หน้ากากมยุเรศ บทที่ 1 : ครอบครัวบุหรงกาญจน์ (3)

หน้ากากมยุเรศ บทที่ 1 : ครอบครัวบุหรงกาญจน์ (3)

โดย : สิตา

Loading

หน้ากากมยุเรศ นวนิยายโรแมนติกดราม่า โดย สิตา ผู้ที่เคยได้รับรางวัลชนะเลิศในโครงการ อ่านเอาก้าวแรก ปี 2 ในนามปากกา “เยว่หวา” ที่ครั้งนี้ เธอขอพาทุกคนสู่การเฉือดเฉือนในวงการธุรกิจของครอบครัวบุหรงกาญจน์ ที่ต่างฝ่ายต่างสวมหน้ากากปิดบังเป้าหมายในใจ ผลลัพธ์จะเป็นอย่างที่คาดเดาหรือหักมุม อ่านออนไลน์กันได้ที่ anowl.co

ตอนที่เจคเดินเข้าห้องมาเขาเอาแต่สำรวจรอบๆ อย่างสนอกสนใจ เกาหัวด้วยความประหม่าจนผมที่กระเซิงยิ่งไม่เป็นทรง ก่อนนั่งลงตรงเก้าอี้ปลายโต๊ะซึ่งวิมลินเคยนั่งจนถึงเมื่อครู่ หญิงสาวย้ายไปยังเก้าอี้ตัวข้างๆ มองเจคส่งยิ้มให้ชายในห้องไปทีละคน

“สวัสดีครับลุงเสริฐ”

ประเสริฐเลิกคิ้ว “จำลุงได้ด้วยหรือ”

“พอเลาๆ ครับ อย่างที่ยืนหลังลุงเสริฐนั่นต้องปริ้นแน่ๆ อีกคนก็วัตใช่ไหม ใส่แว่นมาตั้งแต่เด็กนี่”

บรรดาคนที่โดนทักเหลือบมองกัน สามารถเรียกชื่อญาติๆ ถูกต้อง นับว่าเจคคนนี้สอบด่านแรกผ่านฉลุย ประเสริฐถามต่อ “เจคอยู่ที่นั่นทำงานอะไร”

“เป็นผู้ช่วยกองถ่ายสารคดีครับ เพิ่งจบงานหนึ่งไปกำลังว่างพอดี ปกติออกกองทีหายหน้าเป็นเดือนๆ จนอิงไปหาถึงเพิ่งทราบข่าวพ่อ…” เขาเม้มริมฝีปาก ผินศีรษะไปทางวิมลิน “ขอโทษนะอิงที่ไม่ทันกลับมาตอน…พ่อเสีย”

หญิงสาวฝืนยิ้มบางๆ ไม่เอ่ยคำใด ด้านภวัตดันแว่นขึ้นขณะพูดว่า “ผมก็ขอสวัสดีพี่แคน ไม่สิ…พี่เจคนะครับ”

“เรียกเจคเฉยๆ เถอะ ผมชินแบบนั้นครับ”

ระหว่างพี่น้องพูดกันด้วยคำสุภาพน่าจะประดักประเดิด แต่สำหรับสถานภาพที่เจคเป็นอยู่ วิธีเช่นนี้กลับเหมาะสมอย่างประหลาด ทุกคนจึงยอมรับโดยดี หลังทักทายและซักไซ้ประวัติพอเป็นพิธีจบลง ภวัตก็ยิงคำถามตามติด

“ผมเพิ่งทราบจากอิงว่าตอนแรกคุณปฏิเสธจะกลับไทย” เขาแสดงท่าทางเป็นมิตรได้อย่างพอเหมาะ “แต่ตอนนี้คุณก็มานั่งที่นี่แล้ว ทำไมเปลี่ยนใจล่ะครับ”

คนโดนถามนิ่งเงียบอยู่นาน จากนั้นจึงลุกขึ้นยืนพลางพูดช้าๆ

“ผมปฏิเสธไปเพราะโกรธครับ ตอนออกจากบ้านแม่กับผมลำบากมากแต่พ่อไม่เคยสนใจ แล้วแม่ก็ตาย ส่วนผม…” เขาเลิกชายเสื้อขึ้น เห็นแผลเป็นบนผิวหนังตะปุ่มตะป่ำซีดจางแถวท้องและหน้าอกเป็นบริเวณกว้าง ทำเอาคนมองกลืนน้ำลายฝืดเฝื่อน เขาถึงดึงเสื้อลงพร้อมนั่งตามเดิม “ตรงอื่นก็มีนะครับอยากดูอีกไหม”

ปวินท์พลันหลุบตาด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน วิมลินที่คอยสังเกตอยู่พอเข้าใจความรู้สึกเขา ถึงจะไม่ชอบใจแต่อย่างไรวัยเยาว์ก็เคยสนิทสนมวิ่งเล่นด้วยกันมา…

อาจเพราะประสบการณ์ชีวิตมากกว่าคนอื่น ประเสริฐจึงตั้งสติได้ก่อนใคร “ตอนผกาหนีออกจากบ้านเจคยังเด็ก ลุงไม่แน่ใจเราพอเข้าใจเรื่องราวขนาดไหน แต่ทุกอย่างมันกะทันหันจนวุ่นวายมาก พ่อเราโมโหเดือดชนิดใครเอ่ยพาดพิงสักนิดเป็นอาละวาดเละเทะ กว่าทางเราจะตั้งตัวติดพวกเธอก็หนีหายชนิดไร้ร่องรอย ผกาเองไม่มีญาติไม่มีเพื่อนสนิทให้ไปพึ่งพิง เราจนปัญญาตามหาตัวพวกเธอจริงๆ”

“ครับ ตอนนั้นตามไม่เจอ ในไทยตามไม่เจอ ต้องข้ามน้ำข้ามทะเลไปเจอในอีกสิบกว่าปีถัดมา จากใจจริงเลยนะครับ สมมุติถ้าเป็นพ่อไปตามตัวผมแทนอิง บอกเลย…กระทั่งหน้าพ่อผมยังไม่อยากมองด้วยซ้ำ!” เขาหัวเราะขื่น ก่อนเปลี่ยนเป็นเสียงถอนใจยาว “แต่พอความโกรธจางลงก็นึกได้ แม่เคยทำผิดกับพ่อไว้จริงๆ ส่วนผมก็ถือทิฐิเสียจนพลาดโอกาสเจอพ่ออีกครั้ง ถ้ายังคิดจะถือทิฐิต่อไปคง…” หนุ่มหัวกระเซิงส่ายหน้า “ผมถึงขอกลับมาเพราะอยากให้ความบาดหมางสิ้นสุดลงตรงนี้ ไม่ผูกความแค้นกันอีกแล้วครับ”

บ่าตึงเขม็งของประเสริฐพลันคลายลง “ความสัมพันธ์สามีภรรยาต่างฝ่ายต่างผิดพลาดได้ทั้งคู่นั่นแหละ เรื่องมันเกิดมานานถ้าเราสามารถปล่อยวางก็โล่งขึ้น”

หลานชายรับคำอย่างสุภาพ เขาจึงพูดต่อ “เจคกลับมาทันเวลาพอดี เพราะพ่อเราเสียไปเกือบปีแล้ว ตอนนี้ลุงทำหน้าที่ประธานบริษัทชั่วคราวจนกว่าจะมีคนเหมาะสม เจคจากไปแต่เด็กคงไม่รู้เรื่องพวกนี้แต่อิงน่าจะอธิบายไว้บ้างแล้ว”

“ครับ เธอเล่าตอนนั่งเครื่องกลับมา”

บริษัทบุหรงกาญจน์บริหารงานแบบธุรกิจครอบครัว โกศลลูกชายคนที่สามเคยถือหุ้นมากสุดสี่สิบเปอร์เซ็นต์ ประเสริฐลูกชายคนรองถือยี่สิบห้าเปอร์เซ็นต์ น้องอีกสองคนชายหนึ่งหญิงหนึ่งคนละสิบห้าเปอร์เซ็นต์ ที่เหลือกระจายในหมู่ญาติ แต่ถ้ายังแบ่งหุ้นให้รุ่นต่อไปแบบนี้หุ้นจะถูกซอยยิบย่อยจนอาจมีปัญหาในการบริหาร จึงตั้งกฎบังคับเฉพาะหุ้นของประธานคนปัจจุบันจะต้องสืบทอดให้ทายาทเพียงคนเดียว

คิดถึงตรงนี้ประเสริฐพลันหรี่ตาไปทางวิมลิน แอบกัดฟันเล็กๆ

หลังจากโกศลตายได้เกือบปี พวกเขาเริ่มคุยเรื่องวิธีจัดการหุ้นในส่วนของอดีตประธานบริษัท ระหว่างการประชุมที่จัดเฉพาะญาติๆ ผู้ถือหุ้นและวิมลิน ด้วยเหตุผลบางอย่างทำให้วิมลินหมดสิทธิ์เป็นผู้สืบทอดต่อจากบิดา หัวข้อสนทนาจึงเริ่มมีการเอ่ยชื่อแคนหรือก็คือเจคขึ้นมา แต่ประเสริฐอ้างถึงอดีตที่ผกาคบชู้ หากยอมให้ลูกของผู้หญิงแบบนั้นดำรงตำแหน่งบริษัทอาจเสื่อมเสียชื่อเสียง อีกอย่างแคนหายตัวไปหลายปีมากถ้าไม่ตายไปแล้วปัจจุบันจะนิสัยอย่างไรก็สุดรู้ ต้องอยู่ภายใต้ผู้ชายแบบนั้นคนทุกยินยอมพร้อมใจหรือ มิสู้บริหารกันเองเหมือนเดิม

บรรดาญาติต่างอ้ำอึ้งเพราะล้วนทราบกันอยู่ การเปลี่ยนแปลงบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นของบริษัทนอกตลาดหลักทรัพย์อาศัยแค่กรรมการผู้มีอำนาจก็ดำเนินการได้สบาย และตอนนี้เหลือเพียงประเสริฐที่เป็นกรรมการผู้มีอำนาจของบริษัทเพียงคนเดียว เจตนาเขาชัดเจนแทบไม่ต้องเดา

แต่ถ้าแคนดันรู้เรื่องทีหลังแล้วฟ้องร้องขึ้นมาล่ะ

ประเสริฐเผยรอยยิ้มตอบคำถามอย่างเยือกเย็น อธิบายว่าเขาไม่ได้คิดฮุบหุ้นของน้องชายแต่อยากจัดสรรเพื่อทุกคนด้วยความยุติธรรม โดยจากหุ้นสี่สิบเปอร์เซ็นต์แบ่งให้วิมลินในฐานะทายาทของโกศลยี่สิบสี่เปอร์เซ็นต์ อีกสิบห้าเปอร์เซ็นต์แตกสามส่วนมอบแก่พี่น้อง เหลือหนึ่งเปอร์เซ็นต์กระจายให้ญาติที่เหลือ คนฟังเริ่มลังเลยามมีผลประโยชน์มาล่อตรงหน้า บางส่วนก็ไม่อยากขัดใจประเสริฐจึงเงียบเสีย คนที่น่าจะมีปัญหามากที่สุดได้แก่วิมลินในฐานะผู้จัดการมรดก หากเธอยอมย่อมหมายถึงยกตำแหน่งประธานบริษัทให้ประเสริฐแทนที่พ่อ ถึงกระนั้นหากลองคิดดู ถ้าเกิดวิมลินพยายามเรียกร้องสิทธิ์ตามกฎหมาย เธอจะต้องแบ่งหุ้นกับแคนคนละครึ่งเหลือแค่ยี่สิบเปอร์เซ็นต์ ถึงเวลานั้นประเสริฐก็ยังคงขึ้นเป็นประธานอยู่ดี แต่ถ้ายอมรับแผนของประเสริฐเธอจะได้หุ้นเพิ่มอีกสี่เปอร์เซ็นต์ฟรีๆ และไม่ต้องมีเรื่องบาดหมางกับประเสริฐที่ไม่ว่าทางไหนก็กำลังจะได้เป็นประธานบริษัท ถึงแม้แคนอาจตามมาฟ้องร้องในภายหลัง แต่ทางประเสริฐมีผู้ถือหุ้นทุกคนรวมถึงผู้จัดการมรดกของโกศลอย่างวิมลินเป็นพวก ได้เปรียบกว่าแคนหลายเท่าตัว

ทว่าวิมลินยังตัดสินใจไม่ได้จึงขอเวลาทบทวน ประเสริฐก็ยอมตามหวังเพื่อซื้อใจหลานสาว และเชื่อมั่นว่าหากต้องแลกเปลี่ยนกับผลประโยชน์มหาศาล…เธอจะปฏิเสธทำไม

กระทั่งเดือนถัดมา จู่ๆ วิมลินขอลาพักร้อนกะทันหันกับบริษัท อีกสัปดาห์ค่อยติดต่อประเสริฐแจ้งเพียงว่าสืบหาตัวพี่ชายต่างแม่พบแล้วที่นิวซีแลนด์ พอหายตกใจประเสริฐรีบติดต่อกลับแต่หลานสาวไม่ยอมรับสาย เธอแค่สั่งคนเอาเอกสารประวัติของแคนจากนักสืบมอบแก่ภวัต นัยว่าเพื่อให้ทางนี้มีข้อมูลไว้สร้างความคุ้นเคยล่วงหน้ากับคนที่หายตัวไปนาน และส่งข้อความสั้นๆ บอกกำลังบินกลับประเทศไทยพร้อมแคน

จนบัดนี้ประเสริฐก็ยังไม่เข้าใจ วิมลินยอมปล่อยมือจากผลประโยชน์มหาศาล ประเคนให้พี่ชายต่างแม่ที่ไม่เคยพบหน้าเป็นสิบปี…เพราะเหตุผลอะไร

รองประธานบริษัทบุหรงกาญจน์ลอบสังเกตกิริยาอาการของเจค ครั้นไม่พบความผิดปกติก็เบาใจ อย่างน้อยวิมลินยังไว้หน้าลุงคนนี้ไม่บอกเรื่องที่เขาคิดฮุบหุ้นหลานชาย ประเสริฐจึงสามารถเอ่ยด้วยน้ำเสียงมั่นคง “เจคกลับมาเพราะตั้งใจจะสืบทอดต่อจากพ่อใช่ไหม”

“ครับ เห็นอิงบอกตามข้อบังคับบริษัทเป็นอย่างนั้น แต่ผมยังต้องเรียนรู้อีกมากจากลุงเสริฐและพวกญาติๆ ทุกคนนะครับ”

ประเสริฐพยักหน้ายิ้มแย้ม สวมบทผู้ใหญ่ใจดี “ก่อนอื่นเจคกลายเป็นพลเมืองนิวซีแลนด์ไปแล้ว ยังเก็บเอกสารเก่าๆ สมัยใช้ชื่อแคนไว้บ้างไหม”

“ผมจากเมืองไทยไปตั้งสิบกว่าปีไม่เหลืออะไรเลยครับ”

“นั่นสิ จะดำเนินการต่อคงยากพอควรแต่ลุงอยากทำให้เสร็จไวๆ เอาแบบนี้ไหม เจคแค่ยืนยันตัวตนสักนิดว่าเป็นคนของบุหรงกาญจน์ น่าจะช่วยลัดขั้นตอนได้เยอะ”

“ยืนยันตัวตนหรือ ผมต้องทำอะไรครับ”

“ไม่ยากเลยก็แค่ตรวจดีเอ็นเอกับญาติใกล้ชิดเท่านั้น แต่พ่อเราเสียไปแล้วเจคคงต้องจับคู่กับอิง เราเอาผลตรวจดีเอ็นเอว่าพวกเธอสองคนเป็นพี่น้องกันให้ทนาย เขาจะจัดการต่อเอง”

เจคทำท่าหยุดคิด ประเสริฐรออย่างอดทน ในมุมมองเขาสิ่งที่กล่าวอ้างสมเหตุสมผลมาก อีกฝ่ายไม่ควรปฏิเสธนอกเสียจากว่า…เขาไม่ใช่เจคตัวจริง!

ในที่สุดหนุ่มหัวกระเซิงก็เงยหน้าสบตาประเสริฐ เอ่ยชัดถ้อยชัดคำ “ลุงเสริฐอยากตรวจดีเอ็นเอ เพราะจะเช็กว่าผมใช่ลูกพ่อจริงๆ ไหม อย่างนั้นสินะครับ”

ประเสริฐหน้าหดเหลือสองนิ้วทันที ใช่…นี่ต่างหากเหตุผลแท้จริงที่เขาต้องการตรวจสอบ ไอ้ข้ออ้างกลัวการสลับตัวอะไรนั่นเพื่อกลบเกลื่อนให้ดูดีเท่านั้น เขาไม่เชื่อหรอกข้อสันนิษฐานที่ราวกับนิยายจะเกิดขึ้นได้ในชีวิตจริง ตรงกันข้าม…ผู้ชายคนหนึ่งถูกหลอกให้เลี้ยงลูกชู้ นั่นต่างหากที่พบเจอมาจนแทบเอียน

“เราคิดมากไปแล้ว” ประเสริฐพยายามฉีกยิ้มเต็มที่

“ถ้าอย่างนั้นผมต้องขอโทษที่เสียมารยาท แต่อีกใจก็อยากขอบคุณลุงเสริฐที่เสนอขึ้นมานะครับ ผมยินดีตรวจดีเอ็นเอครับเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของแม่” เขาสูดลมหายใจหนักหน่วง “แม่เคยทำผิดด้วยอารมณ์ชั่ววูบครับ ผมไม่มีอะไรคัดค้าน แต่เพราะก้าวพลาดแค่ครั้งเดียวแม่ต้องทนลำบากเลือดตาแทบกระเด็น ผมทั้งเห็นกับตาและเจอมากับตัว สำหรับผมแม่ใช้เวลาชั่วชีวิตรับโทษมาจนเกินจะพอ…เกินมากแล้วจริงๆ”

ผู้ชายที่นั่งทางฝั่งตรงข้ามโต๊ะต่างหลบสายตาเขา ราวแผลเป็นบนตัวเจคย้อนกลับมาหลอกหลอนตรงหน้า

“หากผลดีเอ็นเอบอกผมไม่ใช่ลูกพ่อผมจะไปให้พ้นหน้าทันทีเลยครับ แต่ถ้า…ถ้ามันเกิดตรงกันข้ามก็ขออย่างเดียวเท่านั้น” เจคย้ายสายตาไปจ้องคนในห้องทีละคนจนครบ “ผมไม่อยากได้ยินใครในบุหรงกาญจน์พูดถึงความผิดของแม่อีก รับปากผมได้ไหมครับ”

ตั้งแต่แรกเจอจนบัดนี้เจคยังคงความสุภาพเสมอต้นเสมอปลาย มีแค่เพียงแววตาที่แข็งกร้าวขึ้นในฉับพลัน ชนิดที่หากข้ามเส้นไปอีกนิดเดียว…มันก็คือความโกรธเกรี้ยวดีๆ นี่เอง

เขาอาจยอมรับความผิดพลาดของมารดา แต่ไม่ใช่ไม่เจ็บปวดกับสิ่งที่แม่ถูกกระทำ!

ประเสริฐหรี่ตาลง เขารู้ดีการขอตรวจดีเอ็นเอมันก็แค่เดิมพันครั้งสุดท้าย เพื่อยื้อยุดตำแหน่งประธานซึ่งกำลังจะหลุดลอยต่อหน้าต่อตา การพยายามงัดข้อซึ่งๆ หน้าใส่คนที่อาจขึ้นมามีอำนาจในอนาคตมันโง่เกินไป และเขาย่อมไม่ใช่คนโง่

ผู้รักษาการตำแหน่งประธานบริษัทบุหรงกาญจน์เผยรอยยิ้มเอื้ออารี แม้สองมือที่แอบอยู่ใต้โต๊ะจะกำเป็นหมัดแน่น “ลุงรับปากตามที่เจคต้องการแน่ๆ อย่ากังวลเลย”

เจคเอ่ยขอบคุณเสียงแผ่ว วิมลินมองเขาก่อนเลยไปถึงฉากหลังชายหนุ่มที่เป็นบานประตูรูปนกยูงทั้งสอง

บุหรงกาญจน์…นกยูงทอง ประตูบานนี้กำลังเปิดออกอีกครั้ง ต้อนรับการมาถึงของใครบางคนที่ไม่รู้จะเป็นแค่สายลมรำเพยแผ่ว…หรือพายุกระหน่ำจนแหลกลาญกันแน่!

 

หลังการต่อรองสิ้นสุดภวัตเสนอให้ตรวจดีเอ็นเอกันวันนี้เพื่อไม่เป็นการเสียเวลา เขาโทรศัพท์ครั้งเดียวก็นัดหมายคลินิกเทคนิคการแพทย์เอกชนที่เชี่ยวชาญด้านการตรวจดีเอ็นเอโดยเฉพาะ วิมลินอาสาพาพี่ชายต่างแม่ไปที่นั่นก่อน แล้วภวัตจะเดินทางตามไปสมทบภายหลัง

ตอนนี้พวกเขาสองคนจึงได้อยู่ในรถกันตามลำพังอีกครั้ง เจคเหล่มองสาวข้างตัว เปรยลอยๆ

“ไม่น่าเชื่อ พวกเขาขอตรวจดีเอ็นเอเหมือนที่คุณคาดไว้ไม่มีผิด”

วิมลินมือกำพวงมาลัย ตาจ้องแต่ถนนเบื้องหน้า “ลุงเสริฐจะทำทุกทางเพื่อกันคุณออกจากบริษัท การตั้งข้อสงสัยว่าคุณไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของพ่อเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่เขาต้องคว้าไว้ เดาแผนการเขาไม่ยากหรอกค่ะ ฉันแปลกใจพี่วัตมากกว่า นึกไม่ถึงเขาจะเอะใจเรื่องการสลับตัวตอนไฟไหม้ป่า”

ชายหนุ่มเผลอเกาหัวตามความเคยชิน “แต่ต้องตรวจดีเอ็นเอจริงๆ ด้วย จะไหวเหรอ”

“ปล่อยให้เป็นหน้าที่ฉันเถอะค่ะ” รถจอดติดไฟแดงเป็นคันแรก เธอจึงสามารถหันหน้ามาสบตาเขา “คุณนั่นแหละระวังตัวด้วย อย่าให้ใครจับได้ว่าคุณคือกังหันที่สวมรอยมาเป็นพี่ชายฉันก็แล้วกัน!”

 



Don`t copy text!