ซ่อนรักในรอยกาล “ลวปุระ ทวารวดี” บทที่ 10 : จันทราสีเลือด (5)

ซ่อนรักในรอยกาล “ลวปุระ ทวารวดี” บทที่ 10 : จันทราสีเลือด (5)

โดย : พิมพ์อักษรา

Loading

ซ่อนรักในรอยกาล โดย พิมพ์อักษรา กับผลงานนวนิยายอิงประวัติศาสตร์อ่านง่าย ว่าด้วยทฤษฎีหนึ่งในตำนานประวัติพระนางจามเทวีกับพระสวามีที่แทบไร้หลักฐาน ผ่านเกมการเมืองในอาณาจักรทวารวดี อันมีชายปริศนาแฝงตัวเข้ามาอยู่เบื้องหลังเกมชิงบัลลังก์ครั้งใหญ่นี้ ติดตามได้ในเพจ อ่านเอา และ anowl.co

ราชบุตรลวปุระทรงนิ่งตะลึงไปอึดใจ จากนั้นพระสติจึงกลับคืนมา ทรงรีบลุกจากแคร่ไม้ไผ่ตรงมายังร่างที่นอนจมกองเลือด ยื่นดรรชนีอังจมูกก็เห็นว่ายังมีลมหายใจอยู่แม้แผ่วรวยรินเต็มทีก็ตาม ไม่ว่าจะช่วยชีวิตพระอนุชาหรือไม่ ก็ต้องรีบซ่อนร่างนี้ให้ได้ก่อนมีคนมาพบเข้า ทรงเหลียวซ้ายแลขวา ห้องในค่ายประทับสร้างอย่างลวกๆ ไม่มีช่องชั้น เหลี่ยมมุมหรือเครื่องเรือนใดให้อำพรางซ่อนร่างสูงใหญ่นี้ได้เลย

อย่างน้อยก็ต้องคลุมให้มิดชิดเสียก่อน…ดำริได้ดังนั้นจึงสละผ้าห่มแพรคลี่คลุมร่างอนุชา

ประหลาดมิน้อยที่ต้องทอดพระเนตรผู้ที่มีใบหน้าเหมือนพระองค์นอนสิ้นสมประดีกลางกองเลือดน่าสยดสยอง…

เจ้าพ่อเจ้าแม่…เขนน้อยกำลังจะตาย…ลูกไม่ได้ทำน้องแต่ก็เหมือนทำ

เสียงโห่ร้องอึงมี่ดังมาแต่ไกล แต่ก็คล้ายไกลเกินความรับรู้ของเจ้าชายกัษษกรในเพลานี้ กระนั้นก็มีบางแวบที่ทรงสงสัย การศึกข้างนอกน่าจักสุกงอมเต็มที แต่เหตุใดจึงมิมีผู้ใดเข้ามารายงานว่าถึงคราต้องเก็บของออกเดินทางต่อ รอบพลับพลาประทับยังเงียบสงัดผิดปกติ

ชะรอยเขนน้อยคงร่ายเวทกำบังไว้ จึงลอบเข้ามาได้โดยไม่มีคนสังเกต พระองค์กับเขนน้อยเถียงกันเสียงดังใหญ่โตก็กลับไม่มีใครได้ยิน กระนั้นมนตราจักครอบคลุมได้ถึงเมื่อไรก็สุดจะทราบ เพลานี้ต้องซ่อนร่างให้ได้เสียก่อน ทว่าผืนผ้าที่รวบรวมได้ในห้องนี้เพียงพอที่จะคลุมได้เท่านั้น แต่มิพอจะห่อพันเก็บให้มิดชิดได้เลย อีกทั้งรัตตกรก็มีน้ำหนักตัวมาก ครั้นทรงพยายามพลิกร่างอนุชาเพื่อพันผ้า ก็กลับทรงปวดแปลบไปทั้งพาหาและบั้นพระองค์ ฝืนทำต่อไปอีกครู่ก็ล้มลงด้วยความเจ็บปวด พระเนตรพระกรรณพร่าพราย เมื่อกะพริบนัยนาอีกครา จึงเห็นปลายรองเท้าหนังเปิดนิ้วที่ทรงคุ้นเคย เงยพักตร์ไล่มองสูงขึ้นไปก็พบกับร่างผอมแห้ง ผิวเหี่ยวย่นของฤๅษีที่เคารพ

“พระอาจารย์…เขนน้อยจะตายหรือไม่เจ้าข้า”

สุกกทันตฤๅษีก้มลงอังลมหายใจ ตรวจชีพจร และตรวจร่างรัตตกรเบื้องต้นแล้วมีสีหน้าหนักใจ

“ดูทีคง…ลำบากเจ้าข้า แต่ก็ยังพอมีโอกาส อาจารย์จะรีบรักษาเบื้องต้นก่อน” กล่าวแล้วก็ล้วงย่ามอยู่ครู่หนึ่งก่อนส่ายหน้าอีกครา “มิได้ ยาและเครื่องมือของอาจารย์ไม่เพียงพอ เราต้องซ่อนร่างให้พ้นก่อนจะมีคนมาพบเข้า” พระฤๅษีเองก็ประสบชะตาเดียวกับพระองค์คือมิเห็นที่หลบซ่อนใด และผ้าที่มีก็ไม่เพียงพอ

“ใช้เสื้อคลุมของข้าเถิด” กัษษกรปลดฉลองพระองค์ออก เหลือเพียงสนับเพลาสีขมิ้น ทันทีที่ภูษาสีขาวต้องส่วนศีรษะ ผ้าทั้งผืนก็ชุ่มโชกด้วยโลหิตอย่างน่าสยดสยอง เจ้าชายพยายามกลั้นพระทัยเข้าช่วยพระอาจารย์อีกแรง ฤๅษีพิจารณาแล้วก็ตัดสินใจ

“คงต้องใช้ผ้าม่านทั้งหมด เนื้อหยาบหน่อยแต่ก็ดีกว่าไม่มีเลย”

ระหว่างที่ช่วยกันเร่งมือคลุมร่าง เจ้าชายก็ตรัสอย่างว้าวุ่น “เขนน้อยออกจากละโว้ ตั้งใจมาพบข้าดังที่เราคาดกันไว้…แต่ถึงเวลาเผชิญหน้ากันจริง ก็แทบมิอยากเชื่อว่าเขนน้อยจะกล้าฆ่าข้าได้ลง…” ทรงสะท้านสะเทือนหทัยอย่างยิ่ง “เขนน้อยใช้ไสยดำ อาศัยฤทธาแห่งคืนจันทราสีเลือดที่พลังอำนาจคุ้มครองข้าจักอ่อนกำลังลงจนแทรกแซงได้ ยิ่งข้าบาดเจ็บล้มป่วย มิได้สวมเครื่องกันภัยติดกายยิ่งเป็นทางสะดวก แต่ไม่รู้เหตุใดเจ้าข้า จู่ๆ เขนน้อยก็ถูกเหวี่ยงกระเด็นล้มลงหัวฟาดพื้นและมีสภาพอย่างที่ท่านเห็นนั่นแล…ข้ามิเคยอยากให้น้องตาย แลแทบจะปล่อยให้น้องฆ่าข้าเสียด้วยซ้ำไป”

“อย่าทรงโทษองค์เองเลย เจ้าเขนน้อยทะนงตนว่ามีวิชาอาคมแก่กล้า อ่านดวงดาราพยากรณ์มาอย่างแตกฉานแลวางแผนมาอย่างรอบคอบแยบยล แต่หาได้เฉลียวใจไม่ว่าไสยมายาที่ใช้ทำลายล้างผู้อื่นยิ่งแรงเท่าไร ยิ่งอาจย้อนกลับทำลายตนเองได้มากเท่านั้น เจ้าเขนน้อยใช้วิชาในทางมิชอบ ครูบาอาจารย์ก็ย่อมทวงคืน”

สุกกทันตะมองไปยังดวงจันทร์ที่ยังถูกความมืดกลืนกินมืดมิด เห็นเพียงสีแดงหม่นสลัว

“บางทีราหูเสวยโลหิตพระจันทร์ก็มิได้เลวร้ายเสมอไป…เทวดาประจำพระองค์ขององค์ชายอาจทรงปกป้องพระองค์อีกทางก็เป็นได้”

“ข้ามิใคร่เข้าใจเทพเทวดานักหรอก เพราะหากข้ามีพระจันทร์หรือพระราหูคุ้มครอง เหตุใดจึงมิคุ้มครองเขนน้อยด้วยเล่า เขาก็เกิดในเวลาราหูอมจันทร์เช่นเดียวกับข้า ช่างมิยุติธรรมเสียเลย”

เป็นครั้งแรกที่พระอาจารย์ได้ยินลูกศิษย์ตรัสรำพันคับแค้นใจในโชคชะตาของพระอนุชา ด้วยที่ผ่านมามักทรงเก็บงำความรู้สึกนึกคิดไว้ลึกเสมอ มิเคยเห็นพระองค์ทรงแสดงความคิดเห็นหรือท่าทีใดต่อหน้าผู้อื่นมาก่อนเรื่องที่รัตตกรถูกคำพยากรณ์บังคับให้บวชเป็นนักพรตตลอดชีวิต

“ข้าจึงมิอยากเชื่อสิ่งใดนอกจากยึดถือในพุทธธรรม เพราะคำสอนแห่งพระตถาคตมิเคยขีดเส้นกำหนดชะตาผู้อื่น หากแต่ยึดถือในผลของการกระทำ ข้ารู้ว่าพระอาจารย์เข้าใจ” เจ้าชายกะพริบเนตรไล่อัสสุชลที่คลอคลองเจียนหยด ยิ่งเมื่อห่อพันทั่วร่างเหลือเพียงใบหน้าแล้ว ก็กลับยิ่งทรงปวดร้าว

“อย่าเพิ่งปิดเลย ให้เขาได้มีอากาศหายใจสักหน่อย หากจวนตัวมีคนเข้ามาใกล้ค่อยคลุมก็ยังมิสาย”

“ข้างนอก…ธงชัยไตมาวหักแล้วเจ้าข้า บัดนี้ทัพละโว้กำลังตีค่ายศัตรูให้แตก อีกไม่นาน…ทุกอย่างก็คงเรียบร้อย เราต้องเตรียมออกเดินทาง” พระฤๅษีนิ่งไปอึดใจ “แต่อาจารย์ยังมิแน่ใจว่าเจ้าเขนน้อยมีแผนใดซ่อนอยู่อีกหรือไม่ ด้วยครานี้อาจารย์ค่อนข้างแน่ใจว่าเขาอยู่เบื้องหลังศึกไตมาวครั้งนี้”

“ข้อนั้นข้าก็เพิ่งทราบ…ต้องขอบคุณพระอาจารย์ที่เกิดเฉลียวใจเข้าเสียก่อน มิเช่นนั้นชะตาละโว้คงป่นปี้ไปแล้ว”

ครานั้นหลังกลับจากเข้าเฝ้าเยี่ยมเยียนลูกศิษย์ยังเมืองราม สุกกทันตฤๅษีก็กลับนครละโว้ไปด้วยความไม่สบายใจยิ่งกว่าเดิม เขาเริ่มกังวลถึงพระชะตาเจ้าชายและชะตาลวปุระ หากขั้วอำนาจต่างๆ ในราชสำนักเข้าหารุธีเพื่อหวังก่อศึกโค่นราชอำนาจดังที่กังวลแล้วไซร้ เจ้าชายกัษษกรจักทรงรับมือได้อย่างไรหากไม่ทรงคำนึงถึงภัยที่อาจเกิดขึ้นเสียเลย

นึกดังนั้นฤๅษีเฒ่าจึงตั้งใจแอบไปสอดส่องอาศรมของฤๅษีรุธี…

เขามิคุ้นเคยกับดาบสตนนี้นักด้วยถือเป็นนักบวชคนละสาย รุธีฝักใฝ่ในมนตราไสยดำ หากมิกระทำออกหน้าเปิดเผย เบื้องหน้าคือผู้ใช้วิชาไสยขาว เก่งอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ เป็นที่เคารพของขุนนางและพระราชวงศ์หลายพระองค์

ว่ากันว่ามีขุนนางหลายฝ่ายเคยขอรุธีฤๅษีให้เล่นไสยเวทใส่ฝั่งตรงข้าม ได้ผลกันมานักต่อนัก หากยังมิเคยมีผู้ใดเอ่ยปากอยากเล่นงานเบื้องบนมาก่อน หรือหากมีก็เป็นพวกเชื้อพระวงศ์ที่ใคร่กระทำต่อกันเอง แต่รุธีเลือกปฏิเสธเพราะไม่ต้องการติดร่างแหถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฏในภายหลัง

แต่แล้ววันหนึ่งก็กลับมีข่าวว่ารุธีฤๅษีล้มป่วยลง จากที่พอพูดจาเดินเหิน ช่วยเหลือตัวเองได้ก็เริ่มพิการทีละน้อย แต่มิได้ต้องการให้ใครมาดูแลรับใช้นอกจากบ่าวสนิทเพียงคนเดียว สุกกทันตะจึงแปลกใจที่ระยะหลังมีข่าวลือเรื่อยมาว่าบรรดาเชื้อพระวงศ์มักแอบไปพบรุธีฤๅษีเสมอ เมื่อกลับจากเมืองรามครานั้นจึงตั้งใจไปหาเบาะแส

 



Don`t copy text!