ลามิลืม บทที่ 3 : ใคร? บางคนที่อยู่ใกล้

ลามิลืม บทที่ 3 : ใคร? บางคนที่อยู่ใกล้

โดย : กุลวีร์

ลามิลืม นวนิยายออนไลน์ โดย กุลวีร์ ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านออนไลน์ เรื่องราวของทิวพนม สัตวแพทย์หนุ่มผู้มองโลกในแง่ดี มีหัวใจอบอุ่นงดงาม จะต้องผ่านความทุกข์ และการจากลาอีกกี่ครั้ง คงมีแต่ความรัก หัวใจอันเข้มแข็งและเด็ดเดี่ยวเท่านั้น ที่จะพาให้ชายหนุ่มผ่านวันเวลาอันยากลำบากไปได้ในที่สุด

บ้านปูนสองชั้น ทาสีเปลือกไข่ไก่รอบตัวบ้าน หลังคามุงกระเบื้องสีน้ำตาลเข้ม เป็นบ้านที่เขามาเยือนตลอดระยะเวลาสามเดือนกว่า อย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง โดยมีข้ออ้างต่างๆ เกี่ยวกับแมวเพื่อมาพบหน้าลูกสาวเจ้าของบ้าน

เมื่อได้เจอกันแล้ว ก็ขอโอกาสสร้างมิตรไมตรีต่อกันให้นานที่สุด

หากวันแรกที่ได้มาเยือนเพราะเหตุการณ์นำพา หลังจากเขาฉีดยาลดไข้ให้แมว เช้าวันรุ่งขึ้น หญิงสาวก็นำโอเล่ไปตรวจที่โรงพยาบาลสัตว์เอื้อเอ็นดู แมวติดเชื้อหวัดไม่ร้ายแรงจึงฉีดยาฆ่าเชื้อให้อีกครั้งและไปสังเกตอาการที่บ้าน เจ้าของแมวปฏิบัติตามคำแนะนำเป็นอย่างดี พอมีข้อสงสัยก็จะโทรศัพท์สอบถามเขาโดยตรง การได้มาเจอกานต์สินีนั้นเป็นการสร้างความคุ้นเคยกันยิ่งขึ้น อย่างเช่นวันนี้ที่เขาตั้งใจมาหา โดยอ้างว่ามาตรวจดูอาการของแมวเหมือนที่ผ่านๆ มา

เขาจอดรถไว้ข้างรั้วบ้าน ยืนหน้าประตูทางเข้าซึ่งเป็นโครงเหล็กอัลลอยลวดลายคุ้นตา หลังจากกดกริ่งก็รอไม่นานนัก ผู้เป็นมารดาซึ่งคุ้นหน้าสัตวแพทย์หนุ่ม เดินมาเปิดประตูเพราะกำลังยืนชมต้นไม้ที่ปลูกไว้บริเวณด้านข้างตัวบ้าน

บ้านหลังนี้เท่าที่เขารู้ มีผู้อาศัยอยู่เพียงสี่คน คือพ่อ แม่ ลูกสาว และแม่บ้าน

ทิวพนมยกมือขึ้นไหว้ทันทีที่เห็นหน้าเจ้าของบ้าน มือข้างหนึ่งถือกล่องใส่อุปกรณ์ในการตรวจร่างกายสัตว์ เขาเดินตามหลังเจ้าของบ้านเข้าไปด้านในตัวบ้าน ได้พบคนที่อยากเจอกำลังนั่งทำงานอยู่บนโต๊ะในมุมหนึ่งของห้องนั่งเล่น แมวสองตัวนอนหลับใหลในตะกร้าซึ่งมีผ้าหนานุ่มรองไว้อยู่ข้างๆ โต๊ะที่ใช้ทำงาน

“สวัสดีค่ะ หมอทิว” กานต์สินีเงยหน้าขึ้นมอง เมื่อรู้ถึงการมาเยือนของเขา

สัตวแพทย์หนุ่มกล่าวทักทักทายและยิ้มให้ ส่วนมารดาของหล่อนก็เดินไปหาน้ำหาท่ามาต้อนรับชายหนุ่มด้วยตัวเอง

“โอเล่ตื่นได้แล้ว หมอทิวมาถึงบ้านแล้วนะ” หล่อนวางมือจากงานตรงหน้า อุ้มแมวเปอร์เซียสีขาว แต่มีสีเทาที่ใบหูสองข้างและหาง เดินเข้าไปใกล้เขา ส่วนแมวอีกตัวยังนอนไม่ไหวติง

เมื่อถูกคนรบกวน โอเล่จึงลืมตาตื่น ขณะถูกวางไว้บนโต๊ะตัวเตี้ยข้างกล่องอุปกรณ์ที่เขาวางไว้

ชายหนุ่มลงนั่งบนโซฟา หยิบเครื่องมือใช้ตรวจอาการของแมว ซึ่งยังคงมีท่าทางเหมือนจะขอนอนต่อ แต่ไม่ขัดขืนหรืออยากจะวิ่งหนี แมวยังนอนนิ่งให้สัตวแพทย์หนุ่มทำการตรวจโดยดี

“โดยทั่วไป โอเล่มีสุขภาพแข็งแรงดีครับ ตั้งแต่เป็นหวัดวันนั้นก็ยังไม่ป่วยอีกเลย ถือว่าดูแลได้ดีมากครับ”

กานต์สินีฟังคำของเขาจบก็อุ้มโอเล่กลับไปนอนในตะกร้าแล้วอุ้มคูก้ามาวางไว้แทนที่แมวตัวแรก

“คูก้า ขอหมอตรวจร่างกายหน่อยนะ” เขาพูดกับแมวเปอร์เซียสีขาวหมดทั้งตัว พลางลูบหัวและเกาคาง ก่อนจะทำการตรวจอย่างที่ตั้งใจ

“คูก้าก็แข็งแรงดีนะครับ ถ้ามีความผิดปกติ อย่างแรกควรแยกแมวสองตัวให้อยู่กันคนละที่ กั้นไว้ก่อนที่จะติดต่อถึงกัน หากเป็นโรคที่ติดจากแมวสู่แมวได้”

กานต์สินีอุ้มคูก้าให้กลับไปนอนกับโอเล่ในตะกร้าตามเดิม ขณะที่มารดาของหญิงสาวนำแก้วน้ำชาพร้อมคุกกี้ในจานมาให้เขา แล้วเดินออกไปนอกห้อง

ทิวพนมนั่งคุยกับหล่อนด้วยความเป็นกันเองและสุขใจ หากเรื่องราวที่กล่าวถึงนั้นส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับแมวเหมือนทุกครั้งที่ได้พูดคุยกัน

แต่ก็มีเรื่องอื่นๆ ที่เขาได้รับรู้อีกด้วย

ปกติกานต์สินีไม่ได้อาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้ เพราะหล่อนทำงานที่กรุงเทพฯ จึงอยู่ที่คอนโดมิเนียมเป็นหลัก สำหรับเขาระยะทางไม่ใช่ปัญหาที่จะพัฒนาความสัมพันธ์

พอไม่นาน คูก้าก็เดินมาคลอเคลียขาของเขา หรืออาจจะเป็นเพราะเสียงพูดของคนไปรบกวนเวลานอนพักผ่อนของแมว เพราะโซฟาที่พวกเขานั่งอยู่ก็ตั้งอยู่ไม่ไกลกับตะกร้าที่แมวสองตัวใช้เป็นที่นอน

ทิวพนมอุ้มคูก้ามาไว้บนตัก ใช้มือลูบหัวแมว “คุณกานต์รู้ไหมครับ แมวชอบให้คนเกาบริเวณไหนมากที่สุด”

“ใต้คางใช่ไหมคะ กานต์เห็นหมอทิวทำกับคูก้าในตอนแรกที่เจอกัน” หญิงสาวบอกออกมา หากวันนี้คงสนิทกันมากกว่าแต่ก่อน คำแทนตัวเองของหล่อนจึงเปลี่ยนไปจากช่วงแรกที่ได้พบกัน

“ถูกต้องครับ นี่เป็นวิธีแรกที่ทำให้แมวเชื่องหรือคุ้นเคยกับคนมากขึ้น แต่ก็มีอีกสองที่ที่แมวชอบให้เกาเหมือนกันคือบนหัวและโคนหาง”

ทิวพนมใช้มือเกาหัวตามมาด้วยโคนหางของแมวประกอบคำพูด คูก้าก็ยังนอนนิ่งให้เขาเกาอยู่อย่างนั้น ไม่ยอมหนีไปไหน มันคงชอบการกระทำของเขาเพื่อแสดงให้หญิงสาวเชื่อตามคำกล่าวนั้น

“แต่แมวแต่ละตัวก็มีความชอบและนิสัยต่างกัน ต้องสังเกตเองครับ ที่ผมพูดออกมานั้นเป็นส่วนใหญ่ที่ผมเจอมากับตัวเอง”

“นอนนิ่งให้หมอทิวเกาเล่นเชียวนะ คูก้า ดูท่าคงจะชอบ” หล่อนพูดจบก็อุ้มโอเล่ที่เพิ่งจะเดินมาถูไถขาไว้บนตัก ลองเกาคาง หัว และโคนหางของแมวตามเขาบ้าง “ดูสิคะ โอเล่คงชอบเหมือนกัน ตาพริ้มเชียว แต่นานๆ ที กานต์จะมาเล่นกับแมวสองตัวนี้ ไหนจะงานที่ต้องรีบทำให้เสร็จตามกำหนด ไม่ค่อยมีเวลามาเล่นด้วยหรอกค่ะ ไหนจะต้องกลับไปอยู่ที่กรุงเทพอีกนะคะ แต่ถ้าว่างก็จะมาบ้านนี้ มาหาพ่อกับแม่ มาเล่นกับแมวก็ช่วยผ่อนคลายได้ดีค่ะ”

“แมวสองตัวชื่อน่ารักดีนะครับ คุณกานต์เป็นคนตั้งชื่อเองหรือเปล่า” เขาจะถามมานานแล้ว ชื่อของแมวสองตัวนั้นซึ่งคุ้นหู แต่ไม่ค่อยจะมีใครนำมาใช้เป็นชื่อแมว

“คูก้ากานต์เป็นคนตั้งให้ค่ะ ส่วนโอเล่เป็นอีกคนที่ตั้งให้ จะได้มีชื่อลูกอมเหมือนๆ กัน”

เพราะชื่อของแมวสองตัวนั้นเป็นชื่อของยี่ห้อลูกอม เขานึกถึงลูกอมเม็ดสีเหลืองนวลพอเคี้ยวจะรู้สึกหนุบหนับในปากกับลูกอมเม็ดสีแดง

“แสดงว่าคุณกานต์ชอบอมลูกอมคูก้า”

“ใช่ค่ะ กานต์ชอบรสนมมากๆ เลย”

ครั้งแรกที่ได้ยินชื่อของแมวทั้งสองตัว เขาก็นึกถึงลูกอมสองยี่ห้อนั้น แต่ยังไม่กล้าทัก เพราะไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายจะรู้จักเหมือนกันไหม หากบัดนี้หล่อนรู้จักเช่นเดียวกับเขา ทั้งที่เขาอยากบอกว่าชอบรสนมเช่นกัน เพราะเคี้ยวเพลิน ไม่แสบเหงือก แต่เขาเปลี่ยนเรื่องสนทนาเพื่อย้ำเตือนหล่อนด้วยความหวังดีทั้งแมวทั้งคน

“พรุ่งนี้คุณกานต์อย่าลืมพาคูก้าไปฉีดวัคซีนที่โรงพยาบาลด้วยนะครับ ครบกำหนดเวลาที่ต้องฉีดแล้ว”

“ถ้าหมอทิวไม่บอก กานต์คงลืม มัวทำแต่งานไม่ได้นึกถึงอะไรเลย จริงด้วยสิคะ ถึงวันที่ต้องพาคูก้าไปฉีดซีน”

หญิงสาวมีท่าทีเหมือนเพิ่งจะนึกออกในเรื่องที่เขาเอ่ยถึง หล่อนคงลืมไปจริงๆ ไม่ได้เสแสร้งแต่อย่างใด

เรื่องวัคซีนที่ต้องฉีดให้แมวเขาเคยแนะนำให้หล่อนฟังมาแล้วหนหนึ่ง ตั้งแต่แรกๆ ที่ได้พูดคุยกัน ก่อนที่แมวสองตัวย้ายมาอยู่บ้านหลังนี้ก็เคยได้รับวัคซีนมาก่อน เมื่อถึงระยะเวลาที่กำหนดก็ต้องไปรับวัคซีนเช่นกัน เขาจึงมาเพื่อเน้นย้ำกับหล่อน ทั้งที่โทร.บอกก็ได้ แต่อยากเห็นหน้าอีกฝ่ายซึ่งดีต่อหัวใจที่เริ่มคิดหวังจริงจัง

หลังจากเมื่อปีก่อนที่หล่อนนำพวกมันมาให้มารดาเลี้ยงดูในบ้าน พอทราบว่าได้ฉีดวัคซีนจนครบปีไปแล้วเมื่อไม่กี่วันก่อนก็ปรึกษาเขา เขาจึงแนะนำให้พาแมวสองตัวไปฉีดวัคซีนที่โรงพยาบาลสัตว์ที่เขาทำงานอยู่จะได้ไม่ต้องเดินทางข้ามจังหวัดนำแมวไปหาสัตวแพทย์คนเดิมซึ่งอยู่ใกล้บริษัท หากหญิงสาวสะดวกพาไปทีละตัว โดยเริ่มจากคูก้าก่อน

ทั้งสองคนคุยกันอีกสักพักหนึ่ง เขาขอตัวกลับ เพราะไม่อยากรบกวนเวลาที่หล่อนใช้ทำงานมากจนเกินไป แค่พอหอมปากหอมคอ รู้จักกันไปทีละนิด ไม่รีบร้อน น่าจะสร้างความผูกพันทางใจได้อย่างแนบแน่นมากกว่าที่จะเปิดเผยความรู้สึกแท้จริงออกไป เพราะท่าทีของหล่อนก็คงไม่รังเกียจกัน น่าจะคบหากันไปได้อีกนาน

ทว่ากานต์สินีไม่ได้รู้สึกเหมือนกับเขา ยังมีบางเรื่องราวที่ไม่คิดจะบอกกล่าวเพราะเห็นว่าไม่ใช่เรื่องสำคัญ

ชายหนุ่มไม่เคยจะรู้เลย…

 

นอกจากความปีติยินดีที่ได้ช่วยเหลือสัตว์ให้หายเจ็บป่วยแล้ว ตั้งแต่ได้รู้จักหญิงผู้นั้น เขาก็มีความเปรมปรีดิ์ได้วันละหลายหน ยามนึกถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยพูดคุยกัน ทำให้หายเหนื่อยจากการทำงานและหน้าตาสดใสขึ้นจนคนรอบข้างน่าจะรู้ว่าเขาคิดเช่นไรกับเจ้าของแมวเปอร์เซียสองตัวที่มาโรงพยาบาลสัตว์เอื้อเอ็นดูเพื่อพาแมวมารักษาในช่วงสามเดือนที่ผ่านมา

เขาขับรถไปก็ยิ้มไป เมื่อคำนึงถึงเรื่องราวดีๆ ที่เคยเกิดตั้งแต่ได้พบกานต์สินีและแมวสองตัว จนนำพารถยนต์ส่วนบุคคลสีดำซึ่งมีอยู่เกลื่อนตามท้องถนนเข้าสู่จุดจอดรถประจำของสัตวแพทย์โรงพยาบาลสัตว์เอื้อเอ็นดูซึ่งเป็นโรงพยาบาลสัตว์แห่งเดียวของจังหวัดที่ตั้งอยู่ห่างจากกรุงเทพมหานครประมาณ 150 กิโลเมตร

ทิวพนมได้ทำงานที่นี่จากการชักชวนของเพื่อนสนิทซึ่งพ่อของเลอมานนั้นรู้จักกับเจ้าของโรงพยาบาลจึงมาสมัครงานด้วยกันหลังจากเรียนจบ และยังเป็นที่ที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านเกิดอีกด้วย เขาจึงได้กลับมาอาศัยบ้านของตน ตั้งแต่เริ่มต้นทำงานจนถึงปัจจุบันนี้

หากตามปกติ เมื่อชายหนุ่มลงจากรถ จะก้าวขามุ่งหน้าสู่ประตูทางเข้าอาคารสูงสี่ชั้น ถึงแม้ขณะขับรถจะนึกถึงเรื่องราวต่างๆ แต่ระหว่างที่เลี้ยวรถเข้ามาในพื้นที่ของโรงพยาบาล สายตาแลเห็นเด็กผู้ชายยืนตรงด้านหน้าป้ายชื่อของสถานที่แห่งนี้ แต่สิ่งที่อยู่ในอ้อมแขนของอีกฝ่ายทำให้เขาต้องเดินย้อนออกมา

ระยะทางไม่ไกลมากนัก ทิวพนมยังพบเด็กชายยืนตรงที่เดิม สวมใส่เสื้อผ้าที่ผ่านการใช้งานเป็นเวลาเนิ่นนานด้วยสีที่หมองคล้ำลงไปมากจึงไม่รู้สีแท้จริงของเสื้อกับกางเกง พอเดินเข้าไปใกล้ เขาเห็นแววตาแดงๆ ซึ่งผ่านการร้องไห้ของเด็กชาย และสิ่งที่เห็นชัดเจนขึ้นคือสัตว์ตัวเล็ก นอนไม่ไหวติงบนท่อนแขนของคนที่อุ้มไว้อย่างทะนุถนอม

“น้องครับ แมวตัวนั้นไม่สบายหรือเปล่า” เขาถามถึงสิ่งที่อยู่ในความสนใจซึ่งมองเห็นความผิดปกติจากสายตาของสัตวแพทย์ที่เคยผ่านแมวป่วยมาหลายราย

“ตอนเช้าเรียกมันแล้วไม่ยอมมากินข้าว ผมเข้าไปดูเห็นมันนอนนิ่ง รีบพามันมาที่นี่ครับ” เด็กชายเล่าเหตุการณ์ ก่อนตัดสินใจมายืนอยู่ที่ตรงนี้

“ขอพี่ดูแมวหน่อยได้ไหม พี่เป็นหมอรักษาแมว ทำงานอยู่ที่นี่” เขายิ้มให้อีกฝ่ายอย่างโอบอ้อมอารี

“คุณหมอช่วยมันด้วยนะครับ ผมไม่อยากให้มันตาย” เด็กชายรีบยื่นแมวตัวจ้อยที่ยังนอนสลบไสลให้แก่เขา

อาจเป็นเพราะท่าทางที่ดูน่าเชื่อถือและไว้ใจได้ หรือนี่อาจเป็นหนทางสุดท้ายที่จะทำให้สัตว์เลี้ยงเพื่อนรักของเด็กชายได้มีชีวิตชีวาอีกครั้ง

ทิวพนมอุ้มลูกแมวตัวเล็กลายส้มมาไว้กับตัวเอง ลองเปิดตา อ้าปากลูกแมวที่ยังนอนแน่นิ่งไม่ขยับตัวแม้แต่น้อย ทว่ายังมีลมหายใจอยู่ สังเกตจากหน้าท้องที่กระเพื่อมขึ้นลงเป็นระยะ

“น่าจะมีไข้สูงนะ อ่อนเพลียมากด้วย พี่ขอนำไปรักษาและดูอาการให้”

“ผมไม่รู้จะพามันไปที่ไหน รู้แค่ว่าที่นี่ช่วยให้สัตว์หายป่วยได้ก็รีบพามันมา แต่ผมไม่มีเงินจ่ายค่ายาค่าหมอหรอกครับ ไม่กล้าพามันเข้าไป” เด็กชายบอกเหตุผลที่มายืนอยู่หน้าทางเข้าของโรงพยาบาลสัตว์เอื้อเอ็นดู

“เรื่องนั้นไม่ต้องกังวล พี่ช่วยได้อยู่แล้ว”

“โชคดีมากนะ ไอ้เสือ ที่ได้เจอพี่หมอใจดี” เด็กชายพูดพร้อมใช้มือลูบหัวลูกแมวตัวสีส้มลายคล้ายเสือซึ่งนอนนิ่งในอ้อมแขนเขา

“พี่จะดูแลให้มันตื่นขึ้นมาเป็นเพื่อนเล่นของน้องได้ตามเดิม”

ทิวพนมเห็นใบหน้าเปื้อนยิ้มของอีกฝ่าย เมื่อได้ยินคำของเขา

“ขอบคุณมากครับ พี่หมอ” คนพูดยกมือไหว้ “ผมฝากไอ้เสือไว้กับพี่หมอก่อนนะครับ ผมต้องรีบกลับไปช่วยแม่ทำงาน แล้วผมจะกลับมาดูมันครับ”

“เข้ามาในโรงพยาบาลได้เลยนะ แจ้งว่ามาหาหมอทิว”

“ครับ พี่หมอทิว ขอบคุณมากๆ อีกครั้งครับ” เด็กชายเอ่ยจบก็รีบวิ่งผละออกไปจากตัวเขา

ทิวพนมก้มมองลูกแมวที่ชื่อเสือ ซึ่งนอนไม่รู้สึกตัว สิ่งที่ทำให้เลือกประกอบอาชีพเป็นสัตวแพทย์ นอกจากจะได้ช่วยเหลือสัตว์ให้หายเจ็บป่วยแล้วก็ยังมีรอยยิ้มจากเจ้าของสัตว์ คืออีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้เขาชอบทำงานนี้และรักอาชีพนี้มาก

โรงพยาบาลสัตว์เอื้อเอ็นดู แม้จะดูหรูหรา แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่าสถานที่ทำงานของเขารับรักษาสัตว์เลี้ยงขนาดเล็กทุกตัวของทุกคนที่เดินเข้ามาใช้บริการ ไม่ว่าเจ้าของสัตว์จะมีเงินทองมากหรือน้อยก็ตาม

เด็กชายผู้นั้นคงเป็นคนส่วนมากที่ไม่กล้าเข้ามาเพราะกลัวจะเสียค่าใช้จ่ายสูง

โรงพยาบาลสัตว์แห่งนี้ยังรับรักษาสัตว์ที่ไม่มีเจ้าของอีกด้วย ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะเป็นกรณีที่เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลไปพบสัตว์ข้างทางได้รับบาดเจ็บก็จะนำมารักษาและดูแลจนหายดี พร้อมหาที่พักพิงให้แก่สัตว์เหล่านั้น เพราะโรงพยาบาลมีเงินส่วนกลางหรือเงินที่ได้รับบริจาคสำหรับช่วยเหลือสัตว์ยากไร้ ทิวพนมจึงยินดีรับลูกแมวลายส้มมาอยู่ในความดูแลของตนเอง ถึงแม้จะไม่มีเงินส่วนนั้น ชายหนุ่มก็ยินดีที่จะนำเงินส่วนตัวเพื่อช่วยให้ลูกแมวกลับมามีชีวิตเป็นสัตว์เลี้ยงเพื่อนเล่นของเด็กคนนั้นอีกครั้ง

แม้ทุกชีวิตที่ได้พบกันย่อมมีการจากลา แต่แมวตัวนี้คงยังไม่ถึงเวลาที่ต้องจากผู้เป็นเจ้าของไปจึงได้มาพบเขา

สัตวแพทย์หนุ่มอุ้มลูกแมวป่วยเดินเข้ามาโรงพยาบาลอย่างว่องไว เขายิ้มทักทายให้กับผู้คนที่คุ้นหน้าและส่งยิ้มตอบกลับมาเช่นกัน จนเข้าไปในห้องตรวจ วางลูกแมวลายส้มลงบนโต๊ะ เดินออกมาเรียกผู้ช่วยสัตวแพทย์สาวที่ทำงานร่วมกับเขามาได้หนึ่งปี

“ลินมาช่วยพี่หน่อย มีแมวป่วยฉุกเฉินเข้ามาพอดี”

หญิงสาวที่ถูกเรียกชื่อ กุลีกุจอเข้ามาช่วยทิวพนมทำการตรวจร่างกายและรักษาลูกแมวตัวน้อยโดยด่วน เมื่อเขาได้ฉีดยาเสร็จเรียบร้อยและให้สารน้ำแก่ลูกแมว จึงให้หล่อนนำแมวใส่กรงเพื่อเฝ้าดูอาการในห้องสัตว์ป่วยที่ต้องดูอาการอย่างใกล้ชิด

“โชคดีมากนะคะ ที่พี่ทิวพามารักษาทันเวลา ถ้าไข้สูงกว่านี้คงแย่แน่ เป็นไข้สูงจนไม่รู้สึกตัวขนาดนี้แล้ว” มาลินทร์ซึ่งเป็นผู้ช่วยสัตวแพทย์เดินมาพูดกับเขาถึงอาการของลูกแมว

“พี่พยายามช่วยเต็มที่ พวกเราก็รอแล้วกันว่ายาที่ให้ไปจะช่วยให้ฟื้นขึ้นมาหรือเปล่า” แม้ลูกแมวลายส้มจะมีอาการร่อแร่ดูน่าเป็นห่วง เขาภาวนาให้มันกลับมามีชีวิตอีกครั้ง

“พี่ทิวไปเจอลูกแมวตัวนี้จากไหนคะ” หญิงสาวชวนคุย

หากคุยกันสองต่อสอง มาลินทร์จะเรียกเขาเหมือนเรียกพี่ชายของตนเอง หญิงสาวผู้นี้คือน้องสาวของเลอมานซึ่งสนิทสนมและคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี หล่อนก็ไม่ต่างจากน้องสาวคนหนึ่งของเขาเช่นกัน

“พี่เจอเด็กผู้ชายยื่นอุ้มแมวอยู่หน้าโรงพยาบาล ไม่กล้าเข้ามาหาพวกเรา”

“ทำไมคะ”

“คงกังวลเรื่องค่ารักษา ได้แต่ยืนอุ้มอยู่ตรงนั้น พี่เห็นพี่ก็เลยเดินเข้าไปดู ก่อนจะมาขึ้นเวร”

“โชคดีของเด็กกับลูกแมวที่ได้เจอพี่ชายใจดีอย่างพี่ทิว” มาลินทร์เอ่ยด้วยน้ำเสียงชื่นชมในตัวเขา แล้วถามต่อ “เด็กคนนั้นจะมาเยี่ยมลูกแมวอีกไหมคะ”

“บอกว่าจะมานะ ถ้ามาตอนไหนก็ให้เข้ามาดูลูกแมวได้เลย” เขาตอบคำถาม จากนั้นก็เปลี่ยนเรื่องคุย ถามถึงเพื่อนสนิทซึ่งทำงานอยู่ที่เดียวกัน “พี่ชายของลินหายไปไหนล่ะ พี่ยังไม่เจอหน้าเลย เหมือนจะไม่เห็นรถจอดอยู่ที่ลานจอด”

“พี่เลอมาส่งลินก็ขอไปทำธุระต่อ คงมาเข้าเวรตอนบ่ายค่ะ” มาลินทร์คลายความสงสัยให้เขา

“พี่ฝากลินดูแลไอ้เสือด้วยนะ ถ้ามันฟื้นแล้วมาเรียกพี่ด้วย จะไปดูอาการอีกรอบ ตอนนี้พี่ต้องขอตัวไปตรวจดูอาการของเด็กๆ ในความดูแลของพี่ก่อน”

สัตวแพทย์หนุ่มหมายถึงบรรดาสัตว์ป่วยที่นอนอยู่ในกรงซึ่งมีเขาเป็นเจ้าของไข้ โดยส่วนมากจะเป็นแมว

“ไอ้เสือ…อ่อ ลูกแมวตัวนั้น” มาลินทร์เพิ่งนึกขึ้นได้ถึงชื่อใหม่ของสัตว์ป่วยที่ไม่คุ้นหู

“พี่ฝากลินทำแฟ้มสัตว์ป่วยให้ไอ้เสือด้วย ไปแจ้งที่ฝ่ายลงทะเบียนได้เลย”

“ได้ค่ะ พี่ทิว” หล่อนรับคำสั่งของเขาด้วยความยินดี

ชายหนุ่มฟังหญิงสาวพูดจบก็เดินไปทำหน้าที่ตามความรับผิดชอบของตน

ทิวพนมไม่เคยทราบเลยว่าผู้หญิงที่ชีวิตเขาได้รู้จัก ไม่ว่าจะเป็นคนเก่าซึ่งทำงานอยู่ข้างกายนั้นที่ให้เป็นเพียงน้องสาวเรื่อยมา หรือจะเป็นคนใหม่ซึ่งรู้จักกันเพียงไม่กี่เดือนที่เพิ่งเข้ามาในหัวใจของเขา แต่ละคนล้วนมีความลับที่ซุกซ่อนไว้ โดยที่เขาไม่เคยรู้หรือไม่สนใจที่จะรู้

คนหนึ่งตั้งใจปกปิด ขณะที่อีกคนไม่คิดจะบอกกันเท่านั้นเอง เมื่อไหร่เขาจะได้ทราบเสียที

หลังจากมาลินทร์ทำตามคำสั่งของนายสัตวแพทย์ทิวพนมเรียบร้อย ก็เดินตามเขาไปตรวจดูอาการแมวป่วยจนล่วงเลยมาหลายชั่วโมง หากภาคเช้าของวันนี้ทิวพนมไม่ได้ขึ้นเวรในห้องตรวจจึงไม่รีบร้อน เพราะมีสัตวแพทย์อีกคนออกตรวจแทน

เมื่อขอตัวไปทำหน้าที่จนเสร็จสิ้น ผู้ช่วยสัตวแพทย์สาวก็เดินมาใกล้บริเวณพื้นที่ที่ผู้คนนำสัตว์เลี้ยงมารอรับบริการ หล่อนได้พบบุคคลคุ้นหน้าในช่วงเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา

 

 



Don`t copy text!