ซ่อนรักในรอยกาล “ลวปุระ ทวารวดี” บทที่ 11 : นิรนาม (2)

ซ่อนรักในรอยกาล “ลวปุระ ทวารวดี” บทที่ 11 : นิรนาม (2)

โดย : พิมพ์อักษรา

Loading

ซ่อนรักในรอยกาล โดย พิมพ์อักษรา กับผลงานนวนิยายอิงประวัติศาสตร์อ่านง่าย ว่าด้วยทฤษฎีหนึ่งในตำนานประวัติพระนางจามเทวีกับพระสวามีที่แทบไร้หลักฐาน ผ่านเกมการเมืองในอาณาจักรทวารวดี อันมีชายปริศนาแฝงตัวเข้ามาอยู่เบื้องหลังเกมชิงบัลลังก์ครั้งใหญ่นี้ ติดตามได้ในเพจ อ่านเอา และ anowl.co

 

พระนางชวาลารู้สึกองค์ยามใกล้รุ่งเมื่อพระสวามีเอนกายลงข้างพระแท่นบรรทม ทรงเอื้อมคว้าพระองค์มากอดตามที่ทรงเคยคุ้น แลตามเบื้องลึกในจิตอันโหยหาไออุ่นจากอ้อมกอดสวามี เจ้าพี่เขนของพระนางก็ทรงกระชับกอดตอบอย่างแนบแน่น จุมพิตทั่วพระพักตร์อย่างอ่อนหวานหากคุกรุ่นด้วยความปรารถนา ทรงปล่อยให้บทเพลงสิเน่หาบรรเลงไปตามครรลองจนสุดทาง ครั้นสวมกอดภัสดาอีกหน ก็ทรงสัมผัสความรู้สึกบางประการ

“เจ้าพี่มีสิ่งใดจักบอกน้องหรือเพคะ”

กัษษกรทรงเงียบไปอึดใจ พระนางจึงตรัสสำทับ “ภาษากายของเจ้าพี่ปดน้องมิได้มาแต่ไหนแต่ไร เราเป็นคู่ผัวตัวเมียกัน มีสิ่งใดต้องปกปิดอีกหรือเพคะ”

“วาน้อยฟังพี่ให้ดีเถิด…” พระองค์สบเนตรชวาลา “เรื่องศพที่เป็นโรคร้ายนั้น แท้จริงมิได้มาจากฝ่ายไตมาว วาน้อยก็คงพอทราบ”

ชวาลายังทรงนิ่งตั้งพระทัยฟัง

“แท้จริงเป็นศพนักพรตไชยาผู้หนึ่ง มีศักดิ์เป็นพระญาติของพี่ ติดตามมาจากไชยา แต่มิได้ข้องแวะกันเท่าใด ด้วยเขาผู้นี้เป็นพวกไสยดำทำคาถาอาคม เกรงจักเสื่อมเสียถึงพี่ ถึงราชสำนักไชยา พี่จึงปวารณาตัวมิขอข้องเกี่ยว มิให้ร่วมนับญาติ ห้ามขาดมิให้อ้างสัมพันธ์ใดกับพี่หรือไชยาทั้งสิ้น”

“ฤๅเขาคือนายมืด ชายปิดหน้า ข้ารับใช้ดาบสผู้นั้น” ชวาลาทรงพอเดาได้รางๆ “แลเป็นผู้สับเปลี่ยนรายงานวันเฉลิมพระยศอุปราช และทำไสยเวทใส่พระแสงดาบเจ้าพี่กระมัง”

เจ้าชายมิรับสั่งตอบคำถามนั้นโดยตรง หากทรงตอบสรุปความ “เขาเล่นไสยมืดในคืนจันทราสีเลือด เคราะห์ร้ายของย้อนกลับเขาตัว ก็เลย…ตาย” สุรเสียงเครือลง “พี่อับอายเกินกว่าจักให้ผู้ใดรู้ว่าเขาเคยเป็นเชื้อพระวงศ์ไชยา อันอาจนำไปสู่ข้อครหาให้คนใช้โจมตีได้ว่าไชยาคิดการกบฏ ทุรยศต่อละโว้ พี่จึงคิดเผาศพทำพิธีไปอย่างมิเอิกเกริกตอนออกจากรามนครแล้ว วาน้อยเห็นเป็นเช่นไรเล่า”

เจ้าหญิงผู้ปราดเปรื่องทรงเล็งเห็นในทันทีว่าเรื่องของนักพรตไชยาผู้ลึกลับนี้คงจักมีลับลมคมในมากกว่าที่สวามีรับสั่ง แต่ไม่ว่าอย่างไร ก็คงมิได้เลวร้ายผิดจากที่ทรงรับสั่งสักกี่มากน้อย

“น้องมิขัดข้องหรอกเพคะ เจ้าพี่จักทำพิธีเผาอย่างไรก็จัดการได้ตามพระทัย” ตรัสแล้วก็ซุกลงกลางอุระสวามีอีกครา “จบสิ้นสงครามเสียที รุ่งเช้าเราจักกลับ ‘บ้าน’ กันแล้วนะเพคะ

 

ข่าวเจ้าหญิงชวาลาทรงชนะสงครามได้อย่างยิ่งใหญ่เกรียงไกรสมพระเกียรติแพร่สะพัดมาถึงลวปุระในเวลารวดเร็ว ประชนชาวเมืองต่างโห่ร้องยินดีต่อความสำเร็จแลเตรียมงานเฉลิมฉลองทั่วราชธานีอย่างครื้นเครง เจ้าหญิงทรงเป็นที่รักใคร่เทิดทูนของปวงชนมากเท่าใด เพลานี้ยิ่งได้รับเคารพภักดียิ่งขึ้นอีกเท่าทวี มิเหลือข้อกังขาในบุญญาธิการแลพระปรีชาสามารถในฐานะหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์ผู้คู่ควรแก่ราชบัลลังก์อีกแล้ว

ทว่าปฏิกิริยากลับสวนทางกันกับในราชสำนัก เพราะนอกจากพระเจ้าจักวัติวิราชกับฝ่ายของพระองค์และฝ่ายรักตมปุระที่ยินดีแล้ว ชัยชนะของกองทัพละโว้ย่อมหมายถึงหายนะต่อผู้คิดคดชักศึกเข้าบ้าน กลุ่มอำนาจทั้งหลายจึงนั่งไม่ติดที่ รีบร้อนประชุมหารือกันโดยมิคิดหลบซ่อนอีกต่อไป

“ไอ้ฤๅษีเจ้าเล่ห์นั่นก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย พวกเราแทบพลิกแผ่นดินตามล่ามันก็มิเห็นแม้เงา หากมันมิคิดทำเล่ห์ลวงเราให้ตายใจแต่แรก มันก็คงรู้ตัวว่าแผนการของมันล้มเหลวจึงชิงหนีไปเสียก่อน” เจ้าชายวิรามรทรงเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันเดือดดาล

“แต่มันจักลวงเราให้ได้อันใด ในเมื่อมันยังมิได้สิ่งใดตอบแทน นอกจากเบี้ยอัฐทองหยองเล็กน้อยเท่านั้น” พระภาคิไนยวิมุทราแย้งได้น่าคิด “คงเป็นประการหลังเสียมากกว่า”

“ผู้ใดจักคาดคิดว่าชวาลานั้นมีวิชาอาคมแข็งแกร่ง เอาชนะข้าศึกได้เยี่ยงนี้ พวกเราประมาทไปนั้นแลว่าวาสุเทพฤๅษีจักมิทิ้งสิ่งใดปกป้องลูกศิษย์ตนไว้”

“มิช้าทั้งรามราชและชวาลาก็คงสืบทราบได้มิยาก เราจักลำบากกันไปหมด”

“แต่ใครจักซัดทอดได้เล่า ในเมื่อรัตติฤๅษีก็ไม่อยู่เสียแล้ว หลักฐานใดก็ไม่มี” เจ้าหญิงบุณฑราว่า

“เจ้าคิดว่าพวกเขาจักโง่เขลาจนถึงยามนี้เชียวเรอะ” ทิพกฤตาทรงอดมิอยู่ “ดีไม่ดี ไอ้ฤๅษีนั่นแลที่แล่นไปฟ้องเอาตัวรอด เราควรหารือกันเถิดว่าจักรอดโทษตายไปได้อย่างไร หรือหากต้องหนีกลับบ้านเมืองมาตุภูมิ จักหนีรอดหรือไม่”

“แต่ชวาลาน้ำพระทัยดี บางทีอาจทรงละเว้นโทษก็ได้ รับสั่งอยู่บ่อยครั้งว่าเห็นพวกเราเป็นพี่น้อง”

“เลิกโง่เสียทีเถิดบุณฑรา” ผู้ที่ทรงอดรนทนมิได้กลับเป็นพระมารดาพันธิสา “ชักศึกเข้าบ้าน เอานครละโว้เป็นเดิมพันนะหรือจักรอดจากโทษตายได้ ข้าว่าเราต้องเตรียมลี้ภัยกันเสียแล้ว”

พระนางทวีติยาที่ประทับเงียบเชียบ พระพักตร์เคร่งเครียดมาตลอดกลับทรงขัดขึ้น

“ข้ากลับคิดว่าเรายังพอมีหนทางอยู่บ้าง…ลำพังพวกเราที่คิดว่ามีกำลังอำนาจในมือมากแล้ว หากคงสู้กับพวกรักตมปุระในเพลานี้มิได้ ด้วยพวกมันจักยิ่งชูคออวดอำนาจบาตรใหญ่ที่ชวาลานำชัยมาสู่ละโว้ได้ แต่หากเราพึ่งบารมีผู้ที่มีอำนาจเหนือชาวทะเลใต้พวกนั้นละก็…”

“เจ้าน้าหมายถึงผู้ใดเพคะ” พระนางวิมุทราพระทัยเต้นแรง

เจ้าหญิงทวีติยาสบพระเนตรเจ้านายทุกพระองค์ในที่ประชุมลับแห่งนั้น ลดสุรเสียงลงจนแทบกระซิบ

“เมื่อครั้งชนุดรบุกค้นอาศรมท่านรุธี ก็ทรงพบเศษผ้าขาดชิ้นหนึ่งตกอยู่มิไกลจากบันไดเรือน อนุชาของข้ามิรู้จักแพรพรรณสตรีมาก จึงเก็บมาให้ข้า…” ตรัสแล้วก็ทรงหยิบเศษผ้าสีน้ำเงินเข้มออกมาจากหีบเงินใบจิ๋ว ยื่นให้เจ้านายทั้งหลายยลด้วยเนตรตนเอง “พวกเราเป็นสตรีฝ่ายใน ย่อมคุ้นเคยภูษาอาภรณ์ชั้นสูงทุกชนิด พวกท่านได้ประจักษ์ด้วยตาแล้วคงเข้าใจดีว่า…เศษผ้าสีน้ำเงินชิ้นนี้ มาจากภูษาของ…ผู้ใด”

เจ้านายทุกพระองค์ ณ ที่นั้นหนาวเยือกตลอดร่าง ต่างสบตากันพลางกลืนพระเขฬะ ทวีติยาจึงตรัสสำทับ “ใช่ว่าเรามีทางเลือกมากนักแล…หากเห็นชอบด้วยแล้วก็ต้องเข้าเฝ้าภายในราตรีนี้”

 

ขณะที่กลุ่มอำนาจที่เป็นคู่แข่งทางการเมืองกำลังดิ้นพล่านเดือดร้อนที่แผนการผิดพลาด กลุ่มเจ้านายรักตมปุระกลับกระหยิ่มยิ้มย่องกับชัยชนะ สาแก่ใจกับผู้ปราชัย พวกที่คิดกำจัดพระนางชวาลาด้วยการบีบให้นำทัพออกศึกคงแค้นใจแทบกระอัก เพราะบัดนี้ราษฎรทั่วราชธานีล้วนได้ประจักษ์เดชานุภาพของเจ้าหญิงชวาลาอย่างหมดจดไร้ข้อกังขา อำนาจใดที่คู่แข่งคิดลดทอนกลับมีแต่จะยิ่งเพิ่มพูน ประชาชนได้เห็นแล้วว่าแม้แต่กองทัพมหึมาของไตมาวที่ดูอย่างไรก็ไร้หนทางที่ละโว้จะสู้ได้ ชวาลาก็ยังเอาชนะได้ พระนางเพียงพระองค์เดียวที่เปลี่ยนความอกสั่นขวัญแขวนของชาวเมืองให้กลายเป็นเสียงแซ่ซ้องสรรเสริญ กลุ่มอำนาจคู่แข่งทั้งหลายเองก็คงมิคิดว่าแผนการสังเวยชวาลาในสนามรบจักกลับตาลปัตรเป็นเยี่ยงนี้ได้

เมื่อเจ้าชายกัษษกรและพระชายาชวาลาเสด็จกลับละโว้ ถึงครานั้นก็ไม่มีสิ่งใดหยุดยั้งกลุ่มเจ้านายฝ่ายรักตมปุระได้อีก ไม่ช้าไม่นานแล้ว เจ้าชายก็คงจะได้สืบทอดราชบัลลังก์ภายใต้อิทธิพลของพระชายาผู้ทรงโฉมและปรีชาปราดเปรื่อง อำนาจแท้จริงจักตกอยู่ในมือกลุ่มแคว้นทะเลใต้ เมื่อนั้นกลุ่มรักตมปุระก็จักขึ้นเป็นใหญ่ในราชสำนักละโว้แทนพวกวงศ์เวหะได้โดยชอบธรรม

“เกษวดี ปทุมวดี…เราจงเร่งเตรียมต้อนรับผู้ชนะศึกกลับบ้านเถิด จงนำเครื่องทรงนางพญาที่ได้ตัดเตรียมไว้ออกมาให้ลูกหญิงของข้าแต่งขณะเข้าท้องพระโรงเถิด ข้าแทบทนรอมิไหวอีกแล้ว”

พระชายามฤติกาเคาะพัดขนนกลงกับตั่งช้าๆ อย่างสบายอารมณ์ แย้มสรวลงามเบิกบานหฤทัยอย่างยิ่งยวด…ความพยายามและเสียสละอันยาวนานใกล้จักจบลงเสียที

 



Don`t copy text!