นายหายนะ บทที่ 4 : กลัวกลางคืน

นายหายนะ บทที่ 4 : กลัวกลางคืน

โดย : น้ำน่าน

Loading

เตรียมพบกับ #นายหายนะ ของ #น้ำน่าน ฉบับรวมเล่ม ทั้งในรูปแบบหนังสือและอีบุ๊ก #พร้อมตอนพิเศษที่ไม่เคยเผยแพร่ที่ไหนมาก่อนได้ที่บูธ CC 05 ของ GROOVE PUBLISHING ในงานมหกรรมหนังสือฯ ระหว่าง 30 กันยายน ถึง 11 ตุลาคม 63 รวมถึงช่องทางออนไลน์ของทาง GROOVE 

ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้เร็วๆ นี้ ที่แฟนเพจ GROOVE PUBLISHING

***************************

– 4 –

สนับสนุนอ่านเอาด้วยการสั่งซื้อหนังสือ “ในสวนอักษร” คลิกที่นี่

เพิ่งจะหกโมงเย็น แต่ดวงตะวันตอกบัตรเลิกงานไปแล้วเรียบร้อย

น่านเป็นเมืองกลางหุบเขา อากาศจึงหนาวทุกปี ยิ่งปีไหนหน้าฝนมีน้ำมาก ทำนายได้เลยว่า อากาศจะยิ่งหนาวจัด ถึงขนาดบางปีมีคนหนาวตายเลยก็มี บ้านหลังใหม่บนที่ดินผืนงามติดแม่น้ำน่านหลังนี้ของปานแก้วตา อยู่ห่างจากบ้านหลังเดิมที่เปิดเป็นร้านน้ำเงี้ยวพอสมควร

ไม่ใช่บ้านที่หญิงสาวและครอบครัวอยู่มาแต่เดิม แต่เพิ่งมาสร้างหลังจากที่บิดาเสียชีวิตได้ไม่นาน

ตอนที่ตัดสินใจปลูกบ้านใหม่ขึ้นที่นี่ เธอและพี่สาวคิดกันแต่เพียงว่า อยากให้มารดาที่ไม่สบายหนัก เพราะตรอมใจจากการสูญเสียคู่ชีวิตที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา ได้ออกจากสถานที่ซึ่งมีผู้คนพลุกพล่านและสภาพแวดล้อมเดิม ๆ มาพักฟื้นในที่อากาศดี ๆ

ที่สำคัญ หญิงสาวไม่อยากให้แม่ไม่สบายใจ เวลาที่เห็นปองขวัญปะทะคารมกับ ‘เพื่อนบ้าน’ นิสัยเสียที่ตั้งตนเป็นปฏิปักษ์กับครอบครัวของเธอมาตลอดสิบกว่าปี ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เจ้าของร้าน ‘เมืองน่านหมูกระทะ’ ที่อยู่ตรงข้ามร้านน้ำเงี้ยวของครอบครัวปานแก้วตานั่นเอง

ในฤดูกาลท่องเที่ยวของทุกปี เมืองน่านซึ่งได้ชื่อว่าเป็นคู่แฝดของหลวงพระบาง มักผู้คนหลั่งไหลมาเยือนไม่ขาดสาย ‘ร้านน้ำเงี้ยวครูมวล’ พลอยได้อานิสงส์ไปด้วย ลูกค้าที่เข้าร้านปานแจกฟรี ทำให้พี่สาวและพี่เขยของเธอเหนื่อยหนักเป็นพิเศษ เรียกได้ว่าแทบกินนอนอยู่ที่ร้านเลยก็ว่าได้

นึกไปถึงอาการของแม่ หญิงสาวก็ได้แต่ถอนหายใจ สามปีก่อนหลังจากที่ท่านล้มหมอนนอนเสื่อช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ทั้งเธอและพี่สาวเพียรพาไปรักษากับหมอมาแล้วทั่วสารทิศ ทั้งยังจ้างนักกายภาพบำบัดจากโรงพยาบาลน่านมาดูแลอย่างใกล้ชิด แต่อาการกลับไม่ดีขึ้น

ดวงตาของแม่เศร้าหมอง กินข้าวนับคำได้ ผอมลงทุกวัน จนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก เป็นคนไข้ติดเตียงที่แขนขาไร้เรี่ยวแรง แล้วจู่ ๆ ก็พูดไม่ได้ขึ้นมาเสียอย่างนั้น แม้ครอบครัวของปานแก้วตาจะไม่เดือดร้อนเรื่องค่าใช้จ่ายในการรักษา เพราะค่อนข้างมีฐานะพอสมควร แต่มันคงจะดีกว่า หากแม่จะลุกขึ้นมากินข้าวกินยา พูดคุยกับเธอ

ไม่ใช่ได้แต่นอนกรอกตาไปมา เหมือนทุกวันนี้

 

มองจากระเบียงหน้าบ้าน น้ำน่านยามนี้ มีกลุ่มหมอกสีขาวคลี่คลุมบางเบา ดูลึกลับและน่าค้นหา…

“เย็นมากแล้ว มานั่งตากหมอกอะไรอยู่ตรงนี้ เดี๋ยวก็ไม่สบายหรอก”

น้ำเสียงคุ้นหูของพี่สาว เรียกสติให้ปานแก้วตาหันขวับ ถามอย่างแปลกใจ “ทำไมวันนี้พี่ขวัญกลับเร็วคะ”

“ไม่เร็วหรอก นี่ก็จะทุ่มแล้ว” ปองขวัญกระชับเสื้อกันหนาวเข้าตัว แล้วนั่งลงบนเก้าอี้อีกตัวที่ว่างข้าง ๆ น้องสาว เล่าไปยิ้มไป “วันนี้ขายดีมาก พี่ทำน้ำเงี้ยวสี่หม้อใหญ่ ไม่คิดว่าจะหมด แต่ก็หมด ลูกค้าที่มาหลังห้าโมงบ่นกันใหญ่ ไม่เหลืออะไรให้กินสักอย่าง”

“รสมือการทำน้ำเงี้ยวของพี่ขวัญอร่อย สมกับตำแหน่งผู้สืบทอดอันดับหนึ่งของแม่” ปานแก้วตาชมพี่สาวจากใจจริง ปองขวัญเก่งด้านการบ้านการเรือน ถอดแบบวิชาการทำอาหารมาจากมารดา ต่างจากเธอที่ไม่มีหัวในเรื่องการทำกับข้าวเลยแม้แต่น้อย

“ถ้าเป็นขิมทำนะ คงเหลือบานเบอะ” หญิงสาวถามถึงพี่เขย “ว่าแต่พี่ตั้งไปไหนเสียล่ะคะ ขิมไม่เห็นมาพร้อมกัน”

“ตั้งขับรถไปส่งลุงตุลย์กับป้าอบไหว้พระที่อำเภอท่าวังผาตั้งแต่บ่ายแล้ว ข่าวว่าจะแวะหลายวัดอยู่เหมือนกัน กว่าจะกลับถึงบ้าน ก็คงดึก” ปองขวัญเล่าถึงภารกิจในวันนี้ของสามีให้น้องสาวฟัง “ก่อนไป ป้าอบกับลุงตุลย์แวะมาคุยกับแม่อยู่นานเหมือนกัน โดยเฉพาะป้าอบ ทำกับข้าวเมนูโปรดใส่ปิ่นโตมาให้แม่ด้วย”

ปานแก้วตาพยักหน้า ลุงตุลย์กับป้าน้ำอบนับว่าเป็นญาติผู้ใหญ่ที่เธอและพี่สาวให้ความเคารพรัก ไม่ต่างจากพ่อกับแม่แท้ ๆ ของตัวเอง เพราะนอกจากท่านทั้งสองจะมีศักดิ์เป็นลุงกับป้าของตั้งตระการ ป้าน้ำอบยังเป็นเพื่อนสนิทของมารดาที่คบหากันมายาวนานตั้งแต่เด็กอีกด้วย

“พูดถึงเรื่องวัด อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันเกิดแม่แล้ว เราพาท่านไปทำบุญดีไหมคะ” ปานแก้วตานึกขึ้นได้ เอ่ยปากปรึกษาพี่สาว “ขิมไม่อยากให้แม่อุดอู้อยู่แต่ในบ้าน อยากพาแม่ไปเปิดหูเปิดตาบ้าง ไปที่วัดพระธาตุช้างค้ำก็ได้ เมื่อก่อนแม่กับพ่อชอบไปทำบุญที่วัดนี้บ่อย ๆ”

“ชวนลุงตุลย์กับป้าอบไปด้วย แม่จะได้ดีใจ ที่วันคล้ายวันเกิดปีนี้ มีแต่คนที่แม่รักไปร่วมทำบุญ”

“เอาสิ รถเข็นเราก็มี พาแม่ไปไหว้พระ ท่านจะได้สบายใจ” ปองขวัญเห็นด้วย มองเหม่อออกไปที่สายน้ำเบื้องล่าง ถอนหายใจยาว กว่าสามปีที่ดูแลมารดามาอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง หญิงสาวได้คำตอบว่า เธอพึ่งพาหมอแผนปัจจุบันได้ไม่เต็มที่เท่าไรนัก

จริงอยู่ เธอเป็นคนยุคใหม่ เชื่อในสิ่งที่วิทยาศาสตร์สามารถพิสูจน์ได้ แต่ก็ไม่เคยลบหลู่ดูแคลนคนยุคเก่าที่มีชุดความเชื่อแตกต่างจากตัวเอง ในกรณีของแม่ เมื่อรักษาด้วยการแพทย์แผนปัจจุบันอย่างเต็มความสามารถไปจนสุดทางแล้ว แต่อาการไม่ดีขึ้น หากมีทางเลือกอื่นที่จะทำให้แม่ดีขึ้น ก็ควรจะลองดู

ปองขวัญนิ่งเงียบไปนาน จนปานแก้วตาต้องหันไปถามด้วยความเป็นห่วง “พี่ขวัญ เหนื่อยไหม”

“พี่ยังไหว สบายมาก” ปองขวัญตอบทันควัน

“รอขิมอีกนิดนึงนะคะ” ปานแก้วตาให้คำมั่น “ขิมสัญญาว่าจะกลับมาช่วยพี่ขวัญ”

“จ้า…” ปองขวัญส่งยิ้มสว่างใสให้น้องสาว น้ำเสียงตื้นตันใจ “พี่รู้ ว่าขิมเป็นห่วงแม่ และอยากช่วยพี่ แต่ตอนนี้พี่ไม่อยากให้ขิมเครียด อยากให้ใช้เวลาในช่วงโค้งสุดท้ายของการเรียนในมหาวิทยาลัยให้เต็มที่มากกว่า ไม่ต้องกังวล เชื่อพี่ ทั้งเรื่องร้านและที่บ้าน พี่จัดการได้”

“ตกลงค่ะ ขิมจะเชื่อพี่ขวัญ จะตั้งใจเรียน และขยันให้สุด ๆ ไปเลย”

“ดีมาก” พี่สาวว่า แล้วเปลี่ยนเรื่องเอาดื้อ ๆ “เออ แล้วนี่มีแฟนกับเขาหรือยังเนี่ย”

“ไม่มีค่ะ คนธรรมดาอย่างขิมหาได้ทั่วไป ใครจะมาสน” ปานแก้วตาตอบโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด

ปองขวัญมองปากรูปกระจับสลับกับดวงตากลมโตฉายแววซุกซนขี้เล่นของน้องสาวแล้วยิ้ม ปานแก้วตาชอบถ่อมตัวมาแต่ไหนแต่ไร และชอบคิดว่าตัวเอง ‘ดูธรรมดา’ ทั้งที่ความจริงแล้วน้องสาวของเธอคนนี้จัดว่าเป็นผู้หญิงที่มีเครื่องหน้าสวยมากคนหนึ่ง

ปานแก้วตามีใบหน้าเรียวเล็ก จมูกโด่งเชิดสวย และมีรอยยิ้มพิมพ์ใจที่เปี่ยมเสน่ห์ยิ่งนัก น้องสาวของเธอยังโชคดีที่ได้ความขาวผ่องของผิวพรรณถอดแบบมาจากแม่ แม้ไม่ขาวถึงขนาด ‘มีออร่า’ เหมือนดาราในโทรทัศน์ แต่เมื่อบวกกับรูปร่างอันผอมเพรียวและผมยาวดำขลับถึงกลางหลัง ยามไปปรากฏตัวที่ใดก็เรียกความสนใจจากใครต่อใครได้มากพอดู

น้องสาวของเธอดูโดดเด่นขนาดนี้ เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีหนุ่ม ๆ มาสนใจ

“คนที่ชื่อศิราล่ะ” ปองขวัญมองน้องสาวยิ้ม ๆ “พี่ก็นึกว่าเขาเป็นแฟนขิมซะอีก”

“พี่ขวัญรู้จักศิราด้วยเหรอคะ” ปานแก้วตาแปลกใจ ลืมตอบคำถามไปเสียสนิท

“รู้สิ คนที่มากดไลค์ในเฟสบุ๊คให้ขิมตลอดไง แต่ช่วงหลัง ๆ เหมือนจะเปลี่ยนไปกดหัวใจให้นะ ทุกโพสเลย” ปองขวัญแซวน้องสาว บอกรูปพรรณสัณฐานของศิราได้ตรงเป๊ะ ราวกับจำได้ขึ้นใจ “ศิราคนตัวสูง หน้าคม จมูกโด่ง ท่าทางดูใจดีคนนั้น จำง่ายจะตาย”

“เขาอยู่กลุ่มเดียวกับขิมใช่ไหม ช่วงนี้ตัวติดกันเป็นตังเมเลยนี่ พี่เห็นไปไหนด้วยกันตลอด” ปองขวัญบอกกล่าวยาวเหยียด ท่าทางของเธอบ่งชัดว่าใส่ใจความเคลื่อนไหวของหนุ่ม ๆ ในวงแวดล้อมใกล้ตัวน้องสาว “วันก่อน พี่ตั้งของขิมยังเคยพูดกับพี่เลยว่า นายคนนี้ท่าจะชอบเราเอาการอยู่”

“ไม่ใช่นะคะ ศิราเป็นเพื่อน” ปานแก้วตาปฏิเสธทันที

“ดูจากที่นายศิรามาตอบคอมเม้นเวลาขิมโพสอะไรในเฟสบุ๊ค พี่เห็นด้วยกับพี่ตั้งนะว่าเขาชอบขิม” ปองขวัญว่า ใบหน้ายังแต้มยิ้ม “อย่างเมื่อเช้า ตอนที่ขิมโพสรูปรถในเฟสบุ๊ค แล้วเขียนแคปชั่นว่า จะกลับบ้าน เขาเป็นคนแรกเลยนะที่มาเม้น ให้ขับช้า ๆ ระวังหมอก”

“นี่พี่ขวัญแอบไปส่องเฟสขิมทุกโพสเลยเหรอคะ” ปานแก้วตาแกล้งทำตาโต “รู้ทุกอย่างเลย”

“ไม่ขนาดนั้นหรอก แค่ช่วงที่พี่ว่างเท่านั้นแหละ แต่พี่กดติดตามไว้ไง เวลามีความเคลื่อนไหวอะไรในเฟสขิม พี่ก็จะเห็น” ปองขวัญหัวเราะร่วน มองปานแก้วตาอย่างนึกเอ็นดู “ทำไงได้ละ พี่มีน้องสาวอยู่คนเดียวนี่นา เป็นธรรมดาที่ต้องหวงกันหน่อย”

“สรุปว่าไง นายศิรา” พี่สาวยังไม่วายถาม

“เพื่อนกันค่ะ ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้นจริง ๆ” ปานแก้วตาย้ำคำเดิม

“จ้ะ เพื่อนก็เพื่อน…” เห็นท่าทีจริงจังของน้องสาว ปองขวัญจึงตัดสินใจบอกในสิ่งที่เธอคิดมาตลอด “แต่ว่ากันตามตรง ตอนนี้ถ้าขิมจะมีแฟน พี่ก็ไม่ห้ามนะ ตรงกันข้ามพี่กลับเห็นดีเสียด้วยซ้ำ ถ้าขิมจะมีใครอีกคนที่นอกเหนือจากพี่กับแม่ ไว้ให้คิดถึง คอยเป็นห่วงเป็นใย ให้กำลังใจ ให้คำปรึกษา”

ปานแก้วตาแกล้งทำเสียงน้อยอกน้อยใจ “พี่ขวัญพูดเหมือนกับว่า อยากให้ขิมพ้นอกไปไกล ๆ อย่างนั้นแหละ”

“พี่ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นสักหน่อย” ปองขวัญว่า “ขิมจำได้ใช่ไหม พี่กับตั้ง รู้จักกันมาตั้งแต่พี่อายุสิบเจ็ด”

“จำได้สิคะ” ปานแก้วตาบอกทันควัน จำได้ดีทีเดียวว่ากว่าปองขวัญจะยอมตกลงคบหาเป็นแฟนกับหนุ่มกรุงพลัดถิ่นอย่างตั้งตระการ พี่เขยของเธอในวันนี้ ใช้เวลาและความพยายามมากถึงแปดปีเต็ม “พี่ตั้งรักพี่ขวัญมาก ขิมถึงชื่นชมพี่ตั้งมาจนถึงทุกวันนี้ไงคะ ว่าเป็นที่สุดของผู้ชายผู้มีหัวใจมั่นคง”

ปองขวัญยิ้ม เมื่อนึกย้อนไปถึงเรื่องราวแต่หนหลัง “ขิมอยู่ในช่วงเหตุการณ์สำคัญในชีวิตของพี่กับตั้งมาโดยตลอด คงเห็นว่ากว่าที่เราจะได้แต่งงานกัน มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ต้องฝ่าฟันอุปสรรคสารพัด ทั้งทัศนคติในการใช้ชีวิต พื้นฐานการศึกษา ความต่างของครอบครัว รวมไปถึงระยะทางที่ไกลกัน ถ้าพี่กับตั้งถอดใจไปตั้งแต่ตอนนั้น เราสองคนก็คงไม่มีวันนี้”

“พี่แค่อยากจะบอกขิมเท่านั้นแหละว่า ควรให้โอกาสตัวเอง ในทุก ๆ เรื่อง”

“เรื่องของพี่ขิมกับพี่ตั้ง บอกให้ขิมรู้ค่ะว่า ความรักเอาชนะทุกสิ่ง…” สาวดวงตากลมโตหันไปหาพี่สาว “ขิมเข้าใจค่ะ ว่าพี่ขวัญเป็นห่วง กลัวว่าขิมจะปิดกั้นตัวเอง ไม่ยอมมีใคร ขิมไม่ได้ปิดโอกาสตัวเองนะคะ เพียงแต่ว่าช่วงนี้มีเรื่องที่สำคัญกว่าให้ต้องคิดต้องตัดสินใจก็เท่านั้นเอง”

“ตอนนี้เรื่องหัวใจไม่ได้อยู่ในสมองของขิมเลยค่ะ คิดแต่เพียงว่าอยากเรียนให้จบ และกลับมาช่วยพี่ขวัญดูร้าน ดูแลแม่ เท่านั้นจริง ๆ” ปานแก้วตาบอกความในใจ “เรื่องระหว่างขิมกับศิรายิ่งแล้วใหญ่ ไม่มีทางเป็นอย่างอื่นไปได้เลย นอกจากเพื่อน”

“ไม่ใช่ศิราไม่ดีนะคะ ศิราเป็นคนดีมากค่ะ ช่วยขิมหลายอย่าง ขิมซึ้งในน้ำใจเขา” ปานแก้วตาถอนหายใจ ระบายความรู้สึกออกมาอีกระลอก “ขิมรู้นะคะว่าศิราคิดยังไง ยิ่งในช่วงหลัง ๆ ขิมยิ่งเห็นความพยายามของเขา แต่ก็นั่นแหละค่ะ ไม่รู้ทำไม ขิมไม่เคยอินไปกับสิ่งที่ศิราทำให้เลย”

“บางครั้ง ออกจะรำคาญเสียด้วยซ้ำ” หญิงสาวเสียงอ่อย

ปองขวัญฟังแล้วหัวเราะ “แปลว่าคนนี้ไม่ใช่”

“คงงั้นมั้งคะ” ปานแก้วตาเห็นด้วย แล้วถามกลับ “แล้วเราจะรู้ได้ยังไงคะว่าคนไหนใช่หรือไม่ใช่”

“เรื่องแบบนี้พี่ตอบไม่ได้หรอก ไว้วันนึงขิมเจอคนที่ใช่ หัวใจขิมจะตอบได้เอง”

ปานแก้วตาคิดตามที่พี่สาวบอกแล้วพลันตกใจตัวเอง ที่จู่ ๆ ภาพของใครคนหนึ่งก็แวบเข้ามาในความรู้สึก นับตั้งแต่พบกันครั้งแรกถึงวันนี้ก็เกือบเดือนเข้าไปแล้วที่ภาพของเขาติดตรึงอยู่ในความทรงจำ ภาพของผู้ชายขาหัก เนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดแผลและเลือด นอนหายใจรวยระรินอยู่ในอ้อมแขนของเธอ

“จริงสิ พี่ว่าจะถามหลายครั้งแล้ว ขิมได้ไปเยี่ยมเขาบ้างหรือเปล่า” จู่ ๆ ปองขวัญก็โพล่งถาม

“เยี่ยมใครคะ” ปานแก้วตายังงง

“คุณคนนั้นไง คนที่ขิมเคยช่วยพาเขาไปส่งโรงพยาบาล ชื่ออะไรนะ…” พี่สาวนิ่งคิด “พี่นึกออกละ ชื่อธีร์”

“เคยไปครั้งนึงค่ะ แต่ว่านานมาแล้ว” ปานแก้วตาบอกเสียงอ่อย “ช่วงนี้ขิมไม่ค่อยว่าง ก็เลย…”

“ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรงก็หาโอกาสไปเยี่ยมเขาบ้างนะ พี่ว่าเขาน่าจะต้องการกำลังใจ”

เพราะแข้งและขาข้างขวาที่หักถึงสามท่อน

ทำให้ธีร์นอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลนานกว่าผู้ป่วยอุบัติเหตุคนอื่น ๆ เกือบเดือนที่ได้แต่นอนอยู่บนเตียง แม้ว่าอาการของชายหนุ่มจะดีขึ้นตามลำดับ บาดแผลทั้งสองตำแหน่งตัดไหมออกแล้วเรียบร้อยก็จริง ทว่าแผงเหล็กและเฝือกที่หน้าแข้งยังคงอยู่ ต้องใช้เวลาอีกไม่ต่ำกว่าหกเดือนถึงเอาออกได้

ข่าวดีของวันนี้ คือผลเอกซเรย์ที่บอกชัดว่า แข้งและหาที่เคยหัก บัดนี้ร่างกายเริ่มมีการสร้างเนื้อกระดูกขึ้นมาใหม่แล้วเรียบร้อย แม้ว่าจะยังติดกันไม่สนิทดี แต่หมอยืนยันว่ากระดูกไม่เคลื่อนที่ไปจากเดิม อีกทั้งเหล็กที่ใส่ไว้ข้างในก็ปกติดี ธีร์ยิ่งดีใจเข้าไปใหญ่ ที่วันนี้หมออนุญาตให้พ่อกับแม่พาเขานั่งรถเข็นลงไปทำกายภาพบำบัดเป็นครั้งแรก

นั่นหมายความว่า อีกไม่นานแล้ว ธีร์จะได้กลับบ้าน…

สองชั่วโมงในห้องกายภาพบำบัด ธีร์ได้รับคำแนะนำเรื่องการดูแลสุขภาพและวิธีทำกายภาพบำบัดที่ถูกต้องโดยมีไม้ค้ำยันเป็นอุปกรณ์ช่วย จนเข้าใจแจ่มแจ้ง ครั้นเมื่อเวลาล่วงเลยเข้าสู่ช่วงบ่าย นักกายภาพบำบัดจึงอนุญาตให้เขากลับขึ้นมาพักผ่อนในหอผู้ป่วยตามเดิม

การได้ลองเอาเท้าแตะพื้นลงน้ำหนักเป็นครั้งแรกในรอบหนึ่งเดือน ทำให้ชายหนุ่มมีอาการปวดหน่วงบริเวณบาดแผล จึงตั้งใจว่าหลังกินยาบรรเทาปวดแล้ว จะงีบเอาแรงสักชั่วโมง แต่ธีร์กลับไม่ได้ทำดังที่ตั้งใจไว้ เพราะต้องรับแขกที่ตั้งใจแวะมาเยี่ยมเขาถึงโรงพยาบาลอีกสองชุด

แขกชุดที่สอง ลากลับเอาตอนสี่โมงเย็น ชายหนุ่มที่เพลียมากมาตั้งแต่ช่วงบ่ายจึงได้งีบหลับ

ธีร์หลับเป็นตาย โดยไม่รู้ว่า คนที่เขาเฝ้ารอมาตลอด มาเยี่ยมถึงขอบเตียง

 

ปานแก้วตาแปลกใจ เมื่อเห็นว่านอกเหนือจากคนป่วย ไม่มีใครอยู่ในห้อง

ห้องพิเศษ ไม่ได้ติดป้ายห้ามเยี่ยมไว้ ปานแก้วตาจึงถือวิสาสะเข้ามา และได้เห็นว่าคนที่เธอตั้งใจมาเยี่ยม นอนหลับใหลไม่ได้สติอยู่บนเตียง จากที่ตั้งใจว่าจะมาให้กำลังใจเขาตามที่พี่สาวแนะนำ หญิงสาวจึงทำได้เพียงวางกระเช้าผลไม้ลงเบา ๆ บนโต๊ะ

แล้วเดินไปนั่งแหมะลงตรงเก้าอี้ว่าง มองคนที่นอนหลับสนิทอยู่บนเตียงด้วยความสนใจ

ไล่สายตาจากริมฝีปากบางเฉียบเจือสีแดงระเรื่อแบบคนสุขภาพดี ขึ้นไปที่จมูกโด่งสวยโดดเด่นเป็นสัน ปานแก้วตาเอียงคอมองขนตางอนยาวเป็นแพของเขาด้วยความสนใจ ไหนจะคิ้วเข็มดกหนาทั้งสองข้างนั่นอีก ขับให้ใบหน้าของนายคนนี้ดูคมคายและมีเสน่ห์ยิ่งนัก

เพ่งพินิจอยู่นาน ปานแก้วตาก็ได้คำตอบว่า นิยามของนายคนนี้คือคำว่า ‘หล่อกระชากใจ’

จังหวะการหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอของเขา ทำให้หญิงสาวเผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว แม้ยามนี้ เนื้อตัวของเขาจะดูซูบซีดไปสักหน่อย เพราะอยู่แต่ในห้องแอร์ ไม่ได้โดนแดดโดนลม แต่ก็ยังดูดีอย่างหาที่ติดไม่ได้ คนอะไรขนาดหลับแท้ ๆ รัศมีความหล่อยังกระจายทะลุออกมาจากเตียง

ปานแก้วตารู้สึกคุ้นหน้าผู้ชายคนนี้ แต่คิดไม่ออกว่าเคยเห็นที่ไหน ก่อนจะยิ้มกับตัวเอง เมื่อนึกขึ้นได้ว่า เขาเคยเป็นเดือนมหาวิทยาลัย ตอนเธอเรียนอยู่ปีหนึ่ง ซึ่งในตอนนั้น ปานแก้วตาถูกรุ่นพี่บังคับให้เข้าร่วมกิจกรรม จึงจำบรรยากาศอันแสนสนุกในคืนประกวดดาวเดือนของมหาวิทยาลัยเมื่อสี่ปีก่อนได้เป็นอย่างดี

ท่ามกลางสาวสวยและหนุ่มหล่อตัวแทนของนักศึกษาแต่ละคณะที่ยืนแจกยิ้มสลอนอยู่บนเวที ผู้ชายตัวสูงคนนี้ดูโดดเด่นเป็นที่สะดุดตามาแต่ไกล เขาเป็นผู้ชายคิ้วเข้ม ผิวขาวใส มีลักยิ้ม รูปร่างดี ยิ้มแต่ละทีเรียกเสียงกรี๊ดจากเพื่อน ๆ ของเธอดังสนั่นหวั่นไหว

นายคนนี้เลยได้ตำแหน่งเดือนมหาวิทยาลัยไปอย่างไม่พลิกโผ

แต่พอขึ้นปีสอง ดูเหมือนว่าข่าวคราวของเขาจะเงียบหายไป ปานแก้วตาเองก็มีเรื่องให้คิดให้ทำมากมายหลังจากพ่อเสีย จึงไม่ได้ติดตาม และลืมเลือนอดีตเดือนมหาวิทยาลัยสุดหล่อคนนี้ไปเสียสนิท จนกระทั่งได้มาพบกันโดยบังเอิญอีกครั้ง ตอนที่เขาประสบอุบัติเหตุ

หญิงสาวใช้สายตาสำรวจคนที่นอนหลับสนิทอยู่บนเตียงอย่างรวดเร็ว แล้วได้คำตอบว่า อาการของเขาไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง เธอจึงหยิบโพสอิสต์และปากกาที่พกติดไว้ในกระเป๋าผ้าใบโปรดออกมา หมายใจไว้ว่าจะเขียนข้อความสั้น ๆ แปะไว้ที่กระเช้าผลไม้ แล้วค่อยกลับ

เขียนเสร็จเรียบร้อย ยังไม่ทันได้ลุกขึ้นด้วยซ้ำ ประตูห้องก็ถูกเปิดออก

 

รอยยิ้มของผู้มาใหม่หุบลงทันที เมื่อเห็น ‘คนแปลกหน้า’ นั่งหน้าแป้นอยู่ข้างเตียงธีร์

“ลืมไปแล้วหรือไงว่าตัวเองเป็นผู้หญิง ถือวิสาสะมานั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่กับผู้ชายสองต่อสองแบบนี้ ไม่อายผีก็ควรจะอายคนบ้าง” ท่าทางของจงรัตน์ฉายชัดว่าไม่พอใจ เธอไม่ชอบขี้หน้าผู้หญิงคนนี้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องถนอมคำพูดเพื่อรักษาน้ำใจ

“เธอไม่ควรอยู่ที่นี่” จงรัตน์ยิงตรงประเด็น “วันนี้ธีร์ทำกายภาพวันแรก เหนื่อย และต้องการพักผ่อน”

ปานแก้วตาฟังแล้วหน้าชา ลุกขึ้นทันควัน “ฉันกำลังจะกลับพอดี”

“ประตูอยู่ตรงนั้น เชิญ!” จงรัตน์เอ่ยปากไล่ ผายมือไปที่ประตู “หวังว่าจะไม่มาที่นี่อีก”

“เดี๋ยวครับ…”

ธีร์ที่กำลังสะดุ้งตื่น รีบบอกปานแก้วตาที่กำลังจะเดินออกไป ไม่พอใจที่เห็นจงรัตน์แสดงกิริยาน่ารังเกียจเช่นนั้นใส่หญิงสาวที่เขาเฝ้ารอคอยการมาเยือนของเธอมาโดยตลอด “ขอบใจขิมมากเลยนะที่มาเยี่ยม ขอบคุณที่พาเรามาส่งถึงโรงพยาบาล”

“วันนั้นถ้าไม่มีขิม เราคงตายไปแล้ว” ธีร์พูดระรัวเร็ว ราวกับรอวันนี้มานาน ไม่สนใจจงรัตน์ที่ยืนหน้าง้ำอยู่ข้าง ๆ

ปานแก้วตามองแผงเหล็กที่โผล่ขึ้นมาจากหน้าแข้งของธีร์แล้วยิ้มให้ แถมยังมีแก่ใจเผื่อแผ่รอยยิ้มนั้นไปยังจงรัตน์ที่ยืนหน้าบูดอยู่อีกฝั่งของเตียงอีกต่างหาก เมื่อสิ่งที่ได้รับกลับมาคือสายตาแห่งความเหวี่ยงวีนไร้เหตุผล หญิงสาวพลันเกิดความรู้สึกหมั่นไส้และอยากแกล้งขึ้นมากะทันหัน

วาจาที่เอื้อนเอ่ยกับธีร์ในประโยคต่อมาจึงหวานเป็นพิเศษ ราวกับจงใจยั่วยุให้จงรัตน์ควันออกหู “อันที่จริงฉันตั้งใจจะมาเยี่ยมหลายครั้งแล้ว แต่ก็มีเหตุให้ไม่ได้มาซักที ติดธุระตลอด เรื่องสารนิพนธ์นั่นแหละค่ะ โค้งสุดท้ายแล้ว อะไรก็ดูสำคัญไปหมด วันนี้ฉันว่าง ก็เลยแวะมา”

“คุณดูแข็งแรงขึ้นมากเลย แบบนี้อีกไม่นานก็กลับบ้านได้แล้วใช่ไหมคะ”

“อย่าเรียกคงเรียกคุณอะไรเลย เรียกธีร์เฉย ๆ ก็ได้” ธีร์บอกไปยิ้มไป

“ค่ะธีร์” ปานแก้วตาขานรับทันควัน ไม่สนจงรัตน์ที่เริ่มหน้าเขียวสลับแดง

“เราเรียนอยู่ปีสี่ น่าจะอายุเท่ากัน” ชายหนุ่มพยายามเชื่อมโยงเพิ่มความสนิทสนม หันไปมองแผงเหล็กที่หน้าแข้งตัวเอง แล้วชวนหญิงสาวคุย “วันนี้เราเพิ่งหัดทำกายภาพบำบัดเป็นครั้งแรก หมอยังไม่ได้บอก ว่าจะได้กลับบ้านเมื่อไหร่ แต่ก็น่าจะใกล้เต็มทีแล้ว”

“ส่วนเหล็กที่หน้าแข็ง คงอีกนาน กว่าจะได้เอาออก”

“ขอให้กลับมาเดินได้เหมือนเดิมในเร็ววันนะคะธีร์ วันนี้ฉันต้องกลับก่อนแล้ว” ปานแก้วตาส่งยิ้มให้ชายหนุ่ม ยั่วจงรัตน์ให้ควันออกหูพอหอมปากหอมคอแล้ว จึงกระชับประเป๋าใบโปรดขึ้นไหล่ ตั้งท่าจะเดินออกไป ก่อนนึกขึ้นได้ หันกลับไปบอกคนป่วยอีกครั้ง

“เกือบลืมไป ฉันซื้อผลไม้มาฝาก อย่าลืมกินด้วยนะคะ จะได้หายไว ๆ”

“ผมจะกินให้หมด” ธีร์ยิ้มแก้มแตก บอกกับตัวเองว่าจะไม่ยอมให้ใครแตะผลไม้กระเช้านี้เด็ดขาด

 

“ลืมไปแล้วหรือไงว่า ผู้หญิงคนนั้นทำให้แกต้องมานอนที่นี่” จงรัตน์โพล่ง ทันทีที่ปานแก้วตาพ้นจากประตูไป

ธีร์เอื้อมมือไปหยิบโพสอิสต์ที่ปานแก้วตาลืมวางไว้ “ฉันบอกหลายครั้งแล้ว เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับขิม”

“นี่แกเข้าข้างมันเหรอ” น้ำเสียงของหญิงสาวบ่งชัดถึงความน้อยใจ

“ไม่ได้เข้าข้าง แค่พูดความจริง” ชายหนุ่มถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย

“นี่ไง ความจริงในใจของพวกผู้ชาย เห็นมันหน้าตาดี แกล้งทำเสียงอ่อนเสียงหวานใส่หน่อยเป็นไม่ได้ เทใจให้มันไปหมด” จงรัตน์ประชดใส่เป็นชุด ไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าสิ่งที่กำลังแสดงออกคืออาการหึงหวง “ให้ตายเถอะ ฉันละเกลียดนัก พวกไม่มีเหตุผลแบบนี้”

“แกนั่นแหละรัตน์ที่ไม่มีเหตุผล” ธีร์สวนทันควัน “ขิมช่วยชีวิตฉันไว้ ฉันควรใส่ใจเธอให้มากกว่านี้ด้วยซ้ำ”

“ใช่สิ มันดีทุกอย่าง ไม่เหมือนฉัน” จงรัตน์หน้าคว่ำ เจ็บจี๊ดในอก เมื่อธีร์แสดงออกชัดว่าปกป้องผู้หญิงคนนั้น

จงรัตน์ตั้งใจจะว่าอีกยาว ก็พอดีกับที่มิ่งมงคล พรวดพราดเข้าประตูมา “ไอ้ธีร์ เมื่อกี้กูเจอขิมด้วย เธอมา…”

“ทำไมเพิ่งมา วันนี้เวรแกนะมิ่ง เราตกลงกันแล้ว ให้มาถึงโรงพยาบาลก่อนสี่โมงเย็น อย่าบอกนะว่าแกจำไม่ได้…” มิ่งมงคลพูดยังไม่ทันจบ หญิงสาวคนเดียวในห้องก็สอดขึ้นเสียก่อน อารามของความน้อยใจที่ธีร์ไม่เข้าข้าง จึงเหวี่ยงใส่เพื่อนหนุ่มหน้าเข้มเป็นชุด

“เพราะแกมาช้า ปล่อยให้ธีร์อยู่คนเดียว เห็นไหม มีคนแปลกหน้าเข้ามากวนเวลาพักผ่อนจนได้”

ธีร์เงยหน้าจากสมาร์ทโฟนไปสบตามิ่งมงคล ถอนหายใจอย่างอึดอัด ปานแก้วตาไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับเขา อีกทั้งการมาเยือนของหญิงสาว ไม่ได้รบกวนเวลาพักผ่อนของเขาเลยสักนิด เหตุที่ธีร์สะดุ้งตื่นกลางคัน เป็นเพราะเสียงดังสนั่นไม่เกรงใจใครของจงรัตน์ต่างหาก

“แกไม่รู้อย่ามาตู่ว่าคนอื่น ฉันมาตั้งแต่สามโมงแล้ว พอดีเห็นว่าธีร์หลับอยู่ เลยออกไปซื้อของกินโว้ย” มิ่งมงคลเพิ่งได้สติ รีบยกถุงของกินประดามีในมือให้เพื่อนสาวดู “แล้วนี่เป็นอะไร ประจำเดือนไม่มาเหรอ มาถึงก็ฟาดงวงฟาดงา เห็นใครขวางหูขวางตาไปหมด”

“ไอ้มิ่ง หยุดเดี๋ยวนี้นะ อย่ามาทะลึ่ง” จงรัตน์ชี้หน้า กับคนอื่นที่ไม่ใช่ธีร์เธอไม่เคยพูดดี ๆ ด้วยอยู่แล้ว

“หรือจะเป็นเพราะขิมมาเยี่ยมไอ้ธีร์…” มิ่งมงคลยักไหล่ “มิน่า แกเลยหงุดหงิดเป็นลมบ้าหมู หึงเหรอจ๊ะ”

“หึงบ้าอะไร พูดจาไม่เข้าเรื่อง” จงรัตน์หน้าแดง เดินออกจากห้องไปทันที

 

“มึงเห็นใช่ไหมธีร์ รัตน์มันหึงมึงเบอร์แรงมาก กูว่ามันถึงเวลาแล้วนะ ที่มึงต้องเปิดใจคุยกับรัตน์อย่างจริง ๆ จัง ๆ ซักที” มิ่งมงคลอาศัยจังหวะที่เหลือกันอยู่สองคน เสนอความคิดให้เพื่อนฟัง “บอกมันไปโต้ง ๆ นี่แหละว่า มึงไม่ได้คิดอะไรกับมัน ให้มันทำใจซะ จะได้ไม่ต้องมาอึดอัดทั้งสองฝ่ายแบบนี้”

ธีร์ถอนหายใจอีกหนึ่งคำรบ “กูไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง บอกตามตรงกลัวเสียเพื่อน”

มิ่งมงคลมองธีร์แล้วเงียบไป ในความเป็นเพื่อน จงรัตน์เป็นเพื่อนที่ดีไม่มีที่ติ เธอมีน้ำใจ และใส่ใจกับธีร์ แต่บางครั้งเขาก็เห็นว่ามากเกินไป “สำหรับกู กูโอเคนะ ถ้ามีเพื่อนมาคอยเป็นห่วงเป็นใย เพื่อนเป็นห่วงเพื่อนน่ะทำได้ แต่ไม่ใช่หึง รัตน์กับมึงเป็นแค่เพื่อนกัน มันไม่ควรมาไล่จี้ไล่หึงมึงแบบนี้ ไม่รู้สิ กูว่ามันเกินหน้าที่เพื่อนไปหน่อย”

“มึงเคยบอกกูเองไม่ใช่เหรอธีร์ เรื่องใจบังคับกันไม่ได้ ในเมื่อมึงก็มีคำตอบอยู่ในใจแล้วว่า ต่อให้รัตน์พยายามมากแค่ไหน มันก็ไม่ใช่อยู่ดี สถานะที่มึงให้รัตน์อยู่ มันไม่มีทางมากไปกว่าคำว่าเพื่อน เพราะฉะนั้น เชื่อกูเถอะธีร์ มึงควรบอกรัตน์มันไปตรง ๆ”

“รอให้กลับมาเดินได้ก่อน แล้วกูจะบอก” ธีร์เห็นด้วยกับเพื่อน

“เยี่ยมมาก” หนุ่มหน้าเข้มยกนิ้วโป้งให้ธีร์ แล้วเปลี่ยนเรื่องเอาดื้อ ๆ “กูมองออกนะ ว่ามึงสนใจขิม”

“พอเลยไอ้มิ่ง อย่ามามั่ว” ท่าทางของธีร์มีพิรุธทันควัน “มึงไม่ใช่กูนะ จะมารู้ดีกว่าตัวกูได้ยังไง”

“โอเค ๆ กูเดามั่วก็ได้ มึงไม่ได้สนใจขิมเลยสักนิดเดียว” มิ่งมงคลแกล้งทำเสียงสูง ก่อนประชดอย่างอารมณ์ดี “อย่าเพิ่งด่ากู อีกไม่กี่วันมึงก็จะได้ออกจากโรงพยาบาลแล้วนี่ ใช่ไหม พอกลับไปพักฟื้นที่บ้าน โอกาสที่มึงจะได้เจอขิม ก็แทบจะไม่มีละ”

“ไม่เป็นไร ถ้ามึงไม่ชอบ มึงก็ปล่อยให้เวลามันผ่านไปโดยไม่ต้องทำอะไรเลยแบบนี้แหละดีแล้ว”

ธีร์มองขาข้างขวาตัวเองแล้วถอนหายใจ “มึงก็เห็น ขนาดเดินกูยังทำไม่ได้ จะมีปัญหาไปจีบใครที่ไหนวะ”

“ในที่สุด มึงก็ยอมรับออกมาว่าสนใจขิม” หนุ่มหน้าเข้มหัวเราะเสียงดัง

“เออ กูยอมรับ” ธีร์บอกอย่างอาย ๆ รอยยิ้มของปานแก้วตาผุดพรายขึ้นมาในความรู้สึก

“เรื่องนี้กูช่วยได้นะ ถ้ามึงอยากให้ช่วย” มิ่งมงคลเสนอตัว

ธีร์หูผึ่งขึ้นมาทันควัน “ช่วยยังไงวะ”

“ช่วยทำให้มึงได้รู้จักกับขิมมากขึ้นยังไงละ”

“มึงจะทำอะไร” ธีร์มองชักเริ่มไม่ไว้ใจ เกรงว่าเพื่อนจะทำอะไรแผลง ๆ

“มึงพูดเหมือนไม่รู้จักกูอย่างนั้นแหละธีร์…” มิ่งมงคลยักคิ้วหลิ่วตาใส่เพื่อน ชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง “มึงก็รู้นี่ว่ากูเป็นใคร คนที่หล่อมากแถมฉลาดไอคิวสามร้อยแปดสิบอย่างกู การหาเฟส หาไลน์ใครสักคน ไม่ใช่เรื่องยากหรอกนะ หรือมึงจะเอามากกว่านั้นก็ยังได้ ไอจี ที่อยู่ ทวิตเตอร์ หรือจะเบอร์โทรก็ยังได้”

ธีร์อึ้งไปในทันที “เอ่อ มึงไม่ต้องทำขนาดนั้นก็ได้มั้ง”

“ไม่ได้…” หนุ่มหน้าเข้มขึงขังขึ้นมาทันควัน “มึงรอเลยเพื่อน ไม่เกินสามวัน กูจัดให้”

 

จงรัตน์ไม่กลับเข้ามาในห้องอีกเลยตลอดช่วงเย็น หญิงสาวส่งไลน์มาบอกธีร์เอาตอนเกือบสามทุ่มว่า รู้สึกปวดศีรษะเหมือนจะไม่สบาย ชายหนุ่มอ่านแล้ว แนะนำให้เธอกินยาและรีบนอนพัก ก่อนจะหันไปบอกเรื่องอาการของจงรัตน์ให้มิ่งมงคลฟัง

“ปวดหงปวดหัวอะไร รัตน์มันอายที่กูจับได้ว่ามันหึงมึงต่างหาก” หนุ่มหน้าเข้มที่กำลังเมามันกับการเล่นเกมในสมาร์ทโฟนว่า ไม่เงยหน้าขึ้นมามองคู่สนทนาด้วยซ้ำ “ผู้หญิงก็งี้แหละมึง เดาใจไม่ถูก ร้อยเรื่องพันอารมณ์ บทจะทำตัวน่ารักก็น่ารักซะไม่มี บทจะงี่เง่าขึ้นมาละก็ เล่นเอาซะหัวหมุน”

“ผู้หญิงที่มึงว่านี่นับรวมลินเข้าไปด้วยหรือเปล่า” ธีร์จงใจพาดพิงไปถึงแฟนสาวของมิ่งมงคล

“ก็ทุกคนนั่นแหละ” มิ่งมงคลเงยหน้า “ลินก็ขี้หึง ขี้น้อยใจไม่ต่างกัน”

ธีร์ยิ้มให้เพื่อนชาย “แต่มึงก็รับได้นี่ แถมยังเกรงใจลินมาก ๆ ด้วย ใช่ไหม”

“อือ เพราะกูรักของกูไง เลยยอมทุกอย่าง ไม่รู้ดิ กูคิดว่า ถ้าต่างคนต่างรักกัน เวลาเกิดปัญหาอะไรขึ้นมา มันก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะเปิดอกปรับความเข้าใจกัน” หนุ่มหน้าเข้มอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างเขากับแฟนสาวให้ธีร์ฟัง “แต่สำหรับมึงกับรัตน์ มันไม่ใช่”

“มึงให้รัตน์เป็นได้แค่เพื่อน” มิ่งมงคลย้ำคำเดิม

 

ดึกดื่นคืนสงัด มิ่งมงคลหลับปุ๋ยไปแล้ว

ลมหนาวที่ลอดผ่านบานเกล็ดเข้ามาในห้อง ทำให้ธีร์กระชับผ้าห่มผืนหนาเข้าหาตัวเอง นับตั้งแต่ถูกวิญญาณร้ายหมายปองเอาชีวิตจนถึงวันนี้ เข้าสู่อาทิตย์ที่สองแล้วที่ชายหนุ่มรู้สึกกลัวกลางคืน กลัวว่าวิญญาณของวัยรุ่นกลุ่มนั้นจะกลับมาอีก

คนเคยบวชเรียนอย่างดวงเกษมรับรู้ความกังวลใจข้อนี้ของเขาเป็นอย่างดี จึงเสาะหาหนังสือสวดมนต์มาให้ถึงบนเตียง พร้อมกำชับให้ชายหนุ่มท่อง ‘คาถากันผี’ สองบทนั้นก่อนนอนทุกคืน ธีร์ไม่เชื่อแต่ก็ไม่เคยลบหลู่ วิธีของดวงเกษมช่วยได้หรือไม่ ธีร์ไม่รู้ แต่อย่างน้อยก็ทำให้เขาอุ่นใจ

โชคเป็นของธีร์ ที่สองสามวันมานี้เขาหลับสนิท ไม่มีสิ่งใดย่างกรายมารบกวน

หารู้ไม่…ในซอกหลืบความสลัวของมุมห้อง มีดวงวิญญาณที่รอการปลดปล่อยตนหนึ่ง คอยจับจ้องมาที่เขา ราวกับว่าชายหนุ่มคืออาหารอันโอชะ รวบรวมพลังอยู่นาน ดวงวิญญาณตนนั้นก็สำแดงเดชเป็นกลุ่มควันสีขาว เคลื่อนตัวลอยอ้อยอิ่งออกจากที่ซ่อน มายืนนิ่งอยู่ตรงปลายเตียง

“ดวงแข็งแบบนี้สิ กูชอบ”



Don`t copy text!