มายาแอซเต็ก บทที่ 4 : รุกราน
โดย :
หลังจากพาผู้อ่านได้ท่องไปในดินแดนลึกลับและเต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์ กับ ‘มนอินคา’ ในนิตยสารพลอยแกมเพชรมาแล้ว ครั้งนี้ ‘จิตราภรณ์’ จะพาผู้อ่านชาวอ่านเอาร่วมเดินทางย้อนเวลาไปในดินแดนของอารยธรรมแอซเต็กใน “มายาแอซเต็ก” กับนิยายออนไลน์ที่เล่าเรื่องราวที่มาจากประสบการณ์ของนักเขียนผู้เคยใช้ชีวิตอยู่ในดินแดนละตินอเมริกามายาวนาน
***********************
เอเฮคัลต์กับบิดาและผู้ติดตามยังโชคดีกว่าชาวเมืองอื่นๆ ในกรุงเธโนธิทลัน ด้วยที่พักอาศัยซึ่งได้รับการจัดสรรอยู่ห่างจากศูนย์กลางของเมือง อันเป็นที่ตั้งพระราชวังกับมหาปิรามิด นับตั้งแต่แรกแล้ว กษัตริย์แอซเต็กทรงจัดให้ผู้พลีชีพบูชายัญพักอยู่ในทิศทางเดียวกับรัฐที่ตนจากมา อัสคาโปตซัลโคตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของทะเลสาบเท็กสโคโค ที่พักของพวกเขาจึงอยู่ใกล้กับสะพานทางทิศตะวันตกที่เชื่อมเกาะกลางทะเลสาบที่กรุงเธโนธิทลันตั้งอยู่กับแผ่นดินใหญ่ ส่วนรัฐอื่นๆ ทางตอนใต้ ทางตะวันออก และทางเหนือก็มีที่พักใกล้กับสะพานอีกสองสะพานคือทางทิศใต้และทิศเหนือ
ความอยากรู้อยากเห็นทำให้ชายหนุ่มกับผู้ติดตามขออนุญาตบิดาออกไปดูลาดเลา พวกเขาแอบดูกองทัพสเปนที่เดินทางข้ามสะพานทางทิศใต้เข้ามาพร้อมกับขบวนเสด็จของกษัตริย์ม็อคเตซูมา ใบหน้าที่ผิดแผกไปจากชาวเมืองโดยทั่วๆ ไป ทำให้ใบหน้าของฝ่ายสเปนดูน่าเกรงขามชวนให้พรั่นพรึง เครื่องแต่งกายกับอาวุธก็ยิ่งน่ากลัวขึ้นไปอีก
“เอเฮคัลต์ ดูดาบนั่นสิ มันวาบดูคมปลาบ ไอ้นั่นอีกล่ะ ธนูอะไรน่ะทำจากโลหะ ท่าทางน่ากลัว ยิงทีคงทะลุสองคนเป็นแน่”
ผู้ติดตามคนหนึ่งชี้ให้ชายหนุ่มดูทหารสเปนที่ขี่ม้าตามคนที่ดูเหมือนเป็นผู้นำ ชายชาวสเปนคนนี้มีใบหน้าหล่อเหลา มีหนวดขริบอย่างเป็นระเบียบเหนือริมฝีปาก สิ่งที่สะดุดตาเอเฮคัลต์คือดวงตาที่คมกร้าว น่าพรั่นพรึงต่อผู้ที่ได้พบเห็น ในเวลาต่อมา ชายหนุ่มจึงรู้ว่า ชายผู้นี้คือ เปโดร เด อัลวาราโด เป็นผู้นำคนที่สองรองจากแอร์นัน คอร์เต็ส เอเฮคัลต์รู้สึกไม่ไว้ใจชายคนนี้ตั้งแต่แรกเห็น บางสิ่งบางอย่างในตัวคนๆ นี้บ่งบอกถึงความน่าสะพรึงกลัวที่สะท้อนออกมาราวกับเป็นธรรมชาติที่ติดตัวมา
เมื่อกลับมาถึงที่พัก ชายหนุ่มได้เล่าเรื่องราวต่างๆ ที่พบเห็นมาให้บิดาฟัง ท่านไม่พูดอะไรทั้งสิ้น ใบหน้าเริ่มเปลี่ยนสี ดวงตาบ่งบอกถึงความคลางแคลงใจกับสิ่งที่บุตรชายไปพบเห็นมา เมื่อชายหนุ่มเล่าจบ ท่านก็ลุกขึ้นเดินไปเก็บข้าวของของตนเอง แล้วหันไปบอกกับบุตรชาย และผู้ติดตามว่า :
“ถึงเวลาที่เราต้องเตรียมตัวเก็บข้าวของได้แล้ว นับแต่นี้ต่อไป การพลีชีพบูชายัญคงยุติลงเพียงนี้ คงจะไม่มีพิธีนี้อีกเป็นแน่”
เอเฮคัลต์ยังไม่แน่ใจนัก และไม่อยากคล้อยตามบิดาของตน
“ท่านพ่อขอรับ เรารอกันอีกสักพักหนึ่งจะได้ไหม รอดูเหตุการณ์อีกสักระยะหนึ่งแล้วเราค่อยตัดสินใจ จะดีไหม?”
“อึม! พ่อกลัวว่าพวกเราจะจวนตัวจนหนีไม่ทันน่ะสิ ท่าทางคนแปลกหน้าคงจะไม่มาดีนัก พ่อไม่ไว้ใจพวกเขาเลย
แต่ถึงยังไง พ่อก็ดีใจที่พิธีบูชายัญของเรา ต้องเลื่อนไปอย่างไม่มีกำหนด ในสภาวะแบบนี้ กษัตริย์ม็อคเตซูมาคงจะทำอะไรไม่ได้ และฝ่ายเราไม่ได้ผิดสัญญาที่ให้ไว้”
พิโนท์ผู้ติดตามคนหนึ่งวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาหา แล้วบอกด้วยสุ้มเสียงเหน็ดเหนื่อยว่า :
“ท่านขอรับ กษัตริย์ม็อคเตซูมาถูกคนแปลกหน้าจับมัดเอาไว้แล้วขอรับ เรารีบหนีกันเถิด!”
“เรื่องมันเป็นยังไงมายังไงกัน?”
เอเฮคัลต์ถาม พิโนท์รีบตอบว่า :
“พอขบวนทัพของคนแปลกหน้ามาถึงพระราชวังกลางเมือง กษัตริย์ม็อคเตซูมาซึ่งเสด็จล่วงหน้ามาก่อนกำลังยืนต้อนรับอยู่ก็ถูกพวกทหารเข้าคุมตัวทันที แล้วพวกเขาก็มัดพระศอเอาไว้ลากเข้าไปในพระราชวัง ท่ามกลางสายตาผู้คนมากมายที่ยืนดูอยู่”
“เราจะออกไปดูให้รู้แจ้งอีกที เจ้าจะไปด้วยไหม?”
ผู้ติดตามอีกสองสามคนพยายามทัดทานเอาไว้ แต่ชายหนุ่มก็ยังดึงดันอยู่เช่นเดิม ด้วยความอยากรู้มากกว่าอย่างอื่น เขารีบวิ่งออกไปจากที่พัก บิดาจึงสั่งพิโนท์ให้ติดตามไปอย่างใกล้ชิด แต่พวกเขาทั้งสองไปไม่ถึงพระราชวังเพราะหมู่คนที่วิ่งสวนทางมาพากันร้องตะโกนว่า :
“กษัตริย์ถูกจับ! กษัตริย์ถูกจับ! รีบหนีเร็ว!”
คลื่นของฝูงชนที่สวนทางมาสกัดเอเฮคัลต์กับพิโนท์เอาไว้จนไม่สามารถฝ่าผ่านไปได้ ทั้งสองจึงยืนแอบอยู่ริมกำแพงบ้านข้างทางรอจน คลื่นของฝูงชนเคลื่อนพ้นไปก็เป็นเวลาอีกสักพักหนึ่ง ถนนเบื้องหน้าว่างเปล่าปราศจากสิ่งมีชีวิต ความเงียบสงัดแผ่กระจายไปทั่วจนทั้งสองคนรู้สึกเข้าไปถึงหัวใจ ไกลออกไปคือที่ตั้งของพระราชวังมีทหารสเปนยืนคุ้มกันอยู่อย่างหนาแน่น ทั้งสองไม่กล้าแม้แต่จะโผล่หน้าออกจากที่แอบซ่อนให้พวกคนแปลกหน้าเห็น ด้วยเกรงภัยอันจะเกิดขึ้นกับตัวเอง หลังจากยืนแอบเช่นนั้นอยู่สักพักใหญ่ พวกเขาก็ค่อยๆ หันหลังเดินลัดเลาะกลับไปหาบิดาและพวกพ้องที่กำลังรออยู่ด้วยใจระทึกเพื่อเล่าสิ่งที่พวกตนไปพบเห็น
“พวกทหารผิวซีดมิได้ไล่ตามชาวเมืองมาเลยสักคนขอรับ”
พิโนท์บอกกับบิดาของเอเฮคัลต์
“ถึงอย่างไร เราก็วางใจไม่ได้ การจับกษัตริย์ขังเอาไว้ก็เป็นตัวอย่างชัดเจนอยู่แล้วว่า คนธรรมดาอย่างเราๆ จะรอดจากเงื้อมมือของพวกเขารึ? พ่อไม่วางใจจริงๆ!”
พอพูดจบท่านก็สั่งให้ทุกคนเตรียมตัวให้พร้อม เพื่อหลบหนีได้ทันท่วงที
หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา เหตุการณ์กลับไปสู่ “สภาวะปกติ” ดังเดิม ทหารสเปนมิได้จับผู้ใดไปกักขังอีก นอกจากบีบบังคับให้นำอาหารและสิ่งของที่ตนต้องการมาให้ที่พระราชวังซึ่งสเปนยึดไว้ใช้เป็นที่อยู่อาศัย ผู้คนที่อยู่ในละแวกนั้นหาทางหนีไปให้ห่างจากพระราชวังเพื่อจะได้ไม่ต้องข้องแวะกับทหารสเปนอีก พวกเขาไม่รู้ว่ากษัตริย์ม็อคเตซูมาทรงถูกทรมานเพื่อให้บอกที่ซ่อนสมบัติของแผ่นดินซึ่งมีจำนวนมหาศาล
ก่อนหน้าที่สเปนจะยาตราทัพเข้ามาในพระนคร พระองค์ทรงมีรับสั่งให้ทำกำแพงปิดห้องเก็บสมบัติเอาไว้มิให้ฝ่ายสเปนสังเกตเห็น แต่หลังจากที่ทรงถูกทารุณอยู่หลายวัน พระองค์จึงจำต้องบอกห้องลับซึ่งทรงเก็บสมบัติเอาไว้
ทหารสเปนกรูกันเข้าไปทลายกำแพงจนเป็นช่องใหญ่ แล้วเข้าไปขนสมบัติออกมากองไว้ในท้องพระโรง และเริ่มทะเลาะกันว่าตนควรจะได้สมบัติชิ้นไหนจนแทบจะฆ่าฟันกัน ในที่สุดแอร์นัน คอร์เต็สก็ตกลงกับพวกทหารสเปนในฐานะที่ตนเองเป็นผู้นำเกี่ยวกับสมบัติที่ได้ในครั้งแรกนี้ ตามอัตราส่วนที่ตนคิดว่าเหมาะสม ซึ่งเป็นรายละเอียดดังต่อไปนี้
แอร์นัน คอร์เต็สจะได้รับ 10 ส่วนในฐานะหัวหน้า
ทหารม้า 2 ส่วน
ทหารเดินเท้า 1 ส่วน
เหตุผลที่ทหารม้าได้รับส่วนแบ่งมากกว่าทหารเดินเท้าถึงหนึ่งเท่าก็เนื่องจากม้าเป็นพาหนะสำคัญอย่างยิ่งในการทำสงครามของสมัยนั้น ดังนั้นทหารม้าเพียงไม่กี่สิบคนจึงมีบทบาทในการรุกรบได้ดีและเร็วกว่าทหารราบ และสร้างความเกรงกลัวตื่นตระหนกให้แก่พวกแอซเต็ก จนกระทั่งสเปนประสบชัยชนะในที่สุด
แอร์นัน คอร์เต็สได้เลือกสรรสมบัติชิ้นงามที่สุดจำนวนหนึ่ง เพื่อส่งไปลงเรือที่ยังคอยอยู่ที่เมืองท่าเวรา ครูซและนำสมบัติไปถวายพระนางอิซาเบญาแห่งสเปน หลังจากนั้น จึงนำสมบัติที่เหลือมาหลอมทำเป็นแท่งขนาดเท่าๆ กันเพื่อจัดสรรตามอัตราส่วนที่ตกลงกันไว้ได้สะดวกยิ่งขึ้น
นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ทหารสเปนก็เริ่มรุกรานชาวเมืองเพื่อบีบบังคับให้บอกที่ซ่อนสมบัติหรือนำสมบัติมาให้ ที่คิดกันว่าสเปนจะไม่ทำอันตรายตนหลังจากได้สมบัติของกษัตริย์ม็อคเตซูมา นับว่าเป็นความคิดที่ผิดพลาดอย่างยิ่ง นับวันความเหี้ยมโหดของสเปนก็ทวีขึ้น จนกระทั่งชาวเมืองยอมรับในที่สุดว่าทหารสเปนเป็นเพียงปุถุชนธรรมดามิใช่ “เทพเจ้า” ดังที่เคยเข้าใจกันมา ชาวเมืองจำต้องยอมแพ้อาวุธที่เหนือกว่าของสเปน แต่ก็มิได้หวาดกลัวอำนาจของอาวุธเหมือนกับครั้งแรกๆ ที่เคยเห็นพลังของมัน ทางฝ่ายสเปนเองนั้นหวั่นวิตกกับจำนวนคนอันน้อยนิดของตน พวกเขาจึงมิกล้าหักหาญดังที่ใจปรารถนามากไปกว่าที่ทำไปแล้ว และมักจะเกาะกลุ่มกันเสมอเมื่อต้องออกจากเขตพระราชวังไป และใช้ความดุร้าย เหี้ยมโหดเป็นเกราะกำบังตนเพื่อให้ชาวเมืองหวาดกลัว ซึ่งพวกเขาก็ทำได้สำเร็จในระดับหนึ่ง จวบจนกระทั่งเทศกาลเฉลิมฉลองเทพเจ้าแห่งสงครามอันเป็นเทศกาลสำคัญที่สุดประจำปี
“ท่านพ่อขอรับ พวกเราขอไปดูงานเฉลิมฉลองเทพเจ้าแห่งสงครามได้ไหม?”
เอเฮคัลต์ขออนุญาตจากบิดา
“พวกเราคงดูจากภายนอกเท่านั้น คงไม่ได้เข้าไปในเขตมหาปิรามิดหรอกขอรับ ได้ข่าวว่าเป็นงานใหญ่โต จะเฉลิมฉลองเทพเจ้าแห่งสงครามทั้งทีก็ต้องจัดให้ยิ่งใหญ่สมพระเกียรติของเทพเจ้าสูงสุด!”
“ถ้าหากดูจากภายนอกก็คงไม่เป็นไรกระมัง แต่พวกเจ้าก็ต้องระวังตัวให้ดี”
เอเฮคัลต์กับผู้ติดตามอีกจำนวนหนึ่งจึงพากันเดินมุ่งหน้าไปยังบริเวณงาน โดยทิ้งพิโนท์เอาไว้กับบิดาตามลำพัง พวกเขาเดินเบียดเสียดไปกับชาวเมืองซึ่งมุ่งไปยังจุดหมายปลายทางเดียวกัน เสียงกลองดังกระหึ่มมาแต่ไกล เป็นจังหวะเร้าใจผู้คนที่ได้ยินได้ฟัง ยิ่งเข้าไปใกล้ผู้คนก็ยิ่งมากขึ้นจนล้นหลามออกมาพ้นบริเวณงานอีกหลายช่วงถนน เอเฮคัลต์กับผู้ติดตามเข้ามาได้เพียงเท่านี้ก็ต้องหยุดเพราะจำนวนผู้คนที่อัดกันอยู่เบื้องหน้า สักพักใหญ่ พวกเขาก็ได้ยินเสียงตะโกนว่า :
“พวกเราถูกฆ่า! พวกเราถูกฆ่า!”
“คนแปลกหน้าฆ่าพวกเรา!”
เสียงอื้ออึงดังต่อๆ มาจนกระทั่งเอเฮคัลต์ได้ยินอย่างชัดเจนเต็มสองหู ความห่วงใยบิดาทำให้เขาไม่ได้ยินเสียงอื่นๆ ที่ชาวเมืองร้องเรียกให้รวมตัวกันต่อสู้สเปน สิ่งเดียวที่ทำได้ในขณะนั้นคือ วิ่งกระโจนออกไปจากฝูงชนอย่างไม่คิดชีวิต เมื่อไปถึงที่พัก ก็รีบเร่งบิดาให้หนีทันที
“พวกทหารผิวซีดฆ่าพวกชาวเมืองอย่างทารุณแล้วขอรับ พวกเราจึงรีบวิ่งกลับมาหาท่านพ่อ พวกเราไปกันเถอะ อย่าได้ข้องเกี่ยวกับนครหลวงนี้อีกเลย กลับบ้านของเราดีกว่า!”
ไม่มีผู้ใดเอ่ยสิ่งใดออกมาอีกแม้แต่คนเดียว แต่ละคนรีบหิ้วข้าวของของตนแล้วถลันออกจากประตู มุ่งตรงไปยังสะพานทางทิศตะวันตกซึ่งอยู่ใกล้ที่สุด ขอเพียงแต่ออกไปให้พ้นกรุงเธโนธิทลันก็จะปลอดภัย
ในขณะที่รีบรุดออกไป พวกเขาเห็นชาวเมืองที่อยู่ในละแวกนั้นถือแหลน หลาว ธนูไม้กับอาวุธที่คิดว่าจะใช้ต่อสู้สเปนได้ บ้างก็ถือท่อนไม้ กิ่งไม้ เมื่อไม่มีอาวุธอื่นๆ วิ่งไปยังทิศทางของมหาปิรามิด
คณะจากอัสคาโปตซัลโครีบเดินกึ่งวิ่งข้ามสะพานทางทิศตะวันตกออกไปได้อย่างรวดเร็วเพราะเป็นสะพานที่สั้นที่สุด ทั้งหมดไม่ยอมลดความเร็วลงแต่กลับรีบเดินต่อไปอย่างไม่ละลด ทุกคนอยากไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ คำสัญญาจาก “สงครามดอกไม้” ที่ตนจะพลีชีพบูชายัญถือว่าเลิกล้มไปชั่วคราว พวกเขาไม่รู้ว่าฝ่ายไหนจะชนะ หากเป็นฝ่ายสเปน ปัญหาที่ยังคาดเดาไม่ได้ก็คงจะเกิดขึ้น อัสคาโปตซัลโคจะตกที่นั่งลำบาก เช่นเดียวกับกรุงเธโนธิทลันหรือไม่นั้นพวกเขายังไม่รู้เลย แต่ถ้าแอซเต็กเป็นฝ่ายชนะ การรื้อฟื้นสัญญา “สงครามดอกไม้” ก็คงจะกลับมาอีกเป็นแน่ เมื่อถึงตอนนั้น ฝ่ายอัสคาโปตซัลโคก็คงไม่บิดพลิ้ว สัญญาที่มีต่อกันก็ต้องเป็นสัญญา อัสคาโปตซัลโคยึดมั่นในสัญญาเสมอ
เอเฮคัลต์ กับบิดามีความคิดแบบเดียวกัน ชายหนุ่มซึมซับเอาลักษณะเด่นๆ ของบิดามาครบถ้วน ซึ่งทำให้ผู้เฒ่าภาคภูมิใจในตัวบุตรชายเป็นอย่างยิ่ง มิหนำซ้ำใบหน้าคมเข้มที่ได้จากมารดาทำให้เป็นที่ต้องตาของผู้ใหญ่อื่นๆ ที่มีบุตรสาว บวกกับอุปนิสัยที่ดีและยังเก่งกล้าอาจหาญในการรบ ชายหนุ่มจึงเป็นที่หมายปองของหลายๆ บ้านในรัฐอัสคาโปตซัลโค แต่เขากลับไม่มองหญิงใดเลย
เขาไม่เข้าใจตัวเองว่าเพราะเหตุอันใด ทั้งๆ ที่ไม่มีอุปสรรคใดๆ ทั้งสิ้น ครอบครัวหลายๆ ครอบครัวยินดีรับเขาเข้าเป็นสมาชิกด้วยความเต็มใจ แต่เบื้องลึกในหัวใจของเขายังไม่สงบ บางสิ่งบางอย่างบอกกับเขาว่า
“เมื่อเวลานั้นมาถึง เราก็จะรู้เอง”
ไฉนหัวใจของเขาจึงยังเฝ้าเสาะแสวงหาอยู่ร่ำไป ในความหม่นมัวเขามองไม่เห็นอัสคาโปตซัลโค แต่เป็นที่ใดที่หนึ่งเป็นแน่ ที่ซึ่งเขาไม่เคยเห็นมาก่อน ในความมัวหม่นบอกไม่ได้ว่าเป็นสถานที่ใด ในความลางเลือนนั้นเขามองเห็นสตรีนางหนึ่ง แต่จะเป็นผู้ใดเขาไม่อาจรู้ได้
ความคิดคำนึงของเขาสะดุดลงเมื่อได้ยินเสียงเรียกของบิดา เขาจึงตื่นจากภวังค์ และเหลือบตาขึ้นมองรอบกาย
“มีอะไรหรือขอรับท่านพ่อ?”
“เจ้ามีความเห็นว่าอย่างไร ถ้าหากอัสคาโปตซัลโคประสบเคราะห์กรรมแบบเดียวกับกรุงเธโนธิทลัน”
“เราก็ต้องสู้ให้ถึงที่สุดแหละขอรับ แต่หากจวนตัวจนต้องเอาตัวรอด เราก็กลับมาใหม่เพื่อยึดคืนให้ได้”
ชายหนุ่มตอบบิดาด้วยจิตใจฮึกเหิมแบบคนหนุ่ม แต่เสี้ยวหนึ่งในใจก็ตระหนักถึงแสนยานุภาพทางอาวุธของฝ่ายสเปนอย่างไม่ลืมเลือน ผู้เป็นบิดาของเขานั้นกลับกังวลถึงภัยที่อาจหลีกเลี่ยงไม่ได้ เท้าที่ก้าวเดินอย่างรีบเร่งไปเบื้องหน้าบ่งบอกถึงความร้อนรนภายในใจได้เป็นอย่างดี จนกระทั่งพลบค่ำพวกเขาก็เดินทางมาถึงอัสคาโปตซัลโค
ทางฝ่ายบิดามุ่งตรงไปยังพระราชวังเพื่อรายงานเหตุการณ์ที่ตนเองประสบมาถวายแด่กษัตริย์แห่งอัสคาโปตซัลโค ส่วนสมาชิกที่เหลือเดินกลับไปยังเคหะของตน เอเฮคัลต์อาศัยอยู่กับบิดา ส่วนพิโนท์กับสมาชิกคนอื่นๆ ต่างก็มีบ้านของตนอยู่ในบริเวณเดียวกัน พิโนท์เป็นผู้เดียวที่ยังไม่มีครอบครัว เขาจึงไปไหนมาไหนกับเอเฮคัลต์ประหนึ่งฝาแฝดที่แยกกันไม่ออก
เอเฮคัลต์เข้าไปชำระร่างกาย และสวมเสื้อผ้าชุดใหม่นั่งรอบิดาอยู่ตรงลานหน้าบ้าน หลังจากนั้นอีกราวๆ หนึ่งชั่วโมงบิดาก็กลับมา
“ท่านพ่อไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนดีไหมขอรับ? แล้วเราค่อยกินอาหารกัน”
บุรุษชราที่ยังดูผึ่งผายสง่างามพยักหน้าโดยไม่พูดอะไร เขาเดินผ่านบุตรชายเข้าไปในบ้าน อีกสักพักหนึ่งก็กลับออกมาด้วยเสื้อผ้าชุดใหม่ หน้าตาดูสดชื่นขึ้น ทั้งสองนั่งนิ่งอยู่ครู่หนึ่งด้วยไม่แน่ใจในตัวเองว่าจะจัดการกับเหตุการณ์อันคลุมเครือที่เกิดขึ้นได้อย่างไร ทั้งฝ่ายสเปนและฝ่ายแอซเต็กต่างก็มิใช่คู่มิตรที่อัสคาโปตซัลโคจะยืนอยู่ด้วย
อัสคาโปตซัลโคเป็นรัฐใหญ่มาช้านานก่อนที่เผ่าแอซเต็กจะมาตั้งรกรากอยู่บนเกาะในทะเลสาบเท็กสโคโคด้วยซ้ำไป และยังมีชื่อเสียงทางด้านการค้าและการสู้รบ พ่อค้าจากรัฐนี้สร้างเครือข่ายของตนอย่างกว้างขวาง พวกพ่อค้าเดินทางไปค้าขายยังต่างรัฐ และนำสินค้าแปลกๆ กลับมายังรัฐของตน นอกจากจะทำหน้าที่ค้าขายแล้ว พวกพ่อค้ายังทำหน้าที่สอดแนมให้กับอัสคาโปตซัลโคประหนึ่งเป็นสายลับ ซึ่งก็ทำกันได้อย่างแนบเนียนยิ่งไม่เป็นที่สงสัยของผู้ใด ในที่สุดบุรุษผู้ชราก็เอ่ยขึ้นอย่างไม่แน่ใจนักว่า :
“ถ้าแม้กรุงเธโนธิทลันจะชนะหรือล่มสลายก็ไม่เกี่ยวข้องกับอัสคาโปตซัลโค เราต่างคนต่างอยู่ๆ แล้ว แต่ถ้าฝ่ายคนผิวซีดชนะล่ะก็ พวกเขาคงไม่พอใจแค่เธโนธิทลันดอก เราก็รู้อยู่แก่ใจว่าพวกนี้จะมาเอาสมบัติ อัสคาโปตซัลโคก็คงหลีกเลี่ยงพวกนี้ไม่ได้ ไม่ช้าก็เร็วพวกเขาต้องมาที่นี่เป็นแน่”
“ท่านพ่อขอรับ เราดูไปก่อนดีกว่า ตอนนี้พวกนั้นยังสู้รบกันอยู่ เรารอดูผลลัพธ์จะดีกว่าไหม?”
“อึม! ถึงอย่างไรพ่อก็อดคิดไม่ได้ พ่อไม่ต้องการให้พวกชาวเมืองอัสคาโปตซัลโคต้องสูญเสียไม่ว่าจะเป็นชีวิตหรือความเป็นอยู่”
ความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางทำให้พ่อลูกหลับสนิทไปจนถึงรุ่งเช้า ทั้งสองตื่นขึ้นด้วยสมองดูปลอดโปร่งกว่าวันที่ผ่านมา ฝ่ายบิดาให้คนไปตามพิโนท์มาหา พิโนท์มีอายุมากกว่าเอเฮคัลต์บุตรชาย ครอบครัวของเขาเป็นพ่อค้าสำคัญของอัสคาโปตซัลโคโดยผ่านสายตระกูลของมารดา ผู้คนในตระกูลพิโนท์มีความจงรักภักดีต่อบิดาของเอเฮคัลต์ นับตั้งแต่รุ่นปู่เนื่องจากเคยช่วยเหลือคุ้มครองกันเสมอมา จนกระทั่งพิโนท์แทบจะเป็นสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวเลยทีเดียว
“มาแล้วรึ พิโนท์? นับตั้งแต่นี้ต่อไป พ่อใคร่จะขอให้เจ้าสืบข่าวคราวจากกรุงเธโนธิทลัน แล้วนำมารายงานให้พ่อรับรู้ เผื่อจะได้จัดการอะไรทางนี้ได้ทันท่วงที เจ้าจะทำให้ได้ไหม?”
“ได้สิขอรับท่าน ครอบครัวของข้าน้อยยินดีทำด้วยความเต็มใจ ความจริง ข้าน้อยได้ส่งพ่อค้าออกไปค้าขายในละแวกใกล้เคียงทะเลสาบเท็กสโคโคแล้ว กลุ่มพ่อค้าอีกสายหนึ่งจะเดินทางไปจนถึงรัฐทลัสคาลาซึ่งเป็นพันธมิตรกับพวกผิวขาว เพื่อจะดูลาดเลาที่นั่น”
“ดีแล้ว เจ้าคงยังต้องช่วยดูแลเอเฮคัลต์เหมือนเช่นเดิม อย่าลืมว่าหากพ่อเป็นอะไรไป ขอให้เจ้าปกป้องเขาด้วย หากต้องหนีด้วยเหตุอันใด ก็ให้ทำ อย่าได้ลังเลเป็นอันขาด เจ้าจะทำได้หรือไม่?”
“สำหรับเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ข้าน้อยยินดีทำอยู่แล้ว ท่านก็คงรู้ว่าเราสองคนเหมือนพี่น้องกันมากกว่าเป็นมิตรสหาย ข้าน้อยขอสัญญาด้วยชีวิตว่าจะดูแลเขาให้ดีที่สุดขออย่าได้เป็นกังวลเลยขอรับ”
“ได้ฟังแค่นี้ พ่อก็วางใจแล้ว เจ้าเป็นคนฉลาดมีฝีมือเยี่ยม เพียงแค่นี้พ่อก็พอใจแล้ว ขอบใจมาก”
ขบวนพ่อค้าของพิโนท์แยกย้ายกันออกเดินทางไปยังทิศต่างๆ โดยละเว้นบริเวณกรุงเธโนธิทลัน แต่มิได้อยู่ไกลไปนัก ตลอดเวลาที่เดินทางไป พวกเขาจะส่งคนกลับมารายงานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่เนืองๆ อัสคาโปตซัลโคจึงรับรู้เรื่องราวความผันผวนที่เกิดขึ้นเสมอ ไม่ว่าจะเป็นการฮึดสู้ของพวกชาวกรุงเธโนธิทลันกับกองทัพสเปนจนประสบชัยชนะหรือกองทัพสเปนหนีเอาชีวิตรอด แต่ก็ล้มตายลงมากมายจนสะพานข้ามกรุงเธโนธิทลันมีศพทหารสเปนทับถมล้มตายกันเป็นกองพะเนิน ส่วนขบวนพ่อค้าที่เดินทางไปถึงรัฐทลัสคาลาซึ่งเป็นรัฐพันธมิตรของสเปนก็ส่งคนกลับมารายงานว่ากองทัพสเปนใช้รัฐนี้เป็นที่หลบภัย เพื่อรวบรวมกำลังพลจนกระทั่งสามารถกลับไปยึดเอากรุงเธโนธิทลันได้สำเร็จในที่สุด
บัดนี้ถึงเวลาแล้วที่รัฐอัสคาโปตซัลโคจะต้องเตรียมตัวรับกองทัพสเปน ไม่ว่าจะมีสิ่งใดเกิดขึ้น อัสคาโปตซัลโคก็พร้อมที่จะเผชิญอย่างไม่หวาดหวั่น