ลามิลืม บทที่ 4 : จะผิดไหม? ขอคิดเพียงข้างเดียว
โดย : กุลวีร์
ลามิลืม นวนิยายออนไลน์ โดย กุลวีร์ ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านออนไลน์ เรื่องราวของทิวพนม สัตวแพทย์หนุ่มผู้มองโลกในแง่ดี มีหัวใจอบอุ่นงดงาม จะต้องผ่านความทุกข์ และการจากลาอีกกี่ครั้ง คงมีแต่ความรัก หัวใจอันเข้มแข็งและเด็ดเดี่ยวเท่านั้น ที่จะพาให้ชายหนุ่มผ่านวันเวลาอันยากลำบากไปได้ในที่สุด
มาลินทร์มีรูปร่างบอบบาง สูงเพียง 165 เซนติเมตร ผมดำยาวประมาณติ่งหู ทรงผมบวกกับใบหน้าที่อ่อนกว่าวัย ถ้าคนไม่รู้จักกันก็คงคิดว่าอายุยังไม่ถึงยี่สิบปี หากแท้จริงนั้นอายุย่างเข้ายี่สิบเจ็ดปีแล้ว หล่อนทำงานเป็นผู้ช่วยสัตวแพทย์ในโรงพยาบาลสัตว์เอื้อเอ็นดูจวนจะได้สองปี เหตุผลที่เลือกเป็นผู้ช่วยสัตวแพทย์คือจะได้ทำงานที่เดียวกับพี่ชาย หากตอนแรกตำแหน่งนี้ยังไม่ว่างจึงต้องทำงานอื่น แต่เหมือนโชคช่วยในตอนที่ต้องสูญเสียพ่อแม่ จึงได้ย้ายมาอยู่กับพี่ชายและได้ทำงานที่เดียวกันจนสมความตั้งใจ
อีกหนึ่งเหตุผลที่มีเพียงพี่ชายแท้ๆ กับตัวหล่อนเองเท่านั้นที่รู้คืออยากชิดใกล้ทิวพนม พอยิ่งได้อยู่ใกล้ ยิ่งได้รู้จัก ก็ยิ่งหลงรักเพื่อนของพี่ชายอย่างถอนตัวไม่ขึ้น มาลินทร์ไม่เคยมอบหัวใจให้ชายอื่นนอกจากทิวพนม แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าอีกฝ่ายมองกันเสมือนน้องสาวเรื่อยมาก็ตาม
แต่คนเราไม่ผิดที่คิดไปไกล เพราะไม่ได้หวังให้เป็นจริง แค่ได้มองเห็นหน้ากัน แค่ได้อยู่ใกล้กัน แค่ได้พูดคุยกัน แค่ได้ยิ้มให้กัน สำหรับหล่อนก็เพียงพอแล้วที่หัวใจต้องการ เพราะรู้ตัวดีว่าเพื่อนของพี่ชายนั้นไม่เคยเปลี่ยนฐานะของหล่อนให้เป็นมากกว่าที่อยากให้เป็น
หน้าที่ของมาลินทร์คือทำตามคำสั่งของสัตวแพทย์โดยตรงซึ่งจะเป็นผู้ช่วยของนายสัตวแพทย์ทิวพนมและพี่ชายของหล่อนเป็นหลัก
หญิงสาวต้องคอยสอดส่องสัตว์ป่วยในกรง โดยเฉพาะแมวที่อยู่ในความดูแลของหมอแมว หล่อนเดินมาหยุดอยู่หน้ากรงของสัตว์ป่วยรายใหม่ซึ่งเป็นลูกแมวลายส้มชื่อว่าเสือ ก็ยังนอนนิ่งไม่ต่างจากครั้งแรกที่ได้เจอ แต่ไข้ลดลงไปบ้างซึ่งดูจากแท่งปรอทที่ใช้วัดอุณหภูมิ
หลังจากดูอาการและความเรียบร้อยของบรรดาสัตว์ป่วยตัวอื่นที่อยู่ในกรงจนเสร็จสิ้น มาลินทร์ก็เดินออกมาอยู่ตรงเคาน์เตอร์หน้าห้องตรวจ แลเห็นหญิงสาวตาคมนั่งอยู่บนเก้าอี้ของผู้รับบริการ โดยมีแมวเปอร์เซียสีขาวนอนอยู่บนตัก หล่อนรู้จักดีทั้งเจ้าของและแมวตัวนั้นจึงเดินเข้าไปทักทายอย่างคนมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี เพราะเริ่มที่จะคุ้นเคยกันมากแล้ว
หากก่อนจะเอ่ยคำใด อีกฝ่ายคงจะคุ้นหน้าหล่อนเช่นเดียวกันจึงหันมองพร้อมส่งยิ้มให้
“คุณกานต์มานั่งรอหมอทิวใช่ไหมคะ” มาลินทร์เอ่ยถาม ทั้งที่รู้ดีเป็นเช่นนั้น
“ใช่ค่ะ คุณลิน” กานต์สินีตอบ พลางเกาคางแมวที่นอนบนตัก พอมันเห็นหล่อนก็กระดิกหางเหมือนจะจำหล่อนได้
“คูก้าไม่สบายอีกแล้วเหรอคะ” มาลินทร์เข้าไปลูบหัวแมว
“คูก้าสบายดีค่ะ วันนี้กานต์นัดหมอทิวไว้ จะพามาฉีดวัคซีนประจำปี” กานต์สินีบอกวัตถุประสงค์ที่มานั่งรอสัตวแพทย์ทิวพนม
“พามาตัวเดียวเหรอคะ” หล่อนพอจะรู้ว่าหญิงสาวตรงหน้าเลี้ยงแมวไว้สองตัว
“ใช่ค่ะ วันนี้พาคูก้ามาก่อน ถ้าโอเล่ออกมาข้างนอกจะตื่นกลัวง่าย น่าจะดูแลลำบาก พามาทีละตัวดีกว่าค่ะ”
มาลินทร์พอจะจำได้ว่าแมวที่ชื่อโอเล่นั้นต้องมีกรงใส่แมวมาที่โรงพยาบาลสัตว์ ส่วนคูก้านั้นอุ้มมาได้สบายๆ “รอหมอทิวสักครู่นะคะ อีกไม่นานคงออกมาพบคุณกานต์ เพราะตรวจเคสสุดท้ายของภาคเช้าเสร็จแล้ว คงดูรายละเอียดอีกนิดหน่อยค่ะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ กานต์รอได้”
มาลินทร์พอจะเข้าใจที่ทั้งสองคนได้พบกัน เพราะนายสัตวแพทย์ทิวพนมจะตรวจรักษาแมวป่วยเป็นหลัก เมื่อหญิงสาวเจ้าของแมวเปอร์เซียสีขาวนำแมวป่วยมาที่แห่งนี้จึงได้พบเพื่อนของพี่ชายโดยปริยาย แต่สิ่งที่หล่อนไม่ค่อยเข้าใจคือท่าทีสนิทสนมของคนทั้งสองซึ่งแตกต่างจากวันแรกที่ได้พบกัน
เรื่องที่พี่ชายเคยเล่าให้ฟังว่าทิวพนมสนใจเจ้าของแมวผู้นี้ก็คงจะเป็นจริง ตามที่หล่อนสังเกตเห็นท่าทีของสองคนยามพบเจอกัน โดยเฉพาะฝ่ายชายนั้นเหมือนหนุ่มน้อยคลั่งรักสาวตาคม มาลินทร์ควรยินดีที่เขาจะได้พบกับหญิงสาวที่ใจต้องการซึ่งไม่ใช่หล่อน
หล่อนลงนั่งเคียงข้างกานต์สินีเล่นกับแมวซึ่งตื่นเต็มที่แล้ว
“รอนานไหมครับ คุณกานต์” สัตวแพทย์หนุ่มเอ่ยขึ้น
มาลินทร์เห็นทิวพนมมีรอยยิ้มสดใสมอบให้แก่กานต์สินี เพียงเท่านี้หล่อนก็รู้สึกสดใสและยิ้มตามไปด้วยเช่นกัน แม้เขาอาจจะไม่สนใจว่ามีหล่อนอีกคนอยู่ตรงนี้ก็ตาม
สำหรับมาลินทร์ แค่นี้ก็ชื่นใจมากพอแล้ว หล่อนอุ้มคูก้ามาไว้บนตัก นั่งฟังทั้งสองคนสนทนากัน
“กานต์เพิ่งมาถึงเมื่อกี้เองค่ะ เคลียร์งานเสร็จก็รีบมาเลย”
“คูก้า วันนี้ต้องถูกหมอจับฉีดยาแน่ๆ” ทิวพนมเดินเข้าไปใกล้แมวเปอร์เซียขนสีขาว นั่งยองให้ใบหน้าอยู่ระดับเดียวกับหน้าแมวที่นอนอยู่บนตักของหล่อน เขายกมือเกาคางแมวแล้วขยี้หัวแมว
มาลินทร์ก้มมองดูทั้งคนทั้งแมวด้วยความสุขใจ เพื่อนของพี่ชายจะมีมุมเป็นหนุ่มขี้เล่นเสมอยามอยู่กับแมว หรือไม่ก็อยู่กับพี่ชายของหล่อน ไม่เว้นแม้แต่กระทั่งหล่อนเองที่จะถูกขยี้ผมเป็นประจำ ยามฟังเขาไม่ค่อยเข้าใจ แม้เสี้ยวหน้าที่ได้เห็นจะคุ้นเคยดี แต่ก็ทำให้ไหวหวั่นได้เสมอ ทุกครั้งที่ได้มองหน้าชายหนุ่มโดยที่อีกฝ่ายไม่รู้ตัว
เขาลุกขึ้นยืน หันหน้าไปคุยกับเจ้าของแมว “คุณกานต์ทานอะไรมาหรือยังครับ นี่ก็ใกล้จะเที่ยงแล้ว”
“ยังเลยค่ะ กานต์รีบมา กลัวหมอทิวจะติดเคสอื่น กานต์ไม่อยากให้คูก้าต้องไปปรับตัวกับหมอท่านอื่น เจอหมอทิวน่าจะดีที่สุด”
มาลินทร์นึกในใจ ทั้งเจ้าของทั้งแมวนั่นแหละที่อยากเจอนายสัตวแพทย์ทิวพนม
“เราออกไปทานข้าวกลางวันกันก่อนไหมครับ ทานเสร็จแล้วผมค่อยมาฉีดวัคซีนให้คูก้า ส่วนคูก้าฝากไว้ในกรงของที่นี่พร้อมกับให้อาหาร” ชายหนุ่มยื่นข้อเสนอ
“กานต์กำลังจะชวนหมอทิวเหมือนกัน ตั้งแต่เช้าเพิ่งกินกาแฟไปแก้วเดียวเอง นี่ก็หิวมากด้วยค่ะ”
เมื่อหนุ่มสาวใจตรงกัน แมวที่เป็นส่วนเกินหรือคนที่ยังไม่หิวอย่างหล่อนนั้นก็ต้องเปิดโอกาสให้ทั้งสองอยู่กันตามลำพังอย่างรู้ตัวดี
มาลินทร์เอ่ยขึ้น “หมอทิวพาคุณกานต์ไปกินข้าวกลางวันดีกว่าค่ะ ลินคงหาอะไรกินแถวๆ นี้แล้วจะมาดูแลคูก้าให้เอง คุณกานต์ไม่ต้องห่วงนะคะ แมวตัวนี้น่ารัก ไม่ดื้อ เลี้ยงง่ายค่ะ”
หล่อนลูบหัวแมว เมื่อมันหันมองและปัดป่ายหางไปมาเหมือนจะรู้ว่าถูกเอ่ยถึง
“ขอบคุณนะคะ คุณลิน” กานต์สินียิ้มให้หล่อนแล้วพูดต่อ “คุณลินจะฝากซื้อหรืออยากทานอะไรไหมคะ กานต์จะซื้อมาฝาก ตอบแทนน้ำใจที่ช่วยเลี้ยงคูก้าให้ ระหว่างที่พวกเราไปทานข้าวกัน”
“ผมบอกคุณกานต์เองก็ได้ครับ ลินเป็นน้องสาวของเพื่อนผม รู้จักกันมานานหลายปี ผมรู้หมดแหละครับว่าลินชอบกินอะไร ของร้านไหน ไม่ต้องถามหรอก ผมก็คิดจะซื้อมาฝากลินเหมือนกัน” ทิวพนมเอ่ย พร้อมส่งสายตามาทางหล่อนเป็นเชิงขอบคุณที่เปิดโอกาสให้เขาอยู่กับกานต์สินีเพียงสองต่อสอง โดยไม่ต้องกังวลเรื่องแมว
“คุณกานต์อยากซื้ออะไรให้ลิน ก็ถามหมอทิวได้เลยค่ะ” หล่อนดีใจที่เห็นเพื่อนของพี่ชายมีความสุขจากรอยยิ้มบนใบหน้าเขา
“คูก้าอยู่กับคุณลิน อย่าดื้อ อย่าซนนะ ถ้าดื้อจะไม่พามาที่นี่อีก” กานต์สินีบอกแมวของตน หากแมวเหมือนจะรู้คำของคนก็ร้องเหมียวตอบกลับมา ตามด้วยยกขาหน้าขึ้นมาเล็กน้อย เรียกเสียงหัวเราะของคนทั้งสามได้เป็นอย่างดี
“ลินอุ้มคูก้าเข้าไปรอในห้องตรวจของพี่ก็ได้ คุณกานต์รอผมสักครู่นะครับ ขอไปเปลี่ยนชุดกับหยิบกุญแจรถก่อน” ทิวพนมพูดกับหล่อน แล้วหันหน้าไปบอกกานต์สินี
เขาผละออกไปอย่างรวดเร็ว ท่าทางดีใจราวกับเด็กน้อยจะได้ไปเที่ยวชมสวนสนุก
มาลินทร์ยังรู้สึกดี แม้จะไม่ใช่หญิงสาวที่เขาจะเปิดใจให้ก็ตาม
หากคนที่แอบชอบมีรอยยิ้มหรือมีความสุข หล่อนก็พลอยมีความสุขไปด้วยที่ได้เห็นรอยยิ้มของเขา
คงสมใจชายหนุ่มเช่นกันที่มื้อกลางวันของวันนี้ไปกับผู้หญิงที่กำลังอยู่ในความสนใจ หล่อนรับรู้ได้จากแววตาของเขาที่สื่อถึงคำว่าขอบคุณ แต่เขาก็ไม่เคยเห็นความหมายในแววตาของหล่อนบ้างเลย
เวลาใกล้บ่ายโมงตรง หญิงสาวออกไปซื้อของกินมื้อกลางวันและกินเรียบร้อยแล้ว ก็เข้ามานั่งเล่นกับแมวเปอร์เซียสีขาวคลายเหงาใจ หล่อนนึกถึงสัตวแพทย์หนุ่มกับหญิงสาวเจ้าของแมว ทั้งสองคนเหมาะสมกันดียามอยู่เคียงข้างกัน
มาลินทร์พอจะรู้จากพี่ชายว่าทิวพนมถูกใจหญิงผู้นั้นเข้าเต็มเปาตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบกัน จนความสนิทสนมของคนทั้งสองมีให้เห็นเด่นชัด เมื่อกลายมาเป็นลูกค้าประจำของหมอแมว
หรือคนที่จะเป็นคู่กันนั้น ความสัมพันธ์อาจพัฒนาได้เร็ว ไม่ใช่นิ่งอยู่กับที่อย่างเช่นหล่อน ที่ไม่ว่าจะกี่ปีก็ยังเป็นได้เพียงน้องสาวของเขาเท่านั้น
หล่อนคงได้แต่ยินดีอยู่ในใจ เมื่อเขาได้เจอคนรักตัวจริงเสียที แม้ลึกๆ จะรู้สึกอิจฉาและอยากเป็นแบบผู้หญิงคนนั้นบ้าง แต่เป็นอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ น่าจะดีต่อใจมากกว่าการได้เป็นในสิ่งที่อยากเป็น
พอมีคนปิดประตูเข้ามาในห้องตรวจของนายสัตวแพทย์ทิวพนม หล่อนก็หันไปมองและส่งยิ้มให้
“อ้าว! ลิน ทำไมมานั่งเล่นแมวอยู่ในนี้ เจ้าของห้องหายไปไหนล่ะ” เสียงทักจากพี่ชายแท้ๆ ของหล่อน
เลอมานเป็นสัตวแพทย์ในโรงพยาบาลสัตว์เอื้อเอ็นดูเช่นกัน เป็นผู้ที่ชักชวนทิวพนมให้มาทำงานในที่แห่งนี้พร้อมกัน เพราะเจ้าของโรงพยาบาลเป็นเพื่อนสนิทของบิดา หากเจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาลต่างเรียกขานพี่ชายของหล่อนว่าหมอเลอหรือหมอหมา เนื่องจากเลอมานจะดูแลรักษาสัตว์ป่วยจำพวกสุนัขเป็นหลัก
“พี่ทิวออกไปทานข้าวกลางวันกับคุณกานต์ ตั้งแต่เที่ยงแล้ว” มาลินทร์ตอบ โดยไม่ได้มองหน้าพี่ชาย หันไปเล่นกับแมวตามเดิม
“ก็ว่าแมวหน้าตาคุ้นๆ คูก้านี่เอง ไอ้เพื่อนตัวแสบ ตอนพี่ไม่อยู่ มันกล้าดอดไปควงสาวกินข้าว แล้วทิ้งลินให้อยู่เฝ้าแมว” เลอมานเข้าไปเกาคางแมว แล้วเอ่ยต่อ “คูก้าเอ๋ย เป็นแมวคิวปิดให้เจ้าของกับเพื่อนของฉันได้เจอกันนะ รู้ตัวไหม”
“พี่ทิวไม่ได้ทิ้งคูก้าให้อยู่กับลินหรอก ตอนแรกพี่ทิวก็ชวนลินให้ไปด้วยกัน แต่ลินขออยู่เล่นกับคูก้าดีกว่า ไม่อยากไปเป็นส่วนเกินของพวกเขา ถ้าพี่เลอไม่ไปทำธุระข้างนอก พี่เลอจะไปเป็น กขค.ของพวกเขาใช่ไหมล่ะ” หล่อนรีบแก้ความเข้าใจผิดของเลอมาน
“พี่ไม่ทำถึงขนาดนั้นหรอก เห็นเพื่อนมีความสุข พี่ก็มีความสุขไปด้วย แต่ลินไม่ต้องมาแก้ตัวแทนเพื่อนพี่เลย พี่รู้นะ ที่ลินไม่ไปเพราะไม่อยากเห็นภาพแสลงใจใช่หรือเปล่า” เลอมานพูดไปพลางเล่นกับแมวไป
หญิงสาวหยุดชะงักมือที่ลูบไล้ตามตัวแมว เมื่อได้ยินคำของพี่ชาย แต่ไม่ได้เอ่ยตอบ
เลอมานยังพูดไม่หยุดปาก “หลายปีแล้วที่พี่ไม่เห็นเพื่อนของพี่คิดจริงจังกับใครเลยสักคน จนมาเจอผู้หญิงคนนี้แหละที่เหมือนจะสนใจจริงๆ พี่ก็เลยสนับสนุนให้เดินหน้าจีบเต็มที่ ทั้งที่พี่ก็อยากเข้าไปขวางไว้ เผื่อสักวันมันจะมองน้องสาวของพี่บ้าง แต่ก็ไม่เคยสนใจคนใกล้ตัวเลย คนเราก็เป็นอย่างนี้ มักจะให้ค่ากับของไกลตัว จนลืมของที่อยู่ใกล้”
มาลินทร์พอจะรู้ว่าพี่ชายพยายามจะเป็นพ่อสื่อให้น้องสาวกับเพื่อนสนิทหลายต่อหลายครั้ง แต่ก็ไม่ได้ผลและยังแพ้แมวสื่ออีกด้วย หล่อนยังคงเห็นค่าของคนที่อยู่ใกล้ตัวมากกว่าที่จะรอหวังจากคนอยู่ไกลซึ่งไม่รู้จะเจอหรือไม่
หล่อนไม่ได้คิดหวังจากทิวพนมมากนัก แค่ทุกวันได้เห็นหน้า ได้อยู่ชิดใกล้ก็พอแล้ว
“ผู้ชายมีอีกตั้งเยอะ มองข้ามเพื่อนของพี่คนนี้ไปบ้างก็ได้” เลอมานยังไม่หยุดเอ่ยถึงทิวพนม เมื่อน้องสาวไม่กล่าวคำใดออกมาและยังเกาท้องแมวที่นอนหงายแผ่หลาบนโต๊ะให้คนเกาด้วยความชอบใจ
มาลินทร์เคยยอมรับกับพี่ชายว่าชอบทิวพนม ยิ่งรู้จักยิ่งชอบเหมือนเด็กสาวเจอคนที่คอยปกป้องหรือมีคนดูแลอยู่เคียงข้างอีกคนหนึ่งซึ่งไม่ใช่พี่ชายที่แท้จริง
หล่อนไม่รู้จะบอกเลอมานได้อย่างไรว่าความรู้สึกของหัวใจนั้น เมื่อรู้สึกดีกับใครสักคนแล้ว มันจะเปลี่ยนง่ายๆ ไม่ได้ ยิ่งให้ไปรู้สึกดีกับคนอื่นยิ่งยาก ไม่ต่างจากอ่านนิยายสักเรื่องแล้วเจอพระเอกที่ชอบก็จะเปิดอ่านซ้ำๆ หลายรอบ ต่อให้อ่านเล่มอื่น แม้จะเจอพระเอกเหมือนกันก็ไม่อาจชอบใจเหมือนพระเอกที่อยู่ในเล่มก่อนได้
ความรู้สึกดีๆ ไม่ได้มีไว้มอบให้คนทั่วไป แต่จะมีให้แก่คนพิเศษเท่านั้น และคนพิเศษก็ไม่ได้มีให้แก่ใครง่ายๆ สำหรับหล่อนจะมีให้แค่คนเดียวที่ฝังอยู่ในใจเสมอมา
เลอมานยังคงพูดให้มาลินทร์ต้องทำใจและคิดเปลี่ยนความรู้สึกที่เกิดขึ้น ด้วยการตอกย้ำกับคำกล่าวที่เคยบอกกันเสมอ เมื่อพูดถึงเพื่อนสนิทในช่วงสามเดือนที่ผ่านมา “ยิ่งมันได้เจอคุณกานต์ น้องสาวพี่คงตกกระป๋องไปแล้วแน่ๆ ไม่เป็นไรนะ ในกระป๋องพี่ใส่ผ้านุ่มๆ ลงไปหลายผืน ลินไม่เจ็บตัวหรอก คนเก่งของพี่”
มาลินทร์ขอยืมคำพูดพี่ชายมาใช้ “ตกกระป๋องที่ไหน ยังไงพี่ทิวก็ยังนึกถึงลินอยู่ดี ไม่งั้นคงไม่ชวนไปทานข้าวด้วยเหรอ แต่ลินไม่ขอไปด้วยต่างหาก”
ผู้เป็นพี่ชายเดินเข้ามาโอบไหล่น้องสาวเพื่อปลอบประโลม “โอ๋ โอ๋ ลินยังมีพี่อยู่ทั้งคน”
“ลินไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย ลินเห็นพี่ทิวมีความสุขดี ลินก็มีความสุข แค่นี้ก็พอแล้ว” คนพูดพยายามเบี่ยงตัวออกจากวงแขนของพี่ชายที่ดึงตัวเข้าไปใกล้
“สองคนพี่น้องทำอะไรกัน” เสียงทักจากเจ้าของห้องตรวจ เมื่อเปิดประตูเข้ามาเห็นทั้งสองคน ก่อนก้าวเข้ามาด้านใน
“ไม่มีอะไรค่ะ พี่ทิว พี่เลอมาหาพี่ทิว แต่มาเห็นลินสนใจแมวมากกว่าพี่ชายตัวเอง ก็เลยเรียกร้องความสนใจ” มาลินทร์ตอบออกไป ขณะออกมายืนให้ห่างพี่ชาย
“สวัสดีครับคุณกานต์ กับข้าวแถวนี้อร่อยถูกปากไหมครับ” เลอมานทักทายหญิงสาวอีกคนที่เดินตามหลังเพื่อนชายเข้ามาในห้องตรวจ
“ก็อร่อยดีนะคะ” กานต์สินีตอบ แล้วหันหน้ามาคุยกับหล่อนพร้อมยื่นถุงขนมในมือให้ “นี่ค่ะ คุณลิน กานต์ซื้อมาฝาก หมอทิวบอกว่าคุณลินชอบกินขนมเบื้องร้านนี้”
มาลินทร์รับถุงขนมมาถือไว้หลังกล่าวคำขอบคุณสำหรับความมีน้ำใจจากเจ้าของแมว
“ถ้าคุณกานต์ถูกปากอาหารแถวนี้ ก็มาทานบ่อยๆ ได้นะครับ เพื่อนของผมจะได้เจริญอาหารมากกว่านี้” เลอมานยังเอ่ยขึ้นมาอีก
“เจริญอาหารอะไร ฉันก็กินได้เท่าเดิม ออกไปได้แล้ว ขอฉีดวัคซีนให้คูก้าก่อน” ทิวพนมไล่เพื่อนปากมากให้ออกไปจากห้อง
“ไม่ต้องก็ได้ค่ะ คนกันเองทั้งนั้น ฉีดวัคซีนให้คูก้าคงไม่นาน แค่นี้กานต์ก็มารบกวนเวลาพักกลางวันของทุกคนมากแล้ว เกรงใจจะแย่ค่ะ”
“ไม่ต้องเกรงใจหรอกครับ อีกไม่กี่นาทีก็ต้องเข้าเวรภาคบ่ายกันแล้ว” ทิวพนมดันตัวเลอมานให้ออกจากห้อง ทำการฉีดวัคซีนให้กับแมวเปอร์เซียสีขาวตามที่เจ้าของต้องการ “เก่งมากเลย คูก้า นอนนิ่งให้ฉีด ไม่กลัวเข็มด้วยนะ”
“คูก้ากลับบ้านกันได้แล้ว” กานต์สินีเข้ามาอุ้มแมวที่ยังนอนบนโต๊ะตรวจ เดินออกไปนอกห้องโดยมีเขาและมาลินทร์เดินตามหลังไป
ทิวพนมพาเจ้าของแมวไปเสียค่าใช้จ่ายที่แผนกการเงิน ส่วนผู้ช่วยสัตวแพทย์สาวก็ยืนอยู่ข้างพี่ชายที่ยังคงยืนรออยู่หน้าห้องตรวจของหมอแมว
เลอมานจูงแขนน้องสาวไปหาทิวพนมซึ่งกำลังยืนร่ำลากานต์สินี
“กานต์ขอกลับบ้านก่อนนะคะ ขอบคุณคุณลินที่ช่วยดูแลคูก้าให้ค่ะ” คนพูดพูดขึ้นทันทีที่หล่อนเข้าไปใกล้
กานต์สินีเดินผละออกไป ทิวพนมยังมองตามจนตัวเจ้าของแมวหายไปจากสายตา
“มองสาวตาละห้อยเลยนะ มองขนาดนี้ ไม่ตามไปส่งถึงรถเลยล่ะ” เลอมานเอ่ยประชดเขา
“ก็อยากจะไปเหมือนกัน แต่กลัวจะมีใครเดินตามมาด้วยอีก นี่ก็บ่ายโมงกว่าแล้ว ทำไมไม่ไปขึ้นเวรสักที”
“ฉันอยากมาลาคุณกานต์ นานๆ จะได้เจอกัน” เลอมานยังยียวน หันหน้ามายักคิ้วให้เขา
มาลินทร์พอจะรู้ว่าพี่ชายจงใจมาขัดจังหวะหนุ่มสาวสองคน คงเพราะหมั่นไส้คนกำลังมีความรักก็เลยคิดเย้าแหย่ หล่อนเห็นทิวพนมมีหน้าตาและรอยยิ้มสดใสอย่างปิดไม่มิด ตั้งแต่กลับมาจากรับประทานอาหารกลางวัน
“เป็นไงบ้าง พัฒนาไปถึงไหนแล้ว เรียกแฟนได้หรือยัง” เลอมานถามเขา
หล่อนเองก็อยากรู้เช่นกัน
“จะบ้าเหรอ ก็แค่เพื่อนกัน คุณกานต์ไม่ได้รังเกียจฉัน บางทีอยากลองขอเป็นแฟน แต่ยังไม่กล้า คิดว่าอาจจะเร็วไป เพิ่งรู้จักกันไม่กี่เดือน” ทิวพนมพูดไปยิ้มไปราวกับเด็กหนุ่มแอบหลงรักสาวแต่ไม่กล้าแสดงออก
“อยากได้ก็ต้องจีบ เดินเกมรุกช้า จะเสียไปให้คนอื่นก็ได้นะ อย่าหาว่าฉันไม่เตือน” เลอมานบอกทิวพนมแล้วชำเลืองมองน้องสาว
“คุณกานต์เหมาะกับพี่ทิวนะคะ ชอบแมวเหมือนกัน คงเข้ากันได้ดี ดูเป็นผู้หญิงเก่งอีกด้วย ผู้หญิงแบบนี้ปล่อยหลุดมือไป คงเสียดายแย่” มาลินทร์คิดจะสงบปากสงบคำ ไม่อยากออกความเห็นใดๆ แต่พอพี่ชายมองมาเพราะกลัวน้องสาวจะน้อยใจ หล่อนจึงพูดสนับสนุนเพื่อให้รู้ว่าไม่ทุกข์ร้อนใดๆ ถ้าเขาจะคบกับกานต์สินี
“เป็นกำลังใจให้พี่ด้วยนะลิน” ทิวพนมบอกหล่อน
มาลินทร์ทำได้แต่พยักหน้ารับและยิ้มให้ผู้ที่ขอกำลังใจ แค่นี้ยังไหวและเป็นสุขเหลือหลายที่ได้เห็นเขามีความสุขสดใส ยามได้อยู่ใกล้ชิดกัน
“ตอนเช้าออกไปไหนมา ไม่มาเข้าเวร” ทิวพนมหันหน้าไปถามเลอมาน
“ไปทำธุระมา แต่ที่แน่ๆ ไม่ได้ไปสวีตกับสาว แล้วทิ้งให้น้องของฉันอยู่กับแมว” เลอมานยักคิ้วให้เขา เมื่อพูดเย้าขึ้นมาอีก
“รีบไปดูเด็กๆ ของแกเลย กำลังนอนกระดิกหางรออยู่ในกรง ไม่ใช่อยู่ในปากของแก” ทิวพนมหมายถึงสัตว์ป่วยซึ่งเป็นสุนัขที่อยู่ในความดูแลของนายสัตวแพทย์เลอมาน
“แกก็เข้าเวรได้แล้ว อย่ามัวแต่ฝันหวานถึงเจ้าของแมวเปอร์เซียก็แล้วกัน ยังมีเจ้าของแมวคนอื่นนั่งรออยู่หน้าห้องตรวจอีกหลายคน” เลอมานพูดจบก็เดินห่างออกไป
มาลินทร์ยิ้มให้กับบทสนทนาของชายหนุ่มสองคนที่ได้ยินจนชินหู หล่อนยังแอบมองหน้าทิวพนมที่มีความปลาบปลื้ม หลังจากออกไปกินข้าวกับผู้หญิงที่ชื่นชอบ แม้ปากจะบอกว่ายินดีที่เขามีความสุข แต่ลึกๆ ของใจก็นึกอิจฉาที่ไม่ได้เป็นตนเอง และยังน้อยใจนิดๆ ที่ความสุขของเขานั้นไม่มีหล่อนเข้าไปข้องเกี่ยว
ฐานะน้องสาวที่ได้มานานหลายปีจะขยับไปเป็นอย่างใจต้องการหรือไม่ ตำแหน่งคนแอบรักจะหมดลงไปเมื่อใด นี่คือคำถามที่เขาเพียงคนเดียวจะให้คำตอบกับหล่อนได้ ถ้าในอนาคต ทิวพนมรู้สึกเช่นเดียวกับมาลินทร์
หล่อนก็ได้แต่เก็บงำความรักนี้ไว้กับตัวเอง หวังเพียงวันหนึ่งเขาจะมองเห็นถึงความรู้สึกดีที่มีให้ ซึ่งไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา