แก่นไม้หอม บทที่ 4 : ดอกไม้ผ้า
โดย : กิ่งฉัตร
แก่นไม้หอม นวนิยายออนไลน์ โดย กิ่งฉัตร ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านออนไลน์ กับเรื่องราวที่จะทำให้คุณได้รู้ว่าผู้หญิงเป็นเมียและแม่ไม่ต่างจากแก่นไม้ที่แข็งแกร่ง มั่นคงและทรหดที่ยึดให้ใบได้แผ่กว้าง และหากโลกนี้เชื่อว่าผู้ชายเป็นใหญ่ แต่จริงๆ แล้วทุกสรรพสิ่งในธรรมชาติล้วนเป็นหยินที่โอบหยางทั้งสิ้น
พิกุลรอให้นังเจ๊กตัดผ้าคลานเข้ามากราบเท้าขอกลับบ้านอยู่หลายวัน รอแล้วรออีก แม้จะไม่เห็นเงาแต่ก็ยังมั่นใจในความเชื่อของตัวเอง ทุกวันหล่อนจะพึมพำว่า ดูสิมันจะทนไปได้อีกสักกี่น้ำ…
ระหว่างนั้นบ้านหลังเล็กของพิกุลยุ่งเหยิงไม่เป็นระเบียบ ทั้งบ้านมีแต่งานไม่รู้จักจบจักสิ้น วาสนานั้นเหมือนนกรู้ เลียนแบบวิธีการของพี่ชายมาใช้อย่างเต็มที่ พอเช้าขึ้นหล่อนก็หายตัววับออกจากบ้าน พอพิกุลเริ่มด่าหล่อนก็ว่า
“ฉันต้องทำงานนะแม่ ช่วงนี้ที่ร้านยุ่งขายดีมากพี่ณีให้ไปแต่เช้า ข้าวเช้าก็ไปหากินเอาในตลาดจะได้ไม่เสียเวลา”
“ขายของแห้งอะไรไปตั้งแต่หัวโห่ แถมยังทำงานทั้งวันกว่าจะกลับก็มืดค่ำ ใช้กันเหมือนหมูเหมือนหมาเห็นลูกกูเป็นทาสหรือไงวะ” พิกุลบ่น แต่เสียงไม่ดังนักเพราะวาสนาเอาค่าแรงมาให้ทุกวัน
คนเป็นแม่นับเงินอย่างพอใจ ชมเปาะว่าขายของมันดีกว่าควักพุงปลาที่แพเป็นไหนๆ ไม่รู้เลยว่าค่าแรงเด็กสาวที่ช่างพูดช่างขยันขายขยันชักชวนลูกค้านั้นขึ้นไปจากเดิมหลายสิบบาทแล้ว วาสนาแอบเก็บเงินส่วนตัวไว้เป็นกอบเป็นกำตั้งใจว่าถ้ามีเงินก้อนหล่อนจะเข้ากรุงเทพฯ หางานดีๆ ได้แต่งตัวสวยๆ ทำ ไม่มีทางจมปลักขายของที่มหาชัยไปตลอดชีวิตแน่
และเพราะนึกว่าลูกสาวคนเล็กกตัญญู มีเงินเท่าไรให้แม่หมด วาสนาจึงรอดตัวไม่ถูกพิกุลด่าเช้าค่ำ ส่วนมาลัยหัวไม่ไวเท่าน้องสาว สุดท้ายเลยต้องรับงานบ้านทุกอย่างแทนซิ่วเฮียง แต่ที่ไม่เหมือนกับซิ่วเฮียงคือมาลัยเป็นคนช้าทั้งความคิดอ่านและการลงมือทำงาน ทำอะไรงุ่มง่าม เมื่อก่อนมีหน้าที่แค่ซักผ้าถูบ้านอาศัยแรงกายหนักมือนิดหน่อยไม่เป็นไร พื้นเรือนยังเป็นเงาวาววับดีอีกด้วย แต่พอต้องมารับหน้าที่หุงหาอาหารอีกอย่าง คนไม่มีหัวเรื่องครัวอย่างหล่อนมือเบาบ้างหนักบ้าง กับข้าวจึงไม่เค็มจัดก็จืดชืด พิกุลตักเข้าปากแล้วพ่นพรวด คว้าขันน้ำขึ้นดื่มก่อนด่าลั่นๆ
“อีลัย มึงทำไหเกลือตกใส่แกงหรือไงวะ เค็มจนน้ำทะเลจืดไปเลย”
มาลัยคอย่น
“ฉัน…ฉันลืมน่ะแม่ นึกว่ายังไม่ได้ใส่เกลือ เลยใส่ลงไปอีกช้อน…”
“อีลูกเวร แกงหม้อนี้มึงแดกคนเดียวแล้วกัน กูกินไม่ลง เมื่อก่อนว่านังเฮียงทำกับข้าวหมาไม่แดกแล้ว ของมึงนี่หมามันคงเอาตีนคว่ำถ้วยคว่ำชามเองแน่” บ่นแล้วพาลไปถึงซิ่วเฮียงว่า “เมื่อก่อนทำไมทำกันได้ไม่มีปัญหา พอนังเจ๊กมาอยู่บ้านกู ทุกอย่างวุ่นวายเปิดเปิงหมด ซวยกูแท้ๆ คอยดูเถอะมันคลานกลับมาเมื่อไหร่ กูจะเล่นงานให้หนัก”
ปากโทษลูกสะใภ้เชื้อจีน แต่ตัวก็ชะเง้อคอมอง
ซิ่วเฮียงไม่กลับ แต่พนมกลับมาเอาของที่บ้าน พิกุลถึงได้รู้ว่าสองคนผัวเมียไปเช่าห้องอยู่ไม่ห่างจากบ้าน แถมนังเจ๊กยังมีงานมีการหาเงินได้เป็นกอบเป็นกำด้วยการทำดอกไม้ผ้าขาย
“ดอกไม้ผ้าอะไร มันจะขายได้สักเท่าไหร่เชียว” พิกุลไม่อยากจะเชื่อ เครื่องประดับตัวที่ควรเสียเงินซื้อมีแต่เงิน ทอง นาค แหวน สร้อย เข็มขัด ตุ้มหู ของพวกนี้มีค่า แต่ดอกไม้ผ้าเนี่ยนะ ดอกไม้จริงมีถมถืด ใครจะหน้าโง่ซื้อกัน
“ก็…เอาผ้ามาตัดเป็นกลีบๆ ติดกาวเป็นดอกกุหลาบดอกนั่นดอกนี่แล้วร้อยมุก ทำเป็นช่อบ้าง เป็นเข็มกลัดติดเสื้อ เป็นดอกๆ แต่งผ้า เฮียงมีฝีมือนะแม่ เฮียงเขาเรียนมาจากแม่ เหมือนกับว่าถ่ายทอดกันมาในครอบครัวหลายรุ่นแล้ว ดอกไม้ที่เฮียงทำเหมือนจริงมากเลย ขายได้เงินดอกละหลายบาท ขายดีด้วยเห็นว่าอาทิตย์นี้ขายได้ร้อยกว่าบาทแล้ว”
พนมเล่าด้วยน้ำเสียงอวดเล็กน้อย จะว่าไปซิ่วเฮียงโชคดีไม่น้อย ในตอนแรกที่หญิงสาวทำดอกไม้ประดิษฐ์ขายนั้น เจ้าของร้านผ้าสงสารคนท้องเลยช่วยรับมาวางขายโดยไม่คาดหวังอะไรมากนัก สองวันแรกขายไม่ได้เลยแม้แต่ดอกเดียวมีแต่คนจับแล้ววางลง ทว่าวันที่สามมีช่างเสื้อแวะมาดูผ้า เห็นกุหลาบที่วางแอบไว้มุมหนึ่งฝีมือประณีตแถมราคาไม่แพงเลยซื้อไปจัดช่อสำหรับแต่งผมเจ้าสาว ชุดเจ้าสาววันแต่งมีชุดไทยตอนรดน้ำสังข์ใช้กุหลาบสีชมพู ส่วนชุดฝรั่งรับแขกงานเลี้ยงตอนค่ำใช้กุหลาบขาวจัดช่อใหญ่แซมมุก แขกเหรื่อชมกันเปาะว่าดอกไม้เจ้าสาวสวยจนนึกว่าเป็นของจริง แถมช่างคนนี้มีหัวทางการแต่งผ้า เอากุหลาบดอกเล็กๆ มาแต่งรอบคอเสื้อและบ่าชุดราตรี แต่งแล้วก็แขวนโชว์ไว้ ลูกค้าเดินผ่านไปผ่านมาสนใจก็เข้าร้านมาสั่งตัดเสื้อตามแบบหลายราย
เรียกได้ว่าดอกไม้นั้นถูกใช้อย่างถูกที่ถูกเวลา ซิ่วเฮียงเลยต้องทำกุหลาบผ้ามือเป็นระวิง
“เป็นไปได้ไงขายดอกไม้บ้าบออะไรได้เป็นร้อย”
“จริงแม่ เฮียงทำทั้งวันเลย วันนึงทำได้เป็นสิบดอก ตอนแรกดึกดื่นก็ยังทำไม่ยอมหลับยอมนอน ฉันต้องบ่นว่าไฟแยงตาหลับไม่ลงนั่นแหละถึงได้เลิกทำ”
ฟังลูกชายเล่าแล้วในอกของพิกุลร้อนผ่าว เหมือนมีมดคันไฟไต่ยิบๆ ดอกไม้ผ้าอะไรอาทิตย์เดียวขายได้เงินเป็นกอบเป็นกำ หล่อนหลังขดหลังแข็งควักพุงปลาทั้งคืนยังได้แค่ห้าบาทแปดบาทอย่างมากสุดก็สิบบาทเท่านั้น นังเจ๊กหน้าขาวตัดผ้านิดหน่อยๆ ได้เงินเป็นร้อย…
เป็นร้อยเชียวนะ!
“พนม แกพานังเจ๊กกลับมาบ้าน”
“แม่มีอะไรจะบอกเฮียงหรือ ฝากฉันไปบอกก็ได้” พนมอาสา
“กูจะให้มันกลับมา นังเฮียงเป็นเมียมึง แต่ไม่เคยโผล่หัวมาดูแลกูกับพ่อมึงเลย นังเจ๊กอกตัญญู มากินมาอยู่บ้านกูเป็นปี พอได้ดีก็สะบัดตูดหนีไม่หันมาดูมาแลอะไรเลย”
พนมฟังแม่คร่ำครวญแล้วเกาหัวแกรกๆ บ่นว่า
“ไหนแม่บอกว่าห้ามเฮียงมาเหยียบบ้านนี้อีก”
“กูพูดมึงก็เชื่อกันหรือ ทีอย่างนี้ละเชื่อทีเรื่องอื่นไม่เห็นเชื่ออย่างนี้เลย”
สันต์ที่ฟังสองแม่ลูกคุยกันถอนใจยาว บอกว่า
“ถ้าไม่รักไม่เมตตาเฮียงมันก็นึกถึงหลานที่จะเกิดมันบ้างเถอะ ปล่อยเด็กมันไปอย่าไปวุ่นวายกับมันเลย”
พิกุลเท้าเอว ของขึ้น ตวาดผัวแหวๆ ว่า
“วุ่นวายอะไร แค่ให้มันกลับมาช่วยงานบ้างเท่านั้น ผัวมันน่ะลูกกูนะ เลี้ยงมาจนโตเหมือนปลูกต้นไม้จนงอกงาม พอเริ่มออกดอกออกผลงอกงามมันก็มาสอยลูกไปกินสบายใจเฉิบ แบบนี้จะไม่คิดตอบแทนอะไรกันหน่อยหรือ”
สันต์มองไม้ผลที่ ‘ออกดอกออกผลงอกงาม’ ตรงหน้าแล้วอยากถอนใจ นิสัยลูกชายเป็นอย่างไรคนเขารู้กันทั่ว ไม้ดอกผลงามอะไรกัน ต้นแคระแกร็นผลหนอนไชละไม่ว่า มีแต่แม่มันกับเมียมันเท่านั้นที่หูหนวกตาบอดหลงเชิดชูกันอยู่
“แกต้องการอะไรจากเฮียงมันแน่ ทุกทีหน้ามันยังไม่อยากมอง แล้วจะให้มันกลับมาทำไม”
“ไม่ได้ให้มันกลับมาเลย แค่ให้มันมาช่วยงานบ้าง ดอกไม้ดอกไร่ถ้าทำขายไม่ทันก็ให้สอนนังสองตัวนั่นทำบ้าง อีกหน่อยตอนไอ้พนมมันบวชจะได้มีเงินจัดงาน”
“เห็นว่าเฮียงมันหาเลี้ยงตัวเองได้ดีก็อยากมีเอี่ยวว่างั้นเถอะ”
สันต์สรุป ทำเอาพิกุลถลึงตามองอย่างไม่พอใจ แต่ไม่พอใจแล้วไง นังเฮียงนั่นหล่อนชังน้ำหน้าเหมือนกิ้งกือไส้เดือนยังเรียกกลับบ้านได้ ขอแค่มีแรงงานมาช่วยงานบ้าน หาเงินได้มากๆ หล่อนก็จะทน!
พิกุลคิดว่าหล่อนยอมทนแล้ว ซิ่วเฮียงที่เหมือนหัวอ่อนว่าง่ายน่าจะเชื่อฟังยอมกลับมาให้หล่อนกดขี่แต่โดยดี ไม่รู้เลยว่าซิ่วเฮียงนั้นหมดใจและหมดความอดทนไปแล้ว ต่อให้รักและเกรงใจพนมแค่ไหนหล่อนก็ไม่ยอมกลับ หญิงสาวแค่ฝากของกินนิดๆ หน่อยๆ ให้พนมเอากลับบ้าน แต่ตัวหล่อนไม่เคยโผล่หน้าไปให้เห็น
พิกุลโกรธที่นังเจ๊กตัดผ้าขัดคำสั่งจนหน้าดำหน้าแดง ฉวยโอกาสที่ลูกชายไปขับเรือข้ามฟากแวะไปที่ห้องเช่าของสองผัวเมีย ร้องเรียกนังเฮียงอยู่หน้าห้องเช่า พอหญิงสาวใจแข็งไม่เปิดประตูรับ พิกุลก็ตบประตูเรียก ตบจนเจ็บมือก็ถอยออกมาหน้าเรือนร้องด่าเสียงดังว่าซิ่วเฮียงเนรคุณ ไม่รู้จักบุญคุณข้าวแดงแกงร้อนที่ราดหัวอยู่ร่วมปี หล่อนคิดว่าซิ่วเฮียงอายุน้อย หน้าบาง ด่าแรงๆ หน่อยเดี๋ยวก็ทนไม่ไหวต้องยอมเปิดประตูออกมา
พิกุลไม่รู้เลยว่า ซิ่วเฮียงที่อยู่ในห้องใช้เศษผ้าอุดหูไว้ กัดฟันเย็บดอกไม้ทำเหมือนหูหนวกตาบอดไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น พอถึงจุดหนึ่งที่คิดว่าจะทนไม่ไหวโชคก็เหมือนเข้าข้างหล่อน เพื่อนบ้านที่อยู่ชั้นบนทนเสียงด่าไม่ไหวสาดน้ำโครมลงมา
เพราะอ้าปากด่าอยู่น้ำเข้าปากเต็มๆ พิกุลจึงสำลักค่อกแค่ก เงยหน้าขึ้นมองยังไม่ทันเอ่ยปากด่า ฝ่ายนั้นก็สวนกลับลงมาว่า
“หมาที่ไหนมาเห่าแถวนี้วะ กูจะนอน มึงไปเห่าไปหอนที่อื่นเลย ไม่งั้นกะละมังถัดไปกูจะเอาน้ำร้อนสาด ไม่ร้องเอ๋งก็ให้มันรู้ไป!”
ตอนแรกแม่ผัวซิ่วเฮียงคิดจะสู้ แต่พอเห็นคนชั้นสองรูปร่างสูงใหญ่กว่าท่าทางเอาเรื่องกว่า จำได้ว่าเป็นคนงานแพปลาอีกแห่งที่ขึ้นชื่อเรื่องปากร้าย เป็นพวกปากว่ามือถึง ไวทั้งปากและมือ แถมยังไม่กลัวขึ้นโรงขึ้นศาล พิกุลก็ฝ่อ ได้แต่ปาดน้ำออกจากหน้า ตะโกนว่า
“เสือก มายุ่งอะไรกับเรื่องกูกับเมียลูกชายกูด้วย”
“ก็มึงไม่ดูตาม้าตาเรือมาด่าอยู่ใต้บ้านกู เอะอะโวยวายน่ารำคาญ กูไม่ขว้างสากเข้าปากมึงก็ดีถมแล้ว ไปเลย จะด่าลูกผัวมึงก็ไปด่าที่บ้านมึง ไม่ต้องมาสะเออะเท้าเอวด่าใครแถวนี้ หนวกหู”
พิกุลอ้าปากพะงาบๆ อยากสู้แต่ประเมินกำลังแล้ว น่าจะพ่ายมากกว่ามีชัย แถมตอนนี้พวกคนงานที่เช่าห้องในเรือนแถวต่างทยอยกันออกมามองด้วยความไม่พอใจ หล่อนเลยจำยอมถอย ทว่ายังชี้หน้าด่าทิ้งท้าย
“อีห่าราก ฝากไว้ก่อนเถอะมึง”
“ไม่รับฝากโว้ย มึงมาทางไหนมึงไปทางนั้นเลย แล้วไม่ต้องโผล่หน้าอึ่งอ่างของมึงมาแถวนี้อีก เดี๋ยวตีนกูกระตุกอยากเตะอึ่งอ่างขึ้นมาจะยุ่ง!” คนข้างบนตะโกนด่ากลับลงมาอย่างไม่หวั่น
พิกุลทำอะไรไม่ได้นอกจากหัวเสียกลับไป
ซิ่วเฮียงรอจนไม่เห็นเงาแม่ผัวแล้วจึงหยิบกุหลาบสีชมพูที่ทำไว้ขึ้นไปยังชั้นบน หล่อนเคาะประตูด้วยความเกรงใจ พอหญิงร่างใหญ่ที่ต่อปากต่อคำกับพิกุลเปิดประตูออกมาด้วยใบหน้าย่นยู่เหมือนบอกบุญไม่รับ หญิงสาวก็รีบยกมือไหว้พร้อมพูดว่า
“ฉันเฮียงจ้ะ มาขอโทษ…เอ่อ…น้าที่ต้องเดือดร้อนเพราะแม่พิกุล”
“เออ” อีกฝ่ายทำเสียงรับรู้เหมือนอย่างไม่ใส่ใจนัก
“นี่จ้ะ ฉันเอาดอกไม้ผ้ามาให้น้า อันนี้เป็นเข็มกลัดติดเสื้อ ฉันทำเองจ้ะ”
“ไม่ต้องมาให้อะไรฉันหรอก ฉันไม่ใช้”
“น้ารับไว้เถอะจ้ะ เอาไว้ติดเสื้อตอนไปทำบุญที่วัดก็ได้ แต่งตัวสวยๆ เข้าวัดไงจ๊ะ” ซิ่วเฮียงคะยั้นคะยอ หญิงสาวยึดเอาตามแบบพิกุลที่ว่าถ้าจะไปวัดต้องแต่งตัวให้ดีที่สุด แม้จะขี้เหนียวขนาดไหน แต่ไปวัดต้องสวมเสื้อลูกไม้ ผ้านุ่งผืนที่ดีที่สุด เข็มขัดนากเส้นใหญ่ๆ สร้อยแหวนกำไลอะไรที่ว่าสวยว่าดีต้องใส่เต็มที่
ทว่าคนตรงหน้าเหมือนจะต่างออกไป เพราะหล่อนนิ่วหน้าถามว่า
“ทำไม ถ้าไม่แต่งตัวสวยไปวัดแล้วพระท่านจะไล่ออกจากวัดหรือ หรือว่าถ้าไม่แต่งตัวสวยแล้วจะได้บุญไม่เท่ากับคนอื่น”
ซิ่วเฮียงชะงักหน้าเจื่อน แต่ยังดีที่คนถามมองหน้าขาวๆ ที่สลดลงราวกับดอกไม้ถูกน้ำร้อนราดกับท้องที่เริ่มนูนขึ้นมาของหญิงสาวแล้วถอนใจ เอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงว่า
“เอ็งเก็บดอกไม้ไว้ขายเถอะ มีลูกคนนึงใช้เงินไม่น้อย อย่าใจดีเที่ยวแจกของให้คนนั้นคนนี้เลย”
ซิ่วเฮียงฟังแล้วก็พอเดาได้ว่าผู้หญิงตรงหน้าน่าจะเป็นพวกปากร้ายใจดี หล่อนจึงยิ้มประจบเอ่ยว่า
“น้ารับไปเถอะจ้ะ ดอกไม้นี่ฉันตั้งใจเอามาให้น้าจริงๆ อยากจะขอโทษน้าที่แม่พิกุลมารบกวนน้า ทำให้น้าเดือดร้อน”
“รู้ก็ดีว่าแม่ผัวเอ็งสร้างปัญหาให้คนอื่นเขา ถ้าจะให้ดีคราวหน้าถ้าแม่ผัวเอ็งมาอาละวาดฟาดงวงฟาดงาที่นี่ เอ็งก็เลิกซ่อนตัวในห้องแล้วออกมาจัดการซะ อย่าให้คนอื่นเขาเดือดร้อน ไม่งั้นเอ็งนั่นแหละจะซวยถูกคนเขาชังน้ำหน้าเอา”
ซิ่วเฮียงยกมือไหว้อีกฝ่าย รับว่า
“ฉันขอโทษจริงๆ จ้ะ ขอบใจน้ามากที่เตือนสติฉัน ว่าแต่น้าชื่ออะไรจ๊ะ มาอยู่ที่นี่เป็นเดือน เจอหน้ากันอยู่บ่อยๆ ไม่รู้จะทักยังไง คราวนี้โอกาสดีได้ถามน้าเสียที”
“ฉันชื่อแก้ว” ผู้สูงวัยกว่าบอก พอใจที่ซิ่วเฮียงอ่อนน้อม นุ่มนวล เตือนแกมจิกกัดไปก็รับฟังแต่โดยดี ไม่ถือดีสะบัดหน้าหนีเหมือนเด็กสาวสมัยนี้ที่คิดว่าตัวเองฉลาดเก่งกาจไปหมดทุกเรื่อง “แล้วนี่เอ็งท้องกี่เดือนแล้วล่ะ”
“สี่เดือนกว่าแล้วจ้ะ”
“ลูกคนแรกละสิ ท้องสาวเลยท้องไม่ใหญ่มาก”
“จ้ะ”
“แม่ผัวเอ็งนี่ก็ประสาท จะมีหลานคนแรกแท้ๆ แทนที่จะดีใจกลับมายืนแหกปากด่าเอ็งปาวๆ อยู่ได้”
ซิ่วเฮียงยิ้มๆ ไม่เออออหรือสนับสนุนอะไร แก้วยิ่งรู้สึกดีกับแม่สาวน้อยตรงหน้า จึงสอนว่า
“เอ็งรู้ไว้เถอะว่าหมาเห่าน่ะไม่กัด ยิ่งเห่ามากก็แปลว่ามันขี้ขลาดมากถึงต้องเอาเสียงเข้าข่ม คราวหน้าถ้าแม่ผัวเอ็งมาหาเรื่องก็อย่ามัวหดหัวอยู่แต่ในกระดอง โต้กลับไปเสียบ้าง มันจะได้ไม่คิดว่าเอ็งกลัวจนทำอะไรไม่ถูก”
“ขอบใจน้าแก้วที่แนะนำจ้ะ”
แก้วมองแม่สาวตัวเล็ก ผิวขาวนวลเหมือนหยวกกล้วย ตาแป๋วปากแดง ลักษณะเหมือนสาวน้อยมากกว่าว่าที่คุณแม่ แล้วถอนใจนิดหนึ่งถามว่า
“ขอบใจที่แนะนำแต่ทำได้ไหม”
“ไม่ได้จ้ะ” ซิ่วเฮียงตอบซื่อๆ “ฉันด่าไม่เป็นคิดไม่ทัน อีกอย่างแม่พิกุลก็เป็นแม่ของพนม ให้ฉันไปยืนด่ากับแกคงไม่ดี”
“ไม่ดีตรงไหน”
“ก็…ไม่เคารพผู้ใหญ่ ไม่มีสัมมาคารวะ…”
แก้วถอนใจบ่นว่า
“นึกว่าจะไม่ดีเพราะอะไร ก็แค่กลัวคนอื่นเขามองมาไม่ดีทั้งนั้น คนเราก็เป็นเสียอย่างนี้ยอมทนเจ็บตัวเจ็บใจด้วยเหตุผลเพราะกลัวสายตาคนอื่น ทำไมคนเราถึงได้กลัวความคิดเห็นของคนอื่นมากกว่าความต้องการจริงๆ ของตัวเองกันนักนะ”
ซิ่วเฮียงนิ่งไป เพราะถึงอายุยังน้อยยังแต่หญิงสาวเป็นคนหัวไว ฟังคนแปลกหน้าที่เพิ่งคุยด้วยครั้งแรกก็เข้าใจสิ่งที่แก้วต้องการสอนหล่อนได้ น่าเสียดายเพียงแค่ถึงจะเข้าใจแต่ก็ทำไม่ได้
แก้วเองก็ไม่เซ้าซี้อะไร หล่อนเองก็เข้าใจดีว่าเรื่องหลายเรื่องต้องอาศัยวัยและเวลาในการบ่มเพาะ จะให้สามารถตัดความเห็นของคนอื่นออกจากชีวิตได้ตั้งแต่ตอนนี้คงเป็นเรื่องยาก ดังนั้นแทนที่จะเอ่ยอะไรต่อ หล่อนกลับพยักพเยิดแล้วชวนว่า
“ยุ่งอยู่หรือเปล่า เข้ามาคุยกันก่อนไหม”
“ไม่ยุ่งจ้ะ” ซิ่วเฮียงยิ้มรับทันที
อาจจะเป็นเพราะคำแนะนำของแก้ว ซิ่วเฮียงที่อัธยาศัยดี นอบน้อมและมีเสน่ห์ในการสนทนาก็เริ่มเดินสายแนะนำตัวกับผู้เช่าเรือนแถวรายอื่นๆ พอได้รู้จักกันพวกเพื่อนบ้านก็อดชอบและเวทนา ‘นังเฮียง’ ไม่ได้ ดังนั้นทุกครั้งที่พิกุลมาระรานลูกสะใภ้ถึงที่ห้องเช่า ซิ่วเฮียงก็สามารถหลบหลีกได้ หรือไม่ก็มีเสียงด่ากระทบลอยลมมาจากห้องใดห้องหนึ่งเสมอ ทำให้พิกุลแสดงฝีปากไม่ถนัดนัก แถมยังเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในการปะทะเสียเกือบทุกครั้ง
ซิ่วเฮียงได้ข่าวแว่วๆ ว่าพิกุลโกรธจนจับไข้เลยทีเดียว หญิงสาวเลยส่งต้มจืดวุ้นเส้นหมูสับกับดอกไม้จีนไปให้ ห่วงอยู่เหมือนกันว่าพิกุลจะคว่ำหม้อร้อนใส่หัวลูกชาย แต่สุดท้ายพนมก็ถือหม้อเปล่ากลับมาพร้อมบอก
“อีกหน่อยถ้าเฮียงทำอะไรก็ทำเยอะหน่อยเถอะ ส่งไปบ้านโน้นบ้าง พ่อแกชอบกับข้าวฝีมือเฮียง”
ซิ่วเฮียงฟังแล้วไม่พูดอะไร หญิงสาวไม่แน่ใจว่าสันต์ชอบรสมือหล่อนจริงๆ หรือเปล่า แต่อย่างหนึ่งที่แน่ใจได้คือพิกุลชอบที่ได้แกงทั้งหม้อมาโดยไม่ต้องควักกระเป๋าสักสตางค์เดียวแน่นอน
ปัญหาเรื่องระรานของพิกุลเบาลงได้ด้วยเหตุนี้ แต่ซิ่วเฮียงกลับกันน้องๆ ของพนมไม่ได้
เริ่มแรกมาลัยแวะมาหาหล่อนที่ห้องเช่าก่อน เด็กสาวหน้าตาหมองคล้ำ ตาแดงๆ แต่พยายามยิ้มเมื่อบอกอย่างจริงใจว่า
“ฉันมาเยี่ยมพี่เฮียง อยากเห็นด้วยว่าหลานโตแค่ไหนแล้ว”
ซิ่วเฮียงจับมือมาลัยวางลงบนท้องที่โตขึ้นมาของหล่อน พร้อมเล่าว่า
“หลานของลัยโตขึ้นมากเลย แข็งแรงมากด้วย ชอบขยับตัว แต่กลางวันแบบนี้ไม่ค่อยขยับนะ กลางคืนขยับบ่อยกว่า”
มาลัยมีท่าทางตื่นเต้น แต่ผิดหวังเล็กน้อยที่หลานเล็กไม่ยอมขยับตัวให้หล่อนได้สัมผัส หากกระนั้นเด็กสาวยังอ้อยอิ่งอยู่ในห้องเช่าพักใหญ่ เฝ้ามองซิ่วเฮียงตัดผ้าทำดอกไม้ประดิษฐ์ด้วยความสนใจ
“ลองทำดูไหมลัย ทำไม่ยากเลยแค่ตัดผ้าตามแบบแล้วเอามาประกอบกันแบบนี้” ซิ่วเฮียงพยายามสอน แต่มาลัยส่ายหน้าดิก
“ฉันตัดผ้าไม่เก่ง แล้วผ้าชิ้นนิดเดียวแค่นี้ ฉันตัดเบี้ยวแน่ ให้ฉันทำเสียดายของเปล่าๆ”
ซิ่วเฮียงรู้ว่าน้องสามีคนนี้ปฏิเสธเพราะรู้มือตัวเองจริงๆ ไม่ใช่เกียจคร้านไม่อยากทำ หล่อนจึงไม่คะยั้นคะยออะไรอีก แต่หยิบผ้ามาตัดเป็นริ้วยาวเย็บเก็บชายเรียบร้อยเป็นริบบิ้นสีสวยสองชิ้น จากนั้นก็เลือกกิ๊บกุหลาบสีชมพูสดใสให้มาลัยติดผมกลับไป
มาลัยกลับบ้านด้วยใบหน้าชื่นบานมีความสุข พอวาสนากลับจากตลาดเห็นพี่สาวรวบผมติดดอกกุหลาบสวย หล่อนก็ถามทันทีว่า
“พี่เฮียงฝากมาให้ฉันด้วยหรือเปล่า”
มาลัยส่ายหน้า รีบปลดกิ๊บจากผมแล้วซุกทั้งกิ๊บและริบบิ้นเข้าอกเสื้ออย่างหวงแหน แต่น้องสาวคนเล็กกลับพุ่งเข้ามาแย่งทันที โวยวายว่า
“พี่เฮียงลำเอียงให้แต่พี่ลัยไม่ให้ฉัน เอ๊ะ…หรือว่าให้มาแต่พี่ลัยงุบงิบเก็บไว้คนเดียว”
“ไม่นะ พี่เฮียงให้พี่คนเดียว ตอนส่งกุหลาบมาก็ให้มาดอกเดียวบอกว่าให้พี่ ไม่ได้ฝากให้นา” มาลัยบอกตรงๆ ตามประสาซื่อ น้องสาวคนเล็กของบ้านเลยกระทืบเท้าอย่าขัดใจ
“ทำแบบนี้ได้ไง ไม่รู้ละ ฉันชอบ พี่ลัยเอามาให้ฉันก่อน ให้ฉันติดผมไปขายของที่ตลาดดีกว่าให้พี่ติดไปงมหอย เดี๋ยวเลอะโคลนเลอะน้ำเค็มเสียทรงดอกไม้หมด”
“ไม่ได้กะจะติดไปงมหอยอยู่แล้ว” มาลัยเอ่ยเสียงเบา
“ไม่ได้ใช้ก็ต้องยิ่งเอามาให้ฉันใช้ถึงจะถูก ของดีๆ จะเก็บไว้ก้นลิ้นชักทำไม แล้วฉันก็ไม่ได้ยึดเลยนะ แค่แลกกัน เดี๋ยวพอฉันได้ส่วนของฉันจากพี่เฮียงแล้วฉันจะคืนให้พี่ลัยเอง อย่าหวงของนักเลยน่า”
มาลัยสู้น้องสาวไม่ได้ ได้แต่มองของขวัญถูกใจถูกฉกไปต่อหน้าน้ำตาคลอ แถมพอพิกุลรู้เรื่องพี่น้องแย่งของกัน หล่อนก็ด่าลูกสาวคนโตว่า
“กะอีแค่ดอกกก…” ลากเสียงยาว “ของนังเฮียงดอกเดียวพวกแกก็ตีกันเหมือนหมาแย่งกระดูกแล้วหรือ วิเศษวิโสตรงไหนนักเชียว แล้วมึงน่ะอย่าแล้งน้ำใจเหมือนนังเจ๊กมันหน่อยนักเลยนังลัย น้องมันทำงานมาเหนื่อยๆ ให้มันไปใช้ก่อนจะเป็นไรไป”
มาลัยฟังแม่ด่าแล้วน้ำตาที่คลอหน่วยก็ร่วงพรู วาสนายิ้มกริ่มอย่างเป็นต่อ ส่วนพิกุลบ่นต่อว่า
“อะไรที่เกี่ยวกับนังเฮียงมีแต่ปัญหาทั้งนั้น นังตัวซวย ตัวกาลกิณี บ้านกูเคยอยู่สบายๆ ตอนนี้ร้อนกันไปหมด ซวยกูจริงๆ เชียว”