นายหายนะ บทที่ 2 : ฤทธิ์ยาสลบ

นายหายนะ บทที่ 2 : ฤทธิ์ยาสลบ

โดย : น้ำน่าน

เตรียมพบกับ #นายหายนะ ของ #น้ำน่าน ฉบับรวมเล่ม ทั้งในรูปแบบหนังสือและอีบุ๊ก #พร้อมตอนพิเศษที่ไม่เคยเผยแพร่ที่ไหนมาก่อนได้ที่บูธ CC 05 ของ GROOVE PUBLISHING ในงานมหกรรมหนังสือฯ ระหว่าง 30 กันยายน ถึง 11 ตุลาคม 63 รวมถึงช่องทางออนไลน์ของทาง GROOVE 

ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้เร็วๆ นี้ ที่แฟนเพจ GROOVE PUBLISHING

***************************

– 2 –

สนับสนุนอ่านเอาด้วยการสั่งซื้อหนังสือ “ในสวนอักษร” คลิกที่นี่

“ปรับเบาะ ยกศีรษะขึ้น ตบหน้าเพื่อนไว้ อย่าให้เขาหลับเด็ดขาด เร็ว คนไข้หายใจขัดแล้ว…”

ความโกลาหลที่เกิดขึ้นในรถพยาบาล ทำให้คนขับเร่งความเร็วราวพายุพัด มิ่งมงคลหันไปตบหน้าธีร์ตามคำสั่งพยาบาล ด้วยอาการมือไม้สั่นเทา ฝ่ามือที่ฟาดลงบนแก้มของเพื่อนซี้อย่างไม่ยั้งนั้นรุนแรงนัก ปานแก้วตาเห็นแล้วถึงกับยกมือขึ้นทาบอก

ช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน มิ่งมงคลกลัวเพื่อนตาย จึงทำตามคำแนะนำของพยาบาลอย่างเคร่งครัด ตบหน้าธีร์สลับขวาซ้ายอยู่อย่างนั้น เนิ่นนานเท่าไรไม่รู้ เมื่อเห็นธีร์พยายามลืมตาขึ้นมายิ้มให้ หนุ่มหน้าเข้มจึงหัวเราะทั้งน้ำตา ละล่ำละลักบอกพยาบาลด้วยความดีใจสุดขีด

“ฟื้นแล้วครับ คุณพยาบาล เพื่อนผมฟื้นแล้ว”

ปานแก้วตาลอบถอนหายใจ เวลานี้คงจะมีแต่เธอคนเดียวเท่านั้น ที่เห็นชัดเต็มสองตาว่า แก้มทั้งสองข้างของคนเจ็บที่ชื่อธีร์ แดงเถือกเป็นปื้นยาว จากรอยนูนที่เด่นชัดขึ้นมา เดาได้ว่าคงเจ็บน่าดู ครั้นเมื่อเขาฝืนยิ้มขึ้นมาสบตา หญิงสาวจึงหันไปยิ้มให้

“น้องพยายามชวนเพื่อนคุยนะ อย่าให้หลับไปอีก”

พยาบาลสาวบอก ก่อนหันไปสนใจกับถังออกซิเจนในรถ ตามประสาคนที่เคยเห็นฉากแห่งนาทีเป็นนาทีตายเช่นนี้มาแล้วหลายครั้งจนชิน คิดในใจ โชคยังดีที่คนไข้รายนี้อึดมาก จึงไม่มีโอกาสได้ใช้เครื่องช่วยหายใจเพื่อต่อชีวิต ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องดี

ถึงโรงพยาบาลเอกชนชื่อดังประจำจังหวัด รถเลี้ยวเข้ามาจอดหน้าอาคารอุบัติเหตุ ธีร์ถูกนำตัวเข้าห้องฉุกเฉินทันที ไม่กี่อึดใจต่อมามิ่งมงคลก็ได้รู้ว่า เพื่อนซี้ของเขา อาการหนักมาก ขาหักถึงสามท่อน ถึงขนาดต้องรีบทำการผ่าตัดเป็นการด่วน หนุ่มหน้าเข้มยืนร้องไห้อยู่ที่ตรงนั้น อย่างจับต้นชนปลายไม่ถูก

 

ธีร์รู้สึกตัวขึ้นมาอีกครั้ง ราวตีสี่

เมื่อตาชินกับความมืด จึงพยายามเพ่งสายตาสำรวจสิ่งต่าง ๆ รอบตัว ชายหนุ่มนิ่วหน้าเมื่อเห็นว่าหน้าแข้งข้างขวาของตัวเองมีแท่งเหล็กยาวขนาดเท่าปากกาโผล่ออกมาถึงหกเส้น แท่งเหล็กเหล่านั้นมีน็อตตรึงให้ติดกันเป็นแผงคล้ายเสาก้างปลาโทรทัศน์

ใช่แต่เพียงหน้าแข้งเท่านั้นที่ถูกพันธนาการด้วยแท่งเหล็ก ขาข้างขวาทั้งหมดของเขา ยังถูกเส้นลวดดึงรั้งให้ยกสูงขึ้นจากพื้นไปตามความยาวของเตียงพยาบาล ที่ปลายสุดของเส้นลวดมีลูกตุ้มเหล็กห้อยอยู่ ฤทธิ์ยาสลบ ทำให้ธีร์อยู่ในสภาพสะลึมสะลือ

แสงสลัวที่เล็ดลอดผ่านผ้าม่านผืนบางที่บังหน้าต่างบานเกล็ดไว้ เผยให้เห็นกลุ่มวัยรุ่นที่ยืนออกันอยู่สลอนตรงปลายเตียง ธีร์พยายามเพ่งมองไปที่ใบหน้าของแต่ละคนอย่างใช้สมาธิ แล้วก็ได้คำตอบว่า…เขาไม่รู้จักใครเลยสักคน ธีร์หลับตาลงช้า ๆ บอกกับตัวเองว่า คงฝันไป

ทันทีที่ปิดเปลือกตา ชายหนุ่มรู้สึกว่าลูกตุ้มเหล็กที่ห้อยต่องแต่งอยู่ตรงปลายเท้าของเขา เริ่มแกว่งไกวไปมา

ลูกตุ้มแกว่งแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนธีร์ต้องนิ่วหน้าด้วยความเจ็บปวด แล้วลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้เห็นชัดถึงท่าทางของวัยรุ่นกลุ่มนั้นดูดุดัน โดยเฉพาะผู้ชายคนที่ยืนอยู่ใกล้ลูกตุ้มเหล็ก ซึ่งธีร์คะเนว่าน่าจะเป็นหัวโจกของกลุ่ม เอาแต่จ้องเขม็งมาที่เขาด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตร

ยังไม่ทันที่ธีร์จะได้เอ่ยคำใด คนที่อยู่ใกล้ที่สุดก็พุ่งตัวเข้ามาหา ท่าทางคุกคามชัดเจน

ธีร์อับจนหนทางหนี ทำได้เพียงยกมือซ้ายขึ้นปิดหน้า แต่แล้ว…กลุ่มคนเหล่านั้นหายวับไปกับตา

 

ปานแก้วตาก็มาถึงโรงพยาบาลตั้งแต่เช้าตรู่

หญิงสาวมุ่งตรงไปที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์เป็นอย่างแรก โดยมีศิราที่หอบหิ้วกระเช้าบรรจุผลไม้ขนาดใหญ่หลากชนิดเดินตามไปติด ๆ ครั้นได้คำตอบว่าคนเจ็บที่เธอตั้งใจมาเยี่ยมไข้ พักฟื้นอยู่ที่ห้องไหน จึงไม่รอช้าเดินนำศิราไปยังจุดหมายทันควัน

หลังส่งธีร์เข้าห้องผ่าตัดเมื่อตอนกลางดึกของคืนวาน ปานแก้วตาอยู่เป็นเพื่อนมิ่งมงคลที่หน้าห้องผ่าตัด จนกระทั่งเขาโทรศัพท์ติดต่อญาติของธีร์เสร็จเรียบร้อยจึงขอตัวกลับ ระหว่างรอศิรามารับไปส่งที่คอนโดซึ่งเธอเช่าไว้แถวใกล้ ๆ มหาวิทยาลัย หญิงสาวตั้งสติและเรียบเรียงคำพูดอยู่นาน แล้วจึงโทรศัพท์ไปเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ปองขวัญฟัง

โชคดีที่พี่สาวของเธอเข้าใจ แม้จะบ่นกะปอดกะแปดด้วยความเป็นห่วงมาตามสาย แต่ก็ช่วยจัดการทุกอย่าง ถึงตอนนี้ปองขวัญให้ตั้งตระการ ผู้เป็นสามีจัดแจงนำรถยนต์ของเธอที่จอดอยู่ใกล้กับจุดเกิดเหตุ กลับบ้านแล้วเรียบร้อย เช่นเดียวกับซากบิ๊กไบค์ของมิ่งมงคล ปองขวัญก็ประสานงานให้ตำรวจในพื้นที่ ‘เคลียร์’ ให้จนเสร็จสรรพ

ก่อนย้ำกับเธอเสียงหนักแน่นว่า ‘บ่าย ๆ พี่จะให้พี่ตั้งไปรับ ไม่ต้องนั่งรถทัวร์กลับน่านนะ’

ปานแก้วตารู้ว่าพี่สาวเป็นห่วง เธอไม่อยากให้แม่และทุกคนที่บ้านกังวล จึงยอมทำตามคำแนะนำของปองขวัญแต่ โดยดี เดินมาถึงหน้าห้องพิเศษ หญิงสาวอ่านชื่อคนเจ็บที่ติดอยู่หน้าประตูห้องจนมั่นใจว่าใช่ธีร์ แต่ก็ยังยืนละล้าละลังอยู่ตรงนั้น ไม่กล้าเข้าไป

“ให้ฉันเข้าไปเป็นเพื่อนไหม”

ท่าทางของปานแก้วตา ทำให้ศิราที่เดินตามหลังมาต้อย ๆ เอ่ยปากอาสา เรื่องราวทั้งหมด หญิงสาวเล่าให้เขาฟังโดยละเอียดแล้ว แม้ความจริงปานแก้วตาคือพลเมืองดี แถมยังมีน้ำใจ ช่วยพาคนเจ็บมาส่งถึงโรงพยาบาล แต่ถึงอย่างนั้น ศิราก็ยังเกรงว่า ญาติของนายธีร์อะไรนี่ จะกล่าวหาว่าปานแก้วตาเป็นต้นเหตุ

เวลาเกิดอุบัติเหตุ คนที่เข้าไปช่วย มักตกเป็นคู่กรณี ข่าวแบบนี้มีให้เห็นอยู่ทุกบ่อย

ปานแก้วตาส่งยิ้มซีดเซียวให้ ศิราจึงย้ำคำเดิม “ให้ฉันเข้าไปเป็นเพื่อนเถอะ”

“ก็ดีเหมือนกัน” ปานแก้วตาว่า ท่าทางผ่อนคลายมากขึ้น “ขอบใจมากนะศิรา”

“ไม่เป็นไร ฉันเต็มใจ” ศิรายิ้มกระจ่างใส ดีใจที่หญิงสาวไม่ไล่ส่งให้เขากลับไปก่อน

ชายหนุ่มเดินไปเคาะประตูทันที รอเพียงไม่นานประตูห้องก็เปิดต้อนรับ ทั้งจึงคู่เดินตามกันเข้าไป นอกจากคนเจ็บที่เวลานี้นอนหลับใหลไม่ได้สติอยู่บนเตียง และมิ่งมงคลที่นั่งหน้าอมทุกข์อยู่ไม่ไกล ภายในห้องยังมีบุคคลที่ปานแก้วตาไม่รู้จัก ยืนทำหน้าเครียดเกาะขอบเตียงอยู่ด้วย

ปานแก้วตายกมือไหว้หนุ่มใหญ่ท่าทางภูมิฐานเป็นอันดับแรก ก่อนหันไปไหว้สตรีวัยกลางคนที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ กัน ส่วนศิราก็ไม่รอช้า รีบมอบกระเช้าผลไม้เยี่ยมไข้ที่เขาหอบหิ้วมา ให้ผู้อาวุโสที่สุดในห้องอย่างรู้งาน มิ่งมงคลเห็นหน้าปานแก้วตาเหมือนได้สติ รีบลุกขึ้นแนะนำหญิงสาวให้พ่อกับแม่ของธีร์ทันควัน

พอรู้ว่าหญิงสาวคือคนที่ช่วยจัดแจงพาธีร์มาส่งถึงโรงพยาบาล แม่เลี้ยงสร้อยทองก็แทบจะโผเข้าหา

“ชื่อขิมใช่ไหมลูก…” มารดาของธีร์เดินตรงเข้ามาจับมือหญิงสาว บีบเสียแน่น ละล่ำละลักบอก “ป้าขอบใจหนูมากนะที่ไม่ทิ้งตาธีร์ แถมยังมีน้ำใจจัดการเป็นธุระให้ทุกอย่าง จนลูกชายของป้ามาถึงมือหมอโดยปลอดภัย ธีร์มีบุญเหลือเกินที่ได้เจอพลเมืองดีอย่างหนู ไม่อย่างนั้นคง…”

พูดยังไม่ทันจบ สร้อยทองก็น้ำตาไหลพราก “ดูสิ ขาหักตั้งสามท่อน”

ปานแก้วตามองไปที่บนเตียงอย่างตรวจตรา เห็นสภาพคนเจ็บแล้วสงสารจับใจ

หน้าแข้งข้างขวาของเขาถูกเจาะเพื่อฝังแท่งเหล็กลึกลงไปช่วยยึดกระดูกที่หักถึงสองท่อนให้เชื่อมประสานกัน ใช่เพียงแค่นั้น ที่ปลายเท้าข้างเดียวกัน ยังมีลูกตุ้มเหล็กผูกโยงด้วยเส้นลวดขึงยาวไปถึงปลายเตียง เพื่อถ่วงน้ำหนักและป้องกันไม่ให้กระดูกขาที่หักทิ่มเข้าไปในเนื้อ

แม้จะอยู่ในอาการหลับใหลด้วยฤทธิ์ยาสลบ แต่ใบหน้าอันซีดเผือดไร้สีสันของเขา กลับแสดงชัดถึงความกังวลในจิตใต้สำนึก เพราะคิ้วเข้มที่พาดเฉียงอยู่บนดวงตาคู่นั้น ขมวดมุ่นเป็นระยะ บางคราหญิงสาวเห็นชัดว่าเขานิ่วหน้าด้วยความเจ็บปวด

“โชคยังดีที่ใส่หมวกกันน็อก และแต่งตัวรัดกุม เลยไม่มีบาดแผลตามเนื้อตัว แต่ก็นั่นแหละ หนูขิมลองดูสิลูก ธีร์คงเจ็บมาก ขนาดหลับ ยังขมวดคิ้วนิ่วหน้า ยาสลบเอาไม่อยู่…” สร้อยทองสาธยาย น้ำตาไหลออกมาเป็นสาย ขณะยื่นมือไปสัมผัสใบหน้าอันหล่อเหลาของลูกชายสุดที่รัก

น้ำตาของสร้อยทอง ทำให้ปานแก้วตาถึงกับเบือนหน้าหนี นาทีนี้เธอคิดถึงแม่เหลือเกิน

 

ปานแก้วตาใช้เวลาในห้องพิเศษอยู่ค่อนชั่วโมง แล้วจึงขอตัวกลับ พร้อมกับรับปากครอบครัวของธีร์ว่าจะหาโอกาสมาเยี่ยมอีก ยกมือไหว้ล่ำลาทุกคนเสร็จเรียบร้อย ศิราเดินนำไปก่อน ยังไม่ทันได้เปิดประตูห้อง จงรัตน์กับดวงเกษมก็ผลักประตูเข้ามาพอดี

ท่าทางที่บ่งชัดถึงความไม่พอใจของจงรัตน์ ทำให้ปานแก้วตาและศิราที่ส่งยิ้มให้ ถึงกับทำหน้าเหวอไปในทันที ก่อนขอตัวออกจากห้องไปเงียบ ๆ มิ่งมงคลเห็นเพื่อนทั้งสองแล้วดีใจใหญ่ รีบบอกให้พ่อกับแม่ของธีร์กลับไปพักผ่อนเอาแรงที่โรงแรมก่อน

หนุ่มหน้าเข้มรู้ว่า เมื่อคืนท่านทั้งสองแทบไม่ได้นอน เพราะเอาแต่นั่งลุ้นอาการของธีร์ด้วยความเป็นห่วง

ท่าทางลังเลของแม่เลี้ยงสร้อยทอง ทำให้จงรัตน์บอกทันควัน “เชื่อมิ่งเถอะนะคะคุณแม่ ที่นี่ไม่มีอะไรต้องห่วงแล้ว กลับไปพักที่โรงแรมก่อนดีกว่า อีกอย่าง รัตน์กับดวงเองก็อยู่ตรงนี้ เราทั้งสามคนจะเฝ้าดูอาการของธีร์อย่างไม่ให้คลาดสายตาเลยค่ะ”

“ขอบใจมากนะลูก ทั้งสามคนเลย” สร้อยทองหันไปยิ้มให้ แต่ยังไม่ขยับกายออกจากขอบเตียง

หญิงสาวคนเดียวในกลุ่มเห็นชัดถึงความห่วงใยนั้น จึงกล่าวย้ำอีกครั้ง หวังให้มารดาของเพื่อนสบายใจ “รัตน์รู้ค่ะ ว่าคุณแม่ยังกังวลเกี่ยวกับอาการของธีร์ เอาอย่างนี้ดีไหมคะ ตอนนี้คุณแม่กับคุณพ่อกลับไปพักก่อน ถ้าธีร์ได้สติ ตื่นขึ้นมาเมื่อไหร่ รัตน์จะรีบโทรศัพท์ไปแจ้งข่าวทันที”

“ก็ดีเหมือนกัน” พ่อเลี้ยงวีร์ บิดาของธีร์ที่นิ่งเงียบมาแต่ต้นเห็นดีด้วย หันไปบอกภรรยาด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มตามแบบฉบับคนใจเย็น “คะเนแล้ว กว่ายาสลบจะหมดฤทธิ์ คงไม่ต่ำกว่าสองชั่วโมง พ่อว่าเรากลับไปพักที่โรงแรมก่อนดีกว่านะ ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก็ยังดี”

แม่เลี้ยงสร้อยทองนิ่งคิดอยู่ชั่วครู่ ยอมตามสามีกลับโรงแรมไปแต่โดยดี ผู้ใหญ่ทั้งสองออกไปจากห้องพักฟื้นไม่ถึงนาที จงรัตน์ที่เก็บอาการคันปากมาตั้งแต่เช้า ก็โพล่งออกไปทันควัน “ให้ตายเถอะ เอาตรง ๆ เลยนะ ฉันไม่ชอบผู้หญิงคนนี้เลยจริง ๆ”

“แกจะบ้าเหรอรัตน์ นั่นแม่ไอ้ธีร์นะ” ดวงเกษมทำตาโต

“ไม่ใช่…ฉันหมายถึงผู้หญิงที่มาเยี่ยมธีร์เมื่อกี้ต่างหากย่ะ”

“เธอชื่อขิม ชื่อจริงปานแก้วตา” มิ่งมงคลบอกนิ่ง ๆ “คือคนที่ช่วยพาธีร์กับฉันมาส่งถึงโรงพยาบาล”

“ข้อนั้นฉันรู้ พอ ๆ กับรู้ว่าอุบัติเหตุทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะผู้หญิงคนนั้นนั่นแหละ” จงรัตน์หันขวับ ความหงุดหงิดตีตื้นขึ้นมาอีกระลอก พรั่งพรูสิ่งที่คิดออกมาจนหมด “ทางขึ้นเขา เปลี่ยวก็เปลี่ยว แถมมืดอีกต่างหาก คิดได้ยังไง สะเออะไปจอดรถตรงทางโค้ง”

“เพราะมันนั่นแหละ ทำให้แกต้องหักหลบไปชนต้นไม้ ทำให้ธีร์ขาหัก”

“รัตน์แกก็พูดเกินไป อย่าลืมสิ ว่าผู้หญิงคนนั้นเธอจอดรถชิดซ้ายนะ และก็ห่างจากโค้งที่แกว่าตั้งเกือบร้อยเมตร ว่ากันตามตรง ไอ้มิ่งต่างหากที่ขี่บิ๊กไบค์ตัดเลนถนน พุ่งตรงไปหารถของเธอ” ดวงเกษมพยายามแก้ต่างให้ปานแก้วตา ตามข้อมูลที่มิ่งมงคลโทรศัพท์มาเล่าให้ฟังก่อนหน้า

“จะว่าไป เราควรขอบใจเธอด้วยซ้ำ ถึงจะถูก”

จงรัตน์ทำหน้าหงิก แสดงจุดยืนชัดเจน “ไม่รู้ละ ฉันไม่ชอบ ไม่ถูกชะตา ดูหน้าก็รู้แล้วว่ามันไม่ใช่คนดี”

ดวงเกษมฟังแล้วได้แต่ถอนหายใจ ใช่แต่ปานแก้วตาคนเดียวเสียเมื่อไรที่จงรัตน์ไม่ชอบ ผู้หญิงทุกคนที่เข้าใกล้ธีร์เกินรัศมีหนึ่งศอก จงรัตน์ก็ไม่ชอบทั้งนั้น แต่ไหนแต่ไรมาแล้ว พอรู้ว่าธีร์เริ่มให้ความสนใจผู้หญิงคนไหน หญิงสาวมักจะประกาศตนเป็นศัตรูกับผู้หญิงคนนั้นอย่างไม่ไว้หน้า พร้อมสรรหาข้อเสีย มาโพนทะนาอย่างไม่มีชิ้นดี

“อย่ามองโลกในแง่ร้ายไปหน่อยเลยรัตน์ แกควรเชื่อในสิ่งที่เห็นอยู่ตรงนี้…” มิ่งมงคลที่ยามนี้ดูจะถนอมปากถนอมคำเป็นพิเศษได้ทีพูดบ้าง ดวงตาคมเข้มของเขายังจับจ้องไปที่ร่างของธีร์ที่ยังนอนหลับใหลไม่ได้สติอยู่บนเตียงกว้าง พูดถึงปานแก้วตาอย่างนึกซึ้งในน้ำใจ

“ฉันคือคนที่อยู่ในเหตุการณ์ และยืนยันได้ว่า ขิมเป็นคนดี”

“เงียบไปเลยนะมิ่ง ไม่ต้องมาออกรับแทนมัน” จงรัตน์หันไปเล่นงานมิ่งมงคลทันควัน ไม่พอใจอย่างแรงที่เพื่อนชายในกลุ่มเข้าข้างคนที่เพิ่งรู้จักอย่างปานแก้วตา “แกเองก็เหมือนกัน อย่าคิดนะว่าการมานั่งอดตาหลับขับตานอนเฝ้าธีร์ทั้งคืนทั้งวันแบบนี้ จะลบล้างความผิดของแกได้”

“ขอบอกไว้ตรงนี้ ฉันมีเรื่องที่ต้องคิดบัญชีกับแกอีกเพียบ”

“คิดบัญชีกับฉัน…” มิ่งมงคลชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง

“ก็ใช่นะสิ”

หนุ่มหน้าเข้มถอนหายใจเหนื่อยหน่าย “ทำไม ฉันไปทำอะไรให้แกไม่ทราบ”

“ไม่ต้องมาถามเลยนะว่าทำไม” จงรัตน์ทำตาขวางใส่เพื่อนชาย ร่ายยาวอย่างไม่ไว้หน้า “ไม่ใช่เพราะแกหรอกเหรอมิ่ง ที่ทำอวดเก่ง คิดว่าตัวเองเจ๋ง เป็นฮีโร่คอทองแดง ซัดเบียร์ไปตั้งหลายกระป๋อง จนสติสะตังขาดวิ่น ขับรถจูบต้นไม้ ทำให้ธีร์ต้องขาหัก”

น้ำเสียงของหญิงสาวบ่งชัดถึงความไม่พอใจ มองธีร์ที่นอนไม่ได้สติอยู่บนเตียงสลับกับมิ่งมงคลที่ยามนี้เริ่มเบลออย่างถึงขีดสุดเพราะไม่ได้นอนมาทั้งคืน แล้วยิ่งหงุดหงิด “ไหนจะเรื่องที่แกโพสเฟสบุ๊คเมื่อคืนอีก ฉันถามจริง ๆ นะมิ่ง  อะไรดลใจให้แกโพสภาพแบบนั้นลงไปวะ”

“ฉันไม่ได้ทำอะไรไม่ดีสักหน่อย แค่แต่งภาพให้มันเป็นสีขาวดำก็เท่านั้นเอง” มิ่งมงคลทำหน้าเลิกลัก รับรู้ถึงความผิดพลาดของตัวเองจึงบอกเสียงอ่อย “ตอนแรกฉันไม่ได้ตั้งใจจะโพสรูปนั้นด้วยซ้ำ แต่พอดีเมื่อคืน ตอนที่นั่งรอธีร์ออกมาจากห้องผ่าตัด แม่มันถามเรื่องที่เกิดเหตุ ฉันก็เลยให้ท่านดูรูปที่ถ่ายไว้”

“จริง ๆ นะรัตน์ สภาพของไอ้ธีร์ตอนนั้นมันแย่มาก ฉันคิดแค่ว่า ถ้าแม่ของธีร์เห็นเลือด เห็นสภาพรถที่พังยับไม่มีชิ้นดี ท่านจะตกใจ เลยแต่งภาพให้มันเป็นขาวดำซะก็เท่านั้น อีกอย่าง…ตอนนั้นมันก็เกือบจะตีหนึ่งแล้ว หลังคุยกับพ่อและแม่ของธีร์เสร็จ ฉันเองก็ทั้งเบลอทั้งง่วง”

“ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่า เผลอไปโพสรูปนั้นลงในเฟสบุ๊คตอนไหน” มิ่งมงคลหันไปส่งยิ้มแหยให้จงรัตน์ “เพราะฉันเผลอหลับไป ไม่ได้แตะสมาร์ทโฟนอีกเลย จนกระทั่งธีร์ผ่าตัดเสร็จ และเข้าห้องพักฟื้นเรียบร้อยนั่นแหละ ฉันจึงเอะใจ เปิดเข้าไปดูในเฟสบุ๊ค”

“เลยได้เห็นว่า มีคนเข้ามา R.I.P ให้ไอ้ธีร์เต็มไปหมด เพราะคิดว่ามัน…”

“ตาย” ดวงเกษมที่นั่งเงียบมาตั้งแต่ต้น โพล่งออกไปทันควัน

“ระวังปากไว้หน่อยก็ดีนะดวง”

เพื่อนสาวคนเดียวของกลุ่มหันไปจิกตาใส่ดวงเกษม แล้วถอนใจยาว สิ่งที่มิ่งมงคลเล่า มีความน่าเชื่อถืออยู่ไม่น้อย ดูจากภาพที่โพสในโซเชียล เพื่อนชายของเธอคนนี้คงเบลอจริง ๆ เพราะโพสแค่ภาพภาพเดียว ไม่ได้เขียนคำบรรยายใด ๆ สักคำ ผิดปกติวิสัยคนขี้อวดอย่างมิ่งมงคลยิ่งนัก

อันที่จริงหญิงสาวไม่ได้ใส่ใจเรื่องภาพขาวดำที่มิ่งมงคลโพสเท่าไรนักหรอก แต่สนใจเรื่อง ‘คนในภาพ’ ต่างหาก เพราะสิ่งที่จงรัตน์เห็นและไม่ชอบใจอย่างยิ่ง คือภาพที่ผู้หญิงแปลกหน้าคนนั้น ใช้สองมือประคองศีรษะธีร์ที่อยู่ในอาการสะลึมสะลือไว้กับอก

เหนือสิ่งอื่นใด แววตาของเธอคนนั้น บอกชัดว่า เป็นห่วงธีร์

“เอาน่ารัตน์ เรื่องมันก็ผ่านมาแล้ว สงสารไอ้มิ่งเถอะ อย่าไปว่าอะไรมันนักเลย ตั้งแต่เมื่อเย็นวานจนถึงตอนนี้ มันได้นอนถึงสองชั่วโมงหรือเปล่าไม่รู้ อยู่เฝ้าธีร์ตลอด” ดวงเกษมเข้าข้างมิ่งมงคล พยายามหาเหตุผลมาแก้ต่างให้ “ที่สำคัญ ตอนนี้ธีร์มันก็ปลอดภัยแล้วด้วย ฉันว่าเราควรทำใจให้สบายดีกว่านะ”

“ไม่รู้ละ ยังไงฉันก็จะถือว่า แกทำให้ธีร์เจ็บ” จงรัตน์เชิดหน้า หันไปสบตามิ่งมงคล

“แกก็เหมือนกัน” หญิงสาวเริ่มลามไปไล่บี้เอากับดวงเกษม “อย่าไปเข้าข้างมิ่งมันให้มากนัก ไม่งั้นฉันจะ…”

“แป๊บนะ…” ดวงเกษมไม่ได้สนใจในสิ่งที่เพื่อนสาวพูดเลยสักนิด หนุ่มหน้าตี๋ใส่แว่นหน้าเตอะทำหน้าเครียดขณะ กวาดสายตาไปรอบห้อง ก่อนมาหยุดที่ใบหน้าอันอิดโรยของมิ่งมงคล “มิ่ง มึงนอนเฝ้าธีร์อยู่ในห้องนี้ทั้งคืน รู้สึกว่ามีอะไร แปลก ๆ บ้างไหม”

“แปลกบ้าอะไรกันล่ะ โรงพยาบาลไหน ๆ ก็มีคนป่วยคนตายทั้งนั้นแหละ” มิ่งมงคลถอนหายใจยาว เข้าใจในสิ่งที่ดวงเกษมต้องการสื่อในทันที เขาไม่เชื่อเรื่องสิ่งลี้ลับเข้าเส้นเหมือนเพื่อนคนนี้ จึงมองทุกอย่างเป็นเรื่องปกติ “อย่ามโนให้มาก มึงก็รู้ ว่ากูไม่กลัวผี”

“กูไม่ได้พูดให้มึงกลัว กูแค่บอกว่ากูรู้สึก” ดวงเกษมยกแขนให้มิ่งมงคลดู “มึงเห็นไหมมิ่ง ขนกูลุกซู่เลย”

“พอได้แล้วดวง มึงนี่ชักจะมากไปละ ผีเผออะไรจะมาตอนสิบโมงกว่า”

ดวงเกษมไม่ยอมท่าเดียว “มึงก็เห็นนี่นาว่าขนกูลุก”

“ก็แอร์เย็นไง” จงรัตน์หยิบรีโมทเครื่องปรับอากาศขึ้นมาดู “สิบหกองศา ขนไม่ลุกก็บ้าแล้ว”

“ไม่ใช่…” ดวงเกษมตั้งท่าเถียง

“ไม่ใช่บ้าอะไร” คราวนี้มิ่งมงคลเข้าข้างจงรัตน์ “มึงใส่เสื้อแขนสั้น มันก็ต้องหนาวป่าววะ”

ดวงเกษมมองหน้าเพื่อนทั้งสองแล้วถอนหายใจยาว มองไปรอบห้องอย่างใช้ความคิด หนุ่มหน้าตี๋ลังเลอยู่ชั่วครู่ แล้วตัดสินใจเดินเข้าไปหาธีร์ที่นอนหลับใหลไม่ได้สติอยู่บนเตียง ถอดพิรอดแขนสีดำเข้มที่ใส่ติดแขนของตัวเองมาตลอดออก สวมให้เพื่อน

“แกทำอะไรน่ะดวง” จงรัตน์ถลาไปที่เตียงทันที

“แกสองคนจะหาว่าฉันงมงายก็ได้ แต่ฉันไม่สบายใจจริง ๆ” ดวงเกษมบอกหน้าเครียด

ภาพเลือนรางตรงหน้าค่อย ๆ กระจ่างชัดขึ้นทีละนิด

เมื่อตาชินกับแสงไฟสีขาวที่ส่องสว่างไปทั่วห้อง ชายหนุ่มผู้นอนยาวเพราะฤทธิ์ยาสลบมาเกือบสิบสองชั่วโมงก็ได้สติ ธีร์โฟกัสไปที่บุคคลที่นั่งอยู่ข้างเตียงและกำลังมือเขาแน่นเป็นอย่างแรก เห็นน้ำตาของมารดาที่หลั่งรินเป็นสาย น้ำตาก็ไหลออกมาเสียอย่างนั้น

“อย่าร้องไห้ ธีร์ไม่เป็นไรแล้วครับแม่” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงแหบแห้ง

สร้อยทองได้ยินแล้วถึงกับปล่อยโฮ ดีใจหาใดเปรียบที่ลูกชายตื่นจากการนอนยาว สามารถสื่อสารกับเธอด้วยประโยคที่กล่าวย้ำถึงความห่วงใย นั่นแปลว่าสิ่งที่เธอหวั่นใจ เดินทางมาไม่ถึง สร้อยทองอยากขอบคุณหมวกกันน็อก ที่ช่วยให้สมองของเขายังปกติ

เพียงเท่านี้ก็ถือว่าเป็นข่าวดีอย่างที่สุดแล้ว…

“ดื่มน้ำก่อนนะลูก” สร้อยทองลุกขึ้นหยิบแก้วน้ำที่รินรอไว้ตรงโต๊ะข้างเตียงขึ้นจ่อปากลูกชาย

ธีร์พยายามขยับตัวลุกขึ้นนั่ง จังหวะที่กำลังเหลือบตามองหลอดดูดสีฟ้าสดใสในแก้วน้ำนั่นเอง ชายหนุ่มก็ได้เห็นสภาพของตัวเองอย่างเต็มตาเป็นครั้งแรก…แท่งเหล็กที่โผล่พ้นออกมาเป็นแผงจากกระดูกหน้าแข้ง ทำให้ธีร์รู้สึกปวดหน่วง ตั้งแต่ต้นขาขวาลงไปถึงปลายเท้าขึ้นมาทันใด

ชายหนุ่มค่อย ๆ เอื้อมมือไปวางบนขาขวาด้วยอาการสั่นเทา ไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เห็นตรงหน้า จากต้นขาขวายาวลงไปจรดหน้าแข้ง เวลานี้มีขนาดใหญ่กว่าเดิมถึงสามเท่า เมื่อยาสลบหมดฤทธิ์ ความเจ็บปวดจากบาดแผลก็เข้าจู่โจมทันที…ธีร์ขยับขาขวาไม่ได้

หนำซ้ำยังรู้สึกปวดหน่วงรุนแรง ราวกับมีคนนำกระสอบทรายมาวางทับขาขวาไว้

ธีร์เจ็บจนน้ำตาไหล แต่ก็ยังไม่วายขมวดคิ้วด้วยความสงสัย เมื่อไล่สายตาลงไปถึงบริเวณใกล้หัวเข่าที่บวมเป่งเป็นสีม่วงน่ากลัว เห็นสายยางสีขาวขนาดเท่าด้ามปากกาสอดคาอยู่ ชายหนุ่มตกใจจนหน้าถอดสี เมื่อเห็นว่ามีเลือดสีแดงข้น ไหลออกมาจากสายยางเส้นนั้นตลอดเวลา

ชายหนุ่มยังได้รู้อีกว่า เวลานี้ เขามีทั้งสายน้ำเกลือ และสายท่อปัสสาวะสอดคาอยู่

สร้อยทองนั่งสังเกตอาการของลูกชายมาตลอด รีบอธิบายทันใด “ตอนนี้หมอผ่าตัดและจัดกระดูกตรงหน้าแข็งที่หักให้ธีร์เรียบร้อยแล้วนะลูก ไม่มีอะไรน่าห่วง รอแค่อีกไม่เกินสามเดือนให้กระดูกติดกันเรียบร้อย หมอก็จะถอดแผงเหล็กนั่นออก ธีร์ก็จะหายเป็นปกติ”

“ส่วนขาที่หัก…” มารดาของธีร์เว้นจังหวะ “หมอบอกว่ายังผ่าตัดตอนนี้ไม่ได้ ต้องรอให้อาการของแผลผ่าตัดที่หน้าแข้งดีขึ้นก่อน ตอนนี้หมอก็เลยต้องเจาะเข้าไปตรงหัวเข่าของลูก ใส่สายยางเข้าไป เพื่อระบายเลือดเสียที่คั่งอยู่ในขาของลูกออกไปก่อน”

ไม่มีคำพูดใด ๆ เล็ดลอดออกมาจากปากของธีร์ จะมีก็น้ำตาที่พรั่งพรูออกมาโดยไร้เสียงสะอื้น

“แม่รู้ว่าธีร์เจ็บ และกลัว…” สร้อยทองยื่นมือไปสัมผัสใบหน้าอันซีดเซียวของธีร์ เธอสัมผัสได้ถึงความกังวลในแววตาของลูกชายหัวแก้วหัวแหวน ถ่ายทอดความรักและเป็นห่วงออกไปทั้งน้ำตา “ขอให้เชื่อแม่เถอะนะลูก ธีร์จะต้องหาย และกลับมาเดินได้อีกครั้งแน่ ๆ”

 

ล่วงเข้าสู่วันที่สี่

ธีร์ยังคงนอนยาวช่วยเหลือตัวเองไม่ได้อยู่บนเตียงพยาบาล ถึงยามนี้บาดแผลทั้งที่หน้าแข้งและตรงขาขวา ได้เวลาสำแดงฤทธิ์อย่างเต็มที่ ความเจ็บปวดที่พุ่งจู่โจมในทุกครั้งที่ขยับตัว สร้างความทรมานแกมหงุดหงิดใจให้ไม่น้อย ในยามที่เจ็บเกินจะทนไหว ชายหนุ่มถึงขนาดสติแตกโวยวายร้องขอยาแก้ปวดจากพยาบาลมากิน

ชายหนุ่มยังปรับตัวไม่ได้ แต่ก็พยายามทำใจยอมรับ และมองหาข้อดีของการประสบอุบัติเหตุในครั้งนี้ หากไม่นับพ่อกับแม่ที่มาอยู่โยงเฝ้าไข้คอยดูแลไม่ห่าง ทั้งมิ่งมงคลและดวงเกษมก็ไม่เคยละทิ้ง อาสาสลับกันมานอนค้างเป็นเพื่อนที่โรงพยาบาล รวมไปถึงเพื่อนสาวคนเดียวในกลุ่มอย่างจงรัตน์ก็แวะมาให้กำลังใจธีร์หลังเลิกเรียนทุกวัน

แต่ใจของธีร์ก็ยังไม่วายคิดไปถึงใครอีกคน หญิงสาวดวงตากลมโตที่ช่วยชีวิตเขา

“มิ่ง…ผู้หญิงคนนั้น เธอมาเยี่ยมบ้างไหม” ธีร์อดไม่ได้ที่จะถามถึงปานแก้วตา

“ขิมนะเหรอ มาสิ มาตั้งแต่วันแรกเลยด้วยซ้ำ แต่ตอนที่เธอมา มึงคงเมายาสลบ เอาแต่นอนอืดไม่ได้สติ เลยจำไม่ได้ว่าเธอมาเยี่ยม” มิ่งมงคลเงยหน้าขึ้นจากจอสมาร์ทโฟน หันไปมองหน้าเพื่อน ไม่ได้เล่าให้ธีร์ฟังว่าหลังจากที่ปานแก้วตากลับไป จงรัตน์นินทาอะไรหญิงสาวบ้าง ไม่อยากให้เพื่อนเป็นกังวล

หนุ่มหน้าเข้มตาเป็นประกาย แปลกใจที่จู่ ๆ ธีร์ก็ถามถึงปานแก้วตา “อย่าบอกนะว่ามึงถูกใจขิม”

“พอเลยมึง ไปกันใหญ่แล้ว…” ธีร์โพล่ง “กูแค่อยากจะขอบใจเธอก็เท่านั้น”

ธีร์ได้พบกับวิสัญญีแพทย์หรือหมอดมยาในบ่ายวันนั้น

เธอมาพร้อมกับแฟ้มเอกสารแผ่นบางในมือ ชายหนุ่มคำถามของหมอดมยาตามจริง ก่อนจะได้คำตอบว่า อาการโดยรวมของเขาถือว่าปกติดี เธอแนะนำให้ธีร์ทำตัวตามสบาย อีกไม่เกินเจ็ดวันต่อจากนี้ หมอจะทำการผ่าตัดใส่เหล็กครอบกระดูกที่ขา ซึ่งในขั้นตอนนั้น ธีร์จะต้องดมยาสลบอีกครั้ง

“หายไว ๆ นะคะ” หมอดมยาว่า ทำท่าจะผละออกไป

“เดี๋ยวครับ…” หนุ่มหน้าใสเรียกไว้ “คนที่ดมยาสลบ มีโอกาสที่จะได้รับผลข้างเคียงจากยาไหมครับ”

หมอดมยายิ้ม “ถ้าน้องหมายถึง อาการง่วงซึมสะลึมสะลือ วิงเวียนศีรษะอยู่ตลอด ปวดมวนในท้อง คลื่นไส้ อยากอาเจียนละก็ ใช่ค่ะ นั่นคือผลข้างเคียงจากการได้รับยาสลบก่อนการผ่าตัด แต่อาการเหล่านี้จะหายไปเองเมื่อยาสลบหมดฤทธิ์ และกินยาที่หมอให้จนครบ”

“ครับ วันนี้ผมไม่มีอาการอะไรเลย แค่เจ็บแผล” ชายหนุ่มก้มลงมองแผลตัวเอง

“นี่ก็เป็นผลข้างเคียงจากยาสลบเหมือนกันค่ะ เพราะร่างกายของน้องกำลังบอกว่ายาสลบหมดฤทธิ์แล้ว จึงเริ่มกลับมารู้สึกตัว และรู้สึกเจ็บปวดบริเวณแผลที่ได้รับการผ่าตัด…” วิสัญญีแพทย์อธิบายอย่างใจเย็น “แต่อาการจะดีขึ้นตามลำดับ ไม่มีอะไรน่าห่วงค่ะ”

ธีร์นึกขึ้นได้ “มีอีกเรื่องนึงครับ คือผมไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะผลข้างเคียงจากยาสลบด้วยหรือเปล่า”

“ไหนลองเล่าให้ฟังสิคะ น้องเป็นอะไร” หมอดมยาขยับปากกาในมือ

“คืนแรกหลังการผ่าตัด ผมเหมือนเห็นภาพหลอนครับ” ดวงตาของชายหนุ่มจับจ้องไปที่ใบหน้าของคู่สนทนา

“น้องเห็นอะไรคะ” ท่าทางของหมอดมยาบ่งชัดว่าสนใจในสิ่งที่เขากำลังเล่า

“ผมไม่แน่ใจว่าตอนนั้นมันกี่โมง แต่คืนแรกที่ออกมาจากห้องผ่าตัด และได้สติในห้องนี้ ภาพแรกที่เห็นคือ มีคนที่ผมไม่รู้จัก มายืนรอเต็มข้างเตียงไปหมด…” ธีร์เล่าทวนความหลัง หน้าตาจริงจัง “ผมพยายามฟังว่าเขาพูดอะไรกันท่าทางเคร่งเครียด แต่แปลกที่ผมกลับไม่ได้ยินเสียงพวกเขาเลย”

“พวกเขาเอาแต่จ้องมาที่ผมเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ มีอยู่คนนึงเอามือปัดลูกตุ้มเหล็กที่ห้อยอยู่ปลายเตียงของผมด้วย” ชายหนุ่มเล่าไปมองขาตัวเองไป “ผมกำลังจะตะโกนห้าม นายคนนั้นก็พุ่งตรงเข้ามาหา ท่าทางของเขาดูดุดันน่ากลัวมาก ผมไม่รู้จะทำยังไง เลยได้แต่ยกมือขึ้นปิดหน้า”

“พอลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง พวกเขาเหล่านั้นก็ไม่อยู่แล้ว”

หมอดมยาฟังแล้วขมวดคิ้วชนกันทันที จากการซักประวัติก่อนผ่าตัด คนไข้รายนี้ไม่มีประวัติอาการทางจิต ไม่แพ้ยาสลบ ร่างกายแข็งแรงมาก ไม่สูบบุหรี่ และในระหว่างที่ประสบอุบัติเหตุก็ไม่ได้ดื่มแอลกอฮอล์ จึงไม่น่าจะเป็นไปได้ว่าจะมีอาการแพ้ยา

อีกทั้งในระหว่างที่แพทย์ทำการผ่าตัด เธอเองก็คอยควบคุมอาการอย่างใกล้ชิด เพื่อให้เขาได้รับยาสลบอย่างต่อเนื่องและปลอดภัย จริงอยู่ ในคนไข้บางราย การใช้ยาสลบอาจส่งผลกระทบต่อความจำ สมาธิ และปฏิกิริยาตอบสนองต่าง ๆ ชั่วคราว แต่เพียงไม่นาน อาการเหล่านั้นก็จะหายไป และกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ

ในกรณีของชายหนุ่มรายนี้ เธอเพิ่งเคยเจอ “น้องเคยเห็นภาพแบบนี้มาก่อนไหมคะ”

“ไม่เคยครับ” ธีร์ตั้งท่ารอคำตอบ

“น่าจะเป็นผลข้างเคียงของยาสลบค่ะ ทำให้น้องเห็นภาพหลอน” หมอดมยาวินิจฉัย

“ผมก็คิดแบบนั้นเหมือนกันครับ” ธีร์ยิ้ม สบายใจที่สุดท้ายเขาก็ได้คำตอบ

 

การผ่าตัดดามกระดูกที่ขาข้างขวาผ่านพ้นไปด้วยดีในอีกหกวันต่อมา ธีร์ได้ชื่อว่าเป็นมนุษย์ขาเหล็กโดยสมบูรณ์นับตั้งแต่นั้น เช่นเคย ฤทธิ์ยาสลบที่ได้รับก่อนการผ่าตัดครั้งที่สอง ทำให้ชายหนุ่มนอนยาวไม่ได้สติอยู่บนเตียงพยาบาลยาวนานหลายชั่วโมง

ล่วงเลยเข้าสู่เวลาสามนาฬิกาของวันใหม่ ในขณะที่ผู้คนต่างหลับใหลเอาแรง ไม่เว้นแม้แต่หนุ่มขี้เซาอย่างดวงเกษมที่คืนนี้อาสามานอนเฝ้าไข้ก็ยังหลับเป็นตาย ธีร์สะลืมสะลือลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อรู้สึกว่าเตียงของเขาถูกเขย่าอย่างแรง จนถุงน้ำเกลือที่ห้อยอยู่แกว่งไกวไปมา

ชายหนุ่มยกมือขวาขึ้นขยี้ตา แล้วมองฝ่าความมืดไปที่ปลายเตียง…วัยรุ่นกลุ่มนั้นอีกแล้ว!

‘ภาพหลอนจากยาสลบ’ สติที่มีอยู่สั่งการให้ธีร์บอกตัวเองเช่นนั้น แล้วหลับตาลง หวังให้ภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้าเป็นแค่ความฝัน แต่แล้วชายหนุ่มก็ต้องลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อได้ยินเสียงห้าวหาญแกมหงุดหงิดของหนึ่งในกลุ่มวัยรุ่นที่ยืนอยู่ปลายเตียง บอกอย่างหมายมาด

“มันฟื้นขึ้นมาละ กูช้าไม่ได้แล้ว”



Don`t copy text!