โคมรัตติกาล บทที่ 5 : นักล่าหัวคน

โคมรัตติกาล บทที่ 5 : นักล่าหัวคน

โดย : น้ำน่าน

Loading

โคมรัตติกาล นวนิยายแนวพีเรียดแฟนตาซีล้านนา โดย น้ำน่าน เล่าถึงเจ้านวลจันทร์ส่องหล้าที่จำต้องเดินทางไปเป็นบรรณาการยังเวียงนาวา หากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับขบวนเรือของเธอ ทำให้เดินทางไปไม่ถึงจุดหมาย นี่คือเหตุบังเอิญหรือแผนการร้ายของใครบางคน หาคำตอบได้จากนวนิยายออนไลน์เรื่องนี้ เพราะนิยายฟรี อ่านสนุก #มีให้อ่านที่อ่านเอา

วาจาของแม่เฒ่าหน่อแอ เรียกเสียงฮือฮาขึ้นเป็นวงกว้าง

ตำนานแต่กาลก่อนเล่าต่อกันมาหลายชั่วอายุคน กล่าวถึงคู่หนุ่มสาวหัวรั้น กระทำการผิดมหันต์จ้วงจาบวิญญาณบรรพบุรุษ ผีแม่เชื้อจึงโกรธเกรี้ยวมิพอใจ สาปมนตร์บังตาให้หมู่บ้านตกอยู่ในดินแดนอาถรรพ์ลึกลับ ติดต่อกับโลกภายนอกไม่ได้

แลมิมีผู้ใดย่างกลายเข้ามาได้เช่นกัน

ใช่แต่เพียงต้องมนต์บังตาให้หายสาบสูญไปจากโลกภายนอก แรงโกรธาของผีแม่เชื้อ ยังส่งผลให้ผืนดินในทุกตารางนิ้วของหมู่บ้านแตกระแหงแล้งจัด ปลูกหว่านเมล็ดพืชชนิดใดลงไปไม่งอกงาม สายน้ำแห้งเหือด อากาศร้อนร้าย ฝนฟ้ามิตกต้อง ชาวบ้านอัตคัดขัดเคืองข้าวปลาอาหาร

ถึงอย่างนั้น ผีแม่เชื้อก็ยังปราณี อนุญาตให้พวกเขาออกนอกเขตของหมู่บ้านได้เพียงปีละครั้งเท่านั้น นั่นคือช่วงเพลา ๑๕ วันก่อนถึงวันเพ็ญเดือน ๑๐ เพื่อทำภารกิจสำคัญ นั่นคือการไปเสาะแสวงหาคนเคราะห์ร้ายต่างถิ่นมาบั่นคอเซ่นสรวงดวงวิญญาณผีแม่เชื้อ

นี่คือทางเดียวที่ทำให้ผีแม่เชื้อพอใจ แลบันดาลให้พวกเขามีข้าวปลาอาหารอันอุดม

แต่นั่นยังมิใช่หนทางที่จักทำให้ชนเผ่านักล่าหัวคนหลุดพ้นจากคำสาป

พวกเขาต่างรู้ดีว่า มนตร์อำพรางของผีแม่เชื้อจักถูกทำลายก็ต่อเมื่อ เหล่าผู้กล้านำพาผู้มีบุญมาทำพิธีลบล้างคำสาป ในทุกๆ ปีเมื่อถึงเพลาออกล่าหัวคน ชายฉกรรจ์ในหมู่บ้านจึงมุ่งมั่นกระจายกำลังกันออกติดตามเสาะหาผู้มีบุญคนนั้น ทว่าความพยายามของพวกเขาไม่เคยสัมฤทธิ์ผล

แต่แล้วโชคกลับเข้าข้างอย่างไม่คาดฝัน  เมื่อจู่ๆ เหล่าผู้กล้าก็นำพาคนแปลกหน้าเข้ามาในหมู่บ้านทีเดียวถึงหกคน ที่สำคัญไปกว่านั้น เชลยหนึ่งในหกเป็นสตรีรูปร่างอรชร งามพร้อมตามคุณสมบัติเบญจกัลยาณี (1) ลักษณะตรงตามคำทำนายทุกประการ

นางเฒ่าเจ้าพิธีจึงดีใจเหลือประมาณ พันธนาการทุกอย่างจักถูกปลดปล่อยเสียที

เห็นจักมีก็แต่ตะเหล่อเท่านั้นกระมังที่เกิดความสงสัย ในฐานะผู้นำหมู่บ้าน ผู้มีอำนาจในการตัดสินใจไม่ยิ่งหย่อนไปกว่านางเฒ่าพอแอ  เขาเองเป็นตัวหลักในการปลุกระดมเหล่าคนชายออกไปล่าหัวคนทุกปี แต่ก็ยังมิวายมีคำถาม “อย่าหาว่าข้าลบหลู่จ้วงจาบคำทำนายของบรรพบุรุษเลยเน้อแม่เฒ่า หมู่เฮาบ่ได้นำคนต่างเผ่ามาบั่นคอต่อหน้ารูปปั้นผีแม่เชื้อมาห้าปีแล้ว จู่ๆ ปีนี้ก็มีคนชะตาขาดหลงเข้ามาในป่าลึกดงดำถึงหกคน หนำซ้ำยังมีทั้งคนหญิงแลคนชาย”

“เราจักแน่ใจได้อย่างใดว่า นางผู้นี้คือคนที่หมู่เฮาเฝ้ารอคอยมาหลายร้อยปี”

“ตอนที่หมู่เฮาไปซุ่มหมอบเตรียมลักปล่อยยาหลับใหลใส่เขา ข้าแอบได้ยินผู้ชายกับแม่หญิงสองคนนี้เขาอู้กัน…” เฮม่านึกขึ้นได้ จึงรีบบอกหญิงชรา แล้วชี้มือไปที่เจ้านวลจันทร์ส่องหล้ากับเมฆที่นอนอยู่ใกล้ๆ กัน “ผู้ชายคนนี้ เรียกแม่หญิงหน้างามคนนี้ว่า เจ้านาง”

“แต๊กาเฮม่า” น้ำเสียงของหญิงชราฉายแววยินดี

เฮม่าพยักหน้า “ข้าอำพรางตนอยู่หลังพุ่มไม้ ได้ยินที่เขาสองคนอู้กันทุกคำ”

 

แม่เฒ่าพอแอยิ้มเย็น พยักหน้าอย่างพึงใจ หันไปบอกผู้นำหมู่บ้าน ที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับนางมาตลอด “ข้อนั้นอย่าได้กังวลใจไปเลยท่านตะเหล่อ ข้าได้นั่งทางในตรวจดวงชะตาของผู้มาเยือนทั้งหกคนนี้เรียบร้อยแล้ว แลเป็นที่น่ายินดีว่า เจ้านางน้อยหน้างามหนึ่งเดียวคนนี้ คือผู้ที่เบื้องบนส่งมาลบล้างคำสาปหื้อหมู่เฮา”

เมื่อสิ่งที่ได้ตอบกลับมาคือใบหน้าที่บ่งชัดถึงความไม่เชื่อมั่น แม่หมอผู้แก่วิชาจึงสาธยายต่อ  นางรู้ว่าตะเหล่อต้องมีคำถาม จึงคิดหาทางหนีทีไล่ไว้แล้วเสร็จสรรพ “คำทำนายของชนเผ่ากล่าวเอาไว้ชัด ทางเดียวที่จักลบล้างคำสาปได้ บ่ใช่การเสาะหาคนต่างเผ่ามาฆ่าทุกๆ ปี อย่างที่หมู่เฮาได้กระทำสืบต่อกันมา”

“แต่คือการนำเลือดของผู้มีบุญที่ถูกบั่นคอต่อหน้ารูปปั้นผีแม่เชื้อไปทาทั่วเมล็ดข้าวที่หมู่เฮาเก็บไว้ทำพันธุ์ เมื่อถึงวันนั้น คำสาปจักสูญสลาย บ่มีไผตราหน้าว่าหมู่เฮาเป็นคนป่านักล่าหัวคนชนเถื่อน หมู่เฮาทุกคนจักเป็นอิสระ แลบ่ต้องฆ่าใครอีกต่อไป”

แม่เฒ่าหน่อแอบอกชัดถ้อยชัดคำ “ทางเดียวที่เราทำได้คือ ต้องพิสูจน์”

“จักฆ่าปาดคอนางตอนนี้เลยกาแม่เฒ่าหน่อแอ” ตะเหล่อได้ยินแล้วคันไม้คันมือยิ่งนัก

“เรื่องนั้นต้องรอหื้อถึงคืนวันพระจันทร์เต็มดวงก่อนท่านตะเหล่อ เรายังฆ่านางตอนนี้บ่ได้ ส่วนเรื่องที่ว่าเจ้านางหน้างามผู้นี้ ใช่ผู้มีบุญอย่างที่ข้ากล่าวอ้างหรือไม่มันพิสูจน์บ่ยาก” แม่เฒ่าชราบอกผู้นำหมู่บ้านอย่างใจเย็น แล้วก็หันไปออกคำสั่งกับสามีของแซงลา

“เฮม่าไปเอาเมล็ดข้าวเปลือกในยุ้งข้าวมาหื้อข้าสักหนึ่งกำมือได้ก่อ”

“รอข้ากำเดียวเน้อแม่เฒ่า” สามีของแซงลารับคำ หิ้วตะเกียงเจ้าพายุที่วางอยู่บนแคร่เดินแหวกฝูงชนออกไปอย่างกระตือรือร้น เพียงครู่เดียวเท่านั้นก็กลับมาพร้อมกับเมล็ดข้าวเปลือกเต็มกำมือ ยื่นให้แม่หมอหน่อแอผู้แก่วิชา “ข้าได้ข้าวเปลือกมาแล้ว แม่เฒ่าจักเอามาทำอันใดกา”

“เดินตวยข้ามาเฮม่า”

แม่หมอพยักหน้าให้สัญญาณชายหนุ่ม แล้วเดินกะย่องกะแย่งจับแขนแซงลาเข้าไปใกล้เหล่าเชลยที่นอนเรียงเป็นตับ ไม่ได้สติอยู่บนแคร่ แววตาของนางมั่นคง น้ำเสียงทรงพลัง ขณะประกาศให้ทุกคน ณ ที่นั้นได้ยินกันถ้วนหน้า “ขยับเข้ามาใกล้ๆ พี่น้องหมู่เฮา มาดูหื้อหันกับตาว่าแม่หญิงคนนี้ ใช่คนมีบุญตามคำทำนายก่อ”

วาจาชวนเชิญของแม่เฒ่าได้ผล เหล่ามวลชนตีวงล้อมเข้ามามุงดูรอบแคร่ไม้ไผ่จนแน่นขนัด

“เฮม่า สูจงเอาตะเกียงเจ้าพายุส่องไปที่มือของชายคนนั้น ทุกคนจักได้เห็นชัดๆ” แม่หมอหน่อแอจัดแจง ชี้มืออันเหี่ยวย่นไปยังชายคนแรกที่นอนหลับใหลไม่ได้สติอยู่บนแคร่ซึ่งก็คือหนานถา เฮม่าทำตามอย่างว่าง่าย แม่เฒ่ายิ้มอย่างพอใจ แล้วหันไปสั่งลูกสมุนที่ยืนอยู่ข้างๆ

“ต่อไปเป็นหน้าที่ของเจ้าแล้วแซงลา เอาเมล็ดข้าวเปลือกในมือของเฮม่า วางลงไปบนมือของเขาผู้นั้น”

แซงลาจัดการทำคำสั่งแม่หมอหน่อแอ แล้วยืนดูอยู่นาน “บ่หันมีอะหยังเปลี่ยนแปลงสักอย่าง”

“ใจเย็น ๆ ก่อนแซงลา อย่าด่วนใจไว เจ้าเห็นหรือไม่ ยังเหลือพวกเขานอนหงายอยู่นั่นอีกตั้งห้าคน…” หญิงชราผู้แก่อาคมหัวเราะหึๆ ยังไม่ยอมเฉลยอันใด มิหนำซ้ำยังเร่งให้แซงลารีบดำเนินการต่อ “ขะไจ๋เอาเมล็ดข้าวเปลือกในมือผัวสู ไปยัดใส่มือคนต่อไป หื้อครบทุกคน”

แซงลายิ้มแหยกระวีกระวาดยัดเมล็ดข้าวเปลือกใส่มือชายหนุ่มอีกสี่คนที่เหลือ ไล่เรียงมาตั้งแต่หมอยาหน้าดำคำแสง อินทาคนหน้านิ่ง หนุ่มน้อยช่างจ้อคำเรือง มาจนถึงเมฆ ชายหนุ่มตัวใหญ่ไหล่หนาที่หญิงสาวรู้สึกว่า หน้าตาดีกว่าใครในบรรดาเชลยชายทั้งหมด

เดินเยื้องย่างอ้อมแคร่ไม้ไผ่ไปถึงสตรีนางเดียวในกลุ่มที่ผู้กล้าของหมู่บ้านจับมาได้ ซึ่งยามนี้นางนอนหลับตาพริ้มอยู่ในลำดับสุดท้าย แสงตะเกียงที่ส่องกระทบ ทำให้แซงลาตกใจเมื่อเห็นใบหน้าอันสวยซึ้งของนาง หน้าตาของแม่หญิงคนนี้คล้ายคลึงกับใบหน้ารูปปั้นของผีแม่เชื้ออย่างไม่น่าเชื่อ

เหมือนจนน่าขนลุก…แซงลาเกิดอาการลังเล

ตะเหล่อเห็นเช่นนั้นจึงขันอาสาทำแทนเสียเอง “เอาเมล็ดข้าวเปลือกมาแซงลา ข้าทำเอง”

แซงลารีบยื่นเมล็ดข้าวเปลือกให้หนุ่มใหญ่อย่างไม่ลังเล ตะเหล่อรับมาแล้ว รีบเขยิบเข้าใกล้เจ้านวลจันทร์ส่องหล้า หมายใจว่าจักวางเมล็ดข้าวเปลือกใส่ลงไปในมือหญิงสาว ยื่นมือออกไปแล้วด้วยซ้ำ แต่แม่เฒ่าหน่อแอทักท้วงขึ้นเสียก่อน “ข้าว่ารอแหมสักกำดีกว่าท่านตะเหล่อ”

“รออะหยังแหมแม่เฒ่า” ตะเหล่อตอกกลับอย่างเสียอารมณ์ “แหมน้อยเดียวก็จักเสร็จแล้ว”

“รอหื้อแน่ใจว่า เหล่าคนชายทั้งห้านี้ บ่ใช่คนที่ผีแม่เชื้อเลือก” แม่หมอชราแก่อาคมตอบ รู้อยู่ว่าพื้นเดิมของชายผู้นี้ขี้หงุดหงิด แลชอบเอาชนะ จึงพยายามเอาน้ำเย็นเข้าลูบ “อดเอาแหมอึดใจเดียวเท่านั้นท่านตะเหล่อ หมู่เฮาทุกคนก็จักได้รู้แล้วว่า ใครคือผู้มีบุญตัวจริง”

ตะเหล่อถอนหายใจยาว “แม่เฒ่าก็รู้ว่าหมู่เฮาบ่ชอบการรอคอย”

“ข้าก็บ่มักเหมือนกัน แต่เรื่องบางเรื่องเราทำอันใดบ่ได้ นอกจากรอ” นางเฒ่าหน่อแอกล่าวย้ำอย่างเข้าใจ ชนเผ่านักล่าหัวคนของนาง ถูกสาปให้ผูกติดกับการรอคอยมานาน ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่มีผู้ใดชินสักที กระทั่งเพลาผ่านไปครู่ใหญ่ จึงให้สัญญาณ “สมควรแก่เวลาแล้ว ข้าขอวานหื้อท่านช่วยเข้าไปผ่อที่อุ้งมือของเหล่าคนชายทั้งหมดนี้ทีว่า มีความเปลี่ยนแปลงอันใดเกิดขึ้นก่อ”

ผู้นำหมู่บ้านใจร้อนอยู่แล้ว รีบทำตามโดยไว แล้วบอกอย่างเคืองๆ “บ่มีอันใดเปลี่ยนไปสักอย่าง”

“เมล็ดข้าวเปลือกคงอยู่สภาพเดิม แปลความได้ว่า เลือดของเหล่าคนชายทั้งหมดนี้ บ่มีฤทธีในการลบล้างคำสาปของผีแม่เชื้อ” แม่หมอหน่อแอบอก เขยิบเข้าไปใกล้เจ้านวลจันทร์ส่องหล้าเข้าไปอีกจนชิดขอบแคร่ “ถึงเพลาแล้วท่านตะเหล่อ ยัดเมล็ดข้าวเปลือกใส่มือเจ้านางผู้นี้เตอะ”

“ทุกคนจักได้หันกับตาว่า คำทำนายของข้า มันแต๊ กาว่าจุ๊”

ในระหว่างที่ตะเหล่อวางเมล็ดข้าวเปลือกลงไปที่อุ้งมือของเจ้านวลจันทร์ส่องหล้า แม่หมอยืนนิ่ง ไม่ได้ท่องคาถา ไม่พูดจาแทรกแซงอันใด นางเฒ่าหน่อแอลุ้นระทึกอยู่ในใจ ในขณะเดียวกันก็ต้องการสำแดงให้ทุกคนเห็นว่า หญิงสาวคนนี้ คือผู้ที่เธอกล้าฟันธงว่า มาเพื่อลบล้างคำสาป

ทุกสายตาจับจ้องไปที่อุ้งมือของเจ้านวลจันทร์ส่องหล้า

ชั่วอึดใจเดียวเท่านั้นก็บังเกิดเสียงฮือฮาดังไปทั่วลานกว้าง ทุกคนต่างตกอยู่ในอาการตื่นตะลึง เมื่อเห็นชัดเต็มสองตาว่าในอุ้งมือของหญิงสาว มีรากเล็กๆ สีขาว ขนาดเท่าหนวดกุ้ง ค่อยๆ งอกออกมาจากเมล็ดข้าวเปลือก โดยมิต้องรดน้ำ แม้แต่หยดเดียว!

“ข้าเชื่อแล้วแม่เฒ่า นางคนนี้คือผู้มีบุญ”

ตะเหล่อดีใจอย่างหาใดเปรียบ เมื่อได้รู้ว่า ภารกิจของเขาใกล้สัมฤทธิ์ผลแล้ว

 

ภาพตรงหน้า ดูคลุมเครือคล้ายมองผ่านม่านน้ำตก

ในภาวะกึ่งจริงกึ่งฝัน สรรพสิ่งรอบข้างมองเห็นเป็นสีขาวดำไร้สิ้นซึ่งความสดใส สัญชาตญาณการระวังภัยที่ดีเลิศของชายหนุ่ม ทำให้เขาตัดสินใจผุดลึกขึ้นนั่ง หรี่ตาเพ่งมองผ่านม่านหมอกออกไปให้ไกลที่สุด หมายใจจักให้เห็นกับตาว่า สิ่งที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่ตรงหน้า คืออะไรกันแน่

สายตาคมเพ่งพินิจจับจ้องอย่างไม่ไว้ใจ แต่ยิ่งจ้อง เป้าหมายก็ราวกับรู้ว่าตนถูกติดตามคุกคามทางสายตา จึงยิ่งเดินหน้าห่างออกไปเรื่อยๆ ชายหนุ่มเริ่มหงุดหงิด เป้าหมายอยู่ตรงหน้าแท้ๆ ห่างออกไปไม่กี่ช่วงตัวเท่านั้น แต่เขากลับไม่สามารถทำอันใดได้เลย

ลมอ่อนโชยมา พัดพาเอากลิ่นกายของ ‘ความเคลื่อนไหว’ ที่เดินนำอยู่ ลอยล่องมาแตะจมูก เป็นกลิ่นอ่อนๆ คล้ายกลิ่นน้ำปรุงที่สกัดมาจากมวลของดอกไม้ป่า หอมเย็นชวนรัญจวนใจจนชายหนุ่มเผลอสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด แต่แล้วจู่ๆ ม่านหมอกที่บังตาอยู่ตรงหน้าก็ค่อยๆ จางลง

ชายหนุ่มได้เห็นในตอนนั้นว่า…เธอเป็นผู้หญิง

ห่างออกไปราวยี่สิบวา ร่างบางเยื้องย่างอ้อยอิ่ง ชายหนุ่มตัดสินใจลุกขึ้น หวังวิ่งตามหญิงสาวคนนั้นไป เขาต้องรู้ให้ได้ว่าเธอคือใครกันแน่ แต่ไม่ว่าจักพยายามเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นเท่าไร กลับทำได้แค่เดินอยู่ที่เดิม ชายหนุ่มเริ่มขมวดคิ้ว ทุกอย่างผิดแผนไปหมด

เป็นไปได้ไหมว่า สตรีนางนี้ จงใจให้เขาเห็นแค่แผ่นหลังของนางเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

แต่คนอย่างเขา ไม่มีทางเสียหรอกที่จักยอมแพ้สิ่งใดง่ายๆ ชายหนุ่มรวบรวมสติ หลับตาลงอีกครั้งจนจิตนิ่ง คราวนี้ดวงจิตของเขามีอานุภาพราวกับดวงไฟติดปลายลูกธนู มันลอยฉิวพุ่งตรงไปข้างหน้า หมายใจจักไปให้เห็นหน้าหญิงสาวผู้นั้นชัดๆ แลในจังหวะที่กำลังพุ่งตัวไปข้างหน้าอย่างสุดกำลังนั่นเอง เขาก็ถูกสะกิดอย่างแรง

ในชั่วพริบตา ภาพตรงหน้าหายวับ…

“ตื่นได้แล้วเน้อเจ้า อ้ายบ่าวคนงาม”

 

เจ้านวลจันทร์ส่องหล้าฟื้นคืนสติขึ้นมาอีกครั้งในเช้าวันใหม่

ในห้องหับมิดชิดแลไร้ซึ่งสิ่งอำนวยความสะดวกใดๆ เมื่อตาชินกับแสงสว่างที่ส่องเล็ดรอดรอยแตกข้างฝาเข้ามาภายใน เจ้านางพลัดถิ่นที่ยังงุนงงกับสิ่งรอบข้าง ค่อยๆ กวาดสายตาไปทั่วบริเวณ สำรวจตรวจตราพร้อมประเมินทางหนีทีไล่ แลในตอนนั้นเอง หญิงสาวจึงได้รู้ว่า

เธอมิได้อยู่คนเดียวในห้อง…

“ตื่นแล้วกาแม่หญิงคนงาม” แซงลาเอ่ยทัก หันไปพยักพเยิดให้เด็กสาวอีกสองคนที่ยืนรอรับคำสั่งอยู่ไม่ไกลให้ช่วยกันยกอ่างดินเผาขนาดย่อมพร้อมอุปกรณ์ล้างหน้ามาประชิดติดขอบเตียง “นี่น้ำ ผ้าเช็ด แลก็ก้านข่อยสำหรับเช็ดเขี้ยวสีฟัน ท่านล้างหน้าล้างตาเสียก่อนเตอะ”

“จากนั้นจักได้กินข้าวกินปลา มวลหมู่ข้าเตรียมไว้ให้แล้ว”

“ที่นี่ที่ไหน” วาจาของเจ้านวลจันทร์ส่องหล้าเอื้อนเอ่ยร้อนรน มิได้สนใจสิ่งที่อยู่ตรงหน้า

“บ่ต้องกลัวดอก ท่านอยู่ในที่ปลอดภัย” แซงลาเลื่อนอ่างล้างหน้าเข้าไปใกล้หญิงสาว บอกกล่าวอย่างใจเย็น “ที่นี่คือเขตศักดิ์สิทธิ์ของหมู่บ้านที่แม่เฒ่าหน่อแอเสกมนตร์อำพรางไว้แล้ว ขอเพียงแต่ฟังคำข้า บ่กล้าคิดหนี รับรองว่าบ่มีไผมาทำอันตรายเจ้านางได้”

“ท่านรู้ได้อย่างใดว่าข้าเจ้าเป็นเจ้านาง” หญิงสาวจ้องเขม็ง

“ข้าเดาเอาจากกำไลหยก ปิ่นเงินประดับพลอยแดง แลแหวนทับทิมที่ท่านใส่” แซงลาตอบง่ายๆ เลื่อนสายตาไปที่ปิ่นทองลงยาที่เสียบอยู่กลางกระหม่อมของเจ้านางผู้มาจากแดนไกล มั่นใจเหลือเกินว่า สาวบ้านป่าอย่างเธอคงไม่มีปัญญาเสาะหาข้าวของล้ำค่าเช่นนี้มาประดับกาย

“ข้าอาจเป็นคนธรรมดาก็ได้”

แซงลาฟังแล้วยิ้ม “ท่านคือเจ้านางเรือล่มที่หนีตายมา ผัวข้าเล่าหื้อฟังหมดแล้ว”

“ท่านรู้เรื่องนี้ตวยกา” คำพูดของแซงลาทำเอาเจ้านวลจันทร์ส่องหล้าตกใจหนัก นึกขึ้นได้ในตอนนั้นเองว่า เมื่อวานเย็น เธอหมดสติไปหายไป หลังจากที่ได้กลิ่นเหม็นรุนแรงของดอกตีนเป็ด แววตาที่มองไปยังแซงลาจึงเต็มไปด้วยความกระด้างแลคาดคั้นเอาคำตอบ

“พวกท่านต้องการอะหยัง ถึงได้ออกอุบายวางยาหมู่เฮา มิหนำซ้ำยังพาข้าเจ้ามาขังไว้ที่นี่”

“ขอสูมาเตอะ การตอบคำถาม บ่ใช่หน้าที่ของข้า” เสียงของแซงลาเข้มขึ้นอย่างถือดี แล้วกล่าวย้ำคำเดิม “ขะไจ๋ล้างหน้าล้างตา แล้วกินข้าวกินปลาหื้ออิ่มหนำสำราญเสียก่อนเตอะเจ้านาง เชื่อข้า พยายามดูแลตัวเก่าหื้อดี ท่านมีเพลาอยู่ที่นี่แหมบ่กี่วันแล้ว”

“ท่านจักเอาข้าเจ้าไปไหน” เจ้านางนึกประหวั่นพรั่นพรึงในใจ

“ไปฟ้าเมืองบน อันคนธรรมดาอย่างมวลหมู่ข้า เดินทางไปบ่ถึง” แซงลาเล่นลิ้น

“ท่านจักเอาข้าเจ้าไปฆ่าอย่างนั้นกา” หญิงสาวตกใจจนหน้าซีดเผือด

“แม่นแล้วเจ้านางคนงาม มิใช่แต่ท่านดอก เหล่าคนชายที่ถูกจับมาก็มีชะตาบ่ต่างกัน”

 

การถูกจองจำ ทำให้ในแต่ละวันผ่านไปอย่างเชื่องช้า

จนเพลาล่วงเข้าสู่วันที่ห้า เหล่าเชลยชายทั้งหมดจึงเริ่มตระหนักรู้ถึงชะตากรรมของตนเอง ด้วยเพราะกลุ่มคนเถื่อนพวกนี้ ริบถุงย่ามอันเปรียบเสมือนขุมทรัพย์แลคลังอาวุธของทุกคนออกไปจนหมดสิ้น หนำซ้ำยังมัดมือมัดเท้าผูกติดไว้กับเสากลางกระท่อมอย่างแน่นหนา

นับตั้งแต่ได้สติฟื้นตื่นขึ้นมา นอกจากคำเรืองที่ถูกมัดไว้ในกระท่อมหลังเดียวกัน เมฆยังไม่เห็นเจ้านวลจันทร์ส่องหล้า หนานถา คำแสง แลอินทา ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพวกเขาเป็นตายร้ายดีอย่างไร ชายหนุ่มจึงดีใจไม่น้อยเมื่อได้ทราบความจากเด็กสาวที่เทียวมาคอยส่งข้าวส่งน้ำว่า ทั้งเจ้านาง แลลูกสมุนทั้งสามยังมีชีวิตอยู่

แต่ถูกแยกออกไปขังไว้ที่กระท่อมอีกสองหลัง มิให้เห็นเดือนเห็นตะวัน

แม้ว่าจักถูกเชือกมัดตรึงไว้อย่างแน่นหนา แต่เมฆก็พยายามหนีเอาตัวรอดอยู่ทุกขณะจิต ชายหนุ่มพยายามตั้งสติร่ายมนตร์ปลดเชือกพันธนาการหลายครั้ง แต่สิ่งที่ได้กลับไม่เป็นดั่งใจ ราวกับว่าที่แห่งนี้ถูกหมออาคมแก่วิชาเสกคาถากำกับไว้ ความตั้งใจของเขาจึงไม่สัมฤทธิ์ผล

เมฆเป็นห่วงเจ้านางนวลจันทร์ส่องหล้า แลคิดไม่ตกว่าจักทำอย่างไรต่อไปดี

ในขณะที่ชายหนุ่มกำลังคร่ำเคร่งเป็นกังวล แต่คำเรืองกลับรู้สึกตรงกันข้าม ชนเผ่านักล่าหัวคนจับพวกเขามัดมือมัดเท้าไว้ก็จริง ทว่าไม่ได้มีเครื่องพันธนาการอันใดปิดปากไว้ หนุ่มน้อยผู้มีความสุขในทุกสถานการณ์จึงใช้ปาก เป็นอาวุธสำคัญในการผูกมิตรกับคนที่หมายใจลวงเขามาฆ่า!

แลความขี้เล่นแลช่างเจรจาของคำเรืองนี่เอง ที่ได้สร้างความปั่นป่วนให้กับทุกคนอย่างคาดไม่ถึง

พอเพลาล่วงเลยมาถึงวันนี้ เด็กสาวชาวป่าหน้าตาแฉล้มที่คอยยกข้าวแลน้ำมาส่งให้สองหนุ่มถึงในกระท่อมก็ไม่ใช่คนแปลกหน้าอีกต่อไป จากแต่เดิมที่เดินยกถาดอาหารเข้ามาให้ รีบยัดใส่ปากแล้วรีบออกไปทำหน้าที่ของตน ยามนี้ขณะป้อนข้าว สามสาวเริ่มมีความกล้าที่จักชวนเจรจา ดูแลใส่ใจดีกว่าวันแรกอย่างเทียบกันไม่ติด

คำเรืองรับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงนี้ จึงได้โอกาสเล่นหูเล่นตาบริหารเสน่ห์ของตนอย่างเต็มกำลัง

หนุ่มน้อยส่งสายตาซุกซนสำรวจตรวจตรา สาวน้อยที่นั่งอยู่ตรงหน้า จากกิริยาท่าทางที่เห็น จักกล่าวหาว่าหญิงสาวเป็นคนป่าไร้อารยะก็ดูจักเกินจริงไปสักหน่อย ด้วยเพราะเธอไม่ได้ดูสกปรกรกรุงรัง หรือสำแดงกิริยาข่มขู่คุกคาม ตรงกันข้ามกลับมีน้ำใจเสียด้วยซ้ำ

เป็นเพราะอาภรณ์ที่ยืนพื้นด้วยสีดำนั่นกระมัง ที่ทำให้พวกนางดูลึกลับน่ากลัว

“ถ้าเลือกได้ สูอยากกินเนื้อตรงไหนของข้า” คำเรืองแกล้งถาม ใบหน้าแต้มยิ้ม

“ข้าจักควักกินหัวใจของท่านเป็นอย่างแรก” แซงลาว่า ซ่อนสายตาขี้เล่นเอาไว้อย่างมิดชิด

คำเรืองตกใจ แต่ยังไม่วายอยากรู้ “ถามแต๊ๆ แซงลา หัวใจคนมันลำกา ตั้งแต่เกิดใหญ่มา ข้าบ่เคยกิน”

“บ่ฮู้เหมือนกัน ข้าก็บ่เคยกิน”

“แต๊กา” คำเรืองหรี่ตา ถามย้ำ ทำหน้าไม่เชื่อ “ข้าเคยได้ยินมาว่า คนหมู่บ้านนี้ กินเนื้อคน”

“อันนั้นคือเสียงลือเสียงเล่าอ้างดอกท่าน บ่แม่นความจริง” แซงลายิ้มให้คำเรือง จัดแจงไขข้อคาใจให้อย่างไม่ปิดบัง “หมู่เฮาจับเอาคนต่างถิ่นที่หลงเข้ามาใกล้เขตหมู่บ้าน เพื่อหวังปาดคอเขาเอาเลือดไปบูชาต่อหน้ารูปปั้นผีแม่เชื้อเท่านั้น เฮาบ่ได้กิน”

“คิดไว้บ่มีผิด แซงลาหน้างาม แถมยังใจดีกับข้า บ่น่าจักมักกินเนื้อคน” คำเรืองโล่งใจ

“ยินดีขนาดเน้อ ที่ท่านเอ่ยปากชมข้า” แซงลาส่งยิ้มหวานให้คำเรือง แล้วหันไปบอกเด็กสาวอีกสองคนที่ยกขันโตกเข้ามาในกระท่อมพร้อมกัน “พะโย วาวา ฟังคำของคนที่เกิดก่อนอย่างข้าไว้ ถ้าหมู่สูบ่อยากทุกข์อกหมองใจในภายภาคหน้า อย่าเอาป้อจายปากหวานมาเป็นผัว”

สองสาวได้ยินแล้วหัวเราะคิกคัก ส่วนชายปากหวานคำเรืองยิ้มเก้อ

“ข้าขอเปลี่ยนคำอู้จา แซงลาหน้างาม แต่ใจร้าย” คำเรืองแกล้งทำเสียงอ่อย

“ก็ดีเหมือนกัน ถ้าเช่นนั้น คนใจร้ายอย่างข้าจักขอตัวก่อนไปละเน้อ” แซงลาทำท่าลุกขึ้น

“เดี๋ยวก่อนแซงลา ข้าบ่ได้หมายความว่าอย่างนั้น”

แซงลาทำท่ากระฟัดกระเฟียด สุดท้ายก็นั่งคุกเข่าลงตามเดิม “แล้วมันหมายความว่าอย่างใด”

“ข้าแค่หยอกสูบ่ดาย” เด็กหนุ่มละล่ำละลักบอก กลัวเหลือเกินว่าหญิงสาวจักลุกหนีไปจริงๆ “อย่าถือโทษโกรธเคืองกันเลยแซงลา เห็นใจเชลยถูกมัดพลัดถิ่นอย่างข้าเตอะ ข้านั่งนิ่งๆ ไปไหนบ่ได้ ได้แต่ถอนหายใจทิ้งไปวันๆ อย่างนี้มาห้าวันแล้ว”

“ได้เห็นหน้าสู ได้อู้ได้จา ข้าก็หายง่อมเหงา บ่ได้ตั้งใจจักหื้อสูเคืองใจอันใดแม้แต่น้อย”

“ถ้าข้าเป็นคนใจร้ายใจดำอย่างที่ท่านกล่าวหา ข้าจักกล้าเสี่ยงตาย ลักลอบเอาของสิ่งต้องห้ามเข้ามาหื้อท่านถึงในนี้กา คำเรือง” แซงลาบอกเสียงเรียบ แต่ตาเป็นประกาย แล้วหันไปออกคำสั่งเอากับลูกสมุนหน้าแฉล้มที่นั่งอยู่เยื้องออกไปเบาๆ“พะโย เอามีดแซม (2) ออกมา”

“สูเอามาหื้อข้าแต๊กา แซงลาคนงาม” คำเรืองตื่นเต้น

พะโยเหลียวซ้ายแลขวาอย่างมีพิรุธ ครั้นเห็นว่านอกจากพวกตนทั้งสามแลเชลยหนุ่มอีกสองคนแล้ว ในกระท่อมไม่มีใคร จึงล้วงเข้าไปที่หัวซิ่นของตัวเอง เด็กสาวหยิบกรรไกรตัดผ้า ขนาดเล็กจิ๋วที่ซุกซ่อนเอาไว้อย่างมิดชิดออกมายื่นให้แซงลาอย่างรวดเร็ว

ใช่แต่คำเรืองที่ตกใจ เมฆที่นั่งเงียบมาตลอดเห็นแล้ว ยังตื่นตะลึง

คาดไม่ถึงว่า คำเรืองจักสามารถหลอกล่อให้แซงลาลักลอบนำกรรไกรมาตัดเชือกที่พันธนาการตนได้ คล้ายเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์อันมืดมิด ความเคร่งเครียดที่สะสมอยู่ในใจของเมฆเหมือนได้ปลดปล่อย ‘อิสตรีกับหนุ่มน้อยเจ้าคารม’ ทำไมเขาถึงมองไม่เห็นแผนการอันชาญฉลาดนี้ของคำเรือง เมฆคิดแล้วยิ้มกับตัวเอง

เห็นทีนับจากนี้เขาจักต้องมองเด็กหนุ่มใต้ปกครองผู้นี้ในมุมใหม่เสียแล้ว

 

“ถ้าอย่างนั้นช้าอยู่ใย รีบตัดให้ข้าเสียทีเตอะแซงลา” คำเรืองเร่งเร้า

“ได้” แซงลาหยิบกรรไกร แล้วขยับเข้าใกล้ เอื้อมมือไปเล็มผมด้านหน้าของคำเรืองอย่างเบามือ

“แล้วละกา” คำเรืองถาม ครั้นแซงลาพยักหน้าจึงเอื้อนเอ่ยอย่างอารมณ์ดี “ตอนที่โดนมอมยาหลับใหล ข้าโชคร้ายเซถลาหน้าคว่ำลงไปใกล้กองไฟ ถ่านก้อนแดงมันแตกสะเก็ดไหม้ ตกลงใส่ผมข้า ขอบใจเจ้าอีกครั้งเน้อแซงลา ที่มีน้ำใจช่วยตัดผมหงิกหยิกหยอยออกไปจากหน้าผากของข้า”

เมฆได้เห็นแลได้ยินชัดทุกถ้อยคำ ทำได้แต่เพียงถอนหายใจด้วยความอับจนคำพูด เพราะมันไม่ใช่อย่างที่เขาคิด คำเรืองหนอคำเรือง จะตายอยู่แล้วรอมร่อ แทนที่จักหาทางรักษาชีวิตไว้ก่อน ยังจักมานั่งห่วงหล่ออยู่ได้ น่าเอากรรไกรตัดขนตาให้รู้แล้วรู้รอด

“ยื่นหน้ามาเข้ามาใกล้ๆ คำเรือง ข้าจักเช็ดเศษผมออกหื้อท่าน” แซงลาบอกชายหนุ่ม

มือแลเท้าทั้งสองข้างของคำเรืองยังถูกพันธนาการ แต่ถึงอย่างนั้นหนุ่มน้อยผู้มีแววตาซุกซนก็ยังพยายามชะโงกหน้าออกไปใกล้หญิงสาวอย่างสุดกำลัง เปิดทางให้แซงลาใช้ผ้าฝ้ายผืนเล็กชุบน้ำในอ่างกระเบื้อง บรรจงเช็ดหน้าให้ตนเองด้วยความเต็มอกเต็มใจ

เมฆเห็นแล้วส่ายหน้า ถอนหายใจ แทนที่จักให้แซงลาใช้กรรไกรตัดเชือกที่มัดตนเองไว้ แต่คำเรืองกลับเลือกที่จักเอาไปตัดผม ส่วนสองสาวก็ได้แต่นั่งกะพริบตาปริบๆ ไม่รู้ว่าจักทำอย่างไรต่อไปดี แซงลาเช็ดหน้าให้เด็กหนุ่มเสร็จเรียบร้อย ก็ยื่นผ้าผืนบ้างให้วาวา แล้วเอื้อมมือไปเก็บกรรไกรที่วางอยู่บนหัวเข่าคำเรือง

กำลังจักยื่นกรรไกรให้พะโย ก็พอดีกับที่ประตูกระท่อมเปิดผ่างออกมาเสียก่อน

“สูคิดนอกใจข้าอย่างนั้นกาแซงลา” น้ำเสียงของเฮม่าเกรี้ยวกราด ตาลุกวาว

 

ใบหน้าอันบูดบึ้งไม่พอใจของเฮม่า

ทำให้แม่เฒ่าอาวุโสหน่อแอที่นั่งเด่นเป็นสง่าอยู่บนแคร่ไม้ไผ่ถึงกับลอบถอนหายใจอย่างเป็นกังวล มิต่างจากตะเหล่อผู้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าหมู่บ้าน ที่ยามนี้ทั้งหงุดหงิดแลไม่พอใจในการกระทำของแซงลาที่กล้าถึงขนาดลอบนำ ‘อาวุธ’ เข้าไปในกระท่อมขังเชลยชาย

ตะเหล่อให้ท้ายถือหางเฮม่าลูกชายของตนอยู่เป็นทุนเดิม จึงโกรธแซงลาเข้าไปใหญ่

“เรื่องนี้สำคัญนัก ปล่อยเอาไว้บ่ได้ แม่เฒ่าต้องจัดการให้ลูกชายของข้า” ตะเหล่อเร่งเร้า

“ใจเย็นๆ ก่อนท่านตะเหล่อ ข้านั่งอยู่นี่แล้ว มีอันใดค่อยอู้ค่อยจา ข้ารับรองว่าจักหื้อความเป็นธรรมกับทุกคน” แม่หมอชราบอกกับผู้นำหมู่บ้านเสียงเบาหวังเอาน้ำเย็นเข้าลูบ แล้วจึงหันไปทางหลานเขยของตน “เฮม่า เล่าหื้อข้าฟังลอ เรื่องราวมันเป็นอย่างใด”

“จักหื้อเย็นอย่างใดไหว ข้าเห็นเต็มสองตาว่า หลานสาวคนงามของแม่เฒ่า ลักเอามีดแซมเข้าไปในกระท่อมขังคนชาย หวังช่วยหื้อไอ้เชลยหน้าขาวคนนั้นมันลักหนี” เฮม่าบอกออกไปอย่างเหลืออด โกรธจัดจนถึงขนาดไม่ยอมเอ่ยชื่อภรรยาข้าวใหม่ปลามันของตนเองออกมาด้วยซ้ำ

“ถ้าบ่แอบฟังอยู่หลังประตู ก็คงบ่รู้ว่า เมียรักของข้าลักเล่นลิ้นอู้จาเกี้ยวพาราสีกับป้อจายคนอื่น”

“ฟังข้าสักหน่อยเตอะเฮม่า มันบ่ใช่อย่างที่สูคิด” แซงลาร้องไห้ เรื่องราวชักไปกันใหญ่แล้ว

“บ่ต้องพยายามสรรหาคำอันใดมาแก้ตัวแซงลา ข้าได้ยินในสิ่งที่สูอู้กับมันชัดทุกถ้อยคำ” เฮม่าหันหน้าหนี ขบกรามจนนูนแน่น เผยข้อมูลอีกระลอกออกมาอย่างโกรธเกรี้ยวเสียงดัง “ยามเฝ้าหน้าประตูมันรายงานข้าหมดแล้ว สูลักเล่นหูเล่นตากับมัน มิหนำซ้ำยังแอบลักเอาของกินลำๆ ใส่ตะกร้าไปหื้อมันบ่เคยขาด”

“สูนอกใจข้า หันว่าไอ้เชลยต่างถิ่นคนนั้น เนื้อตัวมันสะอาดหมดจด มันกล้ามใหญ่ไหล่หนา ตามันงามสดใส มันอู้ม่วนแลช่างเจรจา ต่างจากคนเถื่อนตัวดำอย่างข้า ที่หน้าตาบ่งาม หนำซ้ำอู้จาออกมาแต่ละคำเหมือนคนมีหมาอยู่ในปาก สูเป็นเมียข้าแต๊ๆ แต่ก็ยังเห็นมันดีกว่าข้า สูมันน่าบ่อาย หันใจออกจากผัวตัวเก่า” เฮม่ากล่าวหา

“บ่แม่น…ข้าบ่ได้หันใจออกจากสูเน้อเฮม่า ข้าฮักสูคนเดียว” แซงลาส่ายหน้าดิก ร้องไห้จนตัวโยน ขณะสบตาเฮม่านางลนลานแก้ตัวเป็นพัลวัน “ด้วยความสัตย์จริง ข้าบ่ได้ทำอันใดบ่ดีผิดผีบรรพบุรุษ เหตุที่ตั้งใจเอาตัวเก่าเข้าไปใกล้คนชายผู้นั้น ช่วยเหลือเขาตามสมควร ข้าหวังแต่เพียงหื้อเขาตายใจ แลเผยความลับบางอย่างออกมาก็เท่านั้น”

“ข้าบ่ได้นอกใจสูเน้อเฮม่า อย่าเข้าใจผิด”

“สูอยากได้หัวใจมันบ่แม่นกา ข้าได้ยินเต็มสองหู” เฮม่ายังไม่หายโกรธ แต่เสียงอ่อนลง

“สูฟังบ่ชัดเฮม่า ข้าบอกว่าอยากกินหัวใจมัน บ่ใช่อยากได้หัวใจ” แซงลาตอบอย่างรวดเร็ว กลัวเหลือเกินว่าสามีจักไม่ยกโทษให้ จึงเผยความรู้สึกในใจออกมาจนหมดเปลือก “ต่อหื้อใครจักว่าสูตัวใหญ่ไหล่เหมือนกระทิงป่า ผิวดำยิ่งกว่าหนังควาย ปากหมา หน้าตาบ่งาม แต่สูก็รู้อยู่แก่ใจบ่ใช่กา ว่าข้าฮักสูคนเดียว”

“มีป้อจายมากมายในหมู่บ้านที่อยากได้ข้าไปเป็นเมีย ถ้าข้าบ่ฮักสูอย่างที่สูกล่าวหา ข้าจักแต่งงานกับสูกา”

เฮม่าถอนหายใจพรืดอย่างไม่สบอารมณ์ ความโกรธลดลงไปกว่าครึ่งแล้วก็จริง แต่ความหงุดหงิดในใจของเขายังคงอยู่ ตะเหล่อที่นั่งฟังมาตั้งแต่ต้น เห็นแล้วว่าลูกชายอ่อนลงมาก ถึงอย่างนั้นปัญหาที่เกิดขึ้น ตอนนี้ก็เกินจากสิ่งที่คาดหมายไว้ล่วงหน้าหลายประการ

จึงหันไปถามหาทางออกจากแม่เฒ่าแก่อาคม

“ไหนลองว่ามาผ่อลอแม่เฒ่า เห็นควรจัดการอย่างใด”

แม่เฒ่าหน่อแอนิ่งคิดอยู่ชั่วครู่ นับตั้งแต่เกิดจนแก่ชรา ชนเผ่านักล่าหัวคนของตนไม่เคยจับเชลยชายได้มากถึงคราวละห้าคนเช่นนี้มาก่อน จึงไม่ได้คิดการล่วงหน้าไว้เพื่อตั้งรับ ว่าแล้วก็พยายามหาทางออกที่เหมาะใจบอกให้ทุกคนฟัง

“อันที่จริงเหลือเวลาแหมแค่สองวันเท่านั้นก็ถึงคืนพระจันทร์เต็มดวงแล้ว หลังจากทำพิธีหลั่งเลือดบูชาผีแม่เชื้อ ชายต่างถิ่นเหล่านี้ก็บ่มีประโยชน์อันใดกับหมู่เฮาอีกต่อไป” นางเฒ่าบอกเสียงเรียบ “เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เพื่อความสบายใจของทุกคน ต่อจากนี้ข้าขอสั่งให้เหล่าคนชายเป็นคนไปส่งน้ำส่งข้าวเหล่าเชลยแทนหมู่แม่หญิง”

“สูหันตวยกับคำตัดสินของแม่เฒ่าก่อเฮม่า” ตะเหล่อหันไปถามลูกชาย

“เอาอย่างนั้นก็ได้” เฮม่าพยักหน้ารับ  ยังไม่หายเคือง “ใจข้าอยากหื้อพวกมันตายวันนี้เสียด้วยซ้ำ”

“ใจเย็นๆ เฮม่า” ตะเหล่อว่าแววตามุ่งมั่น “อดเอาแหมสองวัน รับรองสูได้หันพวกมันตายสมใจแน่”

 

คืนนี้พระจันทร์ดวงกลมส่องแสงสว่างจ้า

ในยามนี้แท่นบูชาด้านหน้ารูปปั้นสำริดขนาดเท่าคนจริงของผีแม่เชื้อที่ตั้งเด่นเป็นสง่ากลางลานโล่งประจำหมู่บ้าน มีเครื่องเซ่นสังเวยวางเรียงรายอย่างครบครัน อันประกอบด้วย สุรายาเมา บุหรี่ขี้โย หมากพลูสีฟัน ของหวานกินเล่นจำพวกขนมต้ม ข้าวแต๋น กล้วย อ้อย

ของคาวเลือดแดง นับเนื่องมาตั้งแต่สัตว์กระดองแข็งอย่างเต่า สัตว์ขุดรูอยู่ในดินเช่นหนูนา แลสัตว์ปีกบินบนฟ้าอย่างนกพิราบตัวผอม ความแห้งแล้งอดอยากที่ถาโถมบุกยึดหมู่บ้านมาตลอดห้าปี ทำให้เครื่องเซ่นสังเวยผีแม่เชื้อปีนี้ดูอัตคัดขัดสนจนทุกคนสัมผัสได้

ด้วยเพราะไม่มีหมูตัวใหญ่ แลไก่ตัวอ้วนเหมือนหลายปีที่ผ่านมา

กลิ่นกำยานฉุนจมูกลอยคละคลุ้งอ้อยอิ่ง เสียงจอแจของผู้คนที่ยืนสลอนอยู่เต็มลานหมู่บ้านเงียบลง เมื่อแม่เฒ่าหน่อแอ ผู้เป็นเจ้าพิธีปรากฏตัวขึ้น นางหายไปสวดมนต์บริกรรมคาถาในกระท่อมของตนตั้งแต่บ่าย กลับออกมาอีกครั้งเมื่อใกล้ถึงเพลาทำพิธี

นางเฒ่าหน่อแอมีสีหน้าประหลาดใจ เมื่อเห็นกองฟืนขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่กลางลานกว้าง

“คิดจักทำอันใด ช่วยบอกข้าหื้อแจ้งแก่ใจกำเตอะ ท่านตะเหล่อ” แม่หมอถามอย่างไม่พอใจ

“เผาเชลยชายบูชาผีแม่เชื้อ” ตะเหล่อตอบหน้าตาเฉย “ห้าคนห้าปี แม่เฒ่าสงสัยอะหยัง”

“ท่านก็รู้ คนรุ่นพ่อรุ่นแม่เฮา บ่เกยบูชาผีแม่เชื้อด้วยวิธีนี้” หญิงชราหน้าตึง “มันบ่ดี ผิดผีบรรพบุรุษ”

“แม่เฒ่าจักหวั่นใจไปยะหยัง เฮาแค่เปลี่ยนวิธีฆ่า แต่บ่ว่าจะใช้วิธีไหนปลายทางหมู่เขาก็ต้องตายเหมือนกันอยู่ดี ที่สำคัญข้าบ่ได้กระทำการอันใดผิดผี เพราะการบั่นคอเจ้านางหน้างามคนนั้นก็ยังคงอยู่เหมือนเดิม โน่น…แม่เฒ่าเห็นก่อ ทั้งมีดหลวงที่ใช้ปาดคอ พานทองรองเลือด แลเมล็ดพันธุ์ข้าวเปลือก ข้าเตรียมการไว้หมดแล้ว” ตะเหล่อชี้มือไปที่แท่นบูชาหน้ารูปปั้นผีแม่เชื้อ

“ทำใจหื้อสบายเตอะแม่เฒ่า เชื่อข้า ปีนี้หมู่เฮาตึงได้เลือดของผู้มีบุญมาลบล้างคำสาป”

“ขอเพียงแต่ทำหน้าที่ของตัวเก่าหื้อดี เสร็จแล้วก็แค่ให้สัญญาณข้า” ตะเหล่อแสยะยิ้ม ขณะเดินไปดึงเชือกป่านขนาดเท่าแขนเด็กที่มัดผูกโยงยาวไปยังมีดคมขาวขนาดมหึมาตรงหน้ารูปปั้น “แค่ข้ายกดาบขึ้นฟันฉับลงไปบนเชือกเส้นนี้เท่านั้น มีดหลวงจักตกลงมาฟันฉับเข้าที่คอของเจ้านาง ทุกอย่างเป็นอันจบ”

“เดือนใกล้เต็มดวงแล้ว แม่เฒ่าอยากสวดอันใดก็สวดไป” ตะเหล่อเงยหน้ามองฟ้า หันไปบอกลูกบ้านผู้ชายในปกครองของตนที่ยืนออกันอยู่อย่างเนืองแน่นเต็มลานกว้าง แล้วจึงแสดงอำนาจสั่งการ ใบหน้ามุ่งมั่นเหี้ยมเกรียม

“สูทุกคนจงฟังข้า หมู่เชลยชายเหล่านี้มันสร้างความปั่นป่วนวุ่นวายหื้อหมู่เฮามาหลายเพลาแล้ว ข้าเห็นควรหื้อสุมไฟเผามวลหมู่มันหื้อตายตกไปตามกันโดยไว จักได้จบๆ”

“ไป เฮม่าลูกข้า สูจงพาเหล่าคนชายในหมู่บ้านของเฮา ไปต้อนเอาเชลยชายทั้งหมดออกมาบัดเดี๋ยวนี้”

ตะเหล่อยิ้มอย่างพึงใจ เมื่อเห็นเฮม่าพร้อมลูกสมุนราวสิบคนกรูกันออกไปทำตามคำสั่ง จากนั้นจึงหันไปบอกหญิงสาวผู้มีศักดิ์เป็นลูกสะใภ้ที่ยืนหน้าซีดอยู่ข้างๆ แม่เฒ่าหน่อแอ “ส่วนสูแซงลา พาพะโย่กับวาวา ไปเอาเจ้านางหน้างามคนนั้นออกมา”

“อ้อ บ่ดีลืมเอาผ้าปิดตานางตวยเน้อ เอาให้สนิทอย่าหื้อเห็นอันใด”

 

มินานนัก เชลยชายทั้งห้าก็ถูกนำตัวตามกันมาเป็นขบวนถึงกลางลานโล่ง

“มัดมวลหมู่มันติดเสาไว้ แล้วรอสัญญาณจากข้า” ตะเหล่อบอกทุกคนเสียงดังฟังชัด แล้วจึงถามลูกชาย “เฮม่า น้ำมันสนอยู่ไหน แลฟืนไฟที่ใช้เผาคนหมู่นี้ สูเตรียมไว้พร้อมแล้วกา”

“ครบถ้วนกระบวนความแล้ว รอแค่คำสั่งของพ่อเท่านั้น ข้าก็จัดการได้ทันที” เฮม่าบอกบิดา

“ดีมากลูกข้า” ตะเหล่อพยักหน้าอย่างพึงใจ หันไปเห็นถุงย่ามของเหล่าเชลยที่ลูกสมุนของตนหอบหิ้วติดมือมาเลยนึกขึ้นได้ “นูอา มาคี กำเดียวตอนเฮม่าจุดไฟ สูสองคนจงเอาถุงย่ามทั้งหมดของมันโยนใส่กองไฟ เผาไปตวยกันเลยเน้อ อย่าหื้อเหลืออันใดทิ้งไว้เป็นอันตรายต่อหมู่เฮา”

สองหนุ่มรับคำเสียงหนักแน่น เช่นเดียวกับชายฉกรรจ์อีกกลุ่มที่นำเชลยไปมัดติดกับเสาไม้ไผ่แลสุมฟืนเตรียมไว้เรียบร้อย ตะเหล่อเห็นว่าทุกอย่างพร้อมแล้ว จึงหันไปออกกำสั่งกับนางเฒ่าชรา “ดวงเดือนลอยอ้อมฟ้าไปโน่นแล้ว เริ่มพิธีได้หรือยังแม่เฒ่าหน่อแอ”

“จักเริ่มได้อย่างใด เจ้านางยังบ่มา” แม่เฒ่าหน่อแอบอกนิ่งๆ เก็บความไม่พอใจที่ผู้นำหมู่บ้านผู้นี้ออกหน้าจุ้นจ้านสั่งการล้ำเส้นหน้าที่ตนไว้อย่างมิดชิด ถึงอย่างนั้น สรรพนามที่ใช้เรียกตะเหล่อก็เริ่มเปลี่ยนไป “บ่ดีลืมหนาท่านผู้นำ เจ้านางผู้นี้สำคัญกับพวกเราทุกคน”

“ข้าจักลืมได้อย่างใด” ตะเหล่อรู้ว่าถูกประชด แต่ไม่ได้ใส่ใจ ”ก็เห็นอยู่ว่าแซงลาพานางมาโน่นแล้ว”

เมฆเป็นกังวลยิ่งนัก เมื่อเห็นเจ้านวลจันทร์ส่องหล้าถูกแซงลาแลพะโยกึ่งลากกึ่งจูงเข้ามายังแท่นพิธีบูชาผีแม่เชื้อ เพียงเจ็ดราตรีที่ถูกกักขัง นางดูอ่อนแรงแลซูบผอมลงไปมากอย่างน่าตกใจ แม้ลำตัวบางระหงของนางจักยังตั้งตรง ใบหน้าสวยหวานที่ถูกผ้าปิดไว้อย่างแน่นหนาจักยังเชิดสง่า แต่เขาก็รู้ว่าในใจของเจ้านางผู้นี้คงประหวั่นพรั่นพรึงไม่น้อย

เพราะแขนของนางสั่น มือเรียวที่จับกันนั้นเกร็งจนรู้สึกได้

“เจ้านางขึ้นแท่นบั่นคอแล้ว” ตะเหล่อบอกเสียงดังหันไปบอกแม่หมอ “แม่เฒ่า อยากสวดอันใดก็สวด”

หญิงชราถอนหายใจยาว แต่สุดท้ายก็จำต้องหลับตาตั้งสติ เอ่ยวาจาบริกรรมคาถาเป็นภาษาที่คนแปลกหน้าไม่เข้าใจ ที่หน้ารูปปั้นผีแม่เชื้อ เจ้านวลจันทร์ส่องหล้าถูกบังคับจัดแจงให้นอนหงายบนแท่นหินขนาดใหญ่ หมายใจให้ลำคอระหงอยู่ตรงกับตำแหน่งของมีดหลวงคมขาวที่ตอนนี้ถูกตรึงให้ลอยสูงเหนือแท่นหิน

ไล่สายตาไปตามเส้นเชือกไปถึงปะรำพิธี แล้วเห็นว่าเชือกเส้นนั้นผูกโยงกับมีดหลวงคมขาว เมฆเห็นตะเหล่อจับดาบในมือมั่น คล้ายรอเพลาให้นางหมอเฒ่าบริกรรมคาถาเสร็จ แล้วตัดฉับ… เท่านั้นเองหัวใจของเขาก็ร้อนรุ่ม เป็นอีกครั้งที่เมฆรู้สึกผิด เพราะเขาคนเดียวแท้ๆ ที่พานางหนีมาตาย

เขารอไม่ได้ ต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว…

 

แม่หมอหน่อแอหลับตาบริกรรมมนต์ไปได้ไม่ทันไร ตะเหล่อที่จับตาดูอยู่ตลอดก็ให้สัญญาณเฮม่าเทน้ำมันสนราดรดลงบนกองฟืน จากนั้นจึงย่างสามขุมเข้าไปจุดไฟอย่างใจเย็น ครั้นไฟเริ่มแตกปะทุ กลิ่นแสบฉุนจมูกของน้ำมันสนก็เริ่มฟุ้งขจรกระจาย

“หมู่เฮาจักตายแต๊ๆ กาพ่อ” คำเรืองใจเสียโอดเสียงสั่น ความสดใสมลายหายไปหมดสิ้น

“ใจเย็นๆ ก่อนคำเรือง ตั้งสติหื้อมั่น อย่าด่วนตีโพยตีพาย” เมฆแทรกขึ้น หันไปมองเปลวไฟแล้วยิ้มมุมปากอย่างหมายมาด “พวกมันรู้ว่าหมู่เฮาบางคนมีคาถาอาคม มันจึงยึดถุงย่ามของเราไว้ แลจงใจแยกขัง กันหมู่เฮาลักหนี มิหนำซ้ำยังร่ายมนต์ดำข่มอาคมไว้บ่หื้อสำแดงคาถา”

“แต่มันคงบ่ทันคิดว่า ไฟที่มันจุดเพื่อหมายใจจักเผาหมู่เฮาหื้อมอดไหม้ สามารถทำลายมนตร์ดำทุกอย่างได้ รวมไปถึงมนตร์ของมันเอง” เมฆบอกเสียงเบา แววตาของชายหนุ่มเป็นประกาย “มิหนำซ้ำ มวลหมู่มันยังคิดน้อย แลชะล่าใจ เอาหมู่เฮามามัดไว้ติดกันกลางไฟแบบนี้”

ท่ามกลางความมืด บังเกิดแสงสว่างจ้าจากกองไฟที่ไหม้ลามเข้ามาเรื่อยๆ

“ทุกคนฟังข้าหื้อดี หมู่เฮาต้องช่วยกันทำลายพิธีนี้หื้อเร็วที่สุด”

น้ำเสียงของเมฆมุ่งมั่นหนักแน่น ตัดสินใจรวดเร็ว “อินทา ข้ารู้ว่าสูทำได้ รีบแก้มัดมวลหมู่ข้าโดยไว ข้าจักใช้มนตร์เรียกฝนแสนห่า ลุงหนานถาจงใช้คาถามหาวาโย ลุงคำแสงกับคำเรืองจงรีบเข้าไปกวาดเอาถุงย่ามทั้งหมดของหมู่เฮามารวมกันไว้ แล้วทุกคนวิ่งไปรวมกันที่หน้าแท่นบูชา ข้าจักไปช่วยเจ้านาง”

“ข้ากลัว…” คำเรืองมองกองไฟแล้วหัวใจเต้นเหมือนจักหลุดออกนอกอก

“ตั้งสติคำเรือง อย่ามองไปที่ประกายไฟ เชื่อข้า หมู่เฮาจักรอด” เมฆให้คำมั่น

เสียงมนตร์แม่หมอยังดังก้องกังวาน เปลวไฟลุกไหม้ อินทาใช้เวลาไม่นานก็สามารถปลดเชือกที่พันธนาการตนเองออกโดยง่ายดาย ลูกสมุนของตะเหล่อมัดมือพวกเข้าไว้ติดลำไม้ไผ่ต้นเดียวกัน พออินทาแกะเชือกหลุด ทุกคนที่เหลือจึงจัดการช่วยตนเองได้อย่างง่ายดาย

หนานถาตั้งสติท่องมนต์มหาวาโยในใจ เพียงไม่นานก็บังเกิดพายุใหญ่พัดมาจากทั่วจตุรทิศ เกินกว่าที่ใครจักทันตั้งตัว มนตร์เรียกฝนแสนห่าของเมฆก็สำแดงเดชต่อทันทีทันใด ส่งผลให้ฝนเม็ดเทกระหน่ำตกลงมา แลบันดาลให้ฟ้าผ่าเปรี้ยงลงกลางพิธี

ลมหลวงพัดวน เปลวไฟพัดไล่ ผู้คนแตกตื่น นาทีนั้นมิมีผู้ใดสนใจใคร ต่างคนต่างวิ่งหนีตายกันไปคนละทิศละทาง เมฆได้โอกาสรีบวิ่งฝ่าพายุเข้าไปช่วยเจ้านวลจันทร์ส่องหล้าออกมาจากแท่นบูชายันต์อย่างปลอดภัย สี่หนุ่มที่เหลือรีบตามเข้าไปสมทบ

รวมตัวกันครบ หนานถาไม่รอช้า ยกมือขึ้นพนมบริกรรมคาถา ทั้งหมดหายวับไปกับตา

แม่เฒ่าตื่นตะลึง ตะเหล่ออ้าปากค้าง ได้ตระหนักในยามนั้นเองว่า ตนได้ทำลายทุกอย่างไปเสียสิ้น

 

เชิงอรรถ : 

(1) หญิงที่มีลักษณะงาม ๕ ประการ คือ ผมงาม เหงือกและริมฝีปากแดงงาม ฟันงาม ผิวงาม และดูงามสมวัย

(2) กรรไกร

 



Don`t copy text!