ซ่อนรักในรอยกาล “ลวปุระ ทวารวดี” บทที่ 17 : ตะวันลับฟ้า ดาราพร่างพราย (1)

ซ่อนรักในรอยกาล “ลวปุระ ทวารวดี” บทที่ 17 : ตะวันลับฟ้า ดาราพร่างพราย (1)

โดย : พิมพ์อักษรา

Loading

ซ่อนรักในรอยกาล โดย พิมพ์อักษรา กับผลงานนวนิยายอิงประวัติศาสตร์อ่านง่าย ว่าด้วยทฤษฎีหนึ่งในตำนานประวัติพระนางจามเทวีกับพระสวามีที่แทบไร้หลักฐาน ผ่านเกมการเมืองในอาณาจักรทวารวดี อันมีชายปริศนาแฝงตัวเข้ามาอยู่เบื้องหลังเกมชิงบัลลังก์ครั้งใหญ่นี้ ติดตามได้ในเพจ อ่านเอา และ anowl.co

รุ่งอรุณนั้นฟ้าโปร่งไร้เมฆ อากาศอบอ้าวหากมิร้อนมากนัก เป็นวันอันแจ่มใสที่มีกลิ่นอายของความอึดอัดซ่อนอยู่ ราชสำนักลวปุระเริ่มจารึกไว้…

เจ้าหญิงชวาลา ราชธิดาแห่งกษัตริย์ละโว้ทรงเริ่มออกเดินทางเสด็จโดยชลมารคในวันอังคาร แรมแปดค่ำ เดือนสิบสอง พระจันทร์เสวยฤกษ์อถระ ปรากฏในราศีเมถุน พร้อมด้วยข้าราชบริพาร พระสงฆ์ ช่างฝีมือ และขุนทหารทั้งหมด รวมทั้งสิ้นเจ็ดร้อยแปดสิบเก้าชีวิต ทั้งทรงอัญเชิญพระแก้วขาวแลพระรอดหลวงเพื่อไปประดิษฐานยังนครหนขุนน้ำโพ้น แลมีขุนเจ้าขันติเป็นตัวแทนแห่งพระสุกกทันตฤๅษีในการนำขบวนเสด็จเกียรติยศนี้

ปวงชนทั้งหลายที่มาเฝ้าส่งเสด็จเจ้าหญิงผู้เป็นที่รักต่างพากันร่ำไห้อาลัยรักพระนางทั้งสิ้น มีเสียงร้องระงมเซ็งแซ่ว่าละโว้ธานีสิ้นบุญวาสนาเสียแล้ว เหตุใดจึงต้องพรากดวงชวาลาของพวกเขาไป มิส่งเจ้านายสักพระองค์ไปครองนครแดนเหนือแทนเล่า

วรองค์สูงที่ประทับอยู่ ณ สีหบัญชรปราสาทร่วมกับพระราชบิดา ทอดพระเนตรขบวนเสด็จของราชนารีอันเป็นที่รักสุดดวงใจค่อยๆ ลับสายพระเนตรไปด้วยพระทัยรวดร้าวราวจักแตกออกเป็นเสี่ยง ทรงเห็นเจ้าหญิงชวาลาเหลียวมาทอดพระเนตรบ้านเมืองและผู้เป็นที่รักอีกเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะกลายเป็นจุดเล็กที่เลือนหายไปในอากาศ พระทัยกัษษกรราวกับจักหลุดลอย เสมือนเหลือเพียงร่างไร้วิญญาณเท่านั้น

“อันชะตานำพาให้พบและพลัดพราก” พระเจ้าจักวัติตรัสดุจปลงตก “เราได้รับคำพยากรณ์ว่าชวาลาจะนำพานครละโว้ไปสู่ความรุ่งเรือง กำราบอริราชศัตรูได้หมดสิ้น เป็นที่รักของพสกนิกร แต่ดูเถิด…ช่างมีเวลาให้ลูกหญิงของเราน้อยนิดเหลือเกิน”

“หากมองในแง่ดี พระนางจักนำแสงทองแห่งพุทธธรรม และความรุ่งเรืองแห่งทวารวดีไปสู่ดินแดนแห่งความไม่รู้แจ้ง นับเป็นราชกรณียกิจอันยิ่งใหญ่นะเจ้าข้า” ราชบุตรทรงพยายามปลอบใจองค์เองเช่นกัน

“ถูกของเจ้า…นางอาจเกิดมาเพื่อเป็นใหญ่ในบ้านเมืองของตนเอง” ราชันทรงหันมาทอดพระเนตรราชโอรสจากไชยาด้วยความเวทนา “ทีนี้ก็เหลือเพียงเราสองคนแล้วนะรามราช ลูกเอ๋ย…ที่ต้องฟันฝ่าท่ามกลางฝูงสุนัขป่ากระหายหิวทั้งหลาย ลำพังพ่อก็แก่เฒ่าลงไปทุกวัน กำลังวังชาหรืออำนาจก็ถดถอย คงต้องหวังพึ่งเจ้าสืบต่อและปกป้องราชบัลลังก์ละโว้ เจ้าก็จงฝืนใจเลือกสักพระนางมาเป็นอัครชายาเสียเถิด ถูกใจผู้ใด พ่อจักสนับสนุนเต็มกำลัง”

ครั้นเห็นราชบุตรยังเงียบ พระองค์ก็ตรัสต่อไปว่า “อันตัวพ่อนั้นมีหน้าที่ต้องชดเชยให้มฤติกา ด้วยเหตุที่ต้องส่งพระธิดาสุดสวาทของนางไปไกลสุดหล้า บัดนี้มฤติกามิเหลือผู้ใด เพราะสละทั้งเกษวดีและปทุมวดีให้ติดตามไปดูแลปกป้องชวาลาด้วย พ่อต้องเป็นหลักคุ้มภัยแก่นางขณะที่ยังพอทำได้ เรื่องที่ใคร่สละทางโลกออกบวชนั้น ก็คงต้องรอให้มฤติกาพร้อมนั่นแล”

“ลูกก็ใคร่ทูลขอเสด็จพ่อว่าจักออกบวชก่อนขึ้นครองราชย์ตามธรรมเนียมกษัตริย์ทวารวดีเสียก่อนเจ้าข้า หลังจากนั้นจักเลือกเจ้าหญิงสักพระองค์ขึ้นเป็นมเหสีโดยมิบิดพลิ้ว”

“พ่อขออนุโมทนาบุญนั้นด้วย” ตรัสแล้วทอดพระเนตรราชบุตรอยู่อึดใจ คล้ายจะตรัสบางอย่างหากก็เปลี่ยนพระทัย เสด็จจากไปด้วยนัยเนตรเศร้าหมอง ทิ้งให้ราชโอรสบุญธรรมยืนเคว้งคว้าง พลันให้ทรงรู้สึกเงียบเหงาว่างเปล่าขึ้นมาในบัดดล…

ถึงอย่างไรก็ยังมีช่องว่างนั้นเสมอ…ช่องว่างอันห่างเหินและประดักประเดิดระหว่างบิดาและบุตรผู้มิได้มีสายเลือดเดียวกัน เมื่อสิ้นศูนย์รวมอันเป็นตัวเชื่อมอย่างเจ้าหญิงชวาลาแล้ว ระหว่างพระองค์กับกษัตริย์ละโว้ก็เสมือนคนแปลกหน้า

นานเท่านาน ก่อนที่จะทรงรู้สึกถึงเสียงฝีเท้าแผ่วเบาที่คุ้นเคยหยุดอยู่เบื้องหลัง…

“วาน้อยไปแล้ว…” พระองค์ปรารภ “ข้าปล่อยเมียที่กำลังอุ้มท้องให้ระหกระเหินเดินทางกันดารไกลได้อย่างไร เหตุใดโชคชะตาจึงบีบให้ข้าต้องทำเรื่องเช่นนี้หนอ”

“ขอเพียงได้พบท่านวาสุเทพ ก็ย่อมวางใจได้ว่าองค์หญิงจักทรงปลอดภัยเจ้าข้า” ฤๅษีร่างผอมพยายามให้กำลังใจลูกศิษย์ตน

“แต่ทราบมาว่าหนทางทุรกันดารอย่างยิ่ง ท้องน้ำคลื่นลมแรง เต็มไปด้วยแก่งหาดอันตรายมากมายมิใช่หรือ ย่อมต้องการผู้เชี่ยวชาญนำทาง อันว่าพระอาจารย์ก็เคยขึ้นล่องแดนเหนือ พอจักชำนาญคุ้นเคยเส้นทาง ท่านวาสุเทพจึงกำหนดให้พระอาจารย์เป็นผู้นำขบวน มิควรเลยที่พระอาจารย์จักดื้อรั้นอยู่ในละโว้ต่อเพียงเพราะเป็นห่วงข้า…เพราะถึงอย่างไรขุนเจ้าขันติก็เป็นขุนศึกชำนาญสงคราม หาได้เจนไพรเจนน้ำดังพวกพรานไม่ ข้าก็ยังเป็นห่วงชวาลาอยู่ดี”

“ท่านวาสุเทพได้จัดพรานชำนาญเส้นทางและต้นหนมาพร้อมขบวนแล้วเจ้าข้า ด้วยการเสด็จโดยชลมารคนี้ต้องอาศัยความคุ้นเคยการล่องแม่น้ำลำธาร อันตัวอาจารย์นั้นรู้เพียงเส้นทางแต่หาชำนาญการเรือไม่ แล้วที่สำคัญ…” สุกกทันตะมองศิษย์รักด้วยความเห็นใจ “อาจารย์จักทิ้งฝ่าบาทไปได้อย่างไรเจ้าข้า”

วาจาสั้นๆ หากเต็มเปี่ยมด้วยความจริงใจของพระฤๅษีทำให้ต้องเบือนพักตร์ไปอีกทางเพื่อกลั้นน้ำพระเนตร ด้วยทรงตระหนักแก่พระทัยดีว่าหากผลักไสดาบสชราไปอีกคน ก็เท่ากับว่าบัดนี้ทรงเหลืออยู่ตัวคนเดียว ไร้ญาติขาดมิตร ในดินแดนที่เหมือนจะเป็นของพระองค์…แต่ก็มิใช่

“ท่านวาสุเทพเองก็กำหนดให้อาจารย์หรือตัวแทนเป็นผู้นำขบวนเสด็จเพื่อเป็นประกันความปลอดภัยขององค์หญิงชวาลา ซึ่งอาจารย์ก็ได้แต่งตั้งขุนเจ้าขันติเป็นเสมือนราชทูต สมพระเกียรติองค์หญิงทุกประการ อันขุนเจ้าขันตินั้นก็เป็นขุนพลผู้แข็งแกร่งแลจงรักภักดีต่อองค์หญิงยิ่งชีพ ย่อมวางใจได้ว่าขบวนเสด็จของพระนางอยู่ในมือคนที่ไว้ใจได้และมีฝีมือฉกาจเจ้าข้า” ฤๅษีชราทอดมองจากมหาปราสาทสู่ความว่างเปล่าเบื้องล่าง ประชาชนที่รอส่งเสด็จได้สลายตัวกลับบ้านเรือนตนไปกันหมด เหลือเพียงเจ้าชายของเขาที่ทรงเฝ้ามองฝุ่นธุลีจากขบวนพระชายาอยู่เช่นนั้นอีกเนิ่นนาน

“อันเรื่องคุ้มภัยภายนอกย่อมต้องหวังพึ่งขุนเจ้าขันติเป็นสำคัญ หากเรื่องความสะดวกสบายราบรื่นภายใน อาจารย์ก็หวังว่าไอ้รัญชน์จะพึ่งพาได้ ให้สมกับที่สอนสั่งไปตั้งมากมาย”

“หึ ไอ้คนเลี้ยงม้าหน้าด่างอย่างนั้น ใคร่รู้นักจักหาวิธีเอาตัวรอดหรือช่วยเหลือชวาลาอย่างไรได้”

“รับสั่งราวกับเกลียดชังมันกระนั้น” ฤๅษีหัวเราะน้อยๆ “ทรงขอให้มันไปดูแลองค์หญิงเอง ทั้งยังมอบหมายให้อาจารย์กวดขันทักษะไหวพริบมันอย่างเข้มข้น ขาดเพียงไม่กี่ศาสตร์ก็จักเทียบนักปกครองได้เชียวนะเจ้าข้า แต่มันเป็นคนทะเล่อทะล่า แม้จะสุขุมขึ้นมากแล้ว หากก็ยังไร้จริยาวัตรเยี่ยงขัตติยราชอยู่ดี”

“ข้ามิได้จะให้มันเป็นเจ้าเป็นนายสักหน่อย” กัษษกรเคาะดรรชนีกับบานบัญชรอย่างครุ่นคิด “เพราะข้ารู้ว่ามันอาจกลับโลกของมันไปได้ทุกเมื่อ”

“เหตุใดจึงมิยอมให้บอกมันเล่าว่าหนขุนน้ำมิใช่นามแท้จริงของนครใหม่นั้น แต่เป็นคำเรียกเมืองที่อยู่ต้นน้ำต่างหาก แท้จริงแล้วยังเป็นนครไร้ชื่อเสียด้วยซ้ำ”

“ท่านก็รู้ว่าหาได้ไร้นามเสียทีเดียวเมื่อไร ก็พวกต้นหนพื้นเมืองที่จะนำทางขบวนนั้นแล เรียกชื่อดินแดนแห่งนั้นตามตำนานเก่าแก่ของพวกเขาที่ว่ามีรุกขเทวดาทุพพลภาพองค์หนึ่งปกปักรักษาอยู่ แลเทวดาองค์นั้นอาศัยอยู่บนเนินดินที่พูนสูงขึ้นมา พวกเขาจึงเรียกดินแดนแห่งนั้นว่า…”

“ลำพูน…”

“ถูกแล้ว” กัษษกรพยักพักตร์ช้าๆ “นามที่มันชอบเอ่ยถึงเมื่อแรกอย่างไรเล่าว่าเป็นมาตุภูมิของมัน ลองรูปการณ์เป็นเช่นนี้แล้ว ย่อมมิใช่เรื่องบังเอิญ… ‘ลำพูน’ ย่อมเกี่ยวเนื่องกับชาติกำเนิดในโลกของมัน หากมันทราบแต่แรกว่านครหนขุนน้ำที่มันกำลังไปคือลำพูนของมัน มันย่อมตั้งความหวังสูงและขวนขวายจะกลับโลกในกาลหน้าของมันให้ได้”

“แต่จะช้าจะเร็ว รัญชน์ก็ต้องทราบอยู่ดีว่าเขากำลังไปนครลำพูน จักปิดบังหรือไม่อาจารย์ก็มิเห็นว่าต่างกันอย่างไร มิต้องเอาเรื่องเมืองลำพูนมาจูงใจ ถึงอย่างไรมันก็ตอบตกลงจะไปนครใหม่อยู่แล้ว เว้นเสียแต่ว่า…” พระอาจารย์หรี่ตาลงอย่างรู้ทันศิษย์เอกที่อบรมสั่งสอนมากับมือ

“พระอาจารย์เข้าใจถูกแล้ว…เพราะข้ายังมีความหวังริบหรี่ในใจ มิอยากให้มันกลับไปในกาลเวลาของมันได้ ข้าต้องการให้มีคนปกป้องชวาลา ข้าเห็นแก่ตัวยิ่งนัก…ใช่หรือไม่”



Don`t copy text!