หน้ากากมยุเรศ บทที่ 2 : ใครที่กลับมา (2)

หน้ากากมยุเรศ บทที่ 2 : ใครที่กลับมา (2)

โดย : สิตา

Loading

หน้ากากมยุเรศ นวนิยายโรแมนติกดราม่า โดย สิตา ผู้ที่เคยได้รับรางวัลชนะเลิศในโครงการ อ่านเอาก้าวแรก ปี 2 ในนามปากกา “เยว่หวา” ที่ครั้งนี้ เธอขอพาทุกคนสู่การเฉือดเฉือนในวงการธุรกิจของครอบครัวบุหรงกาญจน์ ที่ต่างฝ่ายต่างสวมหน้ากากปิดบังเป้าหมายในใจ ผลลัพธ์จะเป็นอย่างที่คาดเดาหรือหักมุม อ่านออนไลน์กันได้ที่ anowl.co

ในที่สุดเจคก็กลับเข้ามาทว่าหยุดเท้าตรงปากประตูหลังบ้าน แสงจากด้านหลังฉาบทับแค่บางส่วนของใบหน้าก่อเงาบิดเบี้ยวชวนกระสับกระส่าย ทั้งยังยืนจ้องวิมลินนิ่งๆ อยู่เช่นนั้นจนเธอชักอึดอัด 

‘เอ้อ เปิดช่องไว้มันหนาวนะคะ’

เจคจึงยอมปิดประตู เมื่อเขาก้าวมาให้เห็นใบหน้าชัดเจนอีกครั้งวิมลินก็เผลอสูดหายใจ ดวงตาชายหนุ่มแห้งผากราวถูกสูบประกายจนหมดสิ้น ระหว่างเดินผ่านเธอไปนั่งวิมลินได้กลิ่นบุหรี่จากตัวเขา นึกสงสัยในเวลาสั้นๆ ต้องสูบบุหรี่กี่ตัวกลิ่นถึงติดเสื้อได้ฉุนขนาดนั้น น่าเสียดายที่บุหรี่ทั้งหลายไม่อาจคลายรอยยับย่นตรงหว่างคิ้วของเจคได้ และไม่ใช่แค่รอยยับย่น แต่ท่าเดินลากขานั่นราวกับเขากำลังแบกโลกไว้ทั้งใบ หญิงสาวรู้สึกผิดขึ้นครามครัน

‘ขอโทษนะคะที่แจ้งข่าวกะทันหัน แต่ไม่รู้จะหาจังหวะตรงไหนบอกพี่แคนให้ดีกว่านี้’

ชายหนุ่มลูบหน้าไปมายังคงไม่เอ่ยคำใด วิมลินจึงกล่าวสืบเนื่อง ‘ตำแหน่งประธานบริษัทบุหรงกาญจน์ว่างลงเกือบปีแล้ว ยิ่งเว้นช่วงนานยิ่งมีปัญหา พี่แคนควรกลับไปสะสางให้เรียบร้อย’

เขาเริ่มพูดอู้อี้ผ่านฝ่ามือ ‘ถ้าคุณสืบประวัติมาคงรู้ผมเปลี่ยนชื่อตั้งนานแล้ว เรียกเจคเฉยๆ เถอะ’

น้ำเสียงเย็นชากระตุ้นให้วิมลินฉุนขึ้นอีกครั้ง ‘พี่แคนจะทำตัวห่างเหินแค่ไหนก็เลี่ยงความจริงไม่พ้นหรอกค่ะ คุณพ่อเสียแล้ว…’ ปลายเสียงแหบพร่ายามเอ่ยถึงตรงนี้ ‘ส่วนพี่แคนก็เป็นลูกชายที่ต้องรับช่วงต่อจากพ่อ อิงเลยมาหา…’

‘นั่นแหละ’ เจคพูดแทรกกลางประโยค แววตาท่วมท้นด้วยความรู้สึกผิด ‘นั่นแหละที่มันพลาดมาตั้งแต่ต้น คุณช่วยตั้งสติฟังผมให้ชัดๆ นะครับ ผมไม่ใช่พี่ชายคุณ!’

ประโยคนี้อีกแล้ว! ความโกรธพุ่งทะลักจนวิมลินหลุดหัวเราะเสียงกระด้าง ‘ตั้งแต่เจอหน้าคุณก็เอาแต่พูดอยู่นั่น ผมไม่รู้จักคุณ ผมไม่ใช่แคน ผมไม่ใช่พี่ชายคุณ ทำไมคะ รังเกียจความเป็นบุหรงกาญจน์…เกลียดน้องสาวอย่างอิงถึงขนาดนั้นเลยหรือคะ’

‘ไม่ใช่!’ เจคขยี้หัวจนแทบทึ้งผมตัวเองอยู่แล้ว ‘เอางี้ คุณสืบประวัติผมมาใช่ไหม งั้นคงรู้จักเด็กผู้ชายชื่อกังหัน’

หญิงสาวงุนงง ‘กังหัน? ลูกชายแฟนใหม่ของป้าผกานี่คะ’

‘ใช่ๆ และผม…’ เขาตบอกแปะๆ ‘ผมคือกังหันที่ เอ้อ…สวมรอยเป็นแคนมาตลอด ผมไม่ใช่พี่ชายคุณ!’

วินาทีแรกวิมลินเพียงแค่นั่งนิ่ง ราวกับประโยคนั้นยังซึมซาบไม่ถึงสมอง จนกระทั่งความหมายในคำพูดทะลักราวน้ำทะเลเย็นเยียบท่วมทีเดียวมิดหัว วิมลินทะลึ่งตัวพรวด ยืนปากสั่นจ้องหน้าเจค

‘ถ้าอยากโกหกก็ช่วยแต่งเรื่องให้สมจริงหน่อยเถอะ คิดว่าฉันจะเชื่อเรื่องหลอกเด็กพรรค์นี้หรือ’

เธอเลิกแทนตัวด้วยชื่อเล่นแล้ว ทั้งแววตายังประหวั่นลนลานราวมีใครกำลังเอามีดจ่อคอ ชายหนุ่มถอนใจยาว พยายามอธิบายเหตุการณ์ในอดีต

‘ผมกับแคนอายุห่างกันไม่กี่เดือน แถมภาษาไม่คล่องเลยคุยกันแค่สองคนจนสนิทมาก และบังเอิญทั้งเค้าโครงหน้าหรือส่วนสูงก็ใกล้เคียง คนในฟาร์มยังนึกว่าพวกผมเป็นพี่น้องแท้ๆ เลย แคนชอบเล่าเรื่องที่บ้าน เอ่ยถึงน้องสาวอย่างคุณบ่อยๆ หน้าหมวยแต่ผมสีน้ำตาลเกือบทอง ยิ้มทีเห็นฟันกระต่ายเล็กๆ’ เจคเหลือบมองเธอ ‘พอเจอคุณหน้าบ้านผมถึงรู้จักทันที จนเผลอเรียกชื่อตอนคุณถูกรถชน’

จากนั้นก็มาถึงช่วงเวลาไฟไหม้

‘วันเกิดเหตุพ่อไปดื่มในเมือง คนงานในฟาร์มไปกันเกือบหมดแต่แคนกับแม่ผกาป่วยเลยกินยาหลับพักผ่อนแต่หัวค่ำ ผมนอนกับแคนห้องชั้นบนแม่ผกานอนชั้นล่าง กว่าจะรู้ตัวควันก็ลอยเต็มห้องแล้ว ผมปลุกแคนแต่ไฟลามจนหนีออกทางประตูไม่ได้ เลยตัดสินใจใช้ผ้าห่มพันตัวแล้วโดดออกทางหน้าต่าง ผมคงเอาหัวกระแทกพื้นจนสลบ มีคนเล่าทีหลัง ตอนผมถูกช่วยผ้าห่มยังติดไฟลุกโชนอยู่เลย’

ความเย็นเยียบเข้าเกาะกุมไล่จากปลายเท้าจนถึงสมอง หญิงสาวไร้เรี่ยวแรงต้องทรุดนั่ง ‘เด็กผู้ชายคนที่เสียชีวิต…คือพี่แคนหรือคะ’

เจคขยับตัวกระสับกระส่าย ‘ผมหลับๆ ตื่นๆ ที่โรงพยาบาลหลายวัน พอฟื้นหมอให้พ่อเข้าเยี่ยมในห้องปลอดเชื้อแป๊บเดียว แกรีบกำชับผมให้บอกว่าตัวเองเป็นแคน ผมงงแต่พ่ออ้อมแอ้มอธิบายทำนองมีปัญหาเรื่องเอกสาร แล้วพ่อก็คอยทำหน้าที่ล่ามให้ตลอด กว่าผมจะรู้เรื่องแคนกับแม่ผกาตาย เรื่องการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย เรื่องช่องโหว่ทางกฎหมายก็หลังจากนั้นอีกนาน…นานมากๆ’

วิมลินพยายามซักไซ้รายละเอียดตั้งแต่พาสปอร์ต พยานคนอื่น สถานทูต เจคมีคำตอบให้ทุกครั้งไม่เว้นกระทั่งข้อสงสัยเล็กน้อย ทว่าหญิงสาวยังคงส่ายหัว

‘มันเหลือเชื่อเกินไปค่ะ มีแต่ความบังเอิญทั้งนั้นจะหลุดรอดสายตาผู้เกี่ยวข้องตั้งมากมายได้ยังไง’

ชายหนุ่มยิ้มเฝื่อน ‘รู้ไหมผมจำใจสารภาพเพราะเหตุผลเดียว เพราะคุณขู่จะตรวจดีเอ็นเอผม ถ้างั้นไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วเอามาเป็นข้อพิสูจน์ซะเลย คุณกับผมเราไปตรวจดีเอ็นเอกัน’

วิมลินมองลึกเข้าไปในดวงตาคนตรงหน้า พยายามค้นหาเท่าไรก็พบเพียงความจนใจและสำนึกผิด ถึงกระนั้นก็แฝงด้วยความมั่นใจต่อคำท้าทาย มันคืออิฐก้อนสุดท้ายที่ผนึกกำแพงปิดตายทางออกหมดสิ้น เสียงตอบรับการตรวจดีเอ็นเอของตนแผ่วโหยจนเธอเองยังตกใจ

แม้สัญชาตญาณจะโน้มเอียงไปทางผลลัพธ์ที่ตรงข้ามกับใจคิด แต่วิมลินก็ขอลองคว้าฟางเส้นสุดท้ายเอาไว้!

หลังการค้นหาพบว่าเมืองใหญ่อย่างควีนส์ทาวน์มีคลินิกเทคนิคการแพทย์เอกชนที่เชี่ยวชาญด้านการตรวจดีเอ็นเอโดยเฉพาะ สามารถตรวจวันนี้และทราบผลภายในหนึ่งถึงสองวัน พวกเขาบึ่งไปทันทีด้วยรถเช่าของวิมลิน หญิงสาวเข้าเก็บตัวอย่างเป็นลำดับหลังชายหนุ่ม การใช้ก้านสำลีป้ายกระพุ้งแก้มเพื่อเก็บเยื่อบุไปตรวจดีเอ็นเอใช้เวลานิดเดียว แต่ออกจากห้องตรวจอีกครั้งเขาไม่อยู่เสียแล้ว เจ้าหน้าที่แจ้งว่าชายหนุ่มชำระค่าใช้จ่ายทั้งหมดก่อนขอตัวจากไปเมื่อครู่ วิมลินจึงอยู่สอบถามรายละเอียดพักหนึ่งค่อยกลับโรงแรมยามเริ่มโพล้เพล้

ตลอดคืน…เธอข่มตาไม่ลงสักวินาที

 

วันรุ่งขึ้นที่หน้าบ้านสีขาวหลังเดิม วิมลินผู้สวมแว่นกันแดดปิดบังรอยคล้ำใต้ตาเห็นเงาคนขยับไหวๆ หลังหน้าต่างกระจกจึงลองกดกริ่ง พักเดียวหนุ่มฝรั่งตาน้ำข้าวก็โผล่หน้าจากประตูไม้บานคู่ หญิงสาวส่งภาษาทักทาย

‘ฉันมาพบเจคค่ะ’

หนุ่มฝรั่งทำหน้าแปลกใจขณะตะโกนเรียกคนที่วิมลินถามหา แล้วปล่อยเจคไว้กับเธอแถวริมรั้วพุ่มไม้เตี้ย แดดส่องจากด้านหลังชายหนุ่มจนมองหน้าเขาไม่ชัด ส่วนเจคเริ่มสำรวจสีหน้าเธอก่อนก้มดูซองจดหมายในมือหญิงสาว

‘ผลดีเอ็นเอออกเร็วจริง อ้อ หรือคุณจ่ายเพิ่มเพื่อเร่งผลด่วน’ เขาพยักหน้าอย่างเข้าใจ ‘เปิดอ่านแล้วใช่ไหมครับ’

วิมลินเผลอกำซองจดหมายจนยับยู่ ‘พวกเราไม่มีความเกี่ยวพันทางสายเลือดเลย คุณ…’ เธอกัดริมฝีปาก แม้พยายามทำใจเผื่อความผิดหวังมาแล้วทั้งคืนแต่น้ำเสียงก็ยังคงแหบพร่า ‘คุณคือกังหันจริงๆ’

‘อย่างที่บอกทุกครั้ง…ผมไม่ใช่พี่ชายคุณ’ หนุ่มหัวกระเซิงล้วงกระเป๋า ก้มหน้าลง ‘และต้องขอโทษคุณด้วยที่ทำให้มาเจออะไรแบบนี้’

‘อีกคนที่คุณควรขอโทษคือพี่แคนนะคะ เขาตายอย่างโดดเดี่ยวต่างบ้านต่างเมือง ญาติพี่น้องไม่มีใครรู้สักคน นั่นก็เพราะคุณ!’

คราวนี้เจคตวัดสายตาขึ้นปะทะกับเธอ เอ่ยเสียงราบเรียบ ‘ผมขอพูดอย่างนี้นะ ผมกับ…พี่แคนของคุณเราสนิทกันมาก คุณรู้ไหมในฟาร์มตอนกลางคืนมันเหงาแค่ไหน พวกผมทำได้แค่นั่งมองดาวแล้วคุยกันไม่เคยเว้นสักวัน ทุกๆ เรื่องในชีวิต ทุกความลับของแคนผมรู้ดี พอๆ กับที่เขารู้เรื่องของผม เพราะงั้นผมพูดแทนแคนได้เลยว่าเขาไม่อยากกลับบ้าน ไม่ต้องการเกี่ยวข้องกับพวกบุหรงกาญจน์อีกแล้ว เขาไม่มีทางยอมให้ผมส่งข่าวการตายของเขากับพวกคุณแน่’

สิ้นประโยคนั้น สีเลือดพลันเลือนหายจากหน้าวิมลินราวถูกสูบ ริมฝีปากสั่นระริกคล้ายจะอ้าปากโต้เถียงแต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีคำไหนหลุดออกมา สุดท้ายจึงเบือนหน้าหนี ‘สรุปว่าคุณเลยมีเหตุผลดีงามที่สวมรอยเป็นพี่แคนสินะ’

‘มันจะมีเหตุดีงามอะไรกับเรื่องพรรค์นี้ล่ะครับ’

ชายหนุ่มขยับเข้าใต้เงาบ้าน วิมลินจึงเห็นหน้าเขาถนัดเมื่อไม่ต้องมองย้อนแสง ขอบตาเจคก็ดำคล้ำพอๆ กับเธอ ที่แท้เมื่อคืนยังมีผู้นอนไม่หลับเป็นเพื่อนอยู่อีกคน

‘ผิดก็คือผิดครับ และผมขอรับผิดชอบความผิดนี้คนเดียว’

รอยคล้ำใต้ตาเขาไม่อาจบั่นทอนความจริงจังในแววตาคู่นั้น เขาคงไตร่ตรองและยอมรับผลของมันมาแล้วเป็นอย่างดี

ลมหนาวพัดกรู ความยะเยือกบาดผิวช่วยชะล้างอารมณ์พลุ่งพล่านจนเธอเริ่มมองเห็นรอบข้างชัดเจนขึ้น เจคกำลังยืนขาแข็งห่อไหล่ต้านลมหนาว เขาใส่เสื้อยืดกางเกงยีนส์ขาสั้นคุยกับเธอกลางอากาศเช่นนี้นานสองนานโดยไม่บ่นสักคำ วิมลินเม้มริมฝีปาก ล้วงมือในกระเป๋าเสื้อโคตพลางเอ่ยเสียงอ่อน

‘เราเข้าไปคุยกันในบ้านได้ไหมคะ’

 

ภายในบ้านหลังเดิมแต่ดูสะอาดเรียบร้อยกว่าเมื่อวานมาก แฟลตเมตทั้งสามคนของเจครวมตัวกันอยู่แถวครัว นอกจากชายฝรั่งผมทองก็มีหนุ่มลาตินอเมริกาและเอเชียที่น่าจะเป็นเกาหลี ทุกคนร้องทักไฮเกือบพร้อมกันเมื่อเห็นวิมลิน เจคแนะนำชื่อเธอสั้นๆ และบอกเป็นเพื่อน หนุ่มละตินชูกระป๋องเบียร์

‘เราเพิ่งสบโอกาสจัดงานเลี้ยงต้อนรับเจค เจ้านี่ชอบหายหน้าไปทำงานเป็นเดือนๆ เลย’

‘อย่าแก้ตัว พวกแกแค่หาเรื่องดวดเบียร์ด้วยเงินฉันต่างหาก’

เจคต่อว่ายิ้มๆ จนเพื่อนหัวเราะครืน ฝรั่งผมทองพูดกับวิมลินว่า ‘ขอเชิญคุณด้วยนะครับ’

หญิงสาวปฏิเสธอย่างสุภาพ พลางถอดแว่นกันแดดและยิ้มทักทายอีกสองสามประโยค เรียกรอยยิ้มตอบจากชายหนุ่มทุกคน หนุ่มเกาหลีเรียกเจคไปถามธุระบางอย่าง เขาจึงพูดกับเธอพลางชี้ไปที่ห้องนอนสุดท้ายติดหลังบ้าน

‘คุณไปรอในห้องผมก่อนนะ ประตูไม่ได้ล็อก’

ห้องนอนเจคค่อนข้างเรียบง่าย เฟอร์นิเจอร์แค่ไม่กี่ชิ้น เตียงขนาดหนึ่งคนนอนตั้งขวางชิดกำแพงใต้หน้าต่างกั้นม่านไร้ลวดลาย โต๊ะหนังสือถัดจากปลายเตียง อีกมุมเป็นตู้เสื้อผ้าเล็กๆ เป้แบ็กแพ็กใบเดิมที่เคยเห็นเขาขนลงจากมอเตอร์ไซค์วางพิงไว้โดยไร้ร่องรอยการเปิดรื้อค้น หญิงสาวมองกลับมาทางกำแพงด้านหน้าตู้เสื้อผ้า วินาทีนั้นเองที่ฝีเท้าพลันชะงักลง

บนกำแพงใกล้เพดานมีหิ้งไม้ติดผนังสองชั้น ชั้นล่างวางแจกันทรงเตี้ยมีดอกไม้สดหลายชนิดแซมด้วยใบเฟิร์น หยดน้ำที่คงมีใครเพิ่งฉีดไว้เกาะพราวบนกลีบดอกหลากขนาดมากสีสัน ส่วนชั้นด้านบนวางโกศใส่อัฐิไว้สองใบ พลาสติกสีทองซีดหมองตามกาลเวลา คล้ายหลอมรวมเป็นส่วนหนึ่งของสถานที่แห่งนี้อย่างคุ้นเคยมานาน

วิมลินจับจ้องด้วยแววตาเลื่อนลอย ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำตอนเจคเปิดประตูเข้ามา ชายหนุ่มสะกิดไหล่เธอเบาๆ วิมลินถามทั้งที่ตายังมองตำแหน่งเดิม

‘นั่น…พี่แคนกับป้าผกาหรือคะ’

เสียงถอนหายใจลอยตามมา ‘ไหว้พวกเขาหน่อยไหมครับ’

เจคจุดธูปยื่นให้ หญิงสาวไหว้เสร็จก็ขอปักธูปเองเขาจึงดึงเก้าอี้เตี้ยจากใต้เตียงมาวาง วิมลินปีนขึ้นไปพลางกวาดสำรวจโดยรอบ ถ้าสังเกตดีๆ ในห้องยังพบกลิ่นอับเล็กน้อยจากการถูกปิดตายมาพักใหญ่ เหนือตู้เสื้อผ้าหรือตามขอบหน้าต่างก็มีฝุ่นจับหนา แต่บนหิ้งไม้และตัวโกศพลาสติกสีทองทั้งสองใบสะอาดเอี่ยม ดอกไม้สดในแจกันยังส่งกลิ่นหอมจางๆ เสียด้วยซ้ำ ราวกับสิ่งเดียวที่มีชีวิตชีวาในห้องทึมทึบแห่งนี้จะเป็นบนชั้นวางกระดูกคนตายนี่เอง

หญิงสาวก้าวลงจากเก้าอี้พลางเอ่ยลอยๆ ‘ดอกไม้สวยนะคะ’

‘ผมแวะไปเอาเมื่อวานหลังลงเครื่องครับ’

มิน่าถึงปล่อยเธอรอหน้าบ้านตั้งนาน ‘นึกว่าคนดูแลอัฐิจะเป็นพ่อคุณเสียอีก’

‘พ่อแต่งงานใหม่ครับ ผมเกรงใจลูกเมียทางนั้น อีกอย่างพวกเขาย้ายที่อยู่กันบ่อยเดี๋ยวเมืองนู้นเมืองนี้ของเยอะคงไม่สะดวก ผมติดต่อบ้างนานๆ ครั้ง’

‘แล้วกลับมาครั้งนี้ติดต่อหรือยังคะ’

เขาเอียงคองงๆ แต่ก็ตอบโดยดี ‘ยังครับ’

เธอแอบสรุปในใจ สิ่งแรกที่เขาทำหลังตรากตรำจากบ้านหลายเดือน ไม่ใช่การติดต่อหาญาติที่เหลือเพียงคนเดียว ไม่ใช่การทำความสะอาดดูแลห้อง ไม่แม้แต่จะรื้อของจากกระเป๋า ทว่าคือไปรับแจกันดอกไม้มาประดับและทำความสะอาดโกศของแคนกับผกา

‘พวกคุณช่วยจัดงานศพให้ละสิคะ’

‘ไม่ได้จัดตอนนั้นทันทีหรอกครับเพราะผมยังเจ็บหนัก และเราไม่มีเงิน จนได้ค่าเสียหายพ่อถึงเอามาจัดงานศพ พูดตรงๆ หากไม่มีเงินก้อนนั้น…พวกผมคงไม่รู้ทำยังไงเหมือนกัน’

‘ถ้าไม่วางแผนสวมรอยก็น่าจะติดต่อพวกฉันที่เมืองไทยได้’

‘ผมไม่ได้จะแก้ต่างนะ แต่พ่อไม่รู้เรื่องพวกคุณเลยเพราะแม่ผกาไม่เคยเล่า แคนเองก็ขอให้ผมเก็บเป็นความลับ พ่อเลยคิดมาตลอดว่าแม่ผกากับแคนไร้ญาติขาดมิตร ถ้าโชคร้ายพวกผมสองพ่อลูกถูกส่งกลับไทยพวกเขาจะกลายเป็นศพไร้ญาติในเมืองที่ไกลบ้านลิบลับ แต่ถ้าสลับตัวผมซะจนกลายเป็นเด็กกำพร้าอย่างไรที่นี่จะช่วยดูแลอนาคตให้ผม และยังได้เงินค่าทำศพ กว่าผมจะแข็งแรงพอเริ่มเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไรพ่อก็สลับตัวผมกับแคนไปแล้ว ถ้าสารภาพตอนนั้นพ่อจะถูกจับ เลยเก็บเรื่องครอบครัวแคนเป็นความลับเพราะพูดไปคงไม่มีประโยชน์แล้ว แต่ยังไงต้นเหตุก็เกิดจากผม ผมจึงยินดีรับผิดชอบมันเองครับ’

วิมลินยกมือกอดอก เปลี่ยนหัวข้อสนทนา ‘ตอนไฟไหม้พี่แคนคงทรมานมาก’ พลางส่ายศีรษะปรามเขาที่ทำท่าจะพูด ‘ขอความจริงไม่ใช่คำปลอบเถอะค่ะ ฉันไม่ได้ข้ามน้ำข้ามทะเลมาเพื่อฟังคำโกหก’

ชายหนุ่มหน้าซีดทันที เธอจึงรีบแก้ตัว ‘ขอโทษค่ะ ไม่ได้คิดจะประชดคุณเรื่องที่สวมรอย แค่…สำหรับฉันการตายของพี่แคนมันกะทันหันมาก อย่างกับ…อย่างกับไม่ได้เกิดขึ้นจริงๆ เลยคิดว่าถ้าสามารถรับรู้ช่วงเวลาก่อนตายของเขาให้ชัดกว่านี้ มันน่าจะช่วยให้ฉันยอมรับง่ายขึ้น’

เจคนิ่งเงียบอยู่ครู่ใหญ่แล้วค่อยๆ ถอยห่างจากเธอ ขยับครั้งเดียวก็ถอดเสื้อยืดบนตัวออก เผยให้เห็นรอยแผลเป็นขนาดใหญ่กินบริเวณตั้งแต่แถวต้นแขนและหน้าอกลามถึงเหนือสะดือ วิมลินเผลอกลั้นหายใจ กอดอกแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว ผิวแผลเป็นซีดจางบ้างหดรั้งเว้าแหว่งบ้างขยายตะปุ่มตะป่ำ แบ่งขอบระหว่างผิวหนังปกติกับแผลเป็นชัดเจน…ราวเส้นกั้นระหว่างความเป็นและความตาย

เขาต้องคว้าจับเส้นนั้นไว้ กระเสือกกระสนฉุดรั้งตัวเองข้ามกลับมาด้วยความทรมานสักเท่าไรนะ ส่วนพี่แคนกลับทำเช่นเดียวกันแต่ไม่สำเร็จ

ม่านตาหญิงสาวหดรั้งลงในฉับพลัน เบือนหน้าหนีตามสัญชาตญาณแต่แล้วพลันสูดหายใจลึก ดึงสายตาคืนมาเผชิญหน้าอีกครั้ง เจครีบสวมเสื้อ แอบมองขอบตาแดงๆ พลางนึกด่าตัวเองในใจ แล้วจึงเอ่ยอย่างกะทันหัน

‘ผมต้องขอโทษด้วย เมื่อวานผมพูดแรงไป’

เธอทำท่าฉงน เจคพยายามยิ้มขณะอธิบาย ‘ที่บอกแคนไม่มีเหตุผลต้องกลับเมืองไทย แต่ที่จริงเขาแคร์คุณนะครับ’ ชายหนุ่มเกาหัวยุ่ง ‘เขาพูดถึงแต่คุณ ยัยน้องสาวขี้อ้อนที่คอยตามพี่ชายแจ ถ้าจะเหลือสักเหตุผลให้แคนอยากกลับบ้าน สิ่งนั้นก็ต้องเป็นคุณ’

หญิงสาวกะพริบตาปริบ พี่ชายคนนั้น…คนที่ไม่เคยรับรู้ว่ามีตัวตนจนเธออายุแปดขวบ คนที่ใช้ชีวิตด้วยกันเพียงแค่สองปี

วิมลินเงยมองโกศเหนือศีรษะอีกครั้ง แต่ที่ทาบทับในคลองจักษุกลายเป็นภาพเด็กชายวัยเริ่มแตกพาน สีหน้าลังเลอยากเตะบอลกับพี่น้องผู้ชาย แต่สุดท้ายก็ยอมตามแรงดึงของเด็กหญิงตัวน้อยไปอีกทาง ยอมให้เธอปีนไหล่เก็บผลมะม่วง ตกใจลนลานตอนเด็กหญิงถูกมดแดงรุมกัด รีบปีนไปช่วยจนตัวเองโดนกัดไปด้วย พอหายามาได้ก็ทาให้เธอก่อนทั้งที่ตัวเองแผลเยอะกว่าเสียอีก…

บางความทรงจำก็คล้ายเราขูดขีดบนหิน ผ่านกาลเวลาฝนแดดกัดกร่อนไม่รู้ตั้งเท่าไร แต่ร่องรอยกลับยังสลักแน่นที่เดิม…ไม่เคยจางหายไปไหน

หญิงสาวรีบหันหลังให้เขา กล่าวเสียงต่ำ ‘ขอเวลาสักครู่ได้ไหมคะ’

ด้านหลังเงียบอยู่ชั่วอึดใจ วิมลินนิ่งรอสักพักค่อยได้ยินเสียงเปิดและปิดประตูเบาๆ



Don`t copy text!