ซ่อนรักในรอยกาล “ลวปุระ ทวารวดี” บทที่ 6 : ศึกนอกมิสู้ศึกใน (1)

ซ่อนรักในรอยกาล “ลวปุระ ทวารวดี” บทที่ 6 : ศึกนอกมิสู้ศึกใน (1)

โดย : พิมพ์อักษรา

Loading

ซ่อนรักในรอยกาล โดย พิมพ์อักษรา กับผลงานนวนิยายอิงประวัติศาสตร์อ่านง่าย ว่าด้วยทฤษฎีหนึ่งในตำนานประวัติพระนางจามเทวีกับพระสวามีที่แทบไร้หลักฐาน ผ่านเกมการเมืองในอาณาจักรทวารวดี อันมีชายปริศนาแฝงตัวเข้ามาอยู่เบื้องหลังเกมชิงบัลลังก์ครั้งใหญ่นี้ ติดตามได้ในเพจ อ่านเอา และ anowl.co

หลังพิธีอภิเษก เจ้าอุปราชรามราชและพระชายาได้เสด็จไปครองรามนคร เมืองลูกหลวงแห่งลวปุระ ร่วมแรงร่วมใจก่อร่างสร้างเมืองน้อยๆ ให้เป็นนครอันสงบร่มเย็นน่าอยู่ วางผังเมืองให้เหมาะแก่การอยู่อาศัยของชาวเมืองแต่ละกลุ่ม และให้เอื้อต่อการกสิกรรมอันเป็นหัวใจหลักเมืองราม ไปจนถึงเอื้อต่อการสัญจรระหว่างเมืองเพื่อสนับสนุนการเดินทางแลกเปลี่ยนค้าขาย ทั้งสองพระองค์ยังทรงทำตามที่ตั้งปณิธานไว้ว่าจักให้เมืองรามมีแสงทองแห่งพุทธธรรมนำทางมากกว่าวิถีปฏิบัติลัทธิอื่น หากก็ยังประนีประนอมให้อยู่ร่วมกันได้โดยสันติ จึงได้เห็นวัดวาอารามกระจายอย่างมีแบบแผนทั่วเมือง แทรกปนด้วยเทวาลัยตามคตินิยมดั้งเดิมอย่างกลมกลืน มีพระดำริมิแยกถิ่นออกจากกันให้เกิดการรวมพรรครวมพวก ด้วยต้องการให้คนต่างความเชื่ออยู่ร่วมกันได้

นอกจากนั้นยังย้ายพระไชยทองมาอยู่เป็นพระประธานในอารามหลวงเมืองรามเป็นสิริมงคล แลเพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งความรักของทั้งคู่ ทรงเพลิดเพลินกับการทำนุบำรุงศาสนสถาน บ้านเมือง ความเป็นอยู่ของราษฎรโดยมิเห็นเป็นภาระเหน็ดเหนื่อย แต่ละวันคืนที่ผันผ่านจึงเต็มไปด้วยความสุขสำราญ

“พี่ไม่เคยรู้สึกเป็นอิสระแลเป็นสุขมากเท่านี้มาก่อนในชีวิตเลย” เจ้าอุปราชทรงปรารภขึ้นในวันหนึ่ง หลังการตรวจพระคลังสินค้าด้วยองค์เองและพบว่าทุกอย่างเป็นไปดังพระทัย วิธีการของพระองค์ค่อยๆ เปลี่ยนเมืองเล็กอย่างรามนครให้กลายเป็นชุมทางการค้าขนาดย่อมสำหรับกระจายสินค้าสู่นครอื่นๆ ตอนในแผ่นดิน “พี่ได้ทำตามปรารถนา บ้านเมืองก็เจริญได้โดยมิต้องรบพุ่งทำสงคราม มิถูกบังคับให้สู้รบขยายดินแดน ทั้งยังได้ใช้เวลากับวาน้อยในทุกๆ วัน ทำในสิ่งที่เราสองพึงใจ พี่จักปรารถนาสิ่งอื่นใดได้อีกหนอ”

“น้องก็เช่นกันเพคะ” พระนางอิงเศียรบนอังสาพระสวามี รู้สึกถึงความสุขปีติเอ่อล้นหทัย “ได้ทำสิ่งที่รัก ได้อยู่กับบุรุษที่รัก มองดูบ้านเมืองเจริญขึ้นด้วยน้ำมือเราแล้วช่างน่าภูมิใจเหลือเกิน มิต้องคอยสู้รบกับพวกที่คอยขัดแข้งขัดขาให้วุ่นวาย หากเราสองคนได้ปกครองที่นี่ตลอดไปก็คงดีนะเพคะ”

พระนางถอนปัสสาสะยาว “ตัวน้องมิได้มักใหญ่ใฝ่สูง หรือกระหายปกครองอาณาจักรยิ่งใหญ่ น้องมีฝันเรียบง่ายเพียงแค่ได้ใช้ชีวิตอยู่อย่างสงบ ราษฎรกินอิ่มนอนหลับ อยู่ดีมีสุขเท่านั้นเอง”

กัษษกรลูบพาหาพระชายาช้าๆ “แท้จริงแล้วพี่ก็มิต่างจากน้องหรอก พี่ถึงชอบอยู่กับวาน้อย เพราะเนื้อแท้เราสองคนมิได้เห่อเหิมทะเยอทะยานในอำนาจลาภยศทั้งสิ้น โชคชะตา…หรือบุญกรรมต่างหากที่กำหนดให้เราเลือกทางนี้” ตรัสแล้วสรวลเบาๆ “เอ…พี่ช่างพูดจามิสมกับเป็นเจ้านครเอาเสียเลย”

“จะมีหนทางใดบ้างหรือไม่หนอ ที่กษัตริย์จักเป็นนักปกครองผู้มักน้อยสันโดษได้” ชวาลารำพึง “ฤๅกษัตริย์จักต้องเป็นผู้กระหายอำนาจ ปรารถนาเป็นผู้พิชิตเท่านั้นจึงจักนำพาบ้านเมืองรอดพ้นได้”

“จะมักน้อยสันโดษหรือทะเยอทะยานใฝ่สูง หากโง่เขลาไร้ปัญญาก็เปล่าประโยชน์”

ชวาลาเอียงศอ เงยพักตร์มองภัสดา “ปัญญานั้นเจ้าพี่น่ะมีแน่แล้ว แต่น้องต่างหาก”

“จักหาผู้ใดปราดเปรื่องปรีชาเท่าวาน้อยมิมีอีกแล้ว”เจ้าชายกัษษกรรับสั่งแล้วก็ทรงนิ่งไปอึดใจ ด้วยเป็นเรื่องที่ใครต่อใครล้วนยกย่องกล่าวขานเช่นนั้น

เจ้าหญิงชวาลาทรงฉลาดรอบรู้ไปทุกสรรพศาสตร์ราวเทพเนรมิตสร้าง…เก่งกาจกว่าราชนิกุลทั้งวงศ์เวหะ รวมถึงพระองค์เองด้วย ข้อนี้ทรงทราบดีแก่พระทัย

“เจ้าพี่มิต้องสรรเสริญน้องอีกคนหรอกเพคะ สำหรับน้องแล้ว เจ้าพี่คือมหาบุรุษ…มหาบุรุษมิจำเป็นต้องเป็นยอดขุนศึกในสนามรบเท่านั้น แต่คือผู้ที่ดูแลปกครองทุกอย่างได้ด้วยปัญญา มิใช่ด้วยกำลังเพียงอย่างเดียว”

“วาน้อยก็ยกยอพี่เสมอ ตั้งแต่เล็กจนโต” ปลายสุรเสียงสั่นเล็กน้อย “เอาเถิด ถึงอย่างไร เราสองมิอาจครองเมืองรามได้ตลอดไป วันข้างหน้า อย่างไรก็ต้องขึ้นครองบัลลังก์ละโว้…เป็นเจ้าทวารวดี คงไม่มีความสงบสุขเรียบง่ายเช่นนี้เป็นแน่ ถึงวันนั้นการใช้กำลังอาจเป็นเรื่องที่มิอาจหลีกเลี่ยงก็เป็นได้”

“น้องยังนึกไม่ออกเช่นกันว่าเมื่อถึงวันนั้นจักเป็นเช่นไร” พระนางนึกตามสวามีก็สะท้อนสะท้านพระทัย “เช่นนั้นก็ขอให้พวกเราจดจำห้วงเวลาด้วยกันที่นี่ไว้นะเพคะ”

หากเจ้าพี่เขนกลายเป็นบุรุษมักใหญ่ใฝ่สูงเมื่อใด ก็คงมิใช่ชายที่พระนางรัก

สำหรับพระชายาแล้ว พระสวามีก็มิใช่ขุนศึกนักปกครองผู้เหี้ยมหาญอย่างที่คนเขาวิพากษ์วิจารณ์นั้นแล แม้ตัวเจ้าชายเองก็รับสั่งอยู่เสมอว่าพระองค์พระทัยอ่อน ไม่สามารถรบทัพจับศึกช่วยศรีวิชัยขยายดินแดนอย่างพี่น้องพระองค์อื่นได้ จึงถูกเลือกเป็นอันดับต้นให้เป็นผู้นิราศจากมาตุภูมิไป เจ้าชายยังทรงนึกกังขาอยู่เสมอว่าเช่นนี้แล้วพระองค์จักมีประโยชน์ต่อลวปุระได้อย่างไร

ทว่าชวาลากลับมิเคยนึกตำหนิแม้แต่น้อย ทรงมองว่าคุณสมบัติของสวามีเป็นประโยชน์ต่อบ้านเมืองหลายประการ แม้ครองเมืองลูกในฐานะเจ้าอุปราช ก็ทรงวางระบบการค้าการคลัง ตลอดจนยุ้งฉางหลวงให้เอื้อประโยชน์ต่อละโว้เป็นสำคัญ ความเป็นนักปกครองผู้กระหายอำนาจนั้นมิจำเป็นเลยสักนิด เรื่องนั้นให้เป็นธุระของชาวรักตมปุระในละโว้…หรือเรียกให้ถูกคือของเจ้าหญิงมฤติกาจักเหมาะกว่า

‘เพลานี้บ้านเมืองละโว้สงบราบเรียบ หากหาไว้ใจได้ไม่ ด้วยความปกติสุขจนเกินพอดีผิดวิสัยนั้น มิต่างอันใดกับคลื่นใต้น้ำใต้ผืนธาราอันเงียบสงบนั้นแล’ พระมารดาส่งข่าวทางละโว้อยู่สม่ำเสมอ ‘แม่มิเคยวางใจ คนพวกนั้นไม่มีทางวางเฉยได้นานเพียงนี้เป็นแน่ แม่ต้องคอยแสดงอำนาจชาวทะเลอย่างเราให้พวกเขาประจักษ์อยู่เนืองๆ มิเช่นนั้นจักถูกข่มเหงรังแกเอาได้’

ราชสำนักรักตมปุระและไชยานั้นคอยส่งสาส์นแลบรรณาการเจริญสัมพันธไมตรีต่อราชสำนักละโว้อยู่สม่ำเสมอ นัยหนึ่งเพื่อสำแดงพระราชอำนาจและแสนยานุภาพกองทัพเรือของชาวแคว้นทะเลใต้ แลเพื่อย้ำว่าทั้งสองแคว้นจับตาความเคลื่อนไหวในละโว้อยู่ ทั้งเจ้าชายกัษษกรและพระชายาจึงมิใช่สองราชนิกุลหัวเดียวกระเทียมลีบที่ใครจะคิดกำจัดประหัตประหารได้โดยง่าย

‘พระบิดาของเจ้านั้นมิใคร่ให้พี่น้องชิงดีชิงเด่นกันนัก ใคร่ให้ปรองดองกันรักษาอาณาจักร จึงทรงพยายามเปิดโอกาสให้เจ้านายทั้งบุรุษแลสตรี ได้ประกอบกรณียกิจใหญ่แทนขุนน้ำขุนนางบ้าง ทว่าผลมิใคร่สู้ดีนัก จะด้วยไร้ความสามารถ หรือปราศจากความอดทนก็ตาม ราษฎรมิพึงใจเลยสักน้อย ด้วยพสกนิกรแซ่ซ้องสรรเสริญรักแต่เจ้าหญิงชวาลาผู้เดียว’

ชวาลาหนักพระทัย ยิ่งทรงฉายแสงเจิดจ้าเท่าไร คนในย่อมทวีความเกลียดชังเท่านั้น

หากในบ้านมิเข้มแข็งปรองดองกัน จักรับมือต่อสู้ศึกนอกบ้านได้อย่างไร

 



Don`t copy text!