รักในรอยน้ำตา บทที่ 5 : แผนลับ

รักในรอยน้ำตา บทที่ 5 : แผนลับ

โดย : ปิ่นฟ้า

Loading

รักในรอยน้ำตา นวนิยายโดย ปิ่นฟ้า เมื่อรักที่ต้องการมาทั้งชีวิต กลับต้องแลกมาด้วยน้ำตาจากผู้ชายที่เธอรักจนหมดหัวใจ แต่เขากลับทำร้ายเธออย่างเลือดเย็น…เรื่องราวสุดเข้มข้นจากการคัดสรรโดยอ่านเอา มาให้อ่านแล้วทางเว็บไซต์ anowl.co และเพจอ่านเอา anowldotco

กลางดึกคืนนั้น หลังจากสรวิชญ์เดินไปส่งรินรดาที่หอพัก เขาก็ยืนดูจนกระทั่งหญิงสาวเข้าห้องเรียบร้อยแล้วจึงเดินกลับออกมา ไม่นานนักโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้นพร้อมกับเสียงเอกวิทย์ที่ดังขึ้น

“ไอ้ต้น ไหนบอกว่าจะมาเลี้ยงเหล้าไงวะ หายหัวไปแบบนี้ คิดจะเบี้ยวกันใช่ไหม”

“ใจเย็นๆ สิวะไอ้เอก กูเพิ่งส่งน้องระรินเสร็จเนี่ย แล้วนี่กูก็กำลังจะไปหาพวกมึง เจอกันที่ร้านเดิมแล้วกัน”

หลังจากสรวิชญ์วางสายโทรศัพท์ลง เขาก็รีบขับรถมุ่งหน้าไปที่ร้านเหล้าโดยเร็ว และทันทีที่เขาถึงร้านพอทรุดตัวลงนั่งที่โต๊ะซึ่งมีขวดเหล้าถูกเปิดอยู่ก่อนแล้ว

“ไหน…ตกลงได้ผลไหม ไอ้ที่อุตส่าห์ให้กูไปช่วยทำน่ะ” เอกวิทย์ถามทันที ขณะที่เจตต์มองหน้าเพื่อนทั้งสองด้วยความแปลกใจ

“ทำ! ทำอะไรวะไอ้เอก นี่กูพลาดเรื่องอะไรไปหรือเปล่า”

“พลาดสิ มึงพลาดมาก คืองี้ ไอ้ต้นมันวานให้กูขับรถมอเตอร์ไซค์ทำทีว่าจะไปชนน้องระรินน่ะ แล้วตัวเองก็จะสวมบทพระเอกขี่ม้าขาวไปช่วยให้น้องเขาไม่โดนรถชน ว่าแต่แผนที่ให้กูทำไปเมื่อเช้า ได้ผลหรือเปล่าวะ” ประโยคสุดท้ายเอกวิทย์หันมาถามคนเจ้าแผนการ

“ได้ผลมากเลย ขอบใจมากไอ้เอก เพราะฉะนั้นคืนนี้กูเลี้ยงเอง ไอ้เจตต์ ไอ้เอก พวกมึงอยากกินอะไรสั่งได้เต็มที่”

“มึงมั่นใจในแผนเหลือเกินนะไอ้ต้น แต่ก็ยังไม่เห็นจะได้เป็นแฟนกับน้องระรินเสียที เห็นคอยตามจีบมาตั้งนานแล้ว ดูท่าแผนต่างๆ ที่มึงพยายามทำคงจะล้มเหลวไม่เป็นท่าละมั้ง”

“น้อยๆ หน่อยไอ้เจตต์ นี่กูยังจีบน้องระรินอยู่ ถึงแม้จะใช้เวลาจีบนานกว่าผู้หญิงคนอื่นก็เถอะ แต่กูมั่นใจว่า กูจะต้องจีบน้องระรินติดอย่างแน่นอน นี่กูอุตส่าห์เสียเวลาเป็นเดือนๆ ทำตัวเป็นเด็กเรียนไปนั่งในห้องสมุดที่น้องระรินไป บางครั้งแทบจะไม่ได้คุยกันเลยด้วยซ้ำ ไหนจะคอยเดินตามห่างๆ ไปส่งที่หอพักรอจนน้องระรินเข้าห้องกูถึงกลับอีก ให้มันรู้ไปว่ามันจะไม่ได้ผล”

“ไอ้ต้นกูไม่เข้าใจเลยว่ะ มึงจะทำอย่างนี้ไปทำไมวะ แล้วนี่มึงรู้จักห้องน้องระรินได้ยังไง”

“ไม่เห็นยากตรงไหน กูแค่ถามคนรู้จักที่พักอยู่หอนี้ก็ได้ละ คนอย่างกูถ้าอยากได้อะไร ก็ต้องเอาให้ได้ คำว่าแพ้ไม่เคยมีในพจนานุกรมของกูเว้ย กูต้องชนะเท่านั้น” เขาประกาศอย่างมั่นใจ

“ชนะ! ชนะใครวะ ชนะน้องระรินหรือว่าพวกกู”

“ทั้งสองอย่าง มึงอย่าลืมสิกูเคยบอกว่า กูจะจีบน้องระรินมาเป็นแฟนให้ได้ แล้วถ้าวันนั้นกูทำสำเร็จขึ้นมา พวกมึงสองคนก็ต้องเลี้ยงกูยังไงล่ะ แต่…พอกูเริ่มลงมือจีบไปเรื่อยๆ น้องระรินแม่งเล่นตัวมากเลยว่ะ จีบก็ยากไม่เหมือนผู้หญิงคนอื่นๆ แทนที่กูจะท้อแท้ กูกลับรู้สึกสนุก รู้สึกท้าทายและยิ่งอยากจะเอาชนะ”

“แค่นี้…มึงแค่ต้องการเอาชนะ ถึงกับยอมลงทุนเสียเวลาทำขนาดนี้เลยเหรอวะ กูว่ามันไม่ใช่ตัวมึงเลยนะไอ้ต้น”

“กูก็ยังเป็นกูอยู่วันยังค่ำ กูรู้ตัวดีว่าตัวเองกำลังทำอะไร มึงไม่ต้องเป็นห่วงหรอกไอ้เจตต์”

“กูไม่เข้าใจ ถ้ามึงจีบน้องระรินติดขึ้นมา น้องเขาก็ต้องเข้าใจว่ามึงชอบและรักเขาจริงๆ เป็นพี่ต้นที่อบอุ่นแสนดีซึ่งมันคนละคนกับที่พวกกูรู้จักมึงตอนนี้เลยนะเว้ย” เจตต์พยายามเตือน หากเอกวิทย์กลับค้าน

“ไอ้เจตต์ มึงก็คิดมากเกินไป ไอ้ต้นมันก็แค่อยากจะพิสูจน์ตัวเองให้พวกเราเห็นมากกว่าว่ามันน่ะแน่แค่ไหน เพราะชีวิตมันไม่ว่าจะต้องการผู้หญิงคนไหนก็ได้มาง่ายๆ ส่วนเรื่องถ้าจีบติดแล้วน้องระรินจะเป็นยังไง มันก็เรื่องของน้องเขาหรือเปล่าวะ ส่วนไอ้ต้นพอมันจีบติดอาจจะคบแป๊บๆ แล้วเลิกกันเหมือนกับคนอื่นๆ ก็เป็นเรื่องของมัน แต่ที่แน่ๆ กูคิดว่า ถ้าเลิกกันขึ้นมา ไม่ใช่แค่ไอ้ต้นหรอกที่มีคนใหม่ ขี้คร้านน้องระรินก็คงจะมีแฟนใหม่ง่ายๆ เหมือนกันนั่นแหละ มึงน่ะคิดมากไปไอ้เจตต์”

“ไอ้เอกมึงพูดดี ชนแก้ว” สรวิชญ์หัวเราะชอบอกชอบใจ

“กูคิดว่า มันดูไม่แฟร์กับผู้หญิงหรือเปล่าวะ เหมือนเห็นความรู้สึกผู้หญิงเป็นของเล่น กูไม่เห็นด้วยกับการจีบน้องระรินแบบที่มึงกำลังทำอยู่นี่เลยว่ะไอ้ต้น”

สรวิชญ์ชะงักหรี่ตามองเพื่อนรักด้วยความแปลกใจ

“ไอ้เจตต์ มึงดูแปลกๆ ไปนะ มึงยังเป็นเพื่อนกูอยู่หรือเปล่าวะ ทำไมมึงพูดเหมือนเข้าข้างน้องระรินจัง หรือว่าจริงๆ แล้วมึงชอบน้องระรินอยู่”

“เออ…กูชอบน้องระริน กูยอมรับ แต่มึงก็รู้ว่า ที่ผ่านมากูพยายามจีบแล้ว แต่น้องเขาไม่ได้ชอบกู”

“กูเข้าใจว่ามึงอกหัก แต่ถ้ากูจีบน้องระรินติด กูก็ไม่ผิดหรือเปล่าวะไอ้เจตต์”

“มึงไม่ผิดหรอกที่จีบน้องระรินติด แต่น้องระรินเป็นผู้หญิงที่ดีจริงๆ กูสังเกตมานานละ น้องระรินแทบไม่ยุ่งกับผู้ชายคนไหนเลยด้วยซ้ำ ไม่มีข่าวเสียหายเลย เอาแต่เรียนกับทำงาน กูอยากขอร้องมึงสักเรื่อง ถ้าวันข้างหน้ามึงได้เป็นแฟนกับน้องระรินจริงๆ ไอ้นิสัยเบื่อง่ายแล้วเปลี่ยนผู้หญิงไปเรื่อยๆ เนี่ย กูว่าเพลาๆ บ้างก็ดีนะ สงสารน้องเขาว่ะ”

“ไอ้เจตต์ เอาเป็นว่าถ้ากูจีบน้องระรินติด กูจะดูแลน้องระรินแบบวิธีของกู มึงไม่ต้องเป็นห่วงหรอก แล้วกูว่านะ มึงเอาเวลาที่จะมาห่วงน้องระริน ไปจีบผู้หญิงคนอื่นดีกว่านะเว้ย” สรวิชญ์ตบบ่าให้กำลังใจปนเยาะเย้ย ก่อนที่จะยกแก้วกระดกดื่มต่อโดยไม่ได้สนใจเจตต์ที่ยกแก้วเหล้าดื่มเงียบๆ แววตาเป็นกังวล

ชั่วขณะหนึ่งที่สรวิชญ์ดื่มเหล้าไปพักใหญ่สายตาก็คอยมองที่โทรศัพท์ ไม่นานนักพอเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นพอเขารับสายเสร็จก็รีบเดินออกไปนอกร้านทันที

เอกวิทย์และเจตต์มองตามหลังไปก็เห็นสรวิชญ์กำลังยืนพูดคุยกับผู้ชายคนหนึ่ง ก่อนจะควักโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมา แล้วทำบางอย่างก่อนจะเดินกลับมานั่งที่โต๊ะดังเดิม

“ใครวะไอ้ต้น”

“คนรู้จัก”

“เออ กูรู้ว่าคนรู้จัก แต่มึงไปรู้จักคนแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่วะ ดูดิเนื้อตัวนี่สักลายไปทั้งตัว ดูน่ากลัวมากกว่าน่าคบนะโว้ยไอ้ต้น”

“นั่นสิไอ้ต้น มึงจะคบคนยังไงก็ระวังตัวไว้บ้างนะ ดูท่าแล้วผู้ชายคนนี้ดูน่ากลัวจริงๆ นั่นแหละ” เจตต์ท้วง

“เออน่า กูรู้ว่ากูกำลังทำอะไรอยู่ กูก็แค่จ้างทำงานนิดหน่อย”

“งานอะไรวะ ถึงต้องจ้างคนแบบนี้ทำงาน” เอกวิทย์ถามขึ้นบ้าง

“กูไม่บอก เอาไว้งานเสร็จแล้วกูค่อยเล่าให้พวกมึงฟัง ถึงตอนนั้นกูจะให้พวกมึงเลี้ยงเหล้ากูให้ได้” สรวิชญ์พูดอย่างกระหยิ่มใจ แววตาเป็นประกายความหวัง

 

ค่ำวันนั้นขณะที่รินรดากำลังเดินกลับเข้าหอพัก หลังจากที่เธอเพิ่งกลับจากกินข้าวกับน้าสาวเมื่อตอนกลางวัน มือทั้งสองหอบหิ้วของกินพะรุงพะรังที่ได้รับมาจากพรพรรณซึ่งเตรียมเอาไว้ให้หลานสาวเป็นเสบียงเอาไว้กินที่หอพักโดยเฉพาะ

โชคดีที่ช่วงนี้เด็กนักเรียนที่เธอสอนพิเศษไปทัศนศึกษากับที่โรงเรียน เธอจึงพอมีเวลาพักผ่อน

ระหว่างที่เธอเดินไปถึงกลางซอยเปลี่ยว โดยไม่ทันตั้งตัว จู่ๆ ก็มีชายแปลกหน้าสามคน สวมหมวกไอ้โม่งสีดำกรูเข้ามาฉุดกระชากลากถูเธอจนข้าวของในมือกระจัดกระจายระเนระนาดเกลื่อนถนน

“ช่วยดะ…”

รินรดาพยายามกรีดร้องให้ช่วย ทว่ายังไม่ทันที่เธอจะร้อง ปากก็ถูกตะปบปิดไว้ไม่ให้ส่งเสียงได้ ส่วนมือทั้งสองก็ถูกรวบไว้ด้วยแขนแข็งแรงของคนจากด้านหลัง ขณะที่อีกคนกระชากกระเป๋าถือของเธอได้ก็คว้าเอาไป ก่อนที่ผู้ชายอีกคนพยายามจะเข้ามาปลุกปล้ำเธอ

แม้ความหวาดกลัวจะแล่นเข้าจับหัวใจ แต่รินรดาก็พยายามต่อสู้ขัดขืนสุดกำลัง แม้ว่าเธอจะเคลื่อนไหวไม่ถนัด แต่เธอก็รวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมดถีบผู้ชายคนนั้นจนกระเด็นไป ก่อนที่ผู้ชายอีกคนจะพยายามเข้ามาจะปลุกปล้ำเธออีกครั้ง

“ฤทธิ์มากนักนะมึง เจอกูหน่อย”

ขณะที่เธอกำลังหมดแรงพลาดพลั้งเสียที ทันใดนั้นเองผู้ชายที่อยู่เหนือตัวเธอก็ถูกถีบจนกระเด็นไปอีกทาง ทำให้ผู้ชายอีกสองคนชะงักไป มือที่จับล็อกตัวเธอแน่นก็เริ่มคลายลง รินรดาอาศัยจังหวะนั้นสะบัดตัวสุดแรงเกิดทำให้เธอหลุดเป็นอิสระจากการพันธนาการ ก่อนจะรีบวิ่งไปคว้ากิ่งไม้ใกล้มือขึ้นมาถือไว้ป้องกันตัว

ในช่วงเวลาชุลมุน หญิงสาวเห็นสรวิชญ์กำลังต่อสู้ ชกต่อยเป็นพัลวันกับชายทั้งสามที่กรูกันเข้าไปรุมทำร้ายเขา จนชายหนุ่มพลาดท่าโดนหมัดหนักๆ ของชายคนหนึ่งซัดเข้าให้ที่ใบหน้าเต็มๆ ก่อนจะตามมาด้วยการถูกเตะจนล้มกลิ้งไปคลุกฝุ่นที่พื้น

รินรดาเห็นท่าไม่ดี จึงรีบตะโกนดังลั่นซอย

“ตำรวจมา! ช่วยด้วยค่ะ ช่วยด้วย”

เสียงนั่น ทำให้พวกโจรทั้งสามชะงักก่อนจะชวนกันล่าถอยไปโดยเร็วโดยที่ไม่ได้หยิบสิ่งของใด ติดมือไปเลยแม้แต่ชิ้นเดียว

หลังจากโจรผู้ร้ายทั้งสามจากไปแล้ว หญิงสาวก็รีบวิ่งเข้ามาดูอาการสรวิชญ์ที่นอนกองอยู่ที่พื้นด้วยความเป็นห่วง

“พี่ต้น เป็นยังไงบ้างคะ”

“พี่ไม่เป็นไรครับ พี่ยังไหว ว่าแต่น้องระรินเจ็บตรงไหนบ้างหรือเปล่าครับ”

เขามองเธอด้วยความเป็นห่วง ก่อนจะสำรวจไปทั่วตัวก็เห็นเพียงรอยเปรอะเปื้อนกับรอยแดงๆ จากการฉุดกระชากก็เบาใจ

“ระรินไม่เป็นอะไรมากหรอกค่ะ ดูอาการพี่ต้นตอนนี้สิคะ น่าเป็นห่วงกว่าระรินตั้งเยอะ มาค่ะเดี๋ยวระรินช่วยประคองนะคะ” เธอเข้าประคองร่างสูง จนเขาได้กลิ่นหอมละมุนจากกายเธอ

“ของกระจัดกระจายหมดเลย เดี๋ยวพี่ช่วยเก็บนะครับ โอย…”

เขาพูดพลางนิ่วหน้าด้วยความเจ็บปวด ฝืนเดินไปช่วยรินรดาเก็บข้าวของที่กระจัดกระจาย

“ดีนะที่พวกมันไม่เอากระเป๋าของน้องระรินไปด้วย น้องระรินลองตรวจดูสิครับของมีค่ายังอยู่ครบหรือเปล่า” คำเตือนของเขาทำให้หญิงสาวรีบตรวจดูข้าวของในกระเป๋าอีกครั้งหนึ่งก่อนจะพบว่าไม่มีอะไรสูญหายไปเลยแม้แต่ชิ้นเดียว

“โชคดีจริงๆ ค่ะ ของทุกอย่างยังอยู่ครบเลยค่ะ ขอบคุณพี่ต้นมากๆ นะคะ หากระรินไม่ได้พี่ต้นมาช่วยไว้ได้ทัน ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองจะอยู่ในสภาพไหน ดีไม่ดีของในกระเป๋าก็คงได้คืนมาไม่ครบแบบนี้แน่ๆ เลยค่ะ”

“น้องระรินไม่ต้องกังวลนะครับ พี่ว่าตอนนี้พวกมันคงจะไม่กล้ามาทำอะไรแล้วละครับ” ชายหนุ่มมองใบหน้างามที่ฉายความวิตกกังวลออกมา ก่อนจะเสเอามือกุมที่ท้องของตัวเอง

“โอ๊ย!”

“พี่ต้นเป็นอะไรไปคะ”

“เจ็บแล้วก็จุกน่ะครับ”

“ไปโรงพยาบาลดีไหมคะ ดูสิหน้าพี่ต้นมีเลือดออกด้วย เดี๋ยวระรินพาไปนะคะ” เธอขยับหากอีกฝ่ายขืนตัวไว้

“อย่าดีกว่าครับ แผลแค่นี้พี่ไม่เป็นไรมากหรอกครับ พี่ว่า…แค่ได้ทำแผล หรือได้พักสักครู่ก็น่าจะดีขึ้นน่ะครับ”

“งั้นไปที่ห้องระรินก่อนนะคะ เดี๋ยวระรินทำแผลให้”

“จะดีเหรอครับ พี่เป็นผู้ชาย น้องระรินเป็นผู้หญิง หากใครเห็นเข้าเกรงว่าจะไม่เหมาะสม พี่ไม่อยากให้ใครมองน้องเสียหายน่ะครับ” ความอบอุ่นเจือในน้ำเสียง ยิ่งทำให้รินรดารู้สึกปลอดภัยและไว้ใจในตัวอีกฝ่ายขึ้นมาเป็นครั้งแรก

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะพี่ต้น ให้ระรินช่วยทำแผลให้เถอะนะคะ”

เธอเข้ามาประคองเขา ขณะที่ทั้งสองคนช่วยกันถือข้าวของทุลักทุเล โดยที่รินรดาไม่ทันเห็นแววตาเป็นประกายและรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ระบายบนใบหน้าชายหนุ่ม

 

ครั้นพอทั้งสองขึ้นไปบนห้องพักของรินรดาเรียบร้อยแล้ว สรวิชญ์ก็ทรุดตัวนั่งลงบนโซฟา ใบหน้าเขายังคงเหยเกด้วยความเจ็บปวด ขณะที่สายตาก็มองสำรวจไปรอบๆ ห้องพัก

หอพักแห่งนี้ลึกเข้ามาในซอยค่อนข้างเปลี่ยว ขนาดห้องพักไม่ถึงกับเล็กมาก แต่สภาพภายในเก่าแก่จนสีที่ทาไว้ลอกออกกระทั่งเห็นผนังปูนเปลือย มีเตียงเล็กๆ ตั้งไว้มุมหนึ่งของห้องติดกับโต๊ะหนังสือโดยมีโน้ตบุ๊กเก่าๆ ตั้งอยู่บนโต๊ะ ขณะที่อีกฟากหนึ่งมีตู้หนังสือตั้งไว้ภายในเต็มไปด้วยหนังสือมากมายทั้งใช้ประกอบการเรียนและการสอนของหญิงสาว

“ทำไมน้องระริน ถึงได้เลือกมาอยู่หอพักนี้ล่ะครับ ทำไมไม่เช่าหออยู่ใกล้ถนนใหญ่ น่าจะสะดวกสบายและปลอดภัยกว่านี้ หอนี้ลึกเข้ามาในซอยตั้งเยอะ แถมยังเก่าอีก ดูแล้วไม่น่าปลอดภัยเลยนะครับ แบบนี้พวกโจรผู้ร้ายมันถึงฉวยโอกาสเอาได้ โชคดีจริงๆ ที่วันนี้น้องระรินไม่เป็นอะไร”

“ทำไงได้ล่ะคะพี่ต้น ระรินไม่ใช่คนรวยอะไร ต้องทำงานหาเงินส่งตัวเองเรียน อะไรประหยัดได้ก็ต้องประหยัด พี่ต้นคงจะเจ็บมาก มาค่ะเดี๋ยวระรินทำแผลให้นะคะ”

รินรดาถือกล่องอุปกรณ์ทำแผลเดินเข้ามาใกล้เขา พลางค่อยๆ ทำแผลที่ใบหน้าให้อย่างเบามือ ก่อนที่มือเรียวสวยจะชะงักไปชั่วขณะ

“พี่ต้นคะ ระรินคิดว่าเหตุการณ์เมื่อกี้นี้ เดี๋ยวทำแผลให้พี่ต้นเสร็จ ระรินจะไปแจ้งความนะคะ เผื่อตำรวจจะได้ช่วยตามหาตัวคนร้ายน่ะค่ะ อย่างน้อยแจ้งความไว้เป็นหลักฐานหน่อยก็ดี” สรวิชญ์หน้าเจื่อนไปนิดก่อนจะปรับสีหน้าเป็นปกติ

“เมื่อกี้มันมืดมาก แถมยังไม่มีกล้องวงจรปิดอีก แล้วสามคนนั่นก็ยังสวมหมวกไอ้โม่ง พี่ว่าต่อให้แจ้งความตำรวจก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะเราไม่เห็นหน้าพวกมันทั้งสามคนเลย พี่ว่าอย่าไปแจ้งความเลย เสียเวลาเปล่า เพราะพี่เคยเจอขโมยกระเป๋าสตางค์ไปพอพี่ไปแจ้งความ ตำรวจก็เงียบกริบ ทำอะไรได้หรอก ระรินเชื่อพี่สิ ไม่ต้องแจ้งความหรอกนะ”

“จริงเหรอคะพี่ต้น จะดีเหรอคะ”

“จริงสิครับ โอ๊ย! เจ็บ…”

“เจ็บมากเลยเหรอคะ นี่ระรินก็ทำเบามือที่สุดแล้วนะคะ อีกนิดนะคะพี่ต้น เดี๋ยวก็ใส่ยาเสร็จแล้วค่ะ”

อีกครั้งที่หญิงสาวหันมาสนใจบาดแผลบนใบหน้าและตามแขนขาของชายหนุ่ม ทำให้เขาลอบถอนใจด้วยความโล่งอกที่ดึงเธอออกมาจากความคิดจะแจ้งความได้สำเร็จ

“เจ็บกายแค่นี้เล็กน้อย ยิ่งน้องระรินทายาให้ด้วย บาดแผลพวกนี้คงหายไวขึ้น แต่…”

“แต่…อะไรเหรอคะพี่ต้น”

“แต่พี่ไม่รู้น่ะสิครับ ว่าหัวใจของพี่ที่กำลังเจ็บอยู่ตอนนี้ ทำยังไงถึงจะหายดี”

“แล้วใครไปทำอะไรให้พี่ต้นต้องเจ็บหัวใจเหรอคะ” แววตากลมโตมองเขาอย่างไม่รู้ความ

“ก็น้องระรินยังไงล่ะครับ”

สรวิชญ์กุมมือเรียวไว้แนบอก ขณะที่รินรดาชะงักไปอึดใจ ก่อนจะเสกลบเกลื่อนความเขินอายไว้แล้วดึงมือออกจากการเกาะกุม

“ระรินเนี่ยนะคะ”

“ครับ”

รินรดามองหน้าชายตรงหน้าอึดใจ เธอไม่เห็นแววเสแสร้งแกล้งทำ หรือความเจ้าชู้ในแววตา ก่อนจะถอนหายใจยาวแล้วถามเขาในสิ่งที่ค้างคาใจมานาน

“เฮ้อ…ไหนๆ ก็คุยเรื่องนี้แล้ว รินมีคำถามอยากจะถามพี่ต้นน่ะค่ะ”

“สำหรับน้องระริน จะกี่คำถามพี่ก็ยินดีตอบครับ”

“พี่ต้นคะ…ที่พี่คอยเดินตามมาส่งที่หออย่าคิดว่าระรินไม่เห็นนะคะ ไหนจะที่ระรินเจอพี่ตามสถานที่ต่างๆ อีก ตอนแรกก็คิดว่าเป็นเรื่องบังเอิญ แต่จริงๆ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญใช่ไหมคะ พี่ทำทั้งหมดไปเพื่ออะไรคะ”

“พี่จะไม่โกหกนะครับ พี่ชอบน้องระริน และอยากคบกับน้องระรินจริงๆ แต่พี่รู้ว่าน้องระรินไม่ได้มีใจให้พี่ ขนาดดอกไม้ที่พี่ให้น้องระรินก็เอาให้คนอื่น แม้แต่เลี้ยงข้าวน้องยังไม่ยอมรับน้ำใจจากพี่เลย พี่ก็ไม่รู้จะทำยังไง ถึงจะทำให้น้องระรินเห็นว่าพี่ชอบน้องด้วยใจจริง พี่จึงทำได้เพียงคอยไปตามสถานที่ต่างๆ ที่คิดว่าน้องระรินจะไป แล้วก็คอยแอบเดินตามมาส่งที่หอห่างๆ ด้วยความเป็นห่วงอย่างที่น้องเห็นนี่แหละครับ ที่ผ่านมาพี่คิดเพียงว่า ที่ผ่านมา แม้น้องระรินจะไม่เห็น แต่พี่ก็ยินดีจะทำให้แม้จะไม่ได้รับรักจากน้องระรินกลับมาก็ตาม” เขากลืนน้ำลายอึกใหญ่ก่อนจะพูดต่อ

“พี่ขอโทษด้วยนะครับ ถ้าที่ผ่านมาพี่ทำให้น้องระรินรำคาญใจ ต่อไปพี่คงไม่กล้าทำแบบนี้แล้วละครับ” ใบหน้าคมคายสลดลง ทำให้รินรดาถึงกับใจอ่อนยวบ

“ระรินยังไม่ได้พูดสักคำว่าโกรธ วันนี้หากไม่ใช่พี่ต้นมาช่วยไว้ ระรินคงจะต้องแย่แน่ๆ ขอบคุณพี่ต้นอีกครั้งนะคะ”

“น้องระรินไม่โกรธพี่จริงๆ นะครับ”

“จริงค่ะ ว่าแต่วันนี้วันหยุดไม่มีเรียน พี่ต้นมาทำไมแถวนี้เหรอคะ”

“คือวันนี้พี่คิดถึงน้องระรินน่ะครับ พอไม่ได้เห็นหน้าก็นึกถึง เลยลองเสี่ยงเดินมาหาที่หอน่ะครับ ไม่คิดว่าจะบังเอิญมาเจอน้องระรินกำลังโดนทำร้ายเข้า อาจจะดูเหมือนเป็นเรื่องบังเอิญ แต่สำหรับพี่กลับคิดว่าอาจจะเป็นพรหมลิขิตดลจิตดลใจทำให้พี่เข้ามาช่วยน้องระรินไว้ได้ทัน”

“พี่ต้น…”

“น้องระรินครับ จะเป็นอะไรไหม ถ้าต่อไป…พี่จะเจอน้องระรินได้ โดยไม่ต้องคอยมองอยู่ห่างๆ เหมือนที่ผ่านมา” สรวิชญ์รอคำตอบด้วยหัวใจเต้นรัว

“ค่ะ พี่ต้นไม่ต้องแอบตามแล้วค่ะ” น้ำเสียงแผ่วเบาของเจ้าตัวแทบทำให้เขากระโดดตัวลอย

“งั้น ที่พี่เคยขอให้น้องระรินแกล้งมาเป็นแฟนปลอมๆ แต่น้องปฏิเสธ แล้วถ้าตอนนี้พี่จะขอ…”

“ขอให้แกล้งเป็นแฟนปลอมๆ เหรอคะ”

“เปล่าครับ ตอนนี้พี่ไม่อยากได้แฟนปลอมๆ แต่พี่อยากให้น้องระรินมาเป็นแฟนของพี่จริงๆ จะได้ไหมครับ” แววตาอบอุ่นมั่นคงจ้องมองใบหน้าหวานที่ดูตื่นตระหนกกับคำพูดของเขาที่ไม่คิดฝันว่าจะได้ยิน

“คือ…ระรินว่ามันคงเร็วไปน่ะค่ะ”

รินรดายิ้มให้ก่อนจะขยับตัวลุกนำอุปกรณ์ปฐมพยาบาลไปเช็ดทำความสะอาดและจัดเก็บเข้าที่ให้เรียบร้อย

“พี่เข้าใจครับ มันอาจจะเร็วไปที่พี่ขอน้องระรินเป็นแฟน แต่พี่ก็ดีใจที่น้องยอมพูดคุยกับพี่และให้พี่เข้าใกล้น้องระรินได้มากกว่าที่ผ่านมา พี่อยากให้น้องระรินรับรู้ไว้นะครับ นับตั้งแต่วันที่พี่ได้พบหน้าน้อง วันแรกพี่ชอบและอยากคบกับน้องระรินอย่างไร วันนี้พี่ก็ยังคงชอบและอยากคบกับน้องอย่างนั้น พี่จะรอนะครับ พี่จะรอ…วันที่น้องจะให้โอกาสพี่ได้ดูแลหัวใจนะครับ”

คำพูดอบอุ่นของเขาทำเอารินรดาเผลอมองสบสายตาหวานซึ้งนิ่งอึ้งไปพักใหญ่ ไม่มีคำตอบใดๆ ออกจากปากของเธอ หญิงสาวได้แต่ก้มหน้าหลบซ่อนความเขินอายไว้ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ขณะที่หัวใจเจ้ากรรมสั่นระรัวสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นปลอดภัยที่คอยประคองหัวใจเธอไว้อย่างทะนุถนอม



Don`t copy text!