หน้ากากมยุเรศ บทที่ 1 : ครอบครัวบุหรงกาญจน์ (1)

หน้ากากมยุเรศ บทที่ 1 : ครอบครัวบุหรงกาญจน์ (1)

โดย : สิตา

Loading

หน้ากากมยุเรศ นวนิยายโรแมนติกดราม่า โดย สิตา ผู้ที่เคยได้รับรางวัลชนะเลิศในโครงการ อ่านเอาก้าวแรก ปี 2 ในนามปากกา “เยว่หวา” ที่ครั้งนี้ เธอขอพาทุกคนสู่การเฉือดเฉือนในวงการธุรกิจของครอบครัวบุหรงกาญจน์ ที่ต่างฝ่ายต่างสวมหน้ากากปิดบังเป้าหมายในใจ ผลลัพธ์จะเป็นอย่างที่คาดเดาหรือหักมุม อ่านออนไลน์กันได้ที่ anowl.co

บางครั้งชีวิตก็คล้ายการเล่นชักเย่อ เราฝืนดึงเชือกจนสุดแรง แต่แล้วกลับถูกกระชากหงายหลัง วินาทีนั้นถึงเพิ่งรู้ตัว ปลายเชือกอีกข้างดันถูกผูกไว้ที่หลังของเราเอง หรือแท้จริงแล้ว…มันอาจถูกผูกไว้ที่คอเราเสียด้วยซ้ำ!

กลางอุณหภูมิเดือดพล่านของกรุงเทพฯ รถยุโรปกลางเก่ากลางใหม่แล่นผ่านรั้วโรงงานเข้าสู่บริเวณที่จอดรถ วันนี้มีรถบางตาจึงได้จอดแถวหน้าใกล้ประตูอาคารสำนักงาน ทางฝั่งตรงข้ามโรงงานทอผ้าขนาดใหญ่เพียงชั่วถนนกั้น หญิงสาวลงจากรถด้านคนขับ หยีตาสู้แดดร้อนเปรี้ยง ด้านชายหนุ่มที่โค้งตัวออกทางฝั่งผู้โดยสารกลับแหงนหน้าท้าแดดมองตึกห้าชั้นคอตั้งบ่า ทำเหมือนตึกเพิ่งผุดตรงหน้าก็มิปาน วิมลินจึงแนะนำสถานที่อีกครั้งหลังเกริ่นมาแล้วในรถ

“ที่นี่แหละบริษัทบุหรงกาญจน์ เดี๋ยวเราจะเข้าข้างในกันค่ะ”

เธอเดินนำหน้า ตลอดทางชายหนุ่มมองซ้ายขวาสำรวจรอบด้านแบบคนเพิ่งมาครั้งแรก จนเมื่อหญิงสาวย่างเท้าสู่ภายในอาคารสำนักงาน เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์สาวสองคนที่เคาน์เตอร์ต่างยกมือไหว้พร้อมเพรียง

“สวัสดีค่ะคุณอิง…เอ๊ะ”

เสียงอุทานแผ่วเบา แสดงความสนใจปนงุนงงตอนเห็นชายหนุ่มผู้ติดตามวิมลินเข้ามา ซึ่งวิมลินไม่แปลกใจเลย ด้วยชายหนุ่มรูปลักษณ์สูงชะลูด กรำแดดนานจนผิวคล้ำผมแห้งกรอบทั้งยังกระเซิงเหมือนรังนก สวมเสื้อยืดกางเกงยีนส์ที่แม้สะอาดแต่เห็นชัดว่าผ่านการใช้งานโชกโชน เทียบกับเธอซึ่งอยู่ในชุดสูทผ่าแขนโทนน้ำตาลเข้ม กำไลสีดำขอบทองแบรนด์หรูเข้าชุดกับกระเป๋าคลัชในมือ รองเท้าส้นสูงสามนิ้วเงาวับ มองอย่างไรก็เหมือนมากันคนละโลก แต่นั่นยังไม่น่าแปลกใจเท่าโดยปกติ หากวิมลินจะพาอาคันตุกะเข้าบริษัทต้องโทร.แจ้งก่อนทุกครั้งจนเป็นนิสัย จึงเอ่ยถามอย่างลังเล

“เอ้อ คุณอิงพาแขกมาด้วยหรือคะ”

วิมลินเคาะขอบกระเป๋าคลัชกับเคาน์เตอร์ แววตาครุ่นคิดขณะตอบ “ไม่ใช่แขก เจ้านายคนใหม่ของพวกเธอต่างหาก”

แล้วเมินท่าทางงุนงงเป็นไก่ตาแตก กวักมือเรียกหนุ่มผมกระเซิงตามเข้าไปในลิฟต์ เขาเปรยหลังประตูลิฟต์ปิดสนิท “คุณเล่นเปิดตัวผมแบบนี้พนักงานคงนินทากันตาย”

“ไม่มีใครตายเพราะคำนินทาหรอกค่ะ”

น้ำเสียงราบเรียบยากจำแนกว่าแค่สนทนาหรือประชดแดกดัน ชายหนุ่มจึงเพียงยิ้มตอบอย่างขบขันระคนจนใจ จากนั้นภายในลิฟต์ก็เงียบลง ได้ยินแต่เสียงวิมลินเคาะนิ้วกับกระเป๋าคลัชเบาๆ เห็นเล็บเรียวยาวที่เพิ่งผ่านการตัดแต่งแต้มสีมาหมาดๆ เธอยอมเสียเวลาเกือบสองชั่วโมงในร้านทำเล็บ หวังช่วยผ่อนคลายก่อนการเผชิญหน้าครั้งสำคัญ แต่ดูเหมือนไม่ค่อยสำเร็จนัก

ไฟจากเพดานส่องกระทบเส้นผมที่ดัดเป็นลอนหลวมเคลียบ่า ขับเน้นประกายสีน้ำตาลอ่อนดูแปลกตา ทั้งที่วิมลินไม่เคยย้อมผมสักครั้ง มารดาผู้จากไปเคยปรารภไว้ว่าสีผมเธอเหมือนฝั่งทางคุณยาย เป็นความโดดเด่นที่ต่างจากพวก เวลาถ่ายรูปรวมกับญาติๆ ฝ่ายบิดาคราใดจึงดูแปลกแยกเหลือเกิน

นี่แหละวิมลิน ความแปลกแยกอันรวมเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวเสมอมา…

“คุณดูเครียดนะ”

วิมลินหันขวับไปทางคนพูด เขาจึงบุ้ยใบ้ที่มือเธอ “คุณเอาแต่เคาะนิ้วแบบนั้นตั้งแต่ขับรถออกจากสนามบินแล้ว อุตส่าห์ลากผมไปรอในร้านทำเล็บตั้งนาน เคาะป๊อกๆ เดี๋ยวเล็บเสียหมด”

เธอไม่ทันโต้ตอบประตูก็เลื่อนเปิดเสียก่อน มีชายวัยกลางคนไว้หนวดคอยที่หน้าลิฟต์ ตรงกันข้ามกับพนักงานชั้นล่าง ชายไว้หนวดดูไม่ประหลาดใจเมื่อเห็นหนุ่มผมกระเซิง เขาเพียงค้อมศีรษะพูดกับวิมลิน

“เรียนเชิญครับคุณอิง รองประธานรออยู่ในห้องประชุมเล็กครับ”

เขาเดินนำไปเปิดประตูห้องถัดจากลิฟต์โดยมีห้องน้ำคั่นกลาง หลังประตูเป็นพื้นที่เล็กๆ วางแค่เก้าอี้โซฟาเดี่ยวสี่ตัวกับโต๊ะเตี้ย ผนังเหนือโต๊ะแขวนภาพสีน้ำมันรูปทิวทัศน์ทั่วไป สุดห้องเป็นประตูไม้สักบานคู่สำหรับเปิดสู่ห้องประชุม แกะสลักรูปนกยูงแต้มขนหางด้วยสีทองสลับเงินหันหากันจากทั้งสองบาน

ชายไว้หนวดผายมือทางโซฟา “รบกวนคุณผู้ชายรอที่นี่ก่อนนะครับ รองประธานมีธุระกับคุณอิงนิดหน่อย”

หนุ่มผมกระเซิงหย่อนตัวนั่งอย่างว่าง่าย ตอนที่วิมลินก้าวไปถึงห้องประชุมพนักงานหญิงก็เข้ามาเสิร์ฟเครื่องดื่มของว่างให้ชายหนุ่ม

“มีกาแฟด้วยขอบคุณครับ แต่ขอคุกกี้เพิ่มอีกหน่อยได้ไหม บนเครื่องผมกินไปนิดเดียวหิวไส้กิ่วเลย”

นั่นเป็นคำพูดสุดท้ายที่วิมลินได้ยินก่อนบานประตูปิดตามหลัง เธอเหลียวมองรูปนกยูงแกะสลักบนประตู สมัยอดีตตอนที่ประตูบานนี้ยังอยู่ในบ้านหลังเก่าเธอเคยชอบมันมาก มักหยุดวิ่งเล่นเพื่อยืนดูคราวละนานๆ จนกระทั่งอากงหรือคุณปู่ของเธอตัดสินใจรื้อบ้านเดิมเพื่อสร้างอาคารสำนักงานแห่งนี้ทับลงไป ประตูจึงถูกย้ายมาติดตั้งที่ห้องประชุมแทน

ครอบครัวบุหรงกาญจน์เป็นเป็นเจ้าของธุรกิจสิ่งทอและเครื่องหนังขนาดใหญ่ บริหารงานกันแบบธุรกิจครอบครัวหรือกงสี ปัจจุบันอำนาจควบคุมตกเป็นของรุ่นที่สองโดยมีบุตรชายคนที่สาม โกศลหรือก็คือบิดาของวิมลินครองตำแหน่งประธานบริษัท เขาทำงานดีเยี่ยมชนิดไม่มีใครเถียง สามารถประคองบริษัทผ่านยุคตกต่ำของธุรกิจสิ่งทอในประเทศไทย ทั้งที่เจ้าอื่นซึ่งเคยยิ่งใหญ่กว่าพากันล้มหายตายจาก

อันที่จริงโกศลโดดเด่นทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว เขาเสมือนฟันเฟืองหลักที่ขับเคลื่อนธุรกิจ ขณะเดียวกันชีวิตส่วนตัวก็ได้ชื่อว่าเจ้าชู้ตัวพ่อ ขนาดวาดจันทร์มารดาวิมลินยังถือเป็นภรรยาคนที่สามของเขา และนั่นนับเฉพาะคู่ครองที่โกศลยอมรับอย่างเป็นทางการเท่านั้น มาเพลาลงในช่วงหลังเมื่อโกศลพบว่าตนเริ่มมีปัญหาโรคหัวใจ

ยามที่ชีวิตรุ่งโรจน์ถึงขีดสุด ใครเล่าจะนึก เช้าวันหนึ่งในโรงแรมต่างจังหวัด โกศลซึ่งเผอิญอยู่ตามลำพังเกิดอาการโรคหัวใจกำเริบ แม้มีคนมาพบในเวลาไม่นานและพยายามช่วยชีวิต…ทว่าก็ไม่ทันเสียแล้ว

ครั้นนึกถึงบิดาผู้ล่วงลับแววตาวิมลินพลันหม่นแสงลง แต่ก็คืนปกติอย่างรวดเร็ว เวลาล่วงผ่านเกือบปีหญิงสาวจึงเคยชินต่อการเก็บงำความเศร้า เพียงผินศีรษะมาเผชิญหน้าคนในห้อง

ทั้งห้องประชุมตกแต่งโทนสีครีม ผนังสองด้านเพิ่มลูกเล่นด้วยการติดกระจกเงาแคบแต่สูงจากพื้นจดเพดานตรงตำแหน่งใกล้ประตู กลางห้องวางโต๊ะประชุมลายหินอ่อนขนาดสิบสองที่นั่ง หลังโต๊ะเป็นฉากกั้นกรอบไม้เอล์มล้อมรูปวาดนกยูงสัญลักษณ์ตระกูลบุหรงกาญจน์ด้วยลายเส้นพู่กันจีน นกยูงสองตัวเดินเล่นกลางดงดอกโบตั๋น เห็นว่าอากงซื้อมาจากเมืองจีนสมัยเพิ่งก่อสร้างอาคารหลังนี้

อากงในความทรงจำวิมลินคือชายชราท่าทางบึ้งตึง นั่งจิบน้ำชาบนเก้าอี้หน้าฉากกั้นนกยูง ถ้าไม่บ่นว่าชาร้อนไปก็เย็นไปไม่เคยได้ดั่งใจสักครั้ง แต่ช่วงเวลาปัจจุบัน เก้าอี้ตัวเดิมถูกประเสริฐหรือลุงคนที่สองครอบครองแทนที่ ขวามือซึ่งเคยวางป้านชาก็เปลี่ยนเป็นถ้วยกาแฟร้อนควันกรุ่น แต่กิริยาบึ้งตึงขี้หงุดหงิดนั่นประเสริฐถอดแบบบุพการีแทบไม่ผิดเพี้ยน

เยื้องหลังประเสริฐมีชายหนุ่มในชุดสูทสีเข้มไม่สวมเนกไท มือหนึ่งเท้าเอวส่วนอีกมือกำลังชี้หน้าเธอ “ทำวุ่นวายนักนะยัยอิง”

คนพูดชื่อปวินท์ลูกชายลุงประเสริฐ ถ้าโกรธขึ้นมาเขาไม่เคยพูดจาดีๆ กับเธออยู่แล้ว วิมลินจึงทำเมินระหว่างกวาดตาเที่ยวหนึ่ง ในห้องนอกจากสองพ่อลูกก็มีเพียงภวัตลูกอาผู้ชายคนที่ห้านั่งทางขวาของประเสริฐเท่านั้น

“มากันแค่นี้เองหรือคะ” หญิงสาวเปรยขณะหย่อนตัวยังเก้าอี้ปลายโต๊ะใกล้ประตู

“พอเธอแจ้งข่าวเสร็จก็พาเจ้านั่นบินกลับมาเลย ญาติๆ เขามีธุระกันทั้งนั้น ใครจะมาทัน”

ได้ยินสรรพนามที่ปวินท์เอ่ยถึงคนนอกห้อง หญิงสาวพลันหรี่ตา “เจ้านั่นของพี่ปริ้นก็พี่ชายอิงนะคะ เป็นน้องชายพี่ปริ้นเหมือนกัน และอย่าเรียกพี่แคนว่าเจ้านั่นๆ เลย เพียงแต่พอเขาไปอยู่นิวซีแลนด์ก็เปลี่ยนชื่อมาสิบกว่าปีไม่คุ้นชื่อแคนแล้ว และไม่ชินถูกเรียกเป็นพี่เป็นน้องให้เรียกว่าเจคเฉยๆ ก็พอ”

“จะแคนจะเจคก็ช่าง ทำไมฉันต้องนับญาติกับลูกผู้หญิงสำส่อน!”

“คงเพราะคนคนนั้นมีสิทธิ์ขึ้นเป็นประธานของบริษัทบุหรงกาญจน์มั้งคะ”

ปวินท์กัดฟันกรอด แต่หญิงสาวก็ใช้วิธีเดิมซึ่งเคยทำมาตลอด…ตอบโต้แค่พอหอมปากหอมคอ ไม่เปิดทางให้อีกฝ่ายหาเรื่องมากกว่านี้

โกศลบิดาของวิมลินมีภรรยาที่ยอมรับอย่างเป็นทางการสามคน เมียหลวงซึ่งจดทะเบียนสมรสโดยถูกต้องแม้แต่งงานมานานก็ไร้ทายาท ส่วนผกาผู้ให้กำเนิดแคนหรือเจคนั้นนับเป็นภรรยาลำดับที่สอง แต่กลับถูกรับเข้าบ้านหลังวาดจันทร์มารดาของวิมลินซึ่งเป็นภรรยาคนสุดท้าย

ชีวิตที่ต้องใช้สามีร่วมกันย่อมไม่ราบรื่น ผู้หญิงสามคนต่างมีเรื่องบาดหมางจนโกศลเบื่อมักไปหาเศษหาเลยนอกบ้าน กลายเป็นสาเหตุความขัดแย้งรอบใหม่วนเวียนเหมือนงูกินหาง ผกาอาจทนสภาพเช่นนี้ไม่ไหวจึงเผลอทำเรื่องผิดพลาด วันหนึ่งโกศลพบชายแปลกหน้าลอบเข้าบริเวณบ้าน ชายผู้นั้นวิ่งหนีกระทั่งโดนรถชนตาย โกศลสงสัยเริ่มคาดคั้นคนในบ้านจนผกาสารภาพว่าคบชู้แล้วแอบพาบุตรชายหนี ด้วยความโกรธโกศลถือทิฐิไม่ยอมตามหา สองแม่ลูกจึงขาดการติดต่อนับแต่นั้น

 



Don`t copy text!