ลามิลืม บทที่ 1 : พ่อผมคือใคร?

ลามิลืม บทที่ 1 : พ่อผมคือใคร?

โดย : กุลวีร์

Loading

ลามิลืม นวนิยายออนไลน์ โดย กุลวีร์ ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านออนไลน์ เรื่องราวของทิวพนม สัตวแพทย์หนุ่มผู้มองโลกในแง่ดี มีหัวใจอบอุ่นงดงาม จะต้องผ่านความทุกข์ และการจากลาอีกกี่ครั้ง คงมีแต่ความรัก หัวใจอันเข้มแข็งและเด็ดเดี่ยวเท่านั้น ที่จะพาให้ชายหนุ่มผ่านวันเวลาอันยากลำบากไปได้ในที่สุด

ช่อดอกไม้สดสีขาวเป็นแถวเรียงราย เสียบแซมด้วยใบไม้สีเขียวเข้มให้เห็นประปรายและยังประดับประดาด้วยหลอดไฟดวงเล็กสีเหลืองนวลตลอดแนวความยาวของโลงศพสองใบที่ตั้งอยู่เคียงข้างกันบนชั้นวางสูงจากพื้นประมาณหนึ่งเมตรซึ่งคลุมด้วยผ้าสีขาวยาวจรดพื้น ภายในศาลาบำเพ็ญกุศลหรือคนแถวนี้รู้จักกันดีในนามศาลาตั้งสวดพระอภิธรรมศพหลังที่หนึ่งของวัด บรรยากาศโศกสลดยังปกคลุมทั่วพื้นที่แห่งนี้

หลังจากพิธีสวดอภิธรรมเสร็จสิ้นในคืนสุดท้าย ผู้คนส่วนใหญ่ซึ่งสวมใส่เสื้อผ้าสีดำมาร่วมไว้อาลัยและนั่งฟังพระสงฆ์สี่รูปสวดพระอภิธรรมศพ ทยอยเดินออกไปจากศาลาจนไม่เหลือใครเลย นอกจากเจ้าภาพหรือญาติของผู้ตายทั้งสองคน

ชายหนุ่มร่างสันทัด สวมเสื้อเชิ้ตดำแขนยาวและกางเกงขายาวสีเดียวกัน นั่งคุกเข่าบนพรมปูพื้นด้านหน้ากระถางธูป ในมือสองข้างซึ่งยกขึ้นมาพนมไว้ตรงหว่างอกมีธูปหนึ่งดอก ตรงปลายธูปนั้นมีควันลอยขึ้นสู่เบื้องบนเป็นสายยาวแล้วค่อยๆ จางหาย เขายังคำนึงถึงผู้ที่จากไปโดยไม่มีวันกลับมาเจอหน้ากันได้อีก

เป็นเรื่องกะทันหันเกินไปที่ใจจะตั้งรับได้ทันกับการสูญเสียคนในครอบครัว

ตั้งแต่สามวันก่อนจนถึงยามนี้ เขายังไม่หายเศร้าใจ คิดอยู่เสมอว่าเรื่องราวที่กำลังเผชิญในขณะนี้คือความฝัน ทว่าพอเขาตื่นลืมตาขึ้นมาในเช้าวันรุ่งขึ้นก็พบสิ่งต่างๆ คือความจริงที่ไม่อาจหลีกหนีได้พ้น

บุคคลซึ่งเป็นที่รักนั้นถูกความตายมาพรากไปจากเขาชั่วนิจนิรันดร์และจากไปพร้อมกันทีเดียวถึงสองคน

ทิวพนมปักธูปในกระถางตรงหน้า ก้มตัวลงกราบเพียงครั้งเดียวโดยไม่แบมือ

ก่อนจะกลับไปพักผ่อนที่บ้าน เขาทำเช่นนี้เสมอเป็นคืนที่สามติดต่อกันเพื่อกล่าวลาผู้วายชนม์

พรุ่งนี้เป็นพิธีประชุมเพลิงร่างของผู้ตายเสมือนการอำลาและแสดงความอาลัยแก่ผู้ล่วงลับเป็นครั้งสุดท้าย

นึกขึ้นมาก็ใจหาย คนที่ผูกพันมาทั้งชีวิตจะหายไปจากโลกนี้ตลอดกาล

เขาลุกขึ้นยืน เดินไปหยุดอยู่ตรงด้านหน้ารูปหน้าศพซึ่งเป็นภาพถ่ายสองภาพในกรอบสีทองวางไว้บนขาตั้งรูปอยู่ชิดติดกัน โดยมีดอกไม้สดสีขาวกับใบไม้สีเขียวประดับไว้ล้อมรอบกรอบของแต่ละรูป

ทิวพนมจ้องมองใบหน้าสตรีในภาพถ่ายซึ่งเป็นผู้ให้กำเนิดและเลี้ยงดูเขาจนเติบใหญ่ ภาพวันวานหลั่งไหลเข้ามาในความนึกคิดราวกับน้ำไหลเชี่ยวในความทรงจำ หากน้ำนั้นไหลออกมาจนเอ่อท้นขอบตาสองข้างพร้อมกับกลืนก้อนสะอื้นลงคอ นับจากนี้เป็นต้นไป เขาคงไม่ได้เห็นหน้าและรอยยิ้มของมารดา รวมทั้งอ้อมกอดที่เคยได้รับความอบอุ่นคงจะไม่ได้สัมผัส ทุกคำพร่ำสอนและเสียงหัวเราะพูดคุยของผู้เป็นแม่ก็คงไม่ได้ยินอีกต่อไป เขายังโหยหาอาวรณ์ช่วงเวลาที่เคยได้อยู่ร่วมกัน

ชายหนุ่มมีดวงตาคล้ายมารดา หากใบหน้านั้นกระเดียดไปทางบิดา

ทิวพนมหันมองคนในภาพถ่ายที่อยู่เคียงข้างรูปมารดา ด้านล่างของภาพมีวันชาตะไม่เหมือนกัน แต่วันมรณะเป็นวันเดียวกัน ซึ่งเป็นบุรุษที่ไม่ได้มีหน้าตาคล้ายเขาเลยไม่ว่าส่วนใดก็ตาม แต่เป็นคนที่มารดาให้เขาเรียกว่าพ่อ ทิวพนมก็เรียกด้วยความเต็มใจ ทั้งรักและเคารพชายในภาพไม่ต่างจากผู้ให้กำเนิด ถึงแม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ใช่พ่อที่แท้จริงก็ตาม

สองคนในภาพถึงแก่กรรมด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ระหว่างเดินทางกลับบ้าน ตั้งแต่ทราบข่าวการจากไปของแม่และผู้ที่เขาเรียกว่าพ่อ ตอนนั้นเขาแทบล้มทั้งยืน เท้าสองข้างบนพื้นปูนแข็งก็เหมือนเหยียบฟองน้ำแสนอ่อนนุ่มจนเกือบล้มพับลงไปโดยไม่ทันตั้งตัว หากเขาต้องรีบตั้งสติและประคองร่างกายให้ทรงตัวยืนอยู่ให้ได้ จนตอนนี้ก็รู้แน่ชัดแล้วว่าไม่ได้ฝันไป ทั้งที่อยากให้เป็นสัญญาณเตือนในยามนิทรา แต่ทุกอย่างคือเรื่องจริงขณะที่ตื่นรู้สึกตัว ผู้เป็นบุพการีวายชีวาลาลับไปจากชีวิตเขาโดยไม่มีวันหวนคืน น้ำใสคลอนัยน์ตาสองข้างเตรียมพร้อมจะเอ่อล้นไหลออกมาจนต้องยกมือขึ้นปาดน้ำตา

ต่อให้เป็นผู้ชายเข้มแข็งสักเพียงใด หากเจอเรื่องเช่นนี้ก็คงสั่นคลอนความรู้สึกให้จมอยู่ในความอาดูร เขายังทำใจไม่ได้ที่ต้องสูญสิ้นบุคคลสำคัญในชีวิต

ชายหนุ่มฝืนยิ้มให้กับคนในภาพ แม้ภายในใจยังโศกศัลย์ หากต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อบุคคลอันเป็นที่รักที่ยังเหลืออยู่บนโลกใบนี้

เขาหันหลังเดินกลับไปหาคนที่นั่งรอบนเก้าอี้ไม้ยาวสี่ที่นั่ง ซึ่งกำลังมองทุกการกระทำของเขา

“ยังไม่เลิกร้องไห้อีกเหรอ ตาทิว ยายทำใจได้แล้วนะ พวกเขาคงไปสู่ภพภูมิที่ดีแล้ว” สตรีวัยเจ็ดสิบสองปี ผมสีดอกเลาทั่วทั้งศีรษะยาวระต้นคอเอ่ยขึ้น เมื่อเขาลงนั่งเคียงข้างผู้เป็นยาย

“ผมคิดถึงแม่ คิดถึงพ่อ” เขาบอกด้วยน้ำเสียงเจือสะอื้นถึงความรู้สึกที่ยังคงอยู่เสมอ

เมื่อได้อยู่กับยาย ทิวพนมก็เหมือนเด็กน้อยที่ไม่ปกปิดความรู้สึกใดๆ ไม่ใช่ชายหนุ่มอายุจวนจะสามสิบสอง

พวงทองดึงตัวหลานชายเข้ามากอดไว้ “ยายก็คิดถึงพวกเขาเหมือนกัน แต่เราต้องไม่จมอยู่กับความเศร้าที่พวกเขาต้องจากไปให้มากนัก เคยได้ยินไหม อย่าร้องไห้ให้คนตายเห็น เพราะคนตายจะเป็นห่วงเรานะ พวกเขาไปสบายแล้ว”

“ผมยังใจหาย ไม่นึกเลยว่าจะจากกันเร็วขนาดนี้ พอนึกถึงวันพรุ่งนี้จะไม่ได้เห็นหน้าแม่ จะไม่ได้ยินเสียงแม่ น้ำตาก็จะไหลทุกที”

“สักพักคงชินไปเอง” พวงทองลูบศีรษะหลานชายคล้ายปลอบประโลม

ผู้สูงวัยซึ่งเคยพานพบการสูญเสียผู้เป็นที่รักมาแล้วครั้งหนึ่ง เข้าใจดีว่าชีวิตมนุษย์ทุกคนไม่อาจหลีกหนีความตายหรือการพลัดพรากได้เลย

“แต่ที่ผมเสียใจ พวกเรายังไม่ได้ร่ำลากันเลยแม้แต่ประโยคเดียว มันกะทันหันเกินไป ถ้าผมรู้ ก่อนจะเกิดอย่างนี้ คงมีเวลาเตรียมตัวเตรียมใจหรือใช้เวลาอยู่ด้วยกันให้มากที่สุด แต่นี่ไม่ใช่เลย แม่กับพ่อจากไปจนผมตั้งตัวไม่ทันว่าพรุ่งนี้จะไม่ได้เจอกันอีกแล้ว”

“ความตายไม่เคยบอกใครให้รู้ตัวหรอกนะ ตอนที่ได้รู้จักกัน เราใช้เวลาร่วมกันให้มากที่สุดแล้วหรือยัง” พวงทองเอ่ย พลางลูบศีรษะหลานชายที่ยังไม่คลายอ้อมกอด เพียงแค่อยากให้เขาลองนึกถึงเวลาที่ผ่านพ้นมามากกว่าจะนึกถึงวันข้างหน้าที่ไม่อาจพบกันได้อีก

แต่ทิวพนมนึกถึงเรื่องอื่นซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ผู้เป็นยายอยากสื่อถึง

“ไม่ใช่แค่คนที่จากไปด้วยความตายที่ไม่เคยบอกลากัน ยังมีคนที่รู้ตัวดีว่าจะไปก็หายไปจากชีวิตผม โดยไม่เคยบอกกันก่อนเลย”

พวงทองยังไม่เข้าใจความรู้สึกของหลานชายมากนัก “ชีวิตคนเราก็เหมือนรถโดยสารที่จอดรับคนตามรายทางให้ขึ้นมาพบกัน บางคนเดินทางกับเราไปไกลแสนไกลหลายช่วงอายุ ในขณะที่บางคนอยู่กับเราไม่กี่ปีหรือไม่กี่วันเหมือนนั่งรถเมล์เพียงสองถึงสามป้ายก็ขอลง ไม่มีใครอยู่กับเราไปจนถึงป้ายสุดท้ายของชีวิต เขาหรือเราก็ต้องเป็นฝ่ายขอลาไปก่อน ดังนั้นคนทุกคนที่ได้พบกัน สักวันคงจากไประหว่างทางเหมือนขอลงจากรถโดยสารในสักวันหนึ่งเมื่อถึงป้ายที่ต้องการ เราไม่อาจฉุดรั้งพวกเขาไว้กับตัวเราได้หรอกนะ ตาทิว”

‘แต่จะมีสักกี่คนที่หันหน้ามาเพื่อกล่าวคำลา ก่อนจะก้าวออกไปจากชีวิต’ เขาถามตัวเองในใจ เพราะผู้ที่เคยเข้ามาในชีวิตของเขานั้นจากไปโดยไร้คำร่ำลา แม้แต่คนสำคัญสองคนที่วายปราณก็ไม่เคยมีโอกาสได้พูดคำลาต่อกันเพื่อให้เขาตั้งรับกับความสูญเสียสำหรับชีวิตที่เหลืออยู่ในวันข้างหน้า

แม้จะเศร้าสร้อยอยู่บ้าง แต่เขาก็เป็นทิวพนมคนเดิมซึ่งไม่ใช่ผู้โดดเดี่ยวเดียวดายเพราะยังมีคนในครอบครัวที่เหลืออยู่ รวมทั้งเพื่อนสนิทที่คอยให้กำลังใจซึ่งกันและกัน

“มีคนแอบมานั่งซบอกยายพวงอยู่แถวนี้ โตจนหมาเลียก้นไม่ถึง ถ้าเป็นเด็กก็ว่าไปอย่าง” เสียงของเพื่อนชายพูดขึ้นพลางลงนั่งข้างเขา

ทิวพนมผละออกจากตัวผู้เป็นยาย หันหน้าไปทางเลอมานซึ่งเป็นผู้มาใหม่ที่ยกมือตบบ่าของเขาเพื่อปลอบใจอย่างที่เคยทำ แล้วเอ่ยขึ้นมาอีก ด้วยน้ำเสียงจริงจังซึ่งนานๆ ทีจะได้ยิน

“ฉันเข้าใจความรู้สึกของแก ฉันก็เคยเสียพ่อกับแม่มาแล้ว ตอนนั้นแกก็อยู่เป็นเพื่อน แรกๆ ฉันก็เสียใจเป็นวรรคเป็นเวร มันมืดแปดด้าน ไม่รู้จะมีชีวิตยังไง แต่สิ่งที่ทำให้ฉันคิดได้คือฉันยังมีน้องสาวที่ต้องดูแล ฉันต้องเป็นเสาหลักของครอบครัวที่เหลือแค่พี่กับน้องเพียงสองคน ไม่ทำให้พ่อแม่ที่เฝ้าดูพวกฉันบนสวรรค์ต้องเป็นทุกข์ ฉันจึงมีแรงสู้อยู่มาได้จนทุกวันนี้ อย่าเศร้ามากเลย ชีวิตยังมีลมหายใจก็ต้องสู้นะเพื่อน แกยังมียายพวง ยังมีป้าไพ ยังมีน้องอีกสองคนและยังมีเพื่อนอย่างฉัน แกควรทำใจได้สักที คุณลุงคุณป้าที่จากไปจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง”

เขาพอจะเข้าใจที่เลอมานพูดออกมา คำปลอบแสนจริงจังและจริงใจของเพื่อนผู้นี้ก็เหมือนเตือนสติให้เขารู้จักคิดซึ่งได้ยินเสมอ ถ้าอีกฝ่ายเห็นเขาทำหน้าเศร้า ตั้งแต่วันแรกที่ได้ทราบข่าวร้ายของผู้มีพระคุณทั้งสองคน

“เป็นไงบ้างครับ ยายพวง เลอพูดปลอบขวัญและให้กำลังใจเพื่อนเก่งไหม ยายพวงไม่ต้องห่วงเลยนะ ถ้ามีเลออยู่ด้วย อีกไม่นานหลานชายคนโตของยายพวงจะกลับมายิ้มได้เหมือนเดิม” เลอมานเห็นเขาเงียบไปก็หันไปพูดกับพวงทองด้วยน้ำเสียงปกติที่เขาเคยได้ยินบ่อยครั้งพร้อมทั้งหันหน้ามายักคิ้วให้เขาเมื่อพูดจบ ทำท่าทีทะเล้นดุจเดิมไม่เคยเปลี่ยน แม้แต่อยู่ในงานศพก็ไม่เว้น

หากเพื่อนชายคนสนิททำให้ความโศกเศร้าของคนที่อยู่รอบข้างนั้นคลายลงไปได้มาก โดยเฉพาะทิวพนมในยามนี้ ความเสียใจที่ยังหลงเหลืออยู่นั้นถูกแทนที่ด้วยความหมั่นไส้เพื่อนที่ทำเป็นเรียกคำชมเชยจากผู้เป็นยายและก็ได้รับคำชมจริงๆ

“เก่งมากจ้ะ ตาเลอ ยายฝากตาทิวด้วยก็แล้วกัน บางทีคำของคนแก่อาจฟังดูยากไปกับเด็กสมัยนี้ เพื่อนช่วยพูดปลอบใจน่าจะเข้าใจได้ดีกว่า เหมือนคุยภาษาเดียวกัน” พวงทองพูดแล้วยิ้มให้

เลอมานมักจะเข้ามาทำลายบรรยากาศหมองเศร้า เป็นเช่นนี้ไม่เคยเปลี่ยนตลอดระยะเวลาสามวันที่ผ่านพ้นมา เพื่อนสนิทคงเศร้าใจไม่แพ้กัน แต่ถ้าช่วยกันซ้ำเติมความกำสลดก็ยิ่งเศร้าไปกันใหญ่ เลอมานจำเป็นต้องเรียกรอยยิ้มและเสียงหัวเราะบ้างเพื่อไม่ให้ใครต่อใครจมอยู่กับความสร้อยเศร้านานเกินไป

“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ ผมเข้าใจที่ยายพูด ชีวิตคนเราต้องเจอกับการพลัดพรากจากลาเสมอ โดยไม่รู้ว่าใครจะอยู่กับเราได้นานแค่ไหน แต่ยังไม่เข้าใจ ทำไมคนที่จากกันไปไม่เคยบอกลากันสักคำ”

“คนที่มีความหลังฝังใจก็เป็นอย่างนี้แหละครับ ยายพวง” เลอมานพูดกับพวงทอง ก่อนหันหน้ามาบอกเขา “แกจะเอามาปนกันทำไม จากเป็นกับจากตายมันไม่เหมือนกัน คนที่จากเป็นอาจจงใจไป แต่คนที่จากตายคงไม่รู้หรอกว่าจะตายเมื่อไหร่จึงไม่มีเวลามาร่ำลาแก”

“แต่มันก็ลาจากชีวิตฉันเหมือนกัน ฉันอยากได้ยินคำร่ำลาอยู่ดี ถ้าฉันรู้ ฉันจะกอด จะจูบ จะพูดในสิ่งที่อยากพูดถึงความรู้สึกทั้งหมดที่มี แต่แม่กับพ่อที่จากไป ฉันยังไม่ได้ใช้ช่วงเวลาเพื่อลากันเต็มที่เลย แกไม่เข้าใจฉันหรอก”

“แกก็คิดซะว่าทำเต็มที่แล้ว ตอนที่คุณลุงคุณป้ายังมีชีวิตอยู่ ทำไมต้องไปมองดูช่วงเวลาที่มันยังไม่เกิดและโหยหาอยากให้มันเกิดด้วยล่ะ แกต้องมองช่วงเวลาที่ผ่านมา ได้พูดได้คุยได้กอดได้ใช้เวลากับพวกท่านเต็มที่แล้ว” เลอมานพูดกับเขาและยืดอกอย่างภาคภูมิใจเมื่อมีคนเข้าข้าง

“ยายเห็นด้วยกับตาเลอนะ สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้อาจเป็นเพราะบุญกรรมที่เคยกระทำต่อกันไว้ เราจึงได้พบกับพวกเขาเพียงแค่นี้” พวงทองลูบศีรษะทิวพนมอีกครั้ง

“ถ้าแกอยากได้ยินคำร่ำลามากนัก หากถึงวันที่ฉันจะตาย ฉันจะเป็นคนหนึ่งที่ก่อนตายจะบอกลาแกเอง ตกลงไหม” เลอมานพูดประชดเขา

“ฉันจะจำไว้” ทิวพนมรับคำของเพื่อนอย่างหนักแน่น แม้อีกฝ่ายจะแค่แกล้งพูดเอาใจก็ตาม

“จะมาพูดแช่งตัวเองทำไม ตาเลอ แค่นี้ยังเศร้าไม่พออีกเหรอ ยังหนุ่มยังแน่น อยู่กันไปอีกนานแท้ๆ อยู่ให้ยายได้เห็นหน้าหลานดีกว่านะ”

เลอมานลุกขึ้นไปนั่งคุกเข่าบนพื้นด้านหน้าพวงทอง กอดเอวผู้สูงวัยไว้แน่นพร้อมทั้งกล่าวเอาใจ “เลอไม่พูดเรื่องตายแล้วครับ ยายพวง ก็หลานยายน่ะสิพูดขึ้นมาก่อน เลอก็ต้องเออออตามไปด้วย ยายพวงพูดออกมาแล้วนะว่าจะอยู่เล่นกับลูกของเลอ แต่เลอคาดว่ายายพวงต้องอยู่ถึงเลี้ยงหลานของเลอด้วยแน่นอน”

“หลานของเลอก็เหลนของยายน่ะสิ ถ้าอยากให้อยู่ถึงขนาดนั้นจะอยู่ให้ก็แล้วกัน แต่อย่าทิ้งยายไปกันก่อนนะ ทั้งตาเลอกับตาทิว” พวงทองยิ้มให้กับความคิดของเลอมาน

‘หาแฟนให้ได้ก่อนเถอะ’ เขาตะโกนบอกเพื่อนแค่ในใจ นั่งมองเลอมานกอดเอาใจผู้เป็นยายไม่ยอมปล่อย

“พวกคนที่ไปส่งแขกยังไม่เข้ามากันอีกเหรอ” พวงทองถามถึงผู้อื่นที่จะกลับบ้านพร้อมกัน

“ส่งแขกกันเสร็จแล้วครับ เลอจะเข้ามาลายายพวง ขอกลับบ้านไปพักผ่อน พรุ่งนี้ต้องมาแต่เช้า ส่วนป้าไพกับทุกคนไปทางโรงครัว คงไปคุยกับแม่ครัวเพื่อเตรียมความพร้อมของอาหารในวันพรุ่งนี้ นี่ลินก็จะเข้ามาลายายพวงเหมือนกัน แต่ถูกดึงตัวไปด้วย เลอไปก่อนนะครับ พรุ่งนี้เจอกันใหม่” เลอมานลุกขึ้นยืนยกมือไหว้พวงทอง

“ขอบใจมากนะ ตาเลอ อยู่ช่วยงานจนดึกทุกคืนเลย กลางวันก็ต้องไปทำงานอีก กลางคืนจะได้พักก็ต้องมาช่วยทางนี้”

“คุณลุงคุณป้าก็เหมือนพ่อแม่ของเลอเหมือนกัน ไม่เป็นไรครับ แค่นี้สบายมาก” เลอมานพูดกับพวงทองแล้วหันหน้ามาบอกเขา “ฉันกลับก่อนนะ พรุ่งนี้ฉันลางานจะมาช่วยแต่เช้าเลย ลินก็มาด้วย”

ทิวพนมพยักหน้ารับทราบคำของเพื่อน ก่อนที่อีกฝ่ายจะเดินผละออกไป

“ตาเลอนี่ดีนะ คนกำลังเศร้าๆ ยังเข้ามาสร้างเสียงหัวเราะได้ รอนางไพคุยธุระให้เสร็จ พวกเราค่อยออกไปดีกว่า ยายไม่อยากยืนคอยนานๆ”

นางไพในคำกล่าวของพวงทองคือรำไพซึ่งเป็นป้าแท้ๆ ของเขาและยังเป็นแม่งานในครั้งนี้ เพราะเคยจัดการงานศพของตามาแล้วครั้งหนึ่งจึงคล่องกับการจัดงาน เขาและน้องอีกสองคนช่วยกันเป็นลูกมือให้รำไพเพื่อให้งานลุล่วงไปได้ด้วยดี

ทิวพนมนั่งใช้มืออีกข้างคลำแหวนที่สวมไว้ในนิ้วก้อยข้างขวาพร้อมกับมองภาพถ่ายของมารดา แหวนวงนี้คอยย้ำเตือนเสมอว่าเขานั้นยังมีพ่ออีกคนซึ่งเป็นพ่อที่แท้จริง

ชายหนุ่มโพล่งถามออกมาจากความคิดที่อยากรู้คำตอบมานาน ตั้งแต่ทราบความจริงจากมารดา “พ่อแท้ๆ ของผมคือใคร อยู่ที่ไหน ผมจะไปหา ยายบอกผมได้หรือยังครับ”

พวงทองหันหน้ามองหลานชายด้วยสีหน้าและแววตาแน่นิ่งคล้ายชั่งใจอยู่สักพัก

แต่ไม่มีคำตอบใดๆ ออกจากปากของผู้เป็นยายเหมือนหลายครั้งที่เขาตั้งคำถามพรรค์นี้

คนสูงวัยถอนหายใจ คว้าไม้เท้าช่วยพยุงตัวที่วางไว้ข้างกาย ยันพื้นแล้วลุกขึ้นยืน ค่อยๆ ก้าวขามุ่งหน้าออกไปจากศาลา

เมื่อเป็นอย่างที่เห็นก็คงไร้คำตอบที่อยากรู้อีกเช่นเคย

ทั้งที่เขาอยากทราบเรื่องราวของพ่อที่แท้จริง แต่คนในครอบครัวไม่เคยปริปากเล่าเรื่องราวใดๆ เกี่ยวกับพ่อแท้ๆ ไม่ว่าเขาจะพยายามเฝ้าถามสักเพียงใด จึงเป็นแรงสนับสนุนในการที่อยากจะหาคำตอบให้ได้ว่าพ่อแท้ๆ ของตนคือใคร

เขารีบลุกขึ้นยืน เดินตามผู้เป็นยายไป หากยังเหลียวหลังกลับมามองภาพถ่ายของมารดาอีกครั้งแล้วบอกในใจ

‘ถ้าแม่อยากให้เจอเขา ช่วยทำให้เราสองคนได้พบกันสักครั้งนะครับ ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป’

ทิวพนมเดินประกบข้างพวงทองทำท่าจะเข้าไปช่วยประคองแขน แต่คนสูงวัยเหมือนจะไม่พอใจกัน รีบเบี่ยงแขนหลบมือเขา เพราะยังทรงตัวได้ดี ถ้าใช้ไม้เท้าคู่ใจขณะก้าวเดิน

เขานำมือลูบแหวนพลางใช้ความคิดจนตั้งมั่นกับตัวเอง จะต้องพบบุรุษผู้นั้นให้จงได้ โดยใช้แหวนเป็นตัวช่วยในการสืบเสาะหาหนทางไปสู่ตัวพ่อที่แท้จริง ถึงแม้ตอนนี้จะไม่รู้ว่าอยู่แห่งหนใดก็ตาม

 



Don`t copy text!