Mr. Judo ทุ่มฉันเถอะที่รัก บทที่ 2 : ศิราณีฝ่ายบุ๋น ศิราณีฝ่ายบู๊
โดย : แสนแก้ว
Mr. Judo ทุ่มฉันเถอะที่รัก นิยายออนไลน์ของ แสนแก้ว เรื่องราวของ ‘ลูกไม้’ นักกีฏวิทยาสาวที่บังเอิญต้องเข้าไปเป็นสมาชิกเว็บไซต์โสดเสงี่ยมเลี่ยมทองและได้พบกับชายในฝัน เธอต้องทำทุกวิถีทางให้เขาเห็นเธออยู่ในสายตาและรับเธอเข้าไว้ในหัวใจ ปฏิบัติการทุกอย่าง ไม่เว้นแม้แต่ยอมให้เขาทุ่มในสังเวียน! #นิยายสนุกๆ มีให้อ่านที่อ่านเอา
**************************
– 2 –
“คุณพรหมลิขิต?” ธัชชัยทวนคำ “ใครวะ”
เพลงพนัสไม่ตอบคำใด จ้องจอนิ่งงันคล้ายถอดจิตออกไปสิงโน้ตบุ๊กเป็นที่เรียบร้อย ธัชชัยคงเริ่มสนใจและสงสัยว่าจะเป็นเรื่องจริง จึงกระเถิบมานั่งใกล้ ๆ ยกโน้ตบุ๊กไปดูบ้าง
เขาสุ่มเลือกเปิดรูปหนึ่งขึ้นมาแล้วก็บังเอิญมือดีเสียด้วย เพราะภาพที่ปรากฏเต็มจอเป็นภาพถ่ายครึ่งตัวในลักษณะที่ชายหนุ่มเพิ่งเล่นกีฬาเสร็จ กางเกงผ้าขายาวสีขาวนั้นยังคงอยู่ แต่เสื้อสีขาวที่เข้าชุดกันหายไป แทนที่ด้วยผ้าขนหนูผืนเล็กพาดบนไหล่หนาเปลือยเปล่า
“อู้หู…”
สองเสียงประสานอุทานพร้อมกัน ไม่รู้ว่าใครร้องดังกว่าใคร เมื่อสิ่งที่พุ่งเข้ามาเตะตาก่อนอื่นใดคือมัดกล้ามบนแผงอกแกร่งและหน้าท้องลอนซิกแพกงามสมชายชาตรี ช่วงลำแขนแข็งแรงอุดมด้วยกล้ามเนื้อ ข้างหนึ่งปล่อยข้างลำตัว ส่วนมืออีกข้างถือขวดน้ำดื่มอยู่
ธัชชัยหันมามองเพลงพนัส สายตาไม่ได้จับจ้องใบหน้า แต่มองต่ำลงไปกว่านั้น
“นมเขาใหญ่กว่าแกอีกนะ”
ไม่ทันขาดคำ ฝ่ามือหนัก ๆ ก็ฟาดเพียะเข้าเต็มแขน พร้อมด้วยคำด่าสบถหยาบคายแถมมาอีกคำ หญิงสาวผลักไสหน้าทะเล้นของเพื่อนให้หันกลับไปสนใจหน้าจอต่อ ส่วนเธอก็แอบก้มมองความภาคภูมิใจในความเป็นหญิงน้อย ๆ ของตัวเอง แล้วก็ต้องยอมรับว่าเพื่อนพูดจริง
“คุณพรหมลิขิตของแก ต้องนมใหญ่ขนาดนี้เลยเหรอวะ”
ดูเหมือนธัชชัยจะยังประทับใจไม่รู้ลืม ไม่ยอมเปลี่ยนไปดูรูปอื่น
“ไอ้บ้า…” เพลงพนัสหัวเราะ “ก็ไม่ได้คิดหรอกว่าต้องหุ่นล่ำขนาดนี้ แค่คิดว่าเป็นนักกีฬา หุ่นนักกีฬา”
“แล้วไหน อะไรที่บอกว่าเขาใช่คุณพรหมลิขิตของแกบ้าง” ชายหนุ่มคลิกเปิดประวัติขึ้นมาอ่าน “ชื่อ ชัชแสนย์ ศุภวรรณวรกุล ชื่อเล่นชื่อ แสนย์ อายุ 30 ปี”
เพลงพนัสแทรกขึ้นมาเสียงแผ่วเบา “ข้อที่สาม คุณพรหมลิขิตอายุเท่ากันหรือมากกว่า”
ธัชชัยพยักหน้าเห็นด้วยว่าถูกต้อง แล้วอ่านต่อ “จบปริญญาตรีคณะวิศวกรรมศาสตร์ จากนั้นจบปริญญาโทที่ประเทศอังกฤษ ทางบ้านทำธุรกิจส่งออกชิ้นส่วนอะไหล่ แต่แสนย์ยังสนใจใช้สิ่งที่ร่ำเรียนมาให้เป็นประโยชน์ก่อน จึงทำงานเป็นวิศวกรพลังงานที่บริษัทชื่อดังย่านลาดพร้าว และเปิดโรงเรียนสอนยูโดชื่อยูโดซัน แถวสุขุมวิท อ้อ… ใช่สินะ คุณพรหมลิขิตของแกเป็นวิศวกร”
“โห แกจำได้ด้วย” เพลงพนัสแปลกใจไม่น้อย แล้วเอ่ยต่อเสียงอ่อนเหมือนล่องลอยไปในความฝัน “ข้อแปด คุณพรหมลิขิตเป็นนักกีฬา ข้อที่ยี่สิบ เคยไปใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศ มันตรงทั้งนั้นเลยว่ะแก”
“เดี๋ยว ๆ แกใจเย็นก่อน” ธัชชัยพยายามดึงเธอกลับมาก่อนจะลอยหายไปกับสายรุ้ง “เวลาว่าง แสนย์ชอบถ่ายรูป เล่นกีตาร์แกะเพลง และเล่นกับสุนัข”
เพลงพนัสพูดต่อทันใด “ข้อสามสิบหก คุณพรหมลิขิตถ่ายรูปเก่งแต่ไม่ชอบเป็นนายแบบ สามสิบเก้า…เล่นเครื่องดนตรีอะไรก็ได้หนึ่งอย่าง ข้อห้าสิบ…รักสัตว์ รักธรรมชาติ แก…มันใช่เขา ต้องเป็นเขาแน่ ๆ”
“เดี๋ยวสิวะ อย่าเพิ่งด่วนสรุป สเปกพวกนี้มันพื้นฐาน หาได้ทั่วไปน่า”
“หาได้ทั่วไปงั้นเหรอ ฉันเกิดมายี่สิบแปดปีไม่เคยเจอเลยนะ แล้วแกดูนี่”
เพลงพนัสคลิกเปิดรูปครอบครัวขึ้นมา คุณพ่อคุณแม่ของชายหนุ่มยิ้มปลื้มใจ มีสาวน้อยหน้าตาน่ารักในชุดรับปริญญายืนอยู่ตรงกลางเคียงข้างกับชัชแสนย์
“ข้อที่หกสิบ คุณพรหมลิขิตมีพี่สาวหรือน้องสาว แล้วแกดูนี่…”
เธอเปิดขึ้นมาอีกรูป เป็นรูปหมู่ในงานแต่งงาน บรรยายใต้ภาพว่าเจ้าบ่าวซึ่งกำลังถูกเพื่อน ๆ จับโยนนั้นเป็นเพื่อนสนิทสมัยมัธยม
“ข้อหกสิบห้า เป็นคนรักเพื่อนและมีเพื่อนรักมากมาย แค่นี้มันก็ตรงแทบทุกข้อแล้วนะเว่ย แกไม่เห็นหรือไง”
“ที่ว่ามามันก็ถูก แต่สเปกพวกนี้มันพื้นฐานเกินไป วิศวกรทั่วประเทศมีกี่แสนคน ในจำนวนนี้มีอีกกี่หมื่นที่เล่นกีฬา อีกกี่พันที่เล่นดนตรี แล้วอีกกี่ร้อยที่มีน้องสาว คนรักหมาแมวก็มีตั้งเยอะตั้งแยะ ฉันว่าแกด่วนสรุปเกินไปมั้ง”
“มันก็ใช่เว่ย แต่เขาจะไม่ชอบหมาก็ได้นี่ จะไม่เล่นดนตรีอะไรเลย หรือไม่ชอบเหนื่อย ไม่ชอบมีเหงื่อเลยไม่ออกกำลังกายเลยก็ได้ มีโอกาสเป็นไปได้ทั้งนั้นแต่มันก็ไม่ แกคิดว่ามันบังเอิญเหรอวะที่เขาถูกทุกข้อขนาดนี้”
“งั้นแกก็หาข้อที่มันเฉพาะเจาะจงกว่านี้สิ เอาที่แบบ…ต้องเป็นคนคนนี้เท่านั้นถึงจะมีน่ะ”
“เช่นว่ามีปานแดงรูปหัวใจที่ตูดอะไรอย่างนั้นน่ะเหรอ แกจะบ้าหรือไงไอ้ธัช กว่าจะพิสูจน์ว่าใช่หรือไม่ ฉันมิต้องไปเปิดตูดผู้ชายทั้งประเทศดูเหรอวะ”
ชายหนุ่มหัวเราะขำ “แกจะเปิดของฉันก่อนเลยก็ได้นะ ฉันอนุญาต”
“ไอ้ทุเรศ!” หญิงสาวตีหัวไหล่เขาดังปั้ก
ท้ายประวัติระบุว่า ผู้ส่งข้อมูลแนะนำเพื่อนหนุ่มโสดคือ ชนินทร์ เกียรติประภา เพื่อนวิศวกรที่บริษัท บรรทัดล่างสุดเป็นช่องทางติดต่อของชัชแสนย์ เพลงพนัสคลิกเข้าไปในหน้าเพจส่วนตัวของชายหนุ่มด้วยหัวใจอันเต้นรัวแรง ตื่นเต้นราวกับได้มาพบหน้ากันจริง ๆ
“แก… ฉันอยากรู้จักเขา” หญิงสาวครางเบาหวิวคล้ายละเมอ
“เออ แกก็กดขอเพิ่มเพื่อนไปสิ”
“ฉันอยากรู้จักเขา…”
“กูรู้แล้ว” ธัชชัยหัวเราะปนรำคาญ “กดเพิ่มเพื่อนไป เข้าไปทำความรู้จักให้มั่นใจว่าเขาคือคุณพรหมลิขิตจริงหรือเปล่า แต่ขอเตือนไว้อย่างนะเว่ย บางทีคนที่ใช่สำหรับแกอาจไม่เห็นว่าแกใช่สำหรับเขาก็ได้ หรือเขาอาจไม่สนใจพิจารณาแกเลยสักนิดก็ได้ ถ้ามันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาก็รับให้ไหวแล้วกัน”
“นี่แกแช่งฉันเหรอ ปากหมาชะมัด”
“ไม่ได้แช่งเว่ย ก็เหมือนที่ฉันต้องมาอกหักอยู่นี่ไงล่ะ ไม่ใช่เพราะหลงรักคนในอุดมคติเหรอ”
หญิงสาวลอยหน้าลอยตาเบ้ปาก กลั้นใจกดปุ่มขอเพิ่มเพื่อนไปในที่สุด
ครั้นพอกดไปแล้ว ก็รู้สึกราวกับมีสะเก็ดดาวพร่างพราวเปล่งแสงสีชมพูเรืองรองลอยวนล้อมรอบกาย นำพาเธอไปสู่ดินแดนแห่งความฝันอันไกลโพ้นซึ่งมีชายหนุ่มรูปงามผู้เป็นดั่งพรหมลิขิตรอคอยอยู่ กลิ่นหอมกรุ่นของดอกลาเวนเดอร์พัดโชยมาต้องจมูก แล้วท้องทุ่งซึ่งเต็มไปด้วยดอกไม้กลีบสีม่วงสวยหวานกว้างไกลสุดลูกหูลูกตาก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้า ฝูงม้ายูนิคอร์นเขาเกลียวแหลมก้าวย่างสง่างามไปตามลำธารสายเล็กซึ่งสะท้อนแสงแดดระยิบระยับ เธอออกวิ่งไปอย่างอิสระเสรี กางแขนกว้างสัมผัสสายลมและแสงแดดอบอุ่นใต้สายรุ้งงาม
“แก… ธัช ฉันเจอเขาแล้ว ในที่สุดฉันก็ได้เจอ” หญิงสาวเอ่ยเสียงเบาหวิว จ้องหน้าจอไม่ละสายตา “คนนี้แหละที่ฉันรอ ที่ผ่านมาฉันต้องอยู่เป็นโสด โดนแฟนเก่าทิ้งมาตลอดก็เพื่อวันหนึ่งฉันจะได้เจอคนนี้”
ธัชชัยไม่ได้ว่าอะไร เพียงแต่ส่ายหน้าเอือมระอา และอวยพรสั้น ๆ ให้เธอโชคดี
ออกจากป่าเข้ามากรุงเทพฯ ทั้งที เพลงพนัสตั้งใจจะพบปะเพื่อนสนิทให้ครบ ๆ จึงมารอที่บริษัทผลิตและจำหน่ายปุ๋ยและสารเคมีทางการเกษตรแห่งหนึ่ง ลลิตาหรือลิลลี่ นักวิจัยและนักกีฏวิทยาสาวทำงานประจำอยู่ที่นี่ เธอกับลิลลี่เรียนปริญญาโทมาด้วยกันและยังสนิทกันจนถึงตอนนี้
พอลลิตาเลิกงานแล้วก็ชวนกันออกไปรับประทานอาหารเย็น เพื่อนสาวเล่าว่าช่วงนี้กำลังมีโปรเจกต์วิจัยแมลงศัตรูพืชที่น่าสนใจ นอกเวลางานก็ขายเสื้อผ้าออนไลน์โดยตัวเธอเป็นนางแบบเองด้วย หญิงสาวยังบอกอีกว่าเมื่อได้ทำงานที่ชอบทั้งสองอย่างแบบนี้ ชีวิตก็เหมือนจะหมุนไปอย่างรวดเร็วจนลืมเวลา
“แล้วลูกไม้ล่ะ เป็นยังไงบ้าง มีแฟนหรือยังจ๊ะ”
เหมือนจะถามถูกใจ คำตอบเลยปรากฏเป็นรอยสีชมพูริ้ว ๆ บนพวงแก้ม
“ยังไม่มีหรอก” เพลงพนัสอมยิ้มแก้มตุ่ย จับชายเสื้อบิดไปมา “แต่คิดว่าอยากมีแล้วละ”
“ว้าว! จริงเหรอ ฉันก็สงสัยอยู่ว่าแกไปอยู่ตั้งบนเขาอย่างนั้นจะมีแฟนยากไหม แล้วเขาเป็นใครกันล่ะ คนที่ตาถึงมาจีบสาวลูกไม้ของฉันได้น่ะ”
“เปล่า เขาไม่ได้มาจีบฉันหรอก” ชายเสื้อม้วนไปมาหนักขึ้นอีก ใกล้เคียงความเป็นเงื่อนพิรอดเต็มที “ฉันไปจีบเขาต่างหาก”
“ฮ้า…” ลลิตายิ้มกว้างแล้วหัวเราะออกมา เขย่าแขนคะยั้นคะยอให้เล่ามาอย่างละเอียด เพลงพนัสไม่มีอะไรจะเล่ามากเพราะเรื่องยังไม่เริ่มด้วยซ้ำ ได้แต่พูดเสียงเบาหวิว มองออกไปยังที่แสนไกล
“ฉันรู้สึกเหมือนกับว่า ชีวิตของฉันจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป”
“เดี๋ยวก่อนสิ” ลลิตาเอียงคอ “ยังไม่ได้คุยกันสักคำเลยไม่ใช่เหรอ แล้วนี่ทักแชตเขาหรือยัง”
“ยัง”
“อ้าว…”
“ก็มัน… ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไงดีนี่นา ลิลลี่ ช่วยแนะนำหน่อยสิว่า ถ้าเป็นคนแปลกหน้าชนิดที่ว่า ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันเลย ไม่มีเพื่อนของเพื่อนเลย ยังกับมาจากดาวคนละดวงกันแบบนี้ จะทักไปคุยยังไงดีให้ดูไม่โรคจิตน่ะ”
“อืม ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันเลยงั้นเหรอ” ลลิตาเท้าคางกับโต๊ะอย่างใช้ความคิด “ยากเหมือนกันนะ”
“สมมติว่า มีชายหนุ่มแปลกหน้าคนหนึ่งเข้ามาจีบแก เขาต้องทักแชตยังไงแกถึงจะไม่รู้สึกว่าเขาโรคจิตหรือคุกคามน่ะ แกมีคนมาจีบเยอะจะตาย ต้องมีบ้างสิ คนที่เคสคล้าย ๆ กันนี้น่ะ”
ลลิตานิ่งคิดครู่เดียวก็เอามือลงทาบกับโต๊ะ “งั้นก็แนะนำตัวไปว่าชื่ออะไร เป็นใคร เห็นเขาจากที่ไหน และที่ทักมาเนี่ย ต้องการอะไร”
เพลงพนัสกะพริบตาปริบ ๆ “เอาตรง ๆ อย่างนั้นเลยเหรอ”
“ใช่” ลลิตาเคาะโต๊ะก๊อก ๆ “เพราะเป็นคนแปลกหน้า ก็เลยดูไม่น่าไว้ใจใช่ไหมล่ะ ดังนั้นก็ต้องพูดตรง ๆ เพื่อแสดงความจริงใจ ลุยเลยลูกไม้ ชักช้าเสียเวลา คนอื่นแซงหน้าไปหมดนะ”
จบคำเพื่อน เพลงพนัสก็ล้วงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาจากกระเป๋ากางเกงยีน เข้าโปรแกรมแชตอย่างรวดเร็ว แต่ยังไม่ทันพิมพ์อะไรสักตัว เพื่อนสาวคนสวยก็คว้ามือไว้เสียก่อน
“เดี๋ยวนะลูกไม้ แกจะพิมพ์ว่าอะไรน่ะ”
“ก็จะพิมพ์ว่า ฉันชื่อนางสาวเพลงพนัส สหัสไพบูลย์ เป็นนักวิจัยแมลง เห็นคุณแสนย์จากเพจโสดเสงี่ยมเลี่ยมทอง และที่ทักมานี่ ก็เพราะต้องการมาตามจีบ”
“โอ๊ย นั่นก็จริงใจไปไหม” ลลิตากุมขมับ
“อ้าว ไม่ใช่เหรอ” เพลงพนัสตอบเสียงอ่อย เกรงจะโดนดุ
“ไม่ใช่ย่ะ!”
นั่นละ สุดท้ายแล้วก็ต้องถึงมือเพื่อนสาวเจ้าเสน่ห์ช่วยคิดจนได้ การสนทนาครั้งแรกระหว่างเพลงพนัสกับชายหนุ่มผู้เป็นดั่งพรหมลิขิตจึงได้เริ่มต้นขึ้นว่า
ลูกไม้ : สวัสดีค่ะคุณแสนย์ เราชื่อลูกไม้นะคะ เป็นนักวิจัย พอดีเห็นคุณแสนย์จากเพจโสดเสงี่ยมเลี่ยมทองแล้วประทับใจอยากรู้จัก หวังว่าคุณแสนย์คงยินดีให้เราได้มารู้จักกันนะคะ
“เป็นไง”
“โห…” เพลงพนัสปรบมือรัว “สวยอ่ะ เลิศเลอ”
“แค่นี้แกก็ชนะพวกผู้หญิงแปลกหน้าคนอื่น ๆ ที่ทักมาแค่ว่า ‘ดีค่ะ’ ‘ทักทายนะ’ ‘ทำไรอ่ะคะ’ อะไรพวกนั้นได้แล้ว นั่นมันแค่แชตเด็ก ๆ คุณแสนย์ต้องเจอระดับลูกไม้นี่ ตัวจริงเสียงจริง มาจริง ไม่ได้มาเล่น ๆ”
เพลงพนัสอมยิ้มสุดปลื้ม เข้าไปกระโดดกอดเพื่อนสาวดีใจใหญ่ ลลิตาก็หัวเราะแต่ยังปรามด้วยว่า
“แต่แกอย่าเพิ่งไปรู้สึกกับคุณแสนย์เยอะเลย มารู้จักกันให้เยอะ ๆ ก่อน พิสูจน์จนแน่ใจว่าเขาคือคุณพรหมลิขิตตัวจริงแล้วค่อยรักค่อยหลงก็ยังไม่สายนี่นา ว่าไหมล่ะ”
เพลงพนัสคิดตามแล้วพยักหน้า “นั่นสินะ ตอนนี้ฉันได้เจอคนที่ใช่ทางกายภาพแล้ว ที่เหลือก็ต้องลองคุยดูว่าเคมีเข้ากันได้ไหม ต้องใช่ทั้งกายภาพ ทั้งนิสัย ไลฟ์สไตล์ ถึงจะเรียกได้ว่าเป็นคุณพรหมลิขิตตัวจริง”
“อื้ม! ค่อย ๆ กลับมาแล้วนะ” ลลิตาพยักหน้า
“อะไรกลับมาเหรอ”
“สติของแกน่ะ ค่อย ๆ กลับมาแล้ว ยินดีด้วย”
เพลงพนัสร้องโอดครวญ กระเง้ากระงอดยกใหญ่ เพื่อนสาวจึงกอดปลอบโอ๋เอ๋ไป หัวเราะไป
“ฉันเอาใจช่วยนะลูกไม้ ถ้าคุณแสนย์ตอบกลับมาแล้ว บอกด้วยนะ”
เมื่อครั้งยังเป็นสาวน้อยช่างฝัน เพลงพนัสคิดว่า ทันทีที่เธอกับคุณพรหมลิขิตได้พบกัน จะเกิดความรู้สึกที่เรียกว่า ‘สปาร์ก’ หรือถูกชะตากันตั้งแต่แรกพบ เหมือนรู้จักกันมานานตั้งแต่ชาติปางก่อน บุญกุศลที่เพียรสร้างร่วมกันมาจะหนุนนำชี้ทางให้ต่างคนต่างรู้ซึ้งในใจว่า คนคนนี้แหละคือคู่ชีวิตที่ตามหามานาน แต่มาในวันนี้ หญิงสาวรู้แล้วว่าเรื่องแบบนี้อาจไม่เกิดขึ้นกับทุกคน หรืออย่างน้อย ๆ ก็ไม่ใช่เธอ
สองวันก็แล้ว สามวันก็แล้ว คุณแสนย์นอกจากจะไม่กดรับคำขอเป็นเพื่อนในเพจส่วนตัวแล้ว ยังไม่อ่านและไม่ตอบข้อความที่ทักไปในแชตด้วย ราวกับชายหนุ่มไม่มีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้ ไม่สิ ต้องบอกว่า เหมือนเขาไม่เห็นเธออยู่บนโลกใบนี้จะถูกกว่า เพลงพนัสขับรถเกาะเลนซ้ายไปเรื่อย ๆ ไม่ได้เร่งรีบเหมือนขามา มุ่งหน้ากลับสู่กาญจนบุรี มีหลายสิ่งหลายอย่างผุดพร่างขึ้นมาในใจ ตีกันวุ่นวายจนแม้แต่เจ้าตัวยังจับประเด็นไม่ได้ว่ากำลังฟุ้งซ่านอะไรอยู่กันแน่
เพลงพนัสหยุดพักรถที่ร้าน ‘กาญจน์กาแฟ’ คาเฟ่ในตัวเมืองกาญจนบุรี ตั้งใจจะซื้อโกโก้มินต์ เครื่องดื่มสุดโปรดสักแก้วก่อนกลับขึ้นทองผาภูมิ ข้างบนนั้นยังอุดมสมบูรณ์ไปด้วยป่าเขา หาร้านกาแฟได้ค่อนข้างยาก และยากยิ่งกว่าคือร้านที่ชงโกโก้มินต์ได้อร่อยถูกใจ ดังนั้นถึงจะซึมเศร้าเหงาหงอยแค่ไหนก็ต้องแวะซื้อโกโก้มินต์ไปด้วย เพราะไม่รู้เมื่อไรจะกลับเข้ามาในเมืองอีก
แต่แล้ว ตอนที่จ่ายเงินเรียบร้อยและกำลังจะกลับออกจากร้านนั้นเอง เพลงพนัสก็ชนกับใครบางคนเข้าอย่างจัง ความจริงที่ชนกันก็ไม่แรงและไม่เจ็บตัวนัก แต่ที่หนักคือชิ้นเค้กครีมที่ใครคนนั้นถือมาด้วยได้โปะเข้ากลางอกเสื้อ เละไล่เรื่อยมาจนถึงช่วงท้องเลยทีเดียว
“ว้าย! ตายแล้ว ขอโทษค่ะ ขอโทษจริง ๆ นะคะ ไม่ได้ตั้งใจค่ะ”
เธอคนนี้กุลีกุจอหากระดาษทิชชูมาเช็ดเสื้อให้เป็นการใหญ่ พร่ำขอโทษขอโพยไม่หยุด แต่เพลงพนัสยืนนิ่งงันเหมือนไม่ได้พกอารมณ์ลงจากรถมาด้วย ตอบเรียบ ๆ เพียงว่า
“ไม่เป็นไรก็ได้ค่ะ ไม่เป็นไรจริง ๆ”
ครั้นแล้ว มือที่เช็ดเสื้อยืดสีขาวของเธออยู่กลับชะงัก คงสะดุดหูกับน้ำเสียงของเธอเข้า แล้วพอหญิงเจ้าของเค้กเงยหน้ามาสบตากัน ทั้งสองก็มีอันต้องเบิกตากว้าง
“เฮ้ย ลูกไม้!”
“อะ… ไอ้รุ้ง!”
แล้วร้านกาญจน์กาแฟก็แทบแตกในบัดดลเมื่อสองสาวต่างกรี๊ดกร๊าดกระโดดโลดเต้นเป็นการใหญ่
เพลงพนัสกับทอรุ้งเป็นเพื่อนสนิทร่วมทีมวอลเลย์บอลสมัยเรียนมัธยมในโรงเรียนประจำจังหวัด แต่วันเวลาที่ผันผ่านและเส้นทางชีวิตที่แยกจากกันทำให้ทั้งสองไม่ได้ติดต่อกันอีก แต่เพลงพนัสยังจดจำเรื่องราวสมัยเด็กได้ไม่เคยลืมเลือน พอ ๆ กับที่จำได้ด้วยว่า ลูกตบจอมพลังของทอรุ้งนั้นหนักหน่วงแค่ไหน เป็นนักกีฬาวอลเลย์บอลตัวโรงเรียน ซ้อมอยู่ด้วยกันทุกเย็น เป็นตัวแทนโรงเรียนไปแข่งขันมาไม่รู้กี่รายการ ความผูกพันแน่นแฟ้นขนาดนี้มีหรือจะจางหายได้เพียงเพราะไม่ได้ติดต่อกันหลายปี
สาวน้อยผิวคล้ำร่างอวบท้วมในชุดนักเรียนมัธยมปลาย เดินอาด ๆ ไม่เกรงกลัวใครหน้าไหน มีดวงตาคมกลมโตสดใสเป็นประกายร่าเริงอยู่เสมอราวกับทุกเวลานาทีมีแต่เรื่องน่าสนุก บัดนี้ได้เปลี่ยนโฉมกลายเป็นหญิงสาวทรวดทรงอวบอัด แม้ไม่ได้ผอมเพรียวแบบบางอย่างที่สาว ๆ หลายคนใฝ่ฝันจะเป็น แต่ความกลมกลึงสมส่วนนี้กลับทำให้ยิ่งน่ามองน่ากอด ผิวพรรณสีนวลออกไปทางน้ำผึ้งดูผุดผ่อง และยิ่งดูนวลตาขึ้นไปอีกเมื่อห่มหุ้มด้วยชุดกระโปรงสั้นสายเดี่ยวสีส้มอิฐ ได้มาพบกันใหม่ในวันนี้ ทอรุ้งสวยขึ้นผิดหูผิดตาจนเพลงพนัสนึกชื่นชม
“แล้วแกเป็นไงบ้างลูกไม้ คุณพรหมลิขิตของแก ได้เจอหรือยัง” ทอรุ้งถามยิ้ม ๆ แน่นอนว่าเพื่อนสาวต้องรู้เรื่องคุณพรหมลิขิตด้วย ก็ทอรุ้งนี่แหละที่ยุยงให้เธอเขียนใบสเปกขึ้นมา
เพลงพนัสทำปากยื่น “เจอก็เหมือนไม่เจอ”
ทอรุ้งดีดตัวนั่งหลังตรงทันใด “นี่แปลว่า ได้เจอแล้วจริง ๆ น่ะเหรอ”
เจ้าของเรื่องถอนใจเสียงดัง เล่าเท้าความให้ฟังสั้น ๆ ก่อนจะจบว่า “แต่ก็นั่นแหละ เหมือนจะได้เจอแล้ว แต่ทุกอย่างก็หยุดลงเพราะเขาไม่ได้อยากรู้จักฉันเหมือนที่ฉันอยากรู้จักเขา”
“โน ๆๆ” ทอรุ้งกดเสียงต่ำ ขยับนิ้วชี้ซ้ายทีขวาที “อย่าเพิ่งท้อสิคะคุณลูกไม้ขา มันต้องมีทางออกสิ อุตส่าห์ได้เกิดมาเจอเขาทั้งที ไม่ว่ายังไงก็ต้องลองดีสักวันเว่ย จะปล่อยไปง่าย ๆ ได้ยังไง หาง่ายนักเหรอคุณพรหมลิขิตเนี่ย”
เพลงพนัสส่ายหน้า ดวงตาหงอยเหงายิ่งดูเศร้าคล้ายเด็กน้อยเบะปากจะร้องไห้
“ก็นั่นน่ะซี แต่ฉันไม่รู้จริง ๆ ว่าต้องทำยังไงในเมื่อเขาไม่ตอบอะไรเลยสักคำ เขาอาจเห็นรูปฉันแล้วไม่ชอบ ก็เลยไม่อยากคุยด้วยก็ได้นะเว่ย”
“ไหน แกใช้รูปไหนเป็นรูปโพรไฟล์” ทอรุ้งหยิบโทรศัพท์เธอไปดู แล้วก็ร้องแหลม “โอ๊ย ใช้รูปหันหลัง แกจะบ้าเหรอ จะให้เขาคุยกับแผ่นหลังนวลเนียนของแกหรือไง ยัยลูกไม้เอ๊ย”
รูปโพรไฟล์ที่ใช้นั้นเป็นรูปสมัยที่เธอขึ้นไปพิชิตยอดเขากับเพื่อน ๆ ทีมนักวิจัยนั่นเอง
“ก็ภูเขามันสวยนี่ แกดูวิวตรงหน้าฉันสิ อลังการดาวล้านดวงเลยเห็นไหม”
ทอรุ้งพ่นลมหายใจแรงใส่ เหลือกตามองบน แทนความหมายว่า นี่ยังไม่สำนึกอีก!
ฝ่ายเพลงพนัสยอมแพ้ หยิบโทรศัพท์กลับมา
“เออ ๆ เปลี่ยนรูปก็ได้ เอารูปนี้ก็แล้วกัน”
ทอรุ้งหยิบไปดูแวบหนึ่งก็ส่งคืนอย่างรวดเร็ว
“เวรกรรม รูปหันข้าง”
เพลงพนัสหัวเราะแหะ ๆ “หันข้างก็ไม่ได้เหรอ”
“แกต้องใช้รูปที่มันดึงดูดหน่อยซี รูปเซลฟี่สวย ๆ แบ๊ว ๆ น่ะมีไหม ที่ใส่เสื้อผ้าสวย ๆ แล้วมองเห็นตาแกชัด ๆ น่ะ”
“อ๋อ รูปแบบนั้นน่ะเหรอ” หญิงสาวร้องเสียงสูงแล้วจึงตอบว่า “ไม่มีว่ะ”
“โอ๊ยตาย” ทอรุ้งร้องเหมือนอยากจะบ้า
เพลงพนัสก็ไม่พ้นหัวเราะแหะ ๆ อีกตามเคย เขย่าแขนเพื่อนไปมาแทนการง้องอน สุดท้ายทอรุ้งจึงยอมกลับมาช่วยต่อ
“เอาเป็นว่า แกทักแชตไปแล้วแต่เขายังไม่ตอบใช่ไหม” ทอรุ้งเปิดอ่าน “อืม ทักไปเรียบร้อยมาก ๆ สมกับเป็นตัวแกเลย”
“ความจริงเพื่อนฉันช่วยคิดน่ะ เพื่อนชื่อลิลลี่ แกคงไม่รู้จัก”
“แต่ตามหลักมาร์เกตติงนะเว่ย แกต้องสร้าง ‘ยูนีค (unique)’ หรือความโดดเด่น ให้แตกต่างจากแบรนด์อื่นทั่วไปในท้องตลาด เพื่อสร้าง ‘แบรนด์อะแวร์เนส (brand awareness)’ คือการรับรู้และรู้จักแบรนด์ของลูกค้า เพื่อให้เขาจดจำแกได้ ไม่ปะปนกับสินค้าอื่นทั่ว ๆ ไป”
ฟังหลักการของสาวนักการตลาด คนจบวิทยาศาสตร์ก็มีอันต้องอ้าปากค้าง
“แกพิมพ์ต่อลงไปเลยว่า ‘เรารู้ว่าคุณมีคนจีบเยอะ แต่เราไม่เหมือนคนอื่นนะ ถ้าไม่คุยกับเราถือว่าพลาดมาก บอกเลย’ ”
“เฮ้ย…” เพลงพนัสคราง “จะดีเหรอแก”
“ดี น่ารักจะตาย แกเชื่อฉันสิ คราวนี้ละ คุณแสนย์ต้องจำแกได้แน่ แล้วแกก็จะเด่นเด้งดึ๊งขึ้นมาจากบรรดาสาว ๆ ที่ทักแชตเขามาแบบพื้น ๆ”
เพลงพนัสมองเจ้าสมาร์ตโฟนคู่ใจในมืออย่างลังเล แต่เมื่อเงยหน้ามองเพื่อนสาวก็พลันสบตากับดวงตาคมแน่วแน่ พยักหน้าหนักแน่น เธอจึงจัดการพิมพ์ลงไปตามที่เพื่อนบอก
“เยี่ยม! ทีนี้ก็รอดูผลกันละ” ทอรุ้งยิ้มร่าอย่างกระตือรือร้น
“ถ้าคุณแสนย์ตอบกลับมาจริง ๆ ฉันเลี้ยงข้าวแกเลยนะเนี่ย”
“ไม่เป็นไร ๆ” ทอรุ้งโบกมือ “ขอแค่น้ำแดงสักขวดก็พอ”
เพลงพนัสหัวเราะพรืด “จะให้ฉันเซ่นน้ำแดง ตกลงแกเป็นกุมารเหรอ”
แม่กุมารน้อยเพื่อนรักจิกตาใส่ “อีเพื่อนอกตัญญู ไม่ทันไรกัดกูซะแล้ว”
“ฉันล้อเล่น” เพลงพนัสส่งเสียงสดใสกลั้วหัวเราะ
อีกฝ่ายค้อนหลับปะเหลือก “น้ำเขียวก็ได้”
เพลงพนัสยังไม่อาจหยุดหัวเราะได้
“ตกลง ถ้าคุณแสนย์ตอบกลับมานะ ฉันจะเซ่นแกทั้งน้ำแดงน้ำเขียวเลย สองลัง”
- READ Mr. Judo ทุ่มฉันเถอะที่รัก บทที่ 5 : ปฏิบัติการกฎ 21 วัน
- READ Mr. Judo ทุ่มฉันเถอะที่รัก บทที่ 4 : สวัสดีครับคุณลูกไม้
- READ Mr. Judo ทุ่มฉันเถอะที่รัก บทที่ 3 : จงไปเรียนยูโดซะเถอะ
- READ Mr. Judo ทุ่มฉันเถอะที่รัก บทที่ 2 : ศิราณีฝ่ายบุ๋น ศิราณีฝ่ายบู๊
- READ Mr. Judo ทุ่มฉันเถอะที่รัก บทที่ 1 : คุณพรหมลิขิต...งั้นเหรอ