หน้ากากมยุเรศ บทที่ 2 : ใครที่กลับมา (1)

หน้ากากมยุเรศ บทที่ 2 : ใครที่กลับมา (1)

โดย : สิตา

Loading

หน้ากากมยุเรศ นวนิยายโรแมนติกดราม่า โดย สิตา ผู้ที่เคยได้รับรางวัลชนะเลิศในโครงการ อ่านเอาก้าวแรก ปี 2 ในนามปากกา “เยว่หวา” ที่ครั้งนี้ เธอขอพาทุกคนสู่การเฉือดเฉือนในวงการธุรกิจของครอบครัวบุหรงกาญจน์ ที่ต่างฝ่ายต่างสวมหน้ากากปิดบังเป้าหมายในใจ ผลลัพธ์จะเป็นอย่างที่คาดเดาหรือหักมุม อ่านออนไลน์กันได้ที่ anowl.co

กังหันหรือเจคคือคนคนเดียวกัน เขาสวมรอยเป็นแคนโดยมีวิมลินคอยสนับสนุนเบื้องหลัง

คำพูดจากปากหญิงสาวสะท้อนก้องไปมาในรถ กดทับจนบรรยากาศขุ่นมัว ชายหนุ่มฝืนยิ้มจางๆ “ทำไมครับ ผมยังแสดงเป็นเจคได้ไม่ดีหรือไง”

เธอนึกทบทวนครู่หนึ่ง “ไม่ค่ะคุณทำดีแล้ว ดูทุกคนเชื่อสนิทใจเลย”

“ยกความดีความชอบให้คุณ แผนโชว์แผลเป็นเพื่อกดดันสำเร็จเกินคาด คุณเคยบอกให้ระวังปวินท์ไว้เพราะเขาเป็นพวกปากเสียแถมยังของขึ้นง่าย ส่วนภวัตก็ฉลาดเป็นกรดใช่ไหม พอผมถลกเสื้อโชว์เท่านั้นแหละไม่เห็นพูดอะไรกันสักคำ”

“แต่ที่ได้ผลชัดที่สุดน่าจะเป็นตอนคุณเอ่ยถึงป้าผกา มันไม่อยู่ในแผนแต่แรกด้วยซ้ำ พอได้ยินคุณด้นสดซึ่งหน้าฉันใจหายวูบเลย” ประกายวิบไหวพาดผ่านดวงตาวิมลิน “แวบหนึ่ง…แค่แวบเดียวนะ ฉันยังเผลอนึกว่าพี่แคนกำลังนั่งอยู่ตรงนั้น เรียกร้องด้วยความเจ็บช้ำแทนป้าผกา ทำไมคุณที่เป็นคนนอกแท้ๆ ต้องทำให้ป้าเขาขนาดนั้นคะ”

ชายหนุ่มตอบคำถามด้วยการย้อนว่า “ช่วงที่วางแผนกันคุณอธิบายลักษณะหน้าตากับนิสัยญาติๆ ให้ผมทราบถึงทักพวกเขาได้ถูกคน แต่กลับไม่เคยพูดถึงแม่ผกาเลย ในสายตาคุณ…แม่ผกาเป็นคนแบบไหนหรือ”

หญิงสาวกะพริบตาปริบ ไม่ชินเวลาได้ยินเขาเรียกผกาว่าแม่เท่าไรนัก “สำหรับฉันป้าผกาเป็นคนพูดไม่ค่อยเก่ง ใจดีแล้วก็รักพี่แคนมาก ชอบทำขนมให้กิน เวลาฉันทะเลาะกับพี่ปริ้นก็คอยห้ามด้วยเสียงเย็นๆ นุ่มๆ พูดไปแล้ว…ตอนรู้ข่าวป้าผกาแอบคบชู้ฉันตกใจมาก ไม่คิดว่าเป็นเรื่องจริง…” เธอเม้มริมฝีปาก “แต่ก็นั่นแหละ เวลาที่รู้จักแค่สองสามปีจะตัดสินอะไรได้”

เจคแหงนหน้าพิงเบาะ “ผมเองใช้ชีวิตกับแม่ผกาไม่นาน แต่เธอดูแลผมไม่ต่างจากลูกชายคนหนึ่ง ตอนเธอย้ายมาอยู่กับพ่อ ห้องที่ฟาร์มจัดให้มันเล็กมากเพราะในบ้านหลังเดียวแบ่งซอยเป็นสิบๆ ห้องให้คนงานพัก ผมและแคนโตพอแล้วเลยขอแยกไปอยู่ห้องเดิมของแม่บนชั้นสอง” เขาเผลอยกมือกุมหน้าอก…ตำแหน่งของแผลเป็นขนาดใหญ่ที่สุดบนร่าง “ผมมารู้ทีหลัง ตอนไฟไหม้แม่ตายตรงทางขึ้นบันได ทั้งๆ ที่จากห้องใหม่แม่ไม่กี่ก้าวก็ถึงประตูบ้านแล้ว แต่…แม่กลับวิ่งย้อนขึ้นมาหาพวกผม…”

ชายหนุ่มทอดสายตาเหม่อออกนอกกระจก ถนนขวางทางแยกรถขวักไขว่ ฝูงชนเร่งฝีเท้าบนทางม้าลาย แต่ภายในห้องโดยสารกลับสงบนิ่ง ราวกาลเวลาก็ยอมรั้งรอเพื่อไว้อาลัย

“สำหรับผมแม่ผกาก็ไม่ต่างจากแม่แท้ๆ ครับ ส่วนหนึ่งที่ผมยอมทำตามแผนคุณก็เพราะต้องการกู้ศักดิ์ศรีคืนให้แม่ หวังว่าคุณคงไม่คัดค้าน”

ฟังอีกฝ่ายพูดถึงคนที่เปรียบเสมือนมารดา ในใจวิมลินกลับไพล่คิดถึงแม่ของตนเอง วาดจันทร์…ภรรยาคนที่สามของโกศล

คล้ายภาพเบื้องหน้าเลือนรางกระจัดกระจายแล้วค่อยๆ รวมตัวเป็นใบหน้าของวาดจันทร์ลอยเด่น ตอนนั้นแม่กำลังตัวสั่น พูดเสียงแหบพร่า

“ไม่ได้นะอิง พวกเราจะแย่กันหมดเพราะฉะนั้นห้ามทำ…ห้ามเด็ดขาด!” 

วิมลินในชุดนักเรียนมัธยมกุมมืออีกฝ่ายอยู่ แต่เธอคงแสดงความลังเลเด่นชัดเกินไป วาดจันทร์จึงยื่นหน้าประชิดจนรับรู้ถึงลมหายใจร้อนลวก ตรงข้ามกับฝ่ามือเย็นเฉียบที่เธอเกาะกุมไว้

“อิง! สัญญากับแม่สิ”

เธอย่อมไม่อยากขัดใจมารดา ทว่าริมฝีปากกลับหนักอึ้งราวมีหินถ่วงรั้ง เธอควรจะตอบว่าบุพการีอย่างไรดี…ตอบว่า…

“คุณอิง!”

วิมลินสะดุ้งตามเสียงเรียก ชายหนุ่มด้านข้างจึงพูดต่อ “ไฟเขียวแล้วนะ เวลาขับรถอย่าเหม่อสิครับผมเรียกตั้งหลายครั้ง”

“ขอโทษค่ะ” เธอจบประโยคแค่นั้นก่อนขยับรถ เจคจึงเปรยขึ้น

“คุณพูดน้อยลงมากเลยนะ ตอนเจอกันที่นิวซีแลนด์คุณดูช่างคุยกว่านี้เยอะ”

“ตรงข้ามกับคุณนะคะ เจอกันครั้งแรกคุณเหมือนไม่ค่อยอยากพูดกับฉันเท่าไหร่”

ชายหนุ่มหัวเราะเสียงแห้ง ขณะที่หญิงสาวปรับอุณหภูมิในรถเพื่อสู้แดดร้อนเปรี้ยงภายนอกพลางทบทวนความทรงจำไปด้วย หลังได้ข้อมูลจากนักสืบเธอก็บินไปหาเขาเมื่อสามวันก่อน แต่ในความรู้สึกช่างเสมือนผ่านมาเป็นชาติเลยทีเดียว

 

ลมหนาวพัดกรีดผิวจนวิมลินต้องห่อไหล่ รีบซุกมือในกระเป๋าเสื้อโค้ทตัวยาว ผมสีน้ำตาลอ่อนสยายตามแรงลมจนเริ่มเสียทรงแต่เธอไม่สนใจ หญิงสาวกำลังยืนหน้าบ้านสีขาวชั้นเดียว ประตูไม้บานคู่และหน้าต่างทุกบานปิดสนิท มันอยู่ติดถนนคั่นด้วยสนามหญ้าแคบๆ กลางสนามปลูกไม้ยืนต้นที่ไม่รู้จักชื่อเอาไว้ ช่วงนี้เพิ่งเริ่มต้นฤดูใบไม้ร่วงแต่มันกลับสลัดใบแทบหมดแล้ว สภาพต้นไม้ใหญ่เหลือเพียงกิ่งก้านแห้งโกร๋นชี้ฟ้าช่างไม่เจริญตาเอาเสียเลย

ตอนบ่ายๆ แม้เป็นย่านชุมชนในเมืองควีนส์ทาวน์ของนิวซีแลนด์กลับพบเห็นผู้คนน้อยมาก วิมลินยืนรอเกือบชั่วโมง ทั้งหนาวทั้งเหนื่อย จากข้อมูลที่เช็กมาเที่ยวบินของคนซึ่งเธอคอยอยู่ลงที่สนามบินตั้งสี่ชั่วโมงแล้วทำไมเขายังไม่ถึงบ้านเสียที จนเมื่อชะโงกดูถนนโล่งว่างเป็นครั้งที่เท่าไรก็ไม่รู้ พลันได้ยินเสียงเครื่องยนต์เบาๆ มอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์คันหนึ่งอ้อมหัวมุมถนนมาพร้อมเสียง พอถึงหน้าบ้านก็ขับขึ้นทางตรงทางเท้า ผ่านเธอและรั้วที่เป็นแนวพุ่มไม้เตี้ยๆ ไปจอดหน้าโรงรถข้างตัวบ้าน หนุ่มคนขับถอดหมวกกันน็อกออกจนเห็นผมกระเซิงยุ่งเหยิง จ้องเธออย่างสงสัย วิมลินจำหน้าเขาจากรูปที่นักสืบเคยส่งให้ดูได้ รีบทักขึ้น

‘พะ…พี่แคนใช่ไหมคะ’

หนุ่มผมกระเซิงชะงักแล้วโต้ตอบทันควันด้วยภาษาอังกฤษ ‘คุณเป็นใคร มาทำอะไรที่นี่ หรือมาหาแฟลตเมตของผม เวลานี้ยังไม่มีใครกลับจากทำงานหรอก’

วิมลินนิ่งอึ้งด้วยคาดไม่ถึง เธอพอทราบว่าพี่แคนเช่าบ้านร่วมกับเพื่อนอีกสามคนซึ่งแถวนี้เรียกเพื่อนร่วมบ้านเช่าประเภทดังกล่าวว่าแฟลตเมท แต่เธอมาหาเขาไม่ใช่ใครอื่น หรือเขาลืมภาษาไทยไปหมดแล้ว จึงเปลี่ยนภาษาพูดตามอีกฝ่าย

‘ฉันมาจากครอบครัวบุหรงกาญจน์ที่ประเทศไทยไงคะ มาหาคุณนั่นแหละ’

หนุ่มผมกระเซิงทยอยขนของลงจากพาหนะ เป็นกระเป๋าเป้แบ็กแพ็กกับกล่องขนาดใหญ่ ปากก็คุยโดยไม่สนใจมองเธอเลย ‘คุณพูดอะไรผมไม่เข้าใจ กลับไปซะเถอะ’

หญิงสาวกัดริมฝีปาก ‘พี่แคน…อ้อ พี่เปลี่ยนชื่อแล้วนี่ พี่เจคคะหยุดคุยกันดีๆ ก่อนได้ไหม ขอร้องละค่ะ’

เขาวางของทั้งหมดหน้าประตูบ้าน ทำท่าปัดฝุ่นจากมือ ‘คุณครับนี่ผมกำลังพูดดีๆ กับคุณอยู่แล้วนะ ผมไม่รู้จักคุณและไม่สนใจเรื่องอะไรที่คุณจะบอกทั้งนั้น ถ้าไม่กลับผมจะเรียกตำรวจ’

‘ก็เรียกสิคะ!’ วิมลินชักเลือดขึ้นหน้า เธอไม่ได้รอจนล้าแทบยืนไม่อยู่เพื่อฟังการตัดบทเช่นนี้เลย จึงลืมตัวคว้าข้อมือเขาไว้ ‘มีตำรวจเป็นคนกลางเราจะได้คุยกันดีๆ เสียที!’

ชายหนุ่มสะบัดมือเธอทันควัน ขณะที่วิมลินกำลังตกใจเขาก็ซอยเท้าเฉียดเธอออกสู่บาทวิถี พริบตาจ้ำอ้าวหนีไปไกลแล้ว หญิงสาววิ่งไล่ทันทีแต่ขาเขายาวกว่าจึงถึงสี่แยกก่อนและเริ่มข้ามทางม้าลายไปอีกฝั่ง วิมลินกลัวถ้าเขาพ้นสายตาอาจหลบเข้าซอยจะตามไม่ทัน เลยตัดสินใจข้ามถนนพรวดโดยไม่รอให้ถึงสี่แยก เจ้ากรรม! ดันมีรถเลี้ยวออกจากบ้านแถวนั้นพอดีจึงชนเธอเข้าอย่างจัง!

เจคหันขวับทันทีที่ได้ยินเสียงเบรกจึงเห็นหญิงสาวล้มลงต่อหน้าต่อตา เขาตกใจตะโกนลั่น ‘อิง! เป็นอะไรไหม!’

แล้ววิ่งกลับมาประคองวิมลินไว้ คนขับลนลานลงจากรถส่งภาษาระรัวแต่หนุ่มผมกระเซิงไม่สนใจ รีบสำรวจเธอทันที โชคดีรถขับช้าจึงกระแทกเบา หญิงสาวมีแค่แผลตรงฝ่ามือเป็นรอยขูดกับฟุตบาทยาวพอควรแต่ไม่รุนแรง เขาค่อยเริ่มเจรจากับคนขับรถทำนองขอโทษขอโพย อธิบายอยู่นานกว่าคนขับรถจะยอมจากไปโดยไม่แจ้งตำรวจ

เขาหมุนตัวกลับมาหาวิมลิน เธอหายตกใจแล้ว กำลังใช้กระดาษทิชชูซับเลือดที่แผล นิ่วหน้าเจ็บแต่ไม่เอ่ยสักคำ เจคกลืนน้ำลายสำนึกผิด ‘ไปทำแผลในบ้านผมเถอะครับ’

ชายหนุ่มไขกุญแจเข้าบ้านโดยไม่สนใจของตัวเองซึ่งยังกองหน้าประตู เกาหัวเก้อๆ เมื่อเห็นสภาพด้านใน เสื้อผ้ารองเท้ากองตามมุมห้องบ้างเก้าอี้บ้าง จานชามใช้แล้ววางสุมเต็มอ่างล้าง ถัดจากครัวเป็นโต๊ะและเก้าอี้หลายตัวที่คงใช้ทั้งกินข้าวทั้งนั่งดูโทรทัศน์ บนโต๊ะมีกล่องพิซซ่าเปล่าตั้งเรียงซ้อนเกือบถึงเพดานรอมร่อ

‘อยู่กันแบบชายโสดเลยรกหน่อยนะครับ’

วิมลินจับแขนเสื้อโคตที่เปื้อนจากอุบัติเหตุเมื่อครู่ ‘ไม่เป็นไรค่ะ แต่ขอใช้ห้องน้ำหน่อยได้ไหม’

สภาพภายในห้องน้ำก็เหมือนกับด้านนอก เธอเดินหลบสิ่งของไปจนถึงอ่างล้างมือ ตอนแรกจะทำความสะอาดเสื้อแต่เปลี่ยนใจเพราะเจ็บและเพลีย อีกอย่างใส่โคตเปียกๆ เผชิญลมหนาวคงไม่เหมาะ จึงแค่ทนความแสบล้างมือจนสะอาด จัดทรงผมเข้าที่เข้าทางก่อนถือเสื้อโคตเดินออกมา เจคทิ้งคอนโดฯ กล่องพิซซ่าและทำความสะอาดโต๊ะจนเสร็จ จึงเหลือที่ให้วางอุปกรณ์ทำแผลและยา วิมลินนั่งบนเก้าอี้ที่เขาเลื่อนให้ปล่อยชายหนุ่มช่วยทำแผลโดยดี พริบตาฝ่ามือก็มีปลาสเตอร์แผ่นโตแปะไว้เรียบเนียน แล้วพอเงยหน้าจากแผลเขาก็ยื่นถ้วยกาแฟให้

‘ดื่มหน่อยเถอะมือคุณเย็นเฉียบเชียว’

ผิวกระเบื้องอุ่นๆ ในอุ้งมือช่วยให้สบายขึ้น แต่วิมลินกลับวางแก้วลงอย่างไม่นำพา ‘คุณก็คือพี่แคน ยอมรับได้หรือยังคะ’

ชายหนุ่มกอดอกแน่น ‘จะให้พูดอีกกี่ครั้ง ผมไม่ใช่…’

‘ก่อนคุณจะปฏิเสธแบบเดิมช่วยอธิบายหน่อยได้ไหมคะ ทำไมตอนฉันถูกรถชนคุณถึงตะโกนเรียกชื่อเล่นฉันได้ถูกต้อง แถมเรียกเป็นภาษาไทยเสียด้วย’

เจคหน้าเสีย คงไม่ทันนึกตอนตกใจดันเผลอหลุดปากอะไร ทว่ายังเสียงแข็ง ‘คำพูดที่คุณได้ยินคนเดียวแบบนั้นจะโมเมเอาก็ได้’

วิมลินถอนใจยืดยาว ‘รู้ไหมคะฉันรอคุณหน้าบ้านเป็นชั่วโมง หนาวก็หนาวเหนื่อยก็เหนื่อย แรงเช็ดแขนเสื้อยังไม่มีเลย หมดอารมณ์ฟังคำโกหกแล้วละค่ะ’ เธอลุกพรวดคว้าเสื้อโคตพาดแขน ‘ช่างมัน คุณอยากปฏิเสธนักก็ทำไปแต่ฉันจะกลับมาใหม่ จะลากทั้งทนายทั้งเจ้าหน้าที่คนไหนก็ได้มาด้วย และใช้ทุกวิธีเพื่อพิสูจน์ว่าคุณคือพี่แคนให้ได้ ถึงต้องฟ้องตรวจเอกสารตรวจดีเอ็นก็จะทำ คอยดูแล้วกัน!’

หญิงสาวหมุนตัวมุ่งไปที่ประตู ชายหนุ่มก้าวพรวดขวางไว้ทันควัน

‘ดะ…เดี๋ยวสิคุณ ค่อยๆ คุยกันก่อนดีไหม’

วิมลินจ้องเขานิ่ง แล้วจึงเริ่มเอ่ยทีละคำ…เป็นภาษาไทย ‘ฉันสืบข้อมูลในอดีตของคุณจนรู้ทุกอย่าง คิดว่าแค่ยืนกระต่ายขาเดียวจะหนีความจริงพ้นหรือคะ’

เจคฝืนยิ้ม ‘จงใจพูดไทยเพื่อทดสอบผมใช่ไหม’

‘แต่คุณก็ยังตอบด้วยภาษาไทยนี่’

เขาเผลอหลุดหัวเราะทั้งที่คิ้วยังขมวดแน่น ‘ผมยอมแพ้คุณแล้ว ดื่มกาแฟหน่อยเถอะจะได้อุ่นขึ้น เดี๋ยวเป็นหวัด’

เมื่อเจคยอมถอยเธอจึงกลับมานั่งจิบกาแฟอีกรอบ รสอ่อนไปหน่อยแต่อร่อยจนน่าแปลกใจ ถ้ามีเวลาคงละเลียดดื่มได้ทั้งวัน ระหว่างนั้นชายหนุ่มก็เริ่มชงกาแฟให้ตัวเองบ้าง แต่เหมือนใจจะลอยหายไปอยู่ที่อื่น ทำอะไรสักอย่างต้องหยุดเหม่อเป็นนานสองนานกว่าจะทำขั้นต่อไป วิมลินรออย่างอดทนจนเครื่องดื่มเกือบหมดแก้วเขาถึงชงกาแฟใส่เหยือกเสร็จ เป็นเวลาเดียวกับที่เจคเหมือนจะตัดสินใจได้แล้ว

‘คุณคงมาตามคำสั่งพ่อใช่ไหม ถ้างั้นผมยังไม่ตกลงอะไรทั้งนั้นจนกว่าจะได้เจอและคุยกับเขาแบบส่วนตัว ผมยินดีบินไปหาโดยออกค่าใช้จ่ายเอง’

วิมลินไล้นิ้วไปตามหูแก้วมัค ในที่สุดก็มาถึงประเด็นสำคัญเสียที ‘ฉันก็อยากคุยกับพ่อยิ่งกว่าคุณเสียอีกแต่คงหมดหวัง เพราะท่านเสียแล้วค่ะ’

เจคสะดุ้งจนกาแฟที่กำลังรินกระฉอกจากแก้ว เบิกตาโพลงใส่หญิงสาว ‘คุ…คุณว่าอะไรนะ!’

เธอสบตาเขาตรงๆ ‘ท่านเสียเมื่อปีที่แล้วค่ะ โรคหัวใจ’

มือเขาสั่นจนต้องรีบวางเหยือกกาแฟ ทรุดนั่งทั้งที่ยังอ้าปากค้าง นานทีเดียวกว่าจะเริ่มขยับอีกครั้งแต่ก็ไม่ยอมคุยด้วยจนแล้วจนรอด กลับขอตัวด้วยเสียงแหบพร่าก่อนลุกหายไปทางประตูหลังบ้าน วิมลินปล่อยให้เขาใช้เวลาอย่างเต็มที่ ค่อยๆ ซึมซับและยอมรับข่าวร้ายด้วยตัวเอง

หญิงสาวเดาว่าเขายังโกรธพ่ออยู่ ถึงได้แข็งขืนปฏิเสธเธอตั้งแต่แรกพบหน้า สมมุติถ้าเปลี่ยนเป็นพ่อมายืนแทนเธอที่ตรงนี้ หากชายหนุ่มจะซัดโกศลหน้าหงายวิมลินคงไม่ตกใจสักนิด โกศลเป็นได้ทั้งพ่อที่ดีและแย่ สามีที่ประเสริฐหรือเลวร้าย เขาเสมือนเหรียญที่มีสองหน้า สามารถพลิกอีกด้านขึ้นมาให้พิศวงได้เสมอ คำนิยามถูกหรือผิดไม่อาจใช้กับเขา นี่แหละ…พ่อบังเกิดเกล้าของเธอ

วิมลินอาจยอมรับตัวตนของผู้เป็นพ่อได้ แต่สำหรับพี่ชายต่างแม่นั้น…



Don`t copy text!