มนตราราหุล บทที่ 5 : ใครคือคนร้ายกันแน่
โดย : ณรัญชน์
มนตราราหุล นวนิยายออนไลน์โดย ณรัญชน์ เรื่องราวของ ‘ราหุลเวทย์’ มนตราศักดิ์สิทธิ์ที่รักษาโรคและอาการบาดเจ็บได้ทุกชนิด ทั้งยังชุบชีวิตคนตายได้และแม่หญิงวงตะวันคือคนเดียวที่รู้จักมนตรานี้ดีที่สุด เธอจะใช้มันแก้ไขเหตุร้ายในแผ่นดินกรุงศรีอยุธยาได้ไหมและเธอจะพบคำตอบเรื่องหัวใจของพ่อนาถหรือเปล่า อ่านสนุกๆ ได้ที่อ่านเอาทีเดียว
***************************
– 5 –
นาถหันไปเรียกหมอพันที่เดินตามมาให้เข้าไปตรวจร่างไร้วิญญาณของออกขุนปริวรรต ก่อนจะหันไปปรึกษาออกญาเทพโยธิน “คุณอาขอรับ กระผมคิดว่าเถ้าแก่ส่ง คุณนายพลับและท่านขุนจะต้องถูกวางยาเป็นแน่ คนร้ายคงยังอยู่ในงานนี้ ขอคุณอาโปรดให้บ่าวลงไปคุมข้างล่างไว้ก่อน อย่าให้ชาวบ้านในโรงเลี้ยงออกไปแม้แต่คนเดียว และให้คุมตัวคนที่กินอาหารสำรับเดียวกับเถ้าแก่ส่งและคุณนายพลับ ขึ้นมาสอบปากคำบนนี้ด้วย”
ดวงตาคมวาวของชายหนุ่มมองกวาดไปทั่วเรือน เห็นแขกผู้ใหญ่ของออกญาเทพโยธินนั่งกระจายกันอยู่เต็มหอนั่ง แม้จะตื่นตระหนกแต่ทุกคนก็ยังควบคุมกิริยาได้ดีสมกับที่ผ่านร้อนผ่านหนาวในวงราชการมานานปี ชายหนุ่มก็หนักใจขึ้นมาครามครัน หากว่าคนร้ายอยู่ในกลุ่มข้าราชสำนักทรงอำนาจเหล่านี้ เห็นทีเรื่องคงไม่จบง่ายๆ เป็นแน่
“และกระผมคงต้องขอให้กักตัวแขกบนเรือนใหญ่ไว้ด้วย อย่าเพิ่งให้ลงจากเรือนนะขอรับ”
การกักตัวผู้มาเยือนเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก ออกญาเทพโยธินจึงลำบากใจไม่น้อย “จะดีหรือพ่อนาถ แขกหลายท่านเป็นขุนนางผู้ใหญ่ อาเกรงว่าจะผิดใจกัน”
นี่ละนิสัยออกญาเทพโยธิน ท่านเป็นคนขี้เกรงใจมาตั้งแต่หนุ่มจนแก่ บิดาผู้วายชนม์ของนาถเคยปรารภถึงเกลอคนนี้ไว้ว่า ‘ท่านเป็นคนเอาพวกพ้อง ไม่ชอบขัดใจใคร จะว่าเป็นข้อดีก็ได้แต่จะนับเป็นข้อเสียก็ไม่ผิดเช่นกัน คนแบบนี้ถึงจะไม่เลวร้ายแต่บางครั้งก็ไร้ซึ่งความยุติธรรม’
เมื่อรู้นิสัยท่านเจ้าของเรือน นาถจึงต้องยกหน้าที่ขึ้นมาอ้าง “กระผมจะสอบปากคำเพื่อหาตัวคนที่น่าสงสัยเท่านั้น พอได้เงื่อนงำแล้วก็จะปล่อยทุกท่านไปทันที แต่หากปล่อยให้แขกเหรื่อออกไปตอนนี้ คนร้ายอาจถือโอกาสหลบหนีไปด้วย ขอคุณอาโปรดเห็นใจเถิดขอรับ”
สีหน้าจริงจังของชายหนุ่มปิดทางปฏิเสธของออกญาเทพโยธินไปในตัว ท่านจึงจำต้องสั่งนายเปี่ยมให้พาบ่าวลงไปที่โรงเลี้ยงชั่วคราวเพื่อทำตามความประสงค์ของนาถ ส่วนแขกบนเรือนใหญ่ได้รับการขอร้องอย่างนอบน้อม ทั้งหมดเป็นขุนนาง จึงรู้ทิศทางลมดีว่าหากดึงดันขอกลับในตอนนี้ ก็อาจถูกนำไปลือว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับคนร้ายได้ จึงสมัครใจจะอยู่ดูเหตุการณ์โดยไม่อิดเอื้อน
ไม่นานลูกน้องของนายเปี่ยมก็พาชาวบ้านสี่คนขึ้นมา แนะนำว่าเป็นกลุ่มคนที่กินอาหารพร้อมเถ้าแก่ส่งและคุณนายพลับ ทุกคนพูดตรงกันว่าผู้ตายทั้งสองมีอาการปวดท้องอย่างหนักหลังจากกินขนมจีนซาวน้ำ ตามมาด้วยอาการพูดจาไม่ได้ศัพท์ ตัวสั่น ชัก แล้วจึงสิ้นใจ
“สองคนนั้นได้บอกไหมว่าก่อนมางานได้กินสิ่งใดมาก่อนหรือเปล่า” นาถถาม
“ไม่มีดอกเจ้าค่ะ พอรู้ว่าแม่นายคำหอมทำกับข้าวมาช่วยงาน คุณนายกับเถ้าแก่ก็ตั้งใจมากินเลี้ยงเต็มที่ ไม่ยอมกินข้าวปลามาก่อนดอก”
นาถพยักหน้าอย่างเข้าใจ ด้วยเป็นที่รู้กันว่าคุณคำหอมนั้นรักการทำอาหารเป็นชีวิตจิตใจ และรสมือของเธอก็ล้ำเลิศนัก เมื่อรู้ว่าขนมจีนซาวน้ำเป็นอาหารที่คุณคำหอมนำมา ทุกคนจึงเจาะจงจะกินอาหารจานนี้ อีกทั้งคุณคำหอมก็ใจป้ำทำขนมจีนมาหลายหม้อ เพียงพอจะเลี้ยงแขกทุกคน
หมอพันที่นิ่งฟังคำบอกเล่าของพยานมาตลอดรำพึงขึ้นเบาๆ “ทำไมอาการเหมือนแม่เกิดเหลือเกิน”
“หมายความว่าอย่างไรหรือหมอพัน” นาถซัก
“แม่เกิดเป็นแม่ครัวในเรือนของออกญาเทพโยธินนี่ละขอรับ แกตายในงานทำบุญประจำปีที่ตลาดยอด ตอนตายมีอาการเหมือนเถ้าแก่ส่งกับคุณนายพลับทุกอย่าง จะผิดกันก็ตรงที่แกไม่ได้กินสิ่งใดในงานบุญวันนั้นเลย” หมอพันตอบเขา
“แม่เกิดที่ว่าคือแม่ของทองสุกใช่ไหมหมอ” ใครคนหนึ่งถามขึ้น
“ใช่ขอรับ กระผมรู้จักแกดี แกมีลูกสาวชื่อนางทองสุก เป็นบ่าวเรือนนี้เหมือนกัน”
“เช่นนั้นก็แปลกนัก จากที่เห็นเถ้าแก่ส่งกับคุณนายพลับถูกวางยาพิษแน่นอน นี่ยังมีนางเกิดเพิ่มขึ้นมาอีกคน ทำไมคนร้ายต้องเจาะจงฆ่าสามคนนี้ด้วย” นาถรำพึงอย่างครุ่นคิด แต่แล้วก็ชะงักเมื่อรู้สึกว่าเสียงซักถามเมื่อครู่ฟังคุ้นหูพิกล เมื่อหันไปมองเขาก็เห็นภรรยากำลังยืนกอดอกทำหน้าคิดหนักอยู่ข้างตัว
“นั่นสิ คนร้ายจะฆ่าแม่เกิดทำไม แม่เกิดก็เป็นแค่แม่ครัวเท่านั้น” วงตะวันตั้งคำถามกับตัวเอง
“แม่วงตะวัน มาทำกระไรตรงนี้” นาถอุทาน เมื่อครู่เขาเห็นภรรยานั่งอยู่กับคุณหญิงแสง ก็เบาใจว่าหญิงสาวมีผู้ใหญ่ช่วยดูแล ไม่ทันสังเกตว่าหล่อนมายืนฟังการสอบปากคำตอนไหน
“ฉันเห็นออกหลวงทำงานหน้าดำคร่ำเครียด ก็เลยมาดูตามหน้าที่เมียที่ดีน่ะสิเจ้าคะ”
“กลับไปอยู่กับคุณป้าแสงเถิด ตรงนี้ไม่ใช่เรื่องของผู้หญิง”
วงตะวันมองหน้าดุๆ นั้นแล้วเดินกลับไปหาคุณหญิงแสงโดยไม่โต้แย้ง แต่หากนาถสามารถได้ยินความในใจของหล่อนได้ จะได้ยินเสียงบ่นตามมา
‘ผู้หญิงกับผู้ชายไม่ได้มีแขนขาเท่ากันหรือไง เฮอะ! หน้าตาก็ว่าโบราณแล้ว ความคิดอ่านยังโบราณล้าหลังยิ่งกว่าน้าของอาของป้าสะใภ้ของคุณทวดฉันอีกนะออกหลวง’
หลังจากนาถสอบถามทุกคนจบลง ก็เป็นคราวของคุณคำหอมบ้าง เธอให้การด้วยเสียงสั่นเครือ ดวงตาคู่งามแดงจัด เปลือกตาบวมช้ำจากการร่ำไห้ “วันนี้คุณพี่ท้องไม่ใคร่ดี จึงกินขนมจีนซาวน้ำเข้าไปเพียงไม่กี่คำ จากนั้นกินขนมรังไรล้างปาก แต่ไม่นานก็ไม่สบาย แล้วก็สิ้นบุญอย่างที่เห็นนี่ละเจ้าค่ะ”
“มีใครเข้าใกล้สำรับของท่านขุนบ้างไหมขอรับ”
คุณคำหอมส่ายหน้า “ถ้าคุณหลวงหมายถึงมีใครมาใส่ยาพิษละก็ ก็มีคนรู้จักหลายคนแวะมาทักทายคุณพี่ แล้วก็มีคุณพระนายที่นั่งอยู่สำรับถัดไป แต่ไม่มีลอบมาใส่ยาได้ดอก ถ้าใครทำอย่างนั้นฉันก็ต้องเห็น” เธอปล่อยโฮเมื่อพูดจบ คุณพระนายที่เธอว่าหมายถึงจมื่นวิเศษศิลป์ เขาเป็นชายหนุ่มร่างสูงโปร่ง ผิวเหลือง หน้าตางามสง่าชวนมอง พอนาถหันไปถาม จมื่นวิเศษศิลป์ก็ช่วยยืนยันอีกแรง
“ฉันขอรับรองด้วยคน ฉันกับขุนปริวรรตกินไปก็คุยกันไป ไม่เห็นใครท่าทางมีพิรุธเลย”
ฉับพลันความเสียใจของคุณคำหอมก็แปรเปลี่ยนเป็นโทสะ เธอโพล่งออกมาอย่างเคียดแค้น “จะมัวสอบถามอยู่ทำไม ขนมจีนวันนี้ฉันเป็นคนนำมาเอง ตัวฉันไม่มีทางวางยาคุณพี่อยู่แล้ว คนที่ใส่ยาพิษจะต้องเป็นบ่าวที่เรือนนี้ ไอ้คนที่ยกสำรับมาให้นั่นละ เรียกมันมาสิ มันต้องเป็นคนร้ายแน่”
ดูก็รู้ว่าคุณคำหอมกำลังโกรธจนขาดสติ คุณหญิงน้ำทิพย์เห็นไม่ได้การก็รีบปลอบใจ “ใจเย็นไว้ก่อนเถิดแม่คำหอม หลวงเกรียงไกรฤทธิรู้ดอกน่ะว่าต้องทำอย่างไร”
“ถ้าอย่างนั้นก็เรียกไอ้คนที่ยกสำรับมาสิ เรียกมันมา ฉันอยากเห็นหน้ามัน” คุณคำหอมกรีดเสียงใส่นาถ แต่ไม่มีใครถือสาพายุอารมณ์ของเธอ นาถยังคงมีท่าทางสงบเมื่ออธิบายว่า
“กระผมให้คนไปตามมาแล้ว แต่บ่าวมีมากนักคงต้องสอบถามกันก่อน โปรดรอสักครู่เถิดขอรับ”
ไม่ทันขาดคำ นายเปี่ยมก็เดินนำบ่าวชายหญิงหลายคนขึ้นมาบนเรือน เขาชี้มือไปที่บ่าวแต่ละคนพลางแนะนำว่า “นี่ละขอรับ นางทองสุกที่ยกสำรับมาให้ออกขุนปริวรรต ไอ้ขาวที่ยกสำรับให้คุณนายพลับและเถ้าแก่ส่ง ส่วนนี่ไอ้เที่ยง มันยกถาดอาหารไปส่งให้ไอ้ขาวที่โรงเลี้ยงอีกที”
ทองสุกหวาดผวาแทบคุมสติไม่อยู่นับตั้งแต่นาทีที่รู้ว่ามีคนตายแล้ว เมื่อขึ้นมาบนเรือนหล่อนจึงก้มหน้างุดไม่กล้าชำเลืองมองใคร ส่วนชายอีกสองคนแสดงออกแตกต่างกัน ในขณะที่นายขาวดูสุขุม ควบคุมตัวเองได้ดีท่ามกลางสายตาจับจ้องของบรรดาเจ้าขุนมูลนาย อารมณ์หวาดผวาของนายเที่ยงกลับปรากฏชัดอยู่ทุกอณูบนใบหน้า ดวงตาที่กวาดมองล่อกแล่กตลอดเวลานั้นดูมีพิรุธราวกับเพิ่งไปทำผิดคิดร้ายมาก็ไม่ปาน เมื่อทั้งสามคนทรุดลงนั่งพับเพียบกับพื้นกระดาน สายตาจะกินเลือดกินเนื้อของคุณคำหอมจึงพุ่งตรงไปที่นายเที่ยงเป็นคนแรก
“แกหรือคนที่ยกสำรับ แกวางยาพิษคุณพี่ของฉันใช่ไหม ไอ้ชาติชั่ว” เธอบริภาษเสียงแหลม
ดูก็รู้ว่าอารมณ์ของภริยาออกขุนปริวรรตกำลังคุกรุ่นไม่ต่างจากระเบิดทรงอานุภาพที่พร้อมทำลายล้างทุกสิ่ง นาถเหลือบมองไปยังคุณหญิงน้ำทิพย์ เธอเข้าใจสายตาขอร้องของชายหนุ่มจึงจับมือคำหอมไว้มั่น “ไม่เอาน่ะแม่คำหอม แม่โวยวายอย่างนี้หลวงเกรียงไกรฤทธิจะทำงานอย่างไร สงบใจหน่อยเถิด อย่างไรตำรวจก็ต้องจับคนร้ายได้แน่”
“นั่นสิแม่คำหอม ใจเย็นปล่อยให้คุณหลวงทำงานก่อนเถิด” คุณหญิงแสงช่วยกล่อมอีกแรง
คุณคำหอมเชื่อฟังคุณหญิงน้ำทิพย์มาแต่ไหนแต่ไร ยิ่งมีคุณหญิงแสงเข้ามาร่วมปรามด้วย หญิงสาวจึงสงบใจลง เหลือเพียงเสียงสะอื้นแผ่วเบา นาถเริ่มสอบปากคำบ่าวทั้งสาม นายเที่ยงและนายขาวให้การตรงตามที่นายเปี่ยมบอกนาถก่อนหน้านี้ แต่ยืนยันว่าทั้งคู่ไม่ได้ใส่สิ่งแปลกปลอมใดๆ ลงไปในสำรับ
“บ่าวเองก็เหมือนกันเจ้าค่ะ ในครัวไม่มีใครว่าง ป้าเขียนเลยสั่งให้บ่าวยกสำรับมาให้ออกขุนปริวรรต บ่าวก็ยกมา แต่ไม่ได้ใส่กระไรลงไปนะเจ้าคะ” เสียงทองสุกค่อนข้างสั่น ไม่ได้เล่าว่าที่จริงหล่อนไม่เต็มใจยกอาหารขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย แต่ป้าเขียนผู้อยากให้หล่อนยอมเป็นอนุของออกขุนปริวรรต ขอร้องแกมบังคับ โดยอ้างว่าคนในครัวกำลังมีงานเต็มมือ ทองสุกขัดไม่ได้จึงจำต้องทำตาม
นายขาวเห็นน้องสาวหวาดผวาจนตัวสั่นก็รีบกางปีกปกป้อง “ทองสุกมันไม่ได้ทำดอกขอรับ มันไม่รู้เรื่อง”
คุณคำหอมสะดุดหู “เอ็งชื่อทองสุกงั้นรึ ใช่คนที่คุณพี่ของข้ามาขอตัวจากคุณหญิงแสง จะเอาไปเป็นเมียหรือเปล่า”
ถึงแม้จะไม่ตกลงปลงใจกับขุนนางหนุ่มผู้นั้น แต่เมื่อเมียหลวงของเขาเอ่ยออกมาต่อหน้าผู้คน ทองสุกก็อดกระดากไม่ได้ นายเที่ยงเห็นทุกคนจ้องคนรักของเขาเป็นตาเดียวก็ละล่ำละลักแก้ตัวแทน
“แต่ทองสุกมันไม่ตกลงนะขอรับ มันไม่อยากเป็นเมียน้อยออกขุนดอก ขนาดป้าเกิดดุด่าทุกวัน มันยังไม่ยอม”
คิ้วของออกญาเทพโยธินขมวดมุ่น ท่านไม่ใคร่สนใจเรื่องของบ่าวไพร่ ด้วยถือว่าเป็นงานเล็กน้อย ปล่อยให้เป็นภาระคุณหญิงแสงคนเดียวก็เพียงพอแล้ว เรื่องที่ได้ฟังจึงเป็นสิ่งใหม่ เมื่อนำทุกอย่างมาประมวลร่วมกัน สมองของท่านก็ทำงานฉับไว…เป็นไปได้หรือไม่ว่าทองสุกไม่อยากเป็นเมียออกขุนปริวรรต จึงหาทางฆ่าเขาทิ้ง หล่อนเป็นคนยกสำรับขึ้นมาเองกับมือ โอกาสที่จะใส่ยามีเหลือเฟือ
“หมายความว่านางทองสุกไม่ยอมเป็นเมียท่านขุน มีแต่แม่มันที่บังคับอยู่ทุกวัน ถ้าเช่นนั้นหากขุนปริวรรตไม่อยู่เสียคน ปัญหาของเอ็งก็จบสิ้นสินะ นางทองสุก” ท่านถามสาวใช้ น้ำเสียงระรื่นยามเจรจากับเพื่อนขุนนางแข็งกระด้าง ผิดไปเป็นคนละคน
สิ้นคำของเจ้านายทั้งทองสุก นายขาว และนายเที่ยงก็หน้าเสียลงทันควัน ทองสุกน้ำตาไหลพรากด้วยความหวาดหวั่น ขณะเดียวกัน ลูกน้องที่นายเปี่ยมส่งไปสอบถามชาวบ้านในโรงเลี้ยงชั่วคราว ก็ขึ้นบันไดมาพร้อมกับสาวใช้คนหนึ่ง เขาตรงมารายงานนาถ
“ออกหลวงขอรับ ชาวบ้านข้างล่างบอกว่าเมื่อเดือนก่อนเถ้าแก่ส่งกับคุณนายพลับเคยมีเรื่องกับไอ้เที่ยงขอรับ คนในตลาดเห็นกันหลายคน ไม่ผิดแน่ขอรับ”
ร่างล่ำสันของนายเที่ยงคู้ลงจรดพื้นกระดานทันทีด้วยความกลัว เขารีบแก้ตัวเสียงหลง “แต่กระผมไม่ได้ฆ่าใครนะขอรับ เถ้าแก่ส่งมันเจอทองสุกที่ตลาดแล้วเข้ามาเกี้ยว กระผมเข้าไปขวางมันก็ให้ลูกน้องมารุมซ้อม กระผมเลยต้องป้องกันตัว ส่วนคุณนายพลับนั่นมาเย้ยทองสุกว่าทำกับข้าวไม่ได้เรื่อง ไม่สมกับเป็นลูกน้าเกิด ผีเจาะปากมาพูดแท้ๆ กระผมเลยตอกกลับไปจนหน้าหงายเท่านั้นเอง”
พูดมาขนาดนี้ไม่สารภาพว่าเป็นฆาตกรเสียเลยล่ะ…วงตะวันมองชายที่กำลังสาธยายความบาดหมางของตนเองกับผู้ตายแจ้วๆ แล้วก็แทบจะปรบมือให้กับความเถรตรงของนายเที่ยง คนที่เคยปรามาสว่าหล่อนโง่เขลา ถ้ามาเห็นความฉลาดของพ่อเจ้าประคุณเที่ยงเข้าละก็ คงรีบยกตำแหน่งของวงตะวันมาทุ่มโครมให้ไปเลยทีเดียว
นาถก็คิดเช่นเดียวกับภรรยา ดวงตาวาวระยับดุจเหยี่ยวร้ายของชายหนุ่มเพ่งมองคนพูดทุกอิริยาบถ แต่ไม่ปริปากขัดแม้แต่คำเดียว มีเพียงจมื่นวิเศษศิลป์ที่ทะลุขึ้นมากลางปล้อง
“ไอ้เที่ยงมีเรื่องเกลียดชังกับสองคนนั้นมาก่อน แล้วยังเป็นคนยกสำรับไปส่งให้ถึงโรงเลี้ยง เอ…มันชักจะยังไงๆ อยู่นา”
นายเปี่ยมชี้มือไปที่สาวใช้ที่นั่งพับเพียบอยู่ไม่ไกล “นี่นางน้อยขอรับ เป็นบ่าวในครัว มันเห็นไอ้เที่ยงแอบใส่บางอย่างลงไปในจานขนมจีน ก่อนจะเอาไปส่งให้ไอ้ขาวที่หน้าโรงเลี้ยงด้วยขอรับ”
เมื่อเขาพยักพเยิดให้สัญญาณ นางน้อยจึงรีบยืนยัน “จริงเจ้าค่ะ บ่าวเห็นกับตา”
วาจาประโยคนี้แทบจะเป็นการชี้ตัวฆาตกรก็ไม่ปาน ทุกคนเบนสายตามาที่นายเที่ยงพร้อมกันโดยไม่นัดหมาย เจ้าตัวรีบยกมือไหว้ท่วมหัว เหงื่อกาฬเย็นๆ ผุดเต็มหน้า “กระผมสาบานได้ กระผมไม่ได้วางยาพิษสองคนนั้นจริงๆ กระผม…ง่า…แค่ใส่น้ำบอระเพ็ดลงไปในขนมจีนไม่กี่จานเท่านั้นเอง” ตอนท้ายชายหนุ่มงึมงำไม่เต็มเสียงนัก ก่อนจะเอ่ยเสียงดังฟังชัดขึ้นในประโยคถัดไป “และกระผมก็ยกถาดอาหารไปส่งแค่หน้าโรงเลี้ยงเท่านั้น ไม่ได้ยกไปให้สองคนนั้นนะขอรับ”
“จริงขอรับ ไอ้เที่ยงมันซุ่มซ่ามทำสิ่งใดไม่ระวัง กระผมเลยให้มันไปรับอาหารใส่ถาดมาจากโรงครัว ตัวกระผมยืนรออยู่หน้าโรงเลี้ยง พอมันยกอาหารมาถึง กระผมก็รับช่วงต่อ ยกเข้าไปให้แขกเอง” นายขาวเสริมขึ้นแต่เหมือนจะไม่มีใครใส่ใจคำพูดของเขา
“เอ็งอย่ามาโกหก” จมื่นวิเศษศิลป์ยังคงชี้หน้านายเที่ยง “หากเอ็งใส่น้ำบอระเพ็ดในขนมจีนจริง ใครจะกินเข้าไปลง ไม่ขมตายรึ เอ็งใส่ยาพิษลงไปต่างหาก มีนางน้อยเป็นพยานรู้เห็นกับตาทั้งคน พูดอย่างไรก็แก้ตัวไม่ขึ้นดอกโว้ย”
นายเที่ยงทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ ได้แต่ก้มลงกราบปลกๆ รำพันซ้ำไปซ้ำมาว่า “กระผมไม่ได้ฆ่าคนจริงๆ ขอรับ จานที่ใส่บอระเพ็ดกระผมก็ไม่ได้ตั้งใจให้เถ้าแก่ส่งกับคุณนายพลับ กระผมใส่ไปมั่วๆ ใครกินเข้าไปก็ไม่รู้”
“อ้าว! ถ้าไม่ได้จะให้สองคนนั้นกิน แล้วใส่ลงไปเซ่นวิญญาณพ่อมึงรึ ไอ้เวร” ออกญาเทพโยธินประชด
นายเที่ยงตอบตะกุกตะกักไม่เต็มเสียง “ง่า…อีคุณนายพลับมันมาเย้ยทองสุกว่าทำกับข้าวไม่เอาไหน สู้แม่นายคำหอมไม่ได้ กระผมเลยหมั่นไส้ อยากจะแกล้งให้กับข้าวที่แม่นายคำหอมทำมาเลี้ยงในงานนี้รสปร่าไปบ้างน่ะขอรับ”
“ไอ้สถุล” ทั้งๆ ที่กำลังกำสรดคุณคำหอมยังอดบริภาษไม่ได้ นายเที่ยงไม่กล้าสบสายตาดุดันของเธอ ได้แต่ก้มหน้ามองพื้นกระดานนิ่ง ท่าทางของชายหนุ่มขลาดเขลาไร้พิษสง ไม่เหมือนผู้ร้ายใจทมิฬเลยแม้แต่น้อย ทว่าเมื่อพิจารณาจากพยานและปัจจัยแวดล้อมแล้ว กิริยานั้นจึงถูกมองเป็นอาการจนมุมของคนทำผิดมากกว่า
นาถกวาดสายตามองทุกคนอย่างจับสังเกต ก่อนจะหย่อนระเบิดลูกใหม่ลงไปกลางวง “คนที่ตายไม่ได้มีแค่สองคนนี้ดอกขอรับ แม้แต่นางเกิดแม่ของทองสุกก็ตายด้วยอาการแบบเดียวกัน ยาพิษที่กินจึงน่าจะเป็นชนิดเดียวกัน และคนร้ายก็ไม่พ้นเป็นคนเดียวกันด้วย”
เสียงอุทานด้วยความตกใจดังเซ็งแซ่ หากเป็นเช่นนั้นก็แปลว่านายเที่ยงปลิดชีวิตคนไปถึงสี่คน เมื่อคะเนจากอายุที่เพิ่งพ้นวัยบวชเรียนของเขา นับว่าจิตใจนายเที่ยงเหี้ยมเกรียมจนน่าขนลุก
“คุณป้าขา หลานงงไปหมดแล้ว ทองสุกบอกหลานว่าวันนั้นแม่เกิดไปงานทำบุญตลาดยอดไม่ใช่หรือ ตกลงนายเที่ยงฆ่าแม่เกิดหรือเจ้าคะ” วงตะวันถามขึ้นมา ตามประสาคนหัวช้าที่คิดอ่านไม่ทันผู้อื่น “แล้วฆ่าอย่างไรล่ะเจ้าคะ นายเที่ยงไม่ได้อยู่เรือนเดียวกับแม่เกิดสักหน่อย”
นั่นสิ นางเกิดตายได้อย่างไร! เป็นครั้งแรกที่การเสียชีวิตของแม่ครัวตัวเล็กๆ เป็นจุดสนใจของทุกคน
ทองสุกร้องไห้กระซิก เมื่อมาถึงขั้นนี้แล้วหล่อนจะปิดบังความจริงต่อไปก็คงไม่ได้ จึงจำต้องเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นออกมา
“ก่อนวันทำบุญตลาดยอดวันหนึ่ง บ่าวกับแม่ทะเลาะกันเรื่องที่บ่าวไม่ยอมเป็นเมียออกขุนปริวรรต แม่โกรธมากเลยขังตัวเองอยู่ในห้องทั้งวัน พอเช้าวันงาน บ่าวกับพี่เที่ยงไปขอขมาแม่แต่เช้ามืด แม่ก็ยอมพูดดีกับเรา พี่เที่ยงเห็นแม่ไม่ได้กินกระไรตั้งแต่เมื่อวาน เลยไปยกข้าวต้มกับปลาแห้งมาให้กินรองท้อง จากนั้นแม่ก็ออกไปตลาด จะไปบอกคนที่นั่นว่าปีนี้ไม่ได้ทำกับข้าวกับปลามาช่วยงานเจ้าค่ะ แต่พี่เที่ยงไม่ได้ฆ่าแม่นะเจ้าคะ”
ตลาดยอดที่ทองสุกพูดถึงถูกไฟไหม้เมื่อวันขึ้นสี่ค่ำ เดือนสาม พ.ศ 2068 พระเพลิงสำแดงฤทธานุภาพเผาผลาญตั้งแต่ท่ากลาโหมไปจนถึงตลาดยอด ซึ่งอยู่ท้ายพระราชวัง เพลิงอีกส่วนหนึ่งยังไหม้จากตะแลงแกงลามไปป่าตองโรงคราม ฉะไกร ทำลายล้างอยู่นานสามวันสามคืนกว่าจะดับลงได้ นับเป็นโศกนาฏกรรมครั้งยิ่งใหญ่ที่หลอกหลอนผู้คนไปนานแสนนาน หลังจากนั้นทุกๆ ปีชาวบ้านจึงถือเป็นธรรมเนียมที่จะทำบุญตลาดยอด เพื่อให้เป็นสิริมงคลและปัดเป่าเคราะห์ภัยที่อาจจะเกิดขึ้น แต่ละคนจะช่วยกันนำอาหารมาเลี้ยงพระ และถือโอกาสประกวดกันไปในตัวว่ารสมือของใครจะล้ำเลิศที่สุด นางเกิดแม่ของทองสุกครองอันดับหนึ่งตลอดมา โดยมีคุณคำหอมอยู่ในลำดับที่สอง นางเกิดจึงถือเอาเรื่องนี้เป็นความภูมิใจสูงสุดในชีวิตแม่ครัวของนาง
ปีนี้เพราะทะเลาะกับลูกสาว นางเกิดจึงหัวเสียจนไม่มีอารมณ์จะทำอาหารไปร่วมงานอย่างเคย นางจึงคิดจะไปบอกกล่าวและขออภัยคนที่ตลาดด้วยตนเอง แต่ทองสุกไม่คาดฝันเลยว่านั่นจะเป็นครั้งสุดท้ายที่หล่อนกับมารดาจะได้พบหน้ากัน
ในฐานะที่เป็นคนหนึ่งซึ่งอยู่ในเหตุการณ์วันนั้น หมอพันจึงเสริมขึ้นบ้าง “วันนั้นมีคนมาตามกระผมไปดูแม่เกิดที่ตลาด อาการเหมือนกับเถ้าแก่ส่งกับคุณนายพลับไม่มีผิดขอรับ แต่เพราะแม่เกิดอดข้าวมาทั้งคืน กระผมเลยคิดว่าแม่เกิดตายเพราะลมสว้าน ไม่คิดเลยว่าจะเป็นอย่างอื่น”
เรื่องราวดูจะขมวดปมจนยุ่งเหยิงไปหมด ทว่าก็ยังไม่ถึงประเด็นที่อยากรู้เสียที คุณคำหอมนิ่งฟังอยู่นานจนทนต่อไปอีกไม่ไหว เธอกรีดร้องเสียงแหลม “แล้วคุณพี่ของฉันล่ะ ไปทำกระไรให้แกเจ็บช้ำ ฮะ! ไอ้เที่ยง หน้าแกคุณพี่ยังไม่เคยเห็นด้วยซ้ำไป”
นายเปี่ยมกระแอมทีหนึ่ง ก่อนจะตอบคำถามของเธอ “ไอ้เที่ยงกับทองสุกมันรักกันอยู่น่ะขอรับ”
จมื่นวิเศษศิลป์จับสองมาบวกสองอย่างว่องไว พริบตาเดียวก็ได้คำตอบ เขามองนายเที่ยงด้วยความชิงชัง “เช่นนั้นก็ไม่ต้องสงสัยแล้ว นางเกิดขัดขวางความรักของนางทองสุกกับไอ้เที่ยง เพราะอยากให้ลูกสาวได้เป็นเมียขุนปริวรรต ไอ้เที่ยงแค้นใจ พอได้โอกาสเลยแอบใส่ยาพิษในข้าวต้มให้นางเกิดกิน จะได้ตายๆ ไปซะ แต่มันคงกลัวขุนปริวรรตจะไม่ยอมวางมือจากนางทองสุกง่ายๆ เลยลอบวางยาพิษท่านในงานนี้ด้วย โธ่! ไอ้ชาติชั่ว”
จบคำเขาก็ยกเท้าถีบนายเที่ยงจนล้มคว่ำ จมื่นวิเศษศิลป์สังกัดกรมวังเช่นเดียวกับออกขุนปริวรรต จึงอดไม่ได้ที่จะโกรธแค้นแทนสหายที่ตายไป
คนทั้งหมดมองหน้ากัน แม้ไม่มีใครพูดออกมาแต่ก็เหมือนจะเป็นที่รับรู้ว่าได้ตัวคนร้ายแล้ว การฆาตกรรมสี่รายที่ควรจะเป็นคดีใหญ่โตน่าตระหนกนั้น แท้ที่จริงมีต้นเหตุมาจากเรื่องชู้สาวอันธรรมดาสามัญนี่เอง พร้อมกับที่ความจริงปรากฏ คุณคำหอมก็ร้องไห้โฮออกมาอีกรอบ ส่วนคุณหญิงแสงอุทานด้วยความเวทนาเด็กที่ท่านเห็นมาแต่เล็กแต่น้อย
“โธ่เอ๋ย! ไอ้เที่ยง เอ็งไม่น่าเห็นผิดเป็นชอบเลย ถึงอย่างไรทองสุกมันก็ไม่ตกลงกับขุนปริวรรตดอก เอ็งจะฆ่าท่านให้ได้กระไรขึ้นมา”
โทสะของออกญาเทพโยธินลุกโพลงราวกับไฟได้เชื้อ โกรธแสนโกรธที่บ่าวบังอาจมาฆ่าคนในงานทำบุญอายุของท่าน ไม่ได้ไว้หน้าเจ้าของเรือนเลยแม้แต่น้อย นายเที่ยงเพิ่งจะประคองตัวขึ้นได้ ท่านก็เงื้อมือตบลงไปสุดแรง เสียงฉาดดังสนั่น เล่นเอาคนถูกตบหน้าหัน เลือดสดๆ ไหลซึมจากมุมปาก
“ไอ้เนรคุณ เลี้ยงเสียข้าวสุก” ท่านหันไปบอกนาถ “เอาตัวมันไปเถิดพ่อนาถ อาไม่อยากเห็นมันให้เป็นเสนียดอีกแล้ว”