อยนวลจันทร์ของสู รอเราสองคนแย่แล้ว”
เจ้าพันแสงตะวันแลเจ้าแสงฟ้าขวัญหาญเดินตามกันผ่านดงดอกเก็ดถะหวาสีขาวนวลที่ปลูกเรียงแถวเป็นแนวยาวเข้าไปถึงหน้าคุ้มหลวง ตัดเลี้ยวเข้าไปยังเขตคุ้มที่เจ้าพี่พำนักซึ่งอยู่เยื้องออกไปไม่ไกลนักทางด้านซ้าย
ทันทีที่ได้พบหน้าเจ้าแสงฟ้าขวัญหาญยกมือไหว้เจ้านวลจันทร์ส่องหล้าอย่างประจบเอาใจ
“บุญรักษาเน้อแสงฟ้า”
เจ้านวลจันทร์ส่องหล้ารับไหว้น้องชายต่างมารดา ดีใจที่ได้พบหน้าเจ้าแสงฟ้าขวัญหาญจึงกวักมือเรียกให้มานั่งใกล้ๆ ด้วยความเอื้อเอ็นดู เจ้าชายหนุ่มน้อยไม่รอช้า รีบขยับตัวนั่งลงข้างเจ้าเอื้อยของตน เจ้านางเห็นเช่นนั้นยิ่งถูกอกถูกใจ กุลีกุจอเรียกนางข้าไทให้รีบยกอ่างล้างมือมาวางตรงหน้า
กาลเพลาหมุนเวียนเปลี่ยนผ่านรวดเร็วยิ่งนัก เผลอไผลใช้ชีวิต กะพริบตาไปมิทันไร เจ้าชายตัวจ้อยที่เคยวิ่งตามเจ้าพันแสงตะวันแจก็กลายเป็นเจ้าชายหนุ่มไปเสียแล้ว แต่ถึงอย่างนั้น เจ้าแสงฟ้าขวัญหาญก็ยังคงยืนหยัดในความอยากรู้อยากเห็น แลช่างเอาอกเอาใจ
เหนือสิ่งอื่นใด เจ้าชายหนุ่มน้อยรูปงามผู้นี้ มีจิตใจดีแลเปี่ยมไปด้วยเมตตา ผิดกับพระมารดยิ่งนัก
ล้างมือเสร็จเรียบร้อย เจ้าแสงฟ้าขวัญหาญจึงได้โอกาสสำรวจสำรับกับข้าวในขันโตกหวายขนาดใหญ่ที่วางอยู่ตรงหน้าด้วยความอยากรู้อยากเห็น เพราะทราบว่าอาหารกลางวันมื้อนี้ เจ้านวลจันทร์สองหล้าสั่งให้เหล่าแม่ครัวรสมือเยี่ยมในคุ้ม บรรจงปรุงรสมาใส่สำรับเอาใจเขาแลเจ้าพันแสงตะวันเป็นพิเศษ
“นี่มันแกงอ่อมปลาฝา (1) นี่นา เจ้าเอื้อยไปสรรหามาจากที่ใดกัน” เจ้าแสงฟ้าขวัญหาญตาโตด้วยความดีใจเมื่อเห็นกับข้าวของโปรดวางอยู่ในขันโตกด้วย อาหารที่ปรากฏในสำรับมื้อนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นของป่าหากินยากแทบทั้งสิ้น
“ไข่ต่อคั่วเกลือ จิ้นควายนึ่งกับน้ำพริกข่า แกงผักหวานใส่ปลาแห้ง หมกไข่แมงมันก็มี”
เจ้าชายหนุ่มน้อยมีความหิวเป็นทุนเดิมเพราะออกแรงฝึกซ้อมศาสตราวุธมาตลอดช่วงเช้า เห็นกับข้าวถูกใจถึงกับต่อมน้ำลายแตก รอให้เจ้าอ้ายพันแสงของตนที่อาวุโสกว่าปั้นข้าวนึ่งจ้ำน้ำพริกข่ากับจิ้นควายนึ่งก่อนเป็นปฐมฤกษ์ เจ้าแสงฟ้าขวัญหาญไม่รอช้า เอื้อมมือไปจ้ำแกงอ่อมปลาฝาทันใด
“ลำแต๊ๆ แกงอ่อมปลาฝา ข้าจักกินให้ท้องแตกไปเลย”
“กินเต็มที่เลยเน้อแสงฟ้า กินอิ่มแล้ว จักเอาใส่ปิ่นโตปิ๊กไปฝากเจ้าเอื้อยดาราที่คุ้มอีกก็ยังได้ เอื้อยให้แม่ครัวทำไว้แหมหม้อใหญ่ๆ มีปะเล้อปะเต๋อ” เจ้านวลจันทร์ส่องหล้าได้ยินแล้วหัวเราะร่วน ชอบใจเหลือประมาณที่อาหารในขันโตกถูกปากน้องชาย
“ยินดีขนาดเน้อเจ้าเอื้อย” เจ้าชายหนุ่มน้อยโค้งศีรษะให้พี่สาวต่างมารดาในขณะที่ปากยังเคี้ยวข้าวตุ้ยๆ อาจเป็นเพราะบรรยากาศที่ชวนให้ร่มรื่นชื่นใจ ทำให้กับข้าวชาวป่าที่แสนจักธรรมดามื้อนี้ อร่อยกว่าอาหารอันปราณีตที่เหล่านางข้าไทในคุ้มพระมารดาของเขาจัดแจงบรรจงทำ
บอกอย่างไม่อาย เจ้าแสงฟ้าขวัญหาญชอบที่นี่ มากกว่าที่คุ้มมารดาของตนเองเสียอีก
“คราวหน้าแสงฟ้าอยากกินอะหยัง บอกเอื้อยไว้ได้เลยเน้อ บ่ต้องเกรงอกเกรงใจ”
เจ้าแสงฟ้าขวัญหาญเอ่ยปากขอบคุณเจ้านวลจันทร์ส่องหล้าอย่างนึกซึ้งในน้ำใจ ประหวัดคิดไปถึงพี่สาวแท้ๆ ของตนแล้วอดเปรียบเทียบไม่ได้ คงจักดีไม่น้อย หากเจ้าเด่นดวงดาราลดทิฐิมานะ ลดความถือเนื้อถือตนลงมา แลใจดีกับน้องชายอย่างเขาได้สักครึ่งหนึ่งของเจ้านวลจันทร์ส่องหล้า
“เจ้าเอื้อยยังบ่ได้ตอบข้าเลยว่า ไปเอาเนื้อปลาฝามาจากที่ใด” เจ้าชายหนุ่มน้อยยังไม่หายสงสัย สัตว์กระดองหนังคอยาวยืดฟันคมอย่างปลาฝา ใช่ว่าจักหากินกันได้ง่ายๆ ด้วยเพราะธรรมชาติของมันชอบอาศัยอยู่ในน้ำมากกว่าที่ชื้นแฉะริมตลิ่ง ช่วงหน้าฝนน้ำเต็มฝั่งเช่นนี้ มันเหมือนมีปีก จับตัวได้ยากมาก
“กาดริมน้ำของหน้าประตูเวียง คนยาง (2) เวียงกาหลงเอาใส่ตะกร้าไม้ไผ่มาแลกข้าวสาร” เจ้านวลจันทร์ส่องหล้าไขข้อคาใจ พร้อมยกคุณความดีให้นางข้าไทห้องเครื่องในคุ้มของตน “จันทร์ดีกับสีคำคนจ่ายกาดวันนี้ไปปะใส่พอดี จำได้ว่าเจ้าน้องแสงฟ้าชอบกินจิ้นปลาฝาก็เลยซื้อมาแกงอ่อม”
“ขอบใจจาดนักเน้อที่นึกถึงข้า” เจ้าแสงฟ้าขวัญหาญหันไปบอกนางข้าไททั้งสอง
“เอื้อยจำได้ว่าที่กาดริมแม่น้ำของกินอาณาเขตกว้างใหญ่ใช้เวลาเดินอยู่นานกว่าจักทั่วถึง นอกจากชาวเวียงทองของเราแล้ว ยังมีคนต่างถิ่น ทั้งคนฝรั่งดั้งขอ คนม่าน คนดอย ชาวเวียงกาหลง เวียงนาน ไปจนถึงเวียงหวาย เอาของกินของใช้ซะปะมากมี ใส่เรือมาจอดเต็มท่าน้ำไปหมด” เจ้านวลจันทร์ส่องหล้าเล่าความ
เจ้าแสงฟ้าขวัญหาญฟังแล้วตาโต รีบบอกพี่ชาย “เจ้าอ้าย ข้ามีใจอยากไปแอ่วผ่อสักวัน”
“วันพรุ่งนี้เลยดีไหม” พันแสงตะวันรับลูก “อ้ายก็อยากไปผ่อเหมือนกัน”
เจ้านวลจันทร์ส่องหล้าได้ยินแล้วยิ้ม พี่น้องคู่นี้เข้ากันได้ดีเป็นปี่เป็นขลุ่ยจริงๆ
มื้ออาหารกลางวันผ่านไปด้วยความอิ่มใจแลอิ่มท้อง เจ้าแสงฟ้าขวัญหาญอยู่คุยกับเจ้าเอื้อยแลเจ้าอ้ายต่างมารดาอีกพักใหญ่ แล้วจึงขอตัวกลับไปยังคุ้มของตน ครั้นเมื่อเหลือกันอยู่สองพี่น้อง เจ้าพันแสงตะวันจึงได้โอกาสถามน้องสาวฝาแฝดที่เกิดหลังเขาไม่ถึงหนึ่งชั่วยามด้วยน้ำเสียงที่บ่งชัดถึงความเป็นห่วงชัดเจน
“รู้เรื่องที่เจ้าพ่อตัดสินใจแล้วแม่นก่อนวลจันทร์”
เจ้านวลจันทร์ส่องหล้าพยักหน้าเบาๆ ขนตายาวเป็นแพไหวระริก
“อ้ายรู้ เจ้าน้องบ่อยากไป…”
ราวกับรู้ว่าน้องสาวที่เกิดห่างกันเพียงชั่วครู่ คิดอันใดอยู่ในใจ น้ำเสียงที่เปล่งออกมาจึงยิ่งเจือไปด้วยความห่วงใยแกมสงสาร ปีนี้เจ้าพันแสงตะวันอายุสิบแปดปีบริบูรณ์แล้ว ในฐานะเจ้าอุปราชของนครเวียงทองในอนาคต เขารู้ดีกว่าหน้าที่ของสตรีสูงศักดิ์ในราชบัลลังก์กินยศลูกสาวของเจ้าหลวงครองเมือง อย่างเจ้านวลจันทร์ส่องหล้า
ไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นไม้งามประดับเมือง ให้เหล่าอาณาประชาชีชื่นชมเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่เจ้านางทุกองค์ยังมีหน้าที่สำคัญในการปกป้องพระนคร ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าเจ้าชายที่เก่งกล้าในด้านการศึก นั่นคือการเป็น ‘บาทบาริจาริกา’ ให้กับเมืองที่มีอำนาจเหนือกว่า
ในเพลาขับคัน เจ้านางสูงศักดิ์มีค่าไม่ต่างจากตัวประกัน ช่วยบ้านเมืองแห่งตน!
“เราเลือกบ่ได้ เจ้าอ้ายรู้ความจริงข้อนี้ดีบ่แม่นกา”
เจ้านวลจันทร์ส่องหล้าตอบเสียงเบา ถอนหายใจยาวราวกับคนปลงตก ดวงตากลมโตของเธอหลุบต่ำคล้ายคนหมดอาลัยในชีวิต ถึงยามนี้ ข่าวเรื่องเจ้าหลวงองค์ใหม่แห่งเวียงนาวาส่งราชสาสน์มาทูลขอธิดาองค์โตของเจ้าหลวงวงศ์ตะวันไปเป็นบาทบาริจาริการู้กันไปทั่วพระนครแล้ว
“หากเลือกได้ ข้าเจ้าอยากให้เจ้าเอื้อยดาราไปแทนเสียด้วยซ้ำ แต่ข้าเจ้าเลือกบ่ได้” เจ้านางหน้างามรำพึงเสียงสั่น ด้วยรู้ดีว่าในราชสาสน์ที่ราชทูตถือมาแต่เวียงนาวาระบุไว้ชัดเจนเป็นลายลักษณ์อักษรว่า สตรีที่พญาแสนค้ำฟ้าหมายใจ อยากได้ไปนั่งเคียงคู่บัลลังก์ตั้งทองคือเธอ
ด้วยพื้นนิสัยที่เป็นคนไม่มักใหญ่ใฝ่สูง เจ้านางจึงไม่ยินดีกับยศถาบรรดาศักดิ์ในครั้งนี้เลยแม้แต่น้อย
“เหนือสิ่งอื่นใด เจ้าอ้ายก็รู้ดี…” น้ำเสียงของเจ้านางเศร้าสร้อยยิ่งนัก
แม้จักเกิดห่างกันเพียงไม่ถึงชั่วยาม แต่เจ้านวลจันทร์ส่องหล้าก็ยังคงเต็มใจที่จักเจ้าเรียกพันแสงตะวันว่าพี่ ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วทั้งคู่เป็นฝาแฝดร่วมอุทรเดียวกัน “คนพวกนั้นบ่ได้เลือกข้าเจ้า ด้วยเหตุผลว่าเป็นลูกเจ้าพ่อ แต่เลือกเพราะ ข้าเจ้าบ่เหมือนคนอื่น”
เจ้าพันแสงตะวันขมวดคิ้วขึงเครียด เข้าใจในสิ่งที่แฝดผู้น้องของตนเอื้อนเอ่ยทุกคำ ในยามนี้เจ้าชายหนุ่มสงสารเจ้านวลจันทร์ส่องหล้ายิ่งนัก เจ็บใจแลโกรธกริ้วที่ฝ่ายศัตรูล่วงรู้ ‘ความลับสำคัญ’ ที่ทุกคนต่างช่วยกันปกปิดเก็บงำไว้มาตลอดหลายปี
แต่สุดท้ายก็หลุดรอดออกไปจากคุ้มหลวงเวียงทอง เป็นภัยกับเจ้านางจนได้…
ดึกดื่นคืนสงัด
ลมอ่อนพัดพากลิ่นหอมเย็นจรุงใจของดอกหอมดึกฟุ้งกำจายไปทั่วคุ้มหลวง ราตรีกาลนำมาซึ่งความมืดแลเงียบงัน ในยามนี้แม้แต่แมลงกลางคืนที่ตะเบ็งเสียงแข่งกันเมื่อยามหัวค่ำก็ยังลี้หลบหลับใหล จักมีก็แต่เจ้านางหลวงแห่งเวียงทองเท่านั้นกระมัง ที่ยังนอนลืมตาโพลง
อีกไม่กี่เพลาแล้ว ลูกสาวสุดที่รักผู้เป็นดั่งแก้วตาดวงใจของนางก็จักถูกส่งตัวไปทำหน้าที่สำคัญเพื่อบ้านเมืองแห่งตน นั่นคือการเดินทางไปถวายตัวเป็นบาทบาริจาริกาที่เมืองมหาอำนาจเวียงนาวา ในฐานะเจ้านางหลวงแห่งนครเวียงทอง เจ้าเดือนเต็มดวงรู้แลเข้าใจในหน้าที่อันยิ่งใหญ่ข้อนี้เป็นอย่างดี
แต่ในฐานะคนเป็นแม่ เจ้านางยอมรับอย่างมิอายว่า ยากยิ่งนักที่จักทำใจ
ด้วยรู้ว่า พญาแสนค้ำฟ้า ผู้สืบทอดบัลลังก์เวียงนาวาองค์ปัจจุบัน แม้จักทรงพระชันษาเพียง ๓๕ ปี แลขึ้นครองราชย์ได้เพียงมินาน แต่ก็มีพระอำนาจเด็ดขาดแลมีอิทธิพลเก่งกล้าน่าเกรงขาม มิต่างจากพญาฟ้าอินแสง พระบิดาที่สิ้นชีพิตักษัยด้วยโรคชราไปเมื่อปีกลาย
เหนือสิ่งอื่นใด เจ้าผู้ครองนครนาวาองค์นี้ ยังขึ้นชื่อว่าเป็นนักรักตัวฉกาจ มีพระสนมนางในมากมายเสียจนนับไม่ถ้วน ทั้งจากเมืองประเทศราชน้อยใหญ่ที่พร้อมใจกันส่งธิดาไปเป็นเครื่องบรรณาการ แลหญิงงามทั่วอาณาจักรที่พญาแสนค้ำฟ้าต้องตาตรึงใจ จนนำมาซึ่งการเสาะหาทุกวิถีทางเพื่อให้ได้สตรีโฉมงามเหล่านั้นมาประดับบารมีแห่งตน
แม้ในราชสาสน์จักระบุชัดว่า พญาแสนค้ำฟ้าหมายใจจักสถาปนายกยอให้เจ้านวลจันทร์ส่องหล้าบุตรสาวของนางไปเป็นเจ้านางหลวงนั่งแท่นบนบัลลังก์หอคำเวียงนาวาเคียงคู่ตน แต่เจ้าเดือนเต็มดวงก็รู้ดีว่า หาใช่เป็นเพราะชาติกำเนิดของลูกสาวนางเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
แต่เป็นเพราะความ ‘พิเศษ’ บางประการของเจ้านวลจันทร์ส่องหล้าต่างหาก
ด้วยเหตุนี้ เจ้านางเดือนเต็มดวงจึงหาเรื่องประวิงเวลามาโดยตลอด หมายใจให้ลูกสาวอยู่กับอกให้นานที่สุด ถึงขนาดขอร้องให้เจ้าหลวงวงศ์ตะวันส่งราชสาสน์ไปแจ้งแก่เวียงนาวาว่า ขอให้ผ่านพ้นงานนมัสการพระธาตุหญ้าม่อนปีนี้ไปก่อน แล้วจึงจักส่งตัวเจ้านวลจันทร์ส่องหล้าใส่ขบวนเรือหางแมงป่องล่องทวนแม่น้ำของไปมอบให้อย่างสมพระเกียรติ
คำร้องขอของเจ้านางหลวงสมปรารถนา พญาแสนค้ำฟ้ายินดีให้เจ้าเดือนเต็มดวงทำตามความประสงค์ทุกประการ แลเฝ้ารอคอยอย่างใจเย็น มาบัดนี้ เหลือเพลาอีกไม่ถึงครึ่งเดือน ก็จักถึงงานนมัสการพระธาตุหญ้าม่อน ไม่สามารถยื้อเวลาต่อไปได้อีกแล้ว
“นอนบ่หลับกา…” เจ้าหลวงวงศ์ตะวันส่งเสียงงัวเงียผ่านความมืด
เจ้าเดือนเต็มดวงดูตกใจไม่น้อย เมื่อทราบว่าตนทำให้พระสวามีสะดุ้งตื่น เพราะมัวแต่จมจ่อมอยู่ในภวังค์นั่นเอง จึงไม่ทันได้สังเกตว่าเสียงกรนเบาๆ ของคนที่นอนอยู่ข้างๆ เงียบลงไปตั้งแต่เมื่อไร จึงรีบละล่ำละลักบอก “ขอสูมาเตอะ ข้าเจ้าบ่ได้ตั้งใจยะหื้อเจ้าหลวงตื่น”
เจ้าหลวงวงศ์ตะวันพลิกตัวไปหาคู่ชีวิต “มีเรื่องขุ่นข้องหมองใจอันใดกา ตาแลใจของเจ้าจึงหลับบ่ลง”
“เรื่องลูกสาวของเฮานั่นแลเจ้า พอรู้ว่าเหลือเพลาแหมบ่เมินแล้ว ข้าเจ้ายิ่งวิตกกังวลใจ บ่อยากหื้อลูกไปจากอ้อมอก” เจ้านางหลวงเผยความรู้สึกในใจให้คนนอนข้างๆ ฟังอย่างไม่ปิดบัง “ถ้าเป็นไปได้ ข้าเจ้าอยากหื้อเจ้าหลวงส่งเจ้าดาราไปแทนด้วยซ้ำ”
“เจ้านางหลวงน่าจักรู้ดีว่า เฮาทำเช่นนั้นบ่ได้” เจ้าหลวงวงศ์ตะวันกล่าวย้ำชัดเจน เยี่ยงคนที่ตัดสินใจเด็ดขาดแลเห็นความสำคัญของบ้านเมืองเป็นใหญ่ “ยามนี้ทุกคนทุกฝ่ายเตรียมการทุกอย่างไว้หมดแล้ว หลังงานนมัสการพระธาตุหญ้าม่อน นวลจันทร์ลูกของเราจักต้องไปเป็นนางแก้วคู่บัลลังก์พญาแสนค้ำฟ้า เปลี่ยนแปลงอันใดบ่ได้แล้ว”
“ข้าเจ้าฮู้ แต่…” เจ้านางหลวงเสียงอ่อย
“ฟังข้าเน้อเดือนเต็มดวง ในโลกาฟ้ากว้างใบนี้ บ่มีสิ่งใดเป็นดั่งใจเราทุกอย่างดอก” เจ้าหลวงแห่งเวียงทองบอกเสียงนุ่ม “โดยเฉพาะชาติเชื้อหน่อเนื้อกษัตริย์อย่างหมู่เฮา บ้านเมืองต้องมาก่อนความต้องการในหัวใจเสมอ นวลจันทร์ลูกสาวของเฮาก็เหมือนกัน”
“ในหัวอกของคนเป็นแม่ ข้าเจ้าอดเป็นห่วงนวลจันทร์บ่ได้แต๊ๆ เจ้า” เจ้านางหลวงยังไม่ละความพยายาม หวังโน้มน้าวพระสวามีให้เปลี่ยนใจ “ชื่อเสียงของพญาแสนค้ำฟ้าเลื่องลือไปทั่วพาราว่าเป็นคนมากรักเมียหลาย ข้าเจ้ากลัวว่านวลจันทร์จักตรอมอกตรอมใจหากต้องไปเป็นเมียเขาผู้นั้น”
“เรื่องบางเรื่องเราเปลี่ยนลิขิตสวรรค์บ่ได้ ต้องทำใจยอมรับ”
ฟังคำพระสวามีว่า เจ้านางหลวงเดือนเต็มดวงได้แต่ถอนหายใจ จำต้องเก็บถ้อยคำที่หมายจักเอื้อนเอ่ยไว้อย่างมิดชิดพูดไปก็เหมือนแช่งลูก นางฝันไม่ดีติดต่อกันมาหลายคืนแล้ว แลมีลางสังหรณ์ว่า การเดินทางไปเวียงนาวาของลูกสาวในคราวนี้ จักไปแล้วไปลับ มิกลับมาเวียงทองอีก
“ข้าเจ้าจักเชื่อเจ้าหลวง จักพยายาม…” เจ้านางหลวงบอกอย่างจำนนในความจริง
ก็ได้แต่หวังว่า ลูกสาวของนางจักได้หัวใจพญาแสนค้ำฟ้า เฉกเช่นที่นางได้หัวใจเจ้าหลวงวงศ์ตะวัน
ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ วันเพ็ญวิสาขปุณณมี
ท่าเรือหน้าคุ้มหลวงเจ้าวงศ์ตะวันยามนี้ เนืองแน่นไปด้วยขบวนเรือหางแมงป่องหลายสิบลำล่องทวนแม่น้ำของขึ้นไปทางทิศเหนือกินพื้นที่เต็มนาวา เพื่อนมัสการพระธาตุหญ้าม่อน ตามราชประเพณีที่เจ้านางหลวงเดือนเต็มดวงถือปฏิบัติสืบต่อมาอย่างเคร่งครัด นับตั้งแต่ให้กำเนิดลูกแฝดชายหญิง
ผู้คนเล่าลือสืบต่อกันมาว่า พระธาตุสีดินแดงรูปทรงแปลกตาแห่งนี้ มิได้สร้างโดยฝีมือคนเดินดินทั่วไป ด้วยเพราะเป็นสถาปัตยกรรมจากสล่าเมืองใดไม่ปรากฏชัด จนกระทั่งในคืนวันเพ็ญจันทร์สว่างจ้า พรานปลากลุ่มใหญ่ชวนกันออกเรือล่าปลาบึก พวกเขาเห็นพญานาคปูนปั้นสองตัวตรงทางขึ้นบันไดพระธาตุชูคอล้อเล่นสะบัดหัวไปมา แล้วเลื้อยลงแม่น้ำของอย่างช้าๆ
นับแต่นั้น ชาวเวียงทองจึงเชื่อว่าพระธาตุหญ้าม่อน สรรสร้างโดยชาวบาดาล
เจ้านางหลวงเองก็เชื่อเช่นนั้น นางยึดมั่นแลศรัทธาศาสนสถานอันศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ยิ่งนัก ด้วยเพราะตอนตั้งครรภ์เมื่อ ๑๘ ปีก่อน พลันเกิดความผิดปกติวิสัยหลายประการ นางฝันประหลาดติดต่อกันเป็นประจำ เห็นแต่ช้างเผือกแลของวิเศษสารพัด
ร่างกายของเจ้านางหลวงผ่ายผอม แต่ท้องของนางกลับใหญ่โตผิดแผกจากคนท้องทั่วไป กินอันใดก็ไม่รู้จักอิ่มเต็ม มิหนำซ้ำยังมีอาการหวงของกินอย่างมิเคยเป็นมาก่อน โหรหลวงถึงกับทำนายว่า มีผีโผงแลผีพรายมาสูบสิงแย่งกินอาหารในท้องของนาง
เจ้าหลวงวงศ์ตะวันหวั่นใจว่านางจักคลอดยาก จึงให้หมอยาประจำเมืองเสาะหาสารพัดยาบำรุงมาให้นางกิน แต่ก็ดูเหมือนว่าจักไม่ได้ช่วยอันใด ในวันเจ็บท้องคลอดเจ้านางหลวงเกือบเอาชีวิตไม่รอด เนื่องด้วยทารกในครรภ์มิยอมกลับหัว นางออกแรงเบ่งสุดกำลังจนไร้เรี่ยวแรง
ในช่วงเพลาหน้าสิ่วหน้าขวาน เจ้านางรู้สึกว่าขาข้างหนึ่งของนางเหยียบย่างเข้าไปในป่าช้าแล้วเรียบร้อย แลก่อนที่จักหมดสติไป เจ้านางหลวงเห็นพระธาตุหญ้าม่อนอยู่ในนิมิต นางอาศัยสติเฮือกสุดท้าย ตั้งจิตอธิษฐานบนบานกับพระธาตุหญ้าม่อนว่า
หากทารกในครรภ์ออกมาดูโลกด้วยอาการครบสามสิบสองประการแลอยู่รอดปลอดภัย นางจักถือสัจจะอุปัฏฐากบูรณะศาสนสถานแห่งนี้ให้รุ่งเรืองคู่นครเวียงทองสืบไป แลจักนำลูกของนางมาสักการะพร้อมทำบุญใหญ่ ในวันเพ็ญเดือนแปดของทุกปี
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สถิต ณ พระธาตุหญ้าม่อนรับคำบนบานนั้น เจ้านางหลวงได้ลูกแฝดหญิงชาย …
ชะรอยพญานาคบนฟ้าคงใจดี
ปีนี้จึงปันน้ำจากบนฟ้ามาให้ชาวเวียงทองมากกว่าปีก่อนหลายเท่านัก ถึงขนาดที่ว่าผาพระ ดอนโป่ง ดอนแวงแลเกาะกลางน้ำที่เคยเป็นจุดพักเรือกลางลำน้ำของ บัดนี้จมหายกลายเป็นท้องน้ำกว้าง น้ำหลากจนล้นตลิ่ง สร้างความกังวลใจให้กับเจ้าหลวงวงศ์ตะวัน ถึงกับทัดทานเจ้าเดือนเต็มดวงให้เลื่อนพิธีนมัสการพระธาตุหญ้าม่อนประจำปีออกไปก่อน
ทว่าเจ้านางหลวงมิยอม นางถือคำสัตย์ แลดึงดันขันแข็งว่าต้องมาให้ได้
เจ้าดารารัตน์ให้เหตุผลว่า หากผิดคำสัตย์ที่ได้ลั่นวาจาไว้ ลูกทั้งสองของนางจักมีอันตราย โดยเฉพาะเจ้านวลจันทร์ส่องหล้า ธิดาคนเล็กที่กำลังจักเดินทางไกลไปต่างบ้านต่างเมืองในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ก่อนหน้าที่จักลงเรือมา โหรหลวงเพิ่งบอกว่าลูกสาวของนางจักมีเคราะห์ใหญ่ตอนอายุ ๑๘ ปีบริบูรณ์
ขบวนเรือหางแมงป่องล่องทวนกระแสธาร มุ่งไปข้างหน้าอย่างอ้อยอิ่ง
ท่ามกลางการอารักขาของเหล่าทหารหาญอย่างเข้มงวด เรือพระที่นั่งของเจ้าหลวงวงศ์ตะวัน ลอยเด่นอยู่กลางลำน้ำของ โดยมีเจ้านางหลวงเดือนเต็มดวงนั่งเคียงคู่ เยื้องห่างออกไปราวสองช่วงลำไผ เรือของเจ้าพันแสงตะวันผู้เป็นว่าที่อุปราชขนาบข้างซ้าย เรือของเจ้านวลจันทร์ส่องหล้าขนาบขวา
ถัดมาคือเรือของเจ้าดารารัตน์พระสนมเอก ที่ยามนี้เอาแต่จดจ้องเรือพระที่นั่งของพระสวามีด้วยหัวใจอันร้อนรุ่ม เพราะแรงริษยา เจ้าเด่นดวงดารานั่งคอตั้งตรงใบหน้าบูดบึ้งอยู่บนเรือลำที่ห้า ส่วนเจ้าแสงฟ้าขวัญหาญรัชทายาทลำดับสองนั่งเรือลำปิดท้ายขบวน
ถึง ‘คอนผีหลง’ แก่งกลางน้ำของอันเป็นจุดที่กระแสน้ำไหลแรงแลอันตราย ฝีพายชำนาญร่องน้ำจึงแปรขบวนเรือพระที่นั่งให้เรียงยาวเป็นแถวเดียว เรือพระที่นั่งของเจ้าหลวงวงศ์ตะวัน ผ่านร่องน้ำลึกไปได้โดยง่ายดาย เช่นเดียวกับเรือของเจ้าพันแสงตะวันที่ตามเรือพระบิดาไปติดๆ
ครั้นถึงคราวเรือของเจ้านวลจันทร์ส่องหล้า กาลกลับไม่เป็นเช่นนั้น
ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วยิ่งกว่าการกะพริบตา ฟ้าครึ้มฝนพร้อมใจเทพระพิรุณลงมาหนาเม็ด กลางนาวากว้างเกิดกระแสน้ำวนตรงร่องน้ำลึกคอนผีหลง ลมหมุนน้ำสาดซัดกระจัดกระจายอย่างบ้าคลั่ง พัดเรือหางแมงป่องลำยาวรุนแรงแตกพ่าย
เจ้านวลจันทร์ส่องหล้าจมหายไปกับกระแสน้ำ ต่อหน้าต่อตา แลไม่รู้ชะตากรรม…
เชิงอรรถ :
(1) ตะพาบน้ำ
(2) ชาวปกาเกอะญอ