ลามิลืม บทที่ 5 : เรื่องใด? ที่ไม่จำเป็นต้องรู้

ลามิลืม บทที่ 5 : เรื่องใด? ที่ไม่จำเป็นต้องรู้

โดย : กุลวีร์

Loading

ลามิลืม นวนิยายออนไลน์ โดย กุลวีร์ ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านออนไลน์ เรื่องราวของทิวพนม สัตวแพทย์หนุ่มผู้มองโลกในแง่ดี มีหัวใจอบอุ่นงดงาม จะต้องผ่านความทุกข์ และการจากลาอีกกี่ครั้ง คงมีแต่ความรัก หัวใจอันเข้มแข็งและเด็ดเดี่ยวเท่านั้น ที่จะพาให้ชายหนุ่มผ่านวันเวลาอันยากลำบากไปได้ในที่สุด

สถาปนิกสาวต้องมาอาศัยกับบิดามารดาในภูมิลำเนาเดิมซึ่งอยู่ห่างจากกรุงเทพมหานครร้อยกว่ากิโลเมตร หล่อนต้องมาควบคุมดูแลการก่อสร้างอาคารให้เป็นไปตามรูปแบบตามที่ทีมงานในบริษัทช่วยกันสร้างสรรค์ขึ้นมา อาจใช้เวลาถึงครึ่งปีหรือเร็วกว่านั้น ถ้าไม่มีปัญหาใดเกิดขึ้นและงานเป็นไปตามที่คาดไว้

เนื่องด้วยการสร้างอาคารนั้นอยู่ในจังหวัดบ้านเกิด กานต์สินีจึงอาสาเป็นตัวแทนของบริษัทมาควบคุมดูแลพร้อมกับทีมงานอีกสามคนที่ต้องไปหาบ้านเช่าเป็นที่พักชั่วคราวระหว่างทำงาน ต่างจากหล่อนที่อยู่บ้านของตัวเอง

กานต์สินีทำงานเป็นสถาปนิกในบริษัทรับสร้างอาคารบ้านเรือนหรือหมู่บ้านจัดสรรซึ่งพอจะมีชื่อเสียงอยู่บ้าง หากสำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุงเทพมหานคร หล่อนจึงต้องซื้อห้องพักของคอนโดมิเนียมสูงไว้พักอาศัยตอนทำงานและจะกลับมาเยี่ยมเยือนบุพการีเป็นครั้งคราว หากหล่อนไม่ได้ออกมาดูงานในต่างจังหวัดบ่อยนัก งานนี้ถ้าไม่ได้อยู่จังหวัดเดียวกับบ้านเกิดก็คงไม่ขออาสามากำกับดูแลด้วยตนเอง เพราะถือเป็นโอกาสได้มีเวลาอยู่กับพ่อแม่

เมื่ออยู่บ้านได้เพียงสามอาทิตย์ หนึ่งในสองสัตว์เลี้ยงตัวโปรดที่นำมาให้มารดาเลี้ยงดู เพราะที่อยู่ทางโน้นห้ามเลี้ยงสัตว์ แต่ก็แอบเลี้ยงได้เกือบสามเดือน ก่อนจะนำพวกมันมาอยู่กับพ่อแม่เป็นเพื่อนแก้เหงาและไม่ต้องมานั่งระแวงกับการเลี้ยงแมวสองตัวในคอนโดมิเนียมสูงเกือบยี่สิบชั้น

พอหล่อนรู้ว่าแมวเปอร์เซียสีขาวที่ชื่อคูก้ามีอาการผิดปกติ จึงพาไปโรงพยาบาลสัตว์แห่งเดียวของจังหวัดตามคำแนะนำของผู้ให้กำเนิดจนได้เจอกับสัตวแพทย์หนุ่ม ผู้ซึ่งมีความชื่นชอบแมวเหมือนกัน ยามได้พูดคุยกับเขาราวกับเพื่อนเก่าที่ได้หวนมาเจอกันอีกครั้งหนึ่ง

หรืออาจเป็นเพราะได้เจอคนที่ชื่นชอบในสิ่งเดียวกันก็คุยรู้เรื่องและคลายเหงาได้บ้าง

ด้วยความอัธยาศัยดีของเขา ในที่สุดก็คุ้นเคยกันจนตอนนี้กานต์สินียอมรับให้เขาเป็นเพื่อนต่างอาชีพที่สนิทสนมกัน

หญิงสาวอุ้มแมวเปอร์เซียสีขาวทั้งตัวออกมาจากรถยนต์ เดินเข้าไปในบ้าน หลังจากพามันไปรับวัคซีนประจำปีตามที่เขาแนะนำและหมั่นเตือนความจำอยู่เสมอ ตั้งแต่ได้รู้ว่าแมวสองตัวนั้นถึงเวลาฉีดวัคซีน

เพื่อนใหม่ของหล่อนจะมาที่บ้านอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง หลังจากวันนั้นที่เกิดเหตุแมวป่วยกะทันหัน โดยที่หล่อนติดงานและใกล้ค่ำ จนไม่รู้จะทำอย่างไร จึงปรึกษาเขาทางโทรศัพท์ แต่เขาก็หาทางออกโดยการมาฉีดยาให้แมวถึงบ้าน นับตั้งแต่วันนั้น เขามาหาหล่อนกับแมวเหมือนเพื่อนสนิทที่ไปมาหาสู่กันเป็นประจำ โดยมีเรื่องแมวเป็นเรื่องหลักในการสนทนา

กานต์สินีพอจะรู้ว่าชายหนุ่มนั้นคิดต่อกันอย่างไร ทว่าตอนนี้ความสัมพันธ์ที่จะให้เขาได้คงมีแต่ความเป็นเพื่อน ถ้าล้ำเส้นมากกว่านั้นก็คงเป็นไปไม่ได้สำหรับหล่อน

แมวดิ้นขลุกขลักในอ้อมแขน มันพยายามถีบตัวเพื่อขอความเป็นอิสระ เมื่อได้เจอแมวอีกตัวที่ตั้งหน้าตั้งตาวิ่งออกมาต้อนรับ

ทันทีที่หญิงสาวปล่อยคูก้าลงบนพื้นเพราะทนแรงดิ้นของแมวไม่ไหว โอเล่ก็รีบวิ่งเข้ามาหาคู่หูของมัน

“ฉันเอาคูก้ามาคืนให้แล้ว คงคิดถึงกันมากสินะ”

แมวเปอร์เซียสองตัวดอมดมแล้วนำหัวถูไถตัวซึ่งกันและกัน ต่างก็ผลัดกันเลียขนให้แก่กันอีกด้วย คงเป็นการทักทายตามประสาแมว แมวสองตัวนี้จะมีความต่างกันอย่างชัดเจน คูก้ามีสีขาวทั้งตัวไม่มีสีอื่นแซมมาให้เห็น โอเล่มีสีเทาที่ใบหูสองข้างและหางตั้งแต่โคนไปจนสุดปลายหาง ทำให้คนที่พบเห็นแยกออกได้ว่าตัวไหนเป็นตัวไหน

“เป็นยังไงบ้างลูก ทำไมวันนี้พาคูก้าไปฉีดวัคซีนหลายชั่วโมงเลย ทานข้าวมาหรือยัง จวนจะบ่ายสองแล้ว” เสียงของผู้เป็นแม่เอ่ยถาม

“เรียบร้อยแล้วค่ะ วันนี้หมอทิวชวนหนูไปทานข้าวกลางวันด้วยกัน”

มารดาเดินไปนั่งบนโซฟา หล่อนจึงลงนั่งอยู่เคียงข้าง

“พูดถึงหมอทิว แม่คิดว่าดูท่าทางเขาคงจะมาสนใจลูกสาวของแม่แน่ๆ แต่แม่ว่าอย่าทำตัวสนิทให้มากนักน่าจะดีกว่า ลูกก็รู้ว่าเพราะอะไร”

กานต์สินีรู้ตัวดีว่ามารดาต้องการย้ำเตือนถึงเรื่องใด

“หนูไม่ได้คิดอะไรกับหมอทิวเลยนะคะ แค่คุยกันตามประสาเพื่อนที่ชอบแมวเหมือนกัน หมอทิวก็คุยสนุกดี เป็นกันเองอีกด้วย”

หล่อนบอกไปตามความจริงที่ใจรู้สึกต่อชายผู้นั้น หากสายตาเมียงมองแมวสองตัวที่ยังไม่เลิกนั่งเลียขนให้กันเสียที

มารดาจับมือซ้ายของลูกสาวขึ้นมาดูใกล้ๆ ราวกับอยากเห็นบางอย่างให้ชัดเจน เอ่ยขึ้นด้วยความใคร่รู้ “ทำไมลูกไม่ใส่แหวน”

กานต์สินีดึงมือตัวเองกลับมาวางไว้บนตัก ชำเลืองมองนิ้วนางข้างซ้าย บัดนี้ไม่มีของประดับใดอยู่ตรงที่ที่เคยสวมไว้อีกแล้ว จึงพูดออกไปตามความจริงโดยไม่คิดปิดบัง

“หนูทำหายหลายเดือนแล้วค่ะ ตั้งแต่กลับมาอยู่ที่นี่ใหม่ๆ ไม่รู้ไปทำหล่นไว้ที่ไหน หรือตอนที่หนูถอดวางไว้สักที่ คูก้ากับโอเล่แอบเอาไปเล่น ตอนนี้ยังหาแหวนหมั้นไม่เจอเลย แม่เห็นบ้างไหมคะ”

“ถ้าแม่เห็น คงไม่มานั่งถามลูกแบบนี้หรอกจ้ะ แม่นึกว่าลูกจะถอดแหวนออกเพื่อไปหาหมอทิว แต่แม่ว่าใส่ไว้ดีกว่านะ เขาจะได้รู้ว่าลูกของแม่มีคนจองไว้แล้ว”

ใจจริงของหล่อนก็อยากทำเช่นนั้น แต่ไม่เคยมีความคิดที่จะถอดแหวนหมั้นเพื่อให้ผู้ชายอีกคนไม่ต้องรู้ว่าหล่อนนั้นมีคู่หมั้น แต่มันบังเอิญที่แหวนหล่นหาย ก่อนที่จะได้เจอสัตวแพทย์หนุ่ม

ผู้เป็นแม่พูดขึ้นมาอีกครั้ง “ถ้าแม่เจอ จะนำมาให้ลูกก็แล้วกัน”

“หนูขอขึ้นไปเอางานลงมาทำข้างล่างนะคะ” หล่อนเข้าไปหอมแก้มมารดา ก่อนจะเน้นย้ำว่า “แม่ไม่ต้องกลัวหนูจะปันใจให้ใครหรอกค่ะ หัวใจของหนูยังรักคู่หมั้นของหนูคนเดียวเท่านั้น ส่วนคนอื่น ต่อให้สนิทสนมแค่ไหน หนูก็ไม่เคยคิดเกินเลย แม่เชื่อหนูเถอะค่ะ ความใกล้ชิดไม่ทำให้ความรักของหนูสั่นคลอนแน่นอน”

กานต์สินีลุกขึ้นยืน เดินออกห่างจากมารดาซึ่งยังมองลูกสาวด้วยความห่วงใย หล่อนนึกถึงเจ้าของแหวนหมั้นด้วยความสุขใจและห่วงหา ชายผู้นั้นคือความพิเศษของหัวใจที่ไม่หวังจะเจอจากผู้ใดอีกเลยและยังเป็นผู้ที่มอบแมวเปอร์เซียสองตัวให้เป็นเพื่อนหล่อนหรือของขวัญวันวาเลนไทน์ แม้จะอยู่ห่างไกลกันแต่ก็ยังโทร.คุยกันทุกค่ำคืน เมื่อเป็นเช่นนี้หล่อนจะมอบหัวใจให้ใครได้อีก นอกจากคนเป็นคู่หมั้นซึ่งได้หัวใจหล่อนไปครอบครองหมดทั้งดวง แค่รอวันที่จะแต่งงานกันในอีกไม่ช้า

หากงานที่มาควบคุมดูแลนั้นเสร็จเรียบร้อยดี หญิงสาวก็จะได้กลับไปอยู่ชิดใกล้คู่หมั้น คงอีกไม่ถึงเดือนที่หล่อนจะได้กลับไปสวีตหวานกับคู่หมั้นเหมือนที่เคยเป็นและรอเข้าสู่ประตูวิวาห์

เพื่อนใหม่ซึ่งเป็นคนต่างอาชีพที่สนิทกันได้เร็วเพราะชื่นชอบแมวเหมือนกัน เป็นแค่เพื่อนคุยยามว่างใช้คลายเหงา กานต์สินียังเล่าเรื่องเพื่อนใหม่ให้คนพิเศษฟังอีกด้วย

คนอย่างหล่อนรู้ตัวดีว่าหัวใจเป็นของใคร ไม่เคยหลงไปกับอารมณ์ชั่ววูบเมื่อเจอคนที่พอเข้ากันได้ เพราะคนที่อยู่ไกลในเวลานี้มีความสำคัญต่อหัวใจของหล่อนมากกว่าใครทั้งหมด และขอบเขตของเพื่อนสำหรับคนที่อยู่ใกล้คงไม่ต้องรู้ทุกเรื่องเกี่ยวกับตัวหล่อนก็ได้ จึงไม่เคยคิดจะบอกว่ามีคู่หมั้น อีกทั้งหล่อนมักจะทำตัวให้รู้ว่าไม่เคยคิดกับเขาไปไกลเกินคำว่าเพื่อนที่ดีต่อกัน

ในเรื่องเดียวกัน หญิงสาวอาจไม่เห็นถึงความสำคัญ แต่สำหรับชายหนุ่มนั้นเป็นเรื่องสำคัญต่อหัวใจมากมาย เพราะเขาแปลความหมายจากท่าทีของหล่อนไปเกินกว่าที่หล่อนอยากให้เป็น

สุดท้ายแล้วคนที่คิดไปไกลกว่ากันจะเจ็บปวดเพียงใด ถ้าวันหนึ่งได้รับรู้เรื่องราวที่หล่อนไม่คิดจะเล่าให้ฟัง และอาจจะเจ็บยิ่งกว่า ถ้าได้รู้เรื่องนั้นจากผู้อื่น

 

ทิวพนมมาเยือนบ้านของหล่อนอีกครั้งด้วยความแช่มชื่นใจ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เขาจะนำเรื่องแมวมาอ้าง เพื่อได้มาพบปะหรือเจอหน้าหญิงสาว แต่ครั้งนี้หญิงสาวเป็นฝ่ายขอนัดเลี้ยงอาหารกลางวันเป็นการตอบแทนสำหรับทุกสิ่งที่ผ่านมา เขาตอบตกลงทันที ทั้งที่ไม่รู้ว่าติดขึ้นเวรที่โรงพยาบาลสัตว์หรือไม่ แต่ก็เหมือนโชคชะตาเข้าข้าง เพราะวันนี้ตรงกับวันหยุดทำงาน

ฟ้าคงลิขิตให้เขาได้มีเวลาใกล้ชิดผู้หญิงที่เข้ามาอยู่ในหัวใจของเขา

ทิวพนมมาตรงตามเวลานัดหมาย กดกริ่งหน้าประตูบ้าน กานต์สินีรีบเดินออกมาต้อนรับราวกับรอคอยการมาเยือนของเขา หล่อนโดดเด่นด้วยใบหน้าและดวงตาคม รอยยิ้มนั้นทำให้โลกของเขาสดใส หลังจากผ่านคืนวันมืดมนยามพบความสูญเสีย หัวใจที่เคยโศกสลดก็ได้รับการปลอบประโลมในทันที

เขาหลงใหลในเสน่ห์ของหล่อน จนตัดสินใจเปิดโอกาสให้ใจตัวเอง หลังจากถูกปิดตายมาเนิ่นนาน

ถ้าโชคชะตานำพาให้คนสองคนได้พบกัน หล่อนก็อาจกลายเป็นคนสำคัญในวันหนึ่ง

เขาส่งยิ้มให้กานต์สินี เดินตามหลังหล่อนเข้าไปในบ้าน แมวเปอร์เซียสองตัววิ่งออกมาจากห้องนั่งเล่นเข้ามาช่วยกันคลอเคลียขาของเขา พวกมันคงจดจำเขาได้

“คูก้า โอเล่ อย่ามาพันแข้งพันขาหมอทิวนะ ไม่กลัวเหรอ หมอทิวจะจับฉีดยาอีกสักเข็มดีไหม” หญิงสาวเอ่ยราวกับแมวสองตัวจะเข้าใจคำกล่าวนั้นแล้วจะกลัวเกรง แต่พวกมันก็ยังคลอเคลียขาเขาไม่ยอมเลิก รวมทั้งผลัดกันคลอเคลียขาของหล่อนอีกด้วย

ตั้งแต่วันที่เขาเจอหล่อนเมื่ออาทิตย์ก่อน ตอนที่พาโอเล่ไปฉีดวัคซีนประจำปีถัดจากวันก่อนที่พาคูก้าไป เขาก็ไม่ได้เจอหน้าหล่อนจนกระทั่งวันนี้ หากตอนได้รับคำเชิญชวนจากหล่อนทางโทรศัพท์จึงได้รู้ว่าหล่อนยุ่งอยู่กับงาน

“ถ้าผมเป็นเด็ก เจอคำขู่อย่างนี้ คงวิ่งไปแอบแล้วนะครับ” เขาเอ่ยกลั้วหัวเราะ มองดูแมวสองตัวที่ยังเดินดักหน้าดักหลังคล้ายกับช่วยกันขวางเขาไว้เพื่อให้อยู่เล่นด้วยกัน

“กานต์ก็พูดไปอย่างนั้นเองค่ะ ดูเจ้าสองตัวสิ อยากจะเล่นกับหมอทิวเสียจริงๆ” หญิงสาวนั่งยอง ลูบหัวแมวเปอร์เซียตัวที่อยู่ใกล้ขามากที่สุด

เขานั่งยองตามหล่อน ลูบหัวคูก้าที่ยังวนเวียนใกล้ขาเขาเช่นกัน

ในความนึกคิดของทิวพนม แค่มีบ้านหลังเล็ก มีแมว มีเพียงเราสองคน หัวใจก็พองโตขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

“อาหารพร้อมแล้วนะจ๊ะ อยู่บนโต๊ะ ทานกันได้เลย อย่ามัวเล่นแมวกันจนเพลิน แต่ก่อนทานข้าว ต้องไปล้างมือทั้งสองคนเลยนะ” มารดาของหล่อนเดินมาบอกเหมือนคนทั้งสองเป็นเด็กๆ ก่อนจะเดินขึ้นบันไดไปบนชั้นสองของบ้าน

“แม่ของคุณกานต์ไม่ทานข้าวกับพวกเราหรือครับ” เขาถามด้วยความสงสัย

“แม่อยากให้พวกเราทานกันแค่สองคน แม่บอกว่าไม่อยากฟังหนุ่มสาวคุยกัน คนแก่คงฟังไม่รู้เรื่อง” กานต์สินีบอกเขา เดินนำไปยังอ่างล้างมือในห้องครัว แมวสองตัวก็ยังวิ่งตามคนทั้งสองอยู่ไม่ห่าง

ชายหญิงนั่งลงบนเก้าอี้ไม้มีพนักพิง มองดูบนโต๊ะอาหารที่มีกับข้าวสี่จานวางเรียงราย

“กานต์เลี้ยงข้าวกลางวันมื้อนี้เป็นคำขอบคุณสำหรับทุกอย่างที่หมอทิวมีให้กันมาตลอด” หล่อนพูดขึ้นก่อนจะลงมือรับประทานอาหาร

ทิวพนมสุขใจที่ได้นั่งกินข้าวกับหล่อนเพียงสองต่อสอง และยังได้นั่งมองแมวสองตัววิ่งเล่นไล่กวดกันสลับกับมองหน้าหญิงสาว จนอาหารมื้อนี้ผ่านพ้นไป หล่อนก็ชวนเขามานั่งคุยกันต่อบนโซฟาในห้องนั่งเล่น ซึ่งเป็นที่ประจำที่ทั้งสองได้เสวนากัน

“งานของกานต์ใกล้จะเสร็จแล้วนะคะ ถ้ากานต์กลับไปอยู่ที่กรุงเทพ กานต์ฝากหมอทิวดูแลแมวสองตัวนี้ด้วยค่ะ” หล่อนเป็นฝ่ายเริ่มคุยก่อน

หรือที่หญิงสาวชวนเขามาทานข้าวที่นี่ อาจจะใกล้ถึงเวลาไกลห่างกัน เขานึกขึ้นมาก็รู้สึกใจหาย

“ได้เลยครับ” ทิวพนมรับปาก ยังไงก็มีเรื่องแมวที่จะใช้เป็นเรื่องติดต่อกับหล่อนได้

“คุณกานต์เป็นสถาปนิก น้องสาวของผมก็อยากเป็นเหมือนกันจึงต้องไปเรียนที่คณะสถาปัตย์ของมหาวิทยาลัย…” เขาเอ่ยนามมหาวิทยาลัยที่ทุกคนรู้จักกันดี

“จริงหรือคะ ถ้าหมอทิวไม่บอก ก็ไม่รู้ว่าน้องสาวของหมอทิวเป็นรุ่นน้องของกานต์ เพราะกานต์เรียนจบจากที่นั่นเหมือนกัน แต่คงจะไม่เคยเจอกันหรอกค่ะ กานต์เรียบจบหลายปีแล้ว”

แม้เขาจะเคยรับฟังเรื่องราวของหล่อนมาบ้าง แต่เรื่องที่เพิ่งได้ทราบนั้นเป็นเรื่องใหม่ซึ่งไม่เคยถูกกล่าวถึง ส่วนเรื่องของครอบครัวของเขาก็เคยเอ่ยให้หล่อนฟังบ้าง แต่ไม่ได้ลงรายละเอียดมากนัก เพราะทุกครั้งที่เจอกันจะคุยเรื่องแมวเป็นส่วนใหญ่

“ถ้าน้องสาวผมกลับมาที่บ้าน ผมจะลองถามว่ารู้จักคุณกานต์หรือเปล่า”

“กานต์คิดว่าน่าจะรู้จักค่ะ เพราะ…” หญิงสาวหยุดปากไว้แค่นั้น นั่งคิดสักพักแล้วเอ่ยต่อ “กานต์ไม่บอกหมอทิวดีกว่า ให้รู้เองจากน้องสาวว่ารู้จักกานต์จากไหน ถ้าบอกไปกลัวหมอทิวจะไม่เชื่อ”

เขารับฟัง ไม่คิดเซ้าซี้ให้พูดออกมา ถึงแม้เพิ่งจะรู้ว่าหล่อนนั้นก็เป็นคนมีลับลมคมใน

“เอาไว้ผมไปหาคำตอบจากน้องสาวเองก็ได้ครับ” เขายกมือขวาขึ้นมาลูบหัวคูก้าที่กระโดดขึ้นบนโต๊ะตัวเตี้ยทางด้านหน้า

“เอ๊ะ! กานต์เพิ่งสังเกตเห็น หมอทิวใส่แหวนด้วยเหรอคะ”

ทิวพนมมองหน้าหล่อนซึ่งจดจ้องที่มือของเขา ซึ่งต้องหยุดชะงักมือที่กำลังลูบหัวแมว เมื่อได้ยินคำทักนั้น

ปกติถ้าเขาไปทำงานก็จะไม่ใส่แหวนวงนี้ติดนิ้ว เพราะเวลาขึ้นเวรก็จะต้องถอดออกอยู่ดี ยกเว้นยามออกไปไหนมาไหนในวันหยุด จะใส่บ้างไม่ใส่บ้างตามที่นึกขึ้นมาได้ เผื่อจะมีคนเห็นแหวนวงนี้แล้วจะทำให้เขาได้ในสิ่งที่ต้องการ หากวันนี้ หลังจากที่เขาไปยืนอยู่ด้านหน้ารูปมารดาแล้วบอกว่าจะออกมาพบหญิงสาว เหมือนมีบางอย่างมาดลใจให้เขาหยิบแหวนมาสวมนิ้วก้อยขวาซึ่งเป็นนิ้วที่ใช้สวมแหวนวงนี้เป็นประจำ

“แหวนที่แม่ให้ผมไว้น่ะครับ” เขารีบบอก เพราะกลัวหล่อนจะเข้าใจผิด ถ้าคิดว่าเป็นแหวนที่คนรักมอบให้กัน

“กานต์ขอดูแหวนของหมอทิวใกล้ๆ ได้ไหมคะ เหมือนจะเคยเห็นที่ไหนมาก่อน” หญิงสาวเอ่ยด้วยความเกรงอกเกรงใจ

ตั้งแต่สวมแหวนวงนี้ หล่อนเป็นคนแรกที่พูดเช่นนั้นกับเขา ทิวพนมรีบถอดแหวนออกจากนิ้วก้อย ยื่นส่งให้หญิงสาวอย่างเร็วไว

“คุณกานต์พอจะนึกออกไหมครับ เคยเห็นแหวนลักษณะนี้จากไหน บางทีสิ่งที่ผมอยากรู้ คุณกานต์อาจจะช่วยผมก็ได้นะครับ”

กานต์สินีรับแหวนจากเขามาไว้ในมือ จ้องมองใกล้ๆ พลิกดูแหวนอย่างพินิจพิเคราะห์ พร้อมกับใช้ความคิดทบทวนความทรงจำอยู่สักพัก “กานต์คุ้นแหวนวงนี้มากเลยนะคะ เหมือนเคยเจอมาก่อนแน่ๆ แต่ยังนึกไม่ออกค่ะ” หญิงสาวส่งแหวนคืนให้เขา

“แหวนวงนี้เป็นแหวนของครอบครัวผม มีความสำคัญในการตามหาคนคนหนึ่ง ถ้าคุณกานต์พอนึกออกว่าเคยเห็นแหวนแบบนี้จากใคร คุณกานต์บอกผมด้วยนะครับ” ทิวพนมยังละบางเรื่องราวของครอบครัวของตนไว้ เพียงแค่อยากให้รู้ว่าแหวนวงนี้สำคัญกับเขา

“กานต์จะพยายามนึกให้ได้นะคะ มันคุ้นจริงๆ แต่ตอนนี้นึกยังไงก็นึกไม่ออก”

“ผมขอบคุณคุณกานต์มากครับ” เขาเอ่ยเช่นนั้นเพราะเห็นท่าทีที่อีกฝ่ายพยายามจะนึกให้ออก จากนั้นเขาก็เปลี่ยนเรื่องคุยเป็นเรื่องเกี่ยวกับแมวเพื่อไม่ให้หญิงสาวเคร่งเครียดกับแหวนของเขามากเกินไป

ไม่นานเขาก็ขอตัวกลับ ทั้งที่อยากชวนหล่อนออกไปข้างนอกด้วยกัน แต่หญิงสาวมีธุระเรื่องงานที่ต้องสะสางให้เสร็จจึงให้เวลาเขาได้เพียงเท่านี้

สำหรับทิวพนม แค่นี้ก็เพียงพอกับการได้มาใกล้ชิดกัน นี่เป็นเพียงก้าวแรกที่จะได้พัฒนาความสัมพันธ์ ในเมื่อฝ่ายหญิงไม่ได้รังเกียจหรือต่อต้านคนอย่างเขา

หรืออาจมีอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เขาได้พบกานต์สินีคือแหวนที่จะทำให้เขาได้พบพ่อที่แท้จริง เพราะไม่เคยมีใครทักเรื่องแหวนเลยตั้งแต่สวมไว้ติดกาย จนวันนี้ พอหล่อนเห็นแหวนก็ทักว่าเคยเห็นมาก่อน

เขาอยากจะรู้ว่ากานต์สินีเคยเห็นแหวนเหมือนที่เขามีมาจากที่ใด เพราะอาจจะใช้เป็นจุดเริ่มต้นที่จะได้พบพ่อที่แท้จริงซึ่งอยากจะรู้มานานว่าคนนั้นเป็นใครและอยู่ที่ไหน

ทิวพนมคาดว่าอีกในไม่ช้า จะได้คำตอบที่พยายามเฝ้าถามจากผู้เป็นยาย โดยมีหญิงสาวเป็นคนนำพาเขาไปค้นพบคำตอบนั้น

 



Don`t copy text!