ซ่อนรักในรอยกาล “ลวปุระ ทวารวดี” บทที่ 6 : ศึกนอกมิสู้ศึกใน (2)

ซ่อนรักในรอยกาล “ลวปุระ ทวารวดี” บทที่ 6 : ศึกนอกมิสู้ศึกใน (2)

โดย : พิมพ์อักษรา

Loading

ซ่อนรักในรอยกาล โดย พิมพ์อักษรา กับผลงานนวนิยายอิงประวัติศาสตร์อ่านง่าย ว่าด้วยทฤษฎีหนึ่งในตำนานประวัติพระนางจามเทวีกับพระสวามีที่แทบไร้หลักฐาน ผ่านเกมการเมืองในอาณาจักรทวารวดี อันมีชายปริศนาแฝงตัวเข้ามาอยู่เบื้องหลังเกมชิงบัลลังก์ครั้งใหญ่นี้ ติดตามได้ในเพจ อ่านเอา และ anowl.co

แม้สถานการณ์ในทวารวดียังมั่นคง หากทรงทราบดีว่าหาควรนิ่งนอนใจไม่ จึงต้องมีหูตาว่องไวทราบความเป็นไปในแว่นแคว้นใกล้ไกลเสมอ

“เราต้องมีกองกำลังจำนวนมากเพียงนี้เชียวหรือ วาน้อย” เจ้าอุปราชประหลาดพระทัยเมื่อพระอัครชายามีดำริปรับปรุงกองทัพเสียใหม่ แลริเริ่มคัดเลือกขุนศึกแม่ทัพด้วยตนเอง “ครั้งสุดท้ายที่พี่เห็นกำลังพลมากเท่านี้ก็คราที่เจ้าพี่สินมหัตกรีธาทัพเข้ายึดเกาะเทมาสิก (1) นั้นเชียว”

“เจ้าพี่ก็รับสั่งเกินไป มิได้มากเลยเพคะ พอเหมาะที่จักป้องกันตนเองเท่านั้น มิได้เพียงพอไปสู้รบต่อตีชิงนครใดเลยด้วยซ้ำ เจ้าพี่รับสั่งราวกับมิได้มาจากไชยากระนั้น กองทัพเรือศรีวิชัยนั้นเกรียงไกรระบือนามเป็นที่เลื่องลือไปทั่ว เจ้าพี่จักเห็นจนชินมากกว่า”

“เช่นนั้นหรือ” กัษษกรรำพึง รำลึกถึงท้องทะเลไพศาลและกองทัพเรือยิ่งใหญ่ที่เห็นตั้งแต่ลืมเนตรดูโลก แม้บัดนี้จักกลายเป็นความทรงจำอันรางเลือนแสนไกลก็ตาม

“พี่สู้ใครเขาไม่ค่อยได้หรอก ได้แต่มองเท่านั้นแล หาได้เคยลงสนามอย่างใครเขา ว่าแต่…” ทรงหันมามองอย่างให้แน่พระทัย “หรือ…พวกเรากำลังตกอยู่ในอันตรายกระนั้นฤๅ น้องระแคะระคายสิ่งใดอยู่ อา…หรือคนพวกนั้นกำลังเริ่มต้นแผนเด็ดแขนเด็ดขาพวกเราแล้ว”

“น้องเพียงอยากรอบคอบไว้ก่อนเท่านั้นเพคะ แม้ไม่เห็นฝ่ายใดซ่องสุมกำลังพลอย่างผิดสังเกตก็จริง หากก็มิอยากประมาท แล้วมิเพียงภายในราชอาณาจักรเท่านั้น เราสมควรระวังนครอื่นด้วย”

“อืม…” เจ้าชายพยักพักตร์ “ทวารวดีมั่งคั่งรุ่งเรืองร่ำรวยอย่างยิ่ง มิแปลกที่จักเป็นที่หมายตา แต่เพลานี้พี่ก็มิคิดว่ามีแว่นแคว้นใดจักต่อกรโจมตีเราได้ง่ายดายนักหรอก ยกเว้นเสียแต่จักเป็นอาณาจักรใหญ่โตเทียบเทียมกัน หรือมีกองทัพมหาศาล”

“เจ้าพี่เคยได้ยินเรื่องชาวไตมาวหรือไม่เพคะ”

“นครรัฐของพวกไตในศรีเกษตรน่ะหรือ” ทรงพอคลับคล้ายคลับคลาอยู่บ้าง “เจ้าขุนตึงคำแห่งเมืองมาวเป็นผู้รวมแคว้นใหญ่ๆ ไว้ด้วยกันเป็นอาณาจักรไตมาว อยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือไปตั้งไกลโพ้นโน่น วาน้อยห่วงอันใดกับชาวไตพวกนั้นหรือ”

“น้องเพียงมองว่าเดิมนครในศรีเกษตรนั้นมีจำนวนมาก ล้วนต่างเผ่าพันธุ์แลแยกเป็นอิสระต่อกัน มิได้น่าเกรงขามจนต้องเห็นเป็นภัย แต่บัดนี้แคว้นใหญ่ๆ ของพวกไตถึงเก้าแคว้นรวมตัวกัน ย่อมหมายถึงอำนาจต่อรองสูงและกำลังแสนยานุภาพมหาศาลที่จักทำศึกสงครามอย่างไรก็ได้ ทางตะวันออก พวกสงยางก็รวมตัวกันอย่างเข้มแข็ง อย่างไรเราก็มิควรนิ่งนอนใจ”

“พี่เข้าใจความกังวลของวาน้อย…” เจ้าอุปราชใคร่ครวญตาม “แลกำลังทบทวนอยู่ว่า ละโว้เองก็มีสัมพันธไมตรีอันดีกับแว่นแคว้นทางศรีเกษตรเสมอมาแม้จักเป็นเพียงการติดต่อค้าขายก็ตาม การจักหาเหตุรุกรานนั้นก็มิใช่ง่ายดายนัก”

พระนางขยับโอษฐ์จะแย้งว่า…แต่พวกไตที่รวมตัวกันเข้มแข็งเป็นอาณาจักรไตมาวแล้วมิได้ถือตนอยู่ใต้อาณัติปกครองแห่งศรีเกษตร ดังนั้นพวกเขาย่อมหาเหตุกระทำตามอำเภอใจได้โดยมิเกรงสัมพันธไมตรี หากก็ทรงระงับไว้เสีย เพราะรังแต่จักทำให้พระสวามีขุ่นเคืองหทัยที่ทรงขัดแย้งพระวินิจฉัยของพระองค์ แลอีกประการก็ด้วยชวาลาทรงนึกว่าพระนางอาจคิดมากไปเองตามประสาผู้ที่ถูกฝึกให้มองสถานการณ์บ้านเมืองรอบด้านตั้งแต่ยังเยาว์…เพราะหากจะว่าไปนั้น การที่พวกไตมาวจะยกทัพข้ามขุนเขาแดนกันดารแสนไกลมาถึงทวารวดีนั้นเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปมิได้เลย

หากพระอาจารย์ยังอยู่ก็คงจักช่วยให้คำปรึกษาพระนางได้ ว่าเรื่องที่ทรงนึกป้องกันไว้ก่อนเป็นความรอบคอบอันเหมาะสมแล้วหรือเป็นเพียงความคิดมากวิตกจริตเกินควร

ทว่าบัดนี้ผ่านมาร่วมสามปีเศษแล้วนับตั้งแต่วาสุเทพฤๅษีได้เดินทางกลับสู่แดนเหนือหลังจากส่งพระนางอภิเษกเป็นชายาอุปราชรามราชได้สำเร็จลุล่วง

เหลือเพียงพระนางกับคู่ชีวิตอย่างพระสวามีนั้นแลที่จักช่วยกันขบคิดแก้ไขปัญหาให้ผ่านไปได้

 

ฤๅษีร่างผอมผมสีเงินเกินครึ่งศีรษะผ่านประตูรามนครเข้ามาอย่างง่ายดาย ด้วยเป็นที่รู้จักของเหล่าทหารดี กอปรกับพวกเขาได้รับพระบัญชาจากอุปราชรามราชให้อำนวยความสะดวกแก่ดาบสชรา

สุกกทันตฤๅษีมองสำรวจเมืองรามด้วยความสนใจ ในระยะเวลาไม่กี่ปี เจ้าอุปราชและพระชายาก่อร่างสร้างเมืองเงียบเล็กอันออกจะรกร้างกันดาร ทำมาหากินปลูกพืชผลอันใดไม่ค่อยได้ขึ้นเป็นนครอันร่มรื่นน่าอยู่ แม้มิได้ใหญ่โตหากก็คึกคักมีชีวิตชีวา ชาวประชายิ้มแย้มแจ่มใสมีความสุข ราวนครในฝันที่ผู้คนดำรงชีวิตอย่างผาสุกพอเพียง นับว่าลูกศิษย์ของเขานำวิชาความรู้ที่ได้ร่ำเรียนมานำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้แท้จริง

เจ้าชายกัษษกรผู้เฉลิมพระนามรามราชต้อนรับเขา ณ ศาลาริมน้ำ สะท้อนพระอัชฌาศัยเรียบง่าย นิยมใกล้ชิดธรรมชาติมากกว่าท้องพระโรงหรูหรา เขาเห็นเจ้าชายมาตั้งแต่เป็นยุวกุมารตัวน้อยผู้อ่อนโยนเมตตา รักความสงบ รับสั่งน้อยหากดวงเนตรกลมโตดำขลับกลับเปล่งประกายฉลาดเฉลียว เป็นนักคิดนักปราชญ์มากกว่าขุนศึก กษัตริย์หริมิตรจึงโปรดให้ศึกษาการค้าการคลัง ไปจนถึงการสันถวไมตรีมากกว่าฝึกวิชาสัประยุทธ์อย่างราชนิกุลพระองค์อื่น สุกกทันตะได้มีโอกาสถ่ายทอดวิชาผังเมืองและการค้าให้พระองค์ตั้งแต่ยังเจริญชันษาได้ไม่ถึงเจ็ดปี ก่อนที่เขาจักอำลาไชยานคร จาริกขึ้นเหนือเรื่อยมาจนปักหลักที่ดินแดนลุ่มแม่น้ำพระแดง คอยสำรวจแว่นแคว้นทวารวดีแลความเป็นไปในราชสำนักทั้งหลาย แล้วรายงานกลับไปยังศรีวิชัย ว่าแว่นแคว้นแดนใดเหมาะสมสำหรับส่งเจ้านายมาเจริญสัมพันธไมตรี

จึงลงเอยที่อาณาจักรลุ่มแม่น้ำละโว้ ตามที่พระเจ้าหริมิตรทรงเคยปรารภไว้พอดิบพอดี

เมื่อเจ้าชายกัษษกรเสด็จมาสู่ราชสำนักลวปุระในฐานะโอรสบุญธรรมแห่งพระเจ้าจักวัติ สุกกทันตฤๅษีจึงรับหน้าที่เป็นผู้ถวายคำสอนและการศึกษาสรรพวิชาที่จำเป็นทั้งปวง

บัดนี้เจ้าชายของเขาเจริญชันษาเป็นบุรุษหนุ่มเต็มองค์ วรองค์สูงโปร่งงดงามไร้ที่ติ ฉวีเข้มอย่างชาวไชยากลายเป็นสีทรายอ่อนแลดูนวลกระจ่าง พระเนตรเข้มคมใต้ขนงเฉียงยาวราวบุรุษดุดันกลับทอนอ่อนลงด้วยวงพักตร์โค้งมน พระปรางอิ่มและพระโอษฐ์บาง ส่งให้เจ้าชายกัษษกรหรือรามราชกลายเป็นบุรุษรูปงามทรงเสน่ห์ที่สุดผู้หนึ่ง

“ได้เห็นฝ่าบาททรงพระสำราญ บ้านเมืองร่มเย็นเป็นสุข อาจารย์ก็หมดห่วง” ฤๅษีชราพิศเจ้าอุปราชอย่างละเอียด “ว่าแต่…ได้ทรงตรวจพระวรกายบ้างหรือไม่เจ้าข้า”

“เหตุใดจึงเอ่ยแย้งกันนัก” กัษษกรสรวลเบาๆ “ท่านใคร่รู้ว่าเหตุใดชวาลาจึ่งยังมิให้กำเนิดทายาท ทั้งที่เวลาล่วงผ่านไปสี่ปีนับจากอภิเษกนะหรือ” ตรัสแล้วก็ถอนปัสสาสะเล็กน้อย

“ข้าก็จนใจ พวกเราแข็งแรงทั้งคู่ จักคิดเป็นอื่นใดได้นอกเสียจากยังมิถึงเพลาเหมาะสม ว่าแต่ท่านเถิด มิได้แก่เฒ่าลงสักน้อยนิด มาถึงเมืองรามทั้งที พำนักอยู่ด้วยกันนานๆ ให้หายคิดถึงหน่อยเถิด”

รับสั่งแล้วก็ชะงักไปอึดใจ “ได้โปรดอย่าบอกว่าท่านจะจากข้าไปไหนอีก…จักไปอยู่กับพระอาจารย์วาสุเทพบนอุฉุจบรรพตแดนเหนือกระนั้นหรือ”

ฤๅษีชรายิ้มอ่อนโยน ดวงตาอ่อนแสงลง “ตามกำหนดเดิมก็ควรเป็นเช่นนั้น แต่อาจารย์ก็อยากมั่นใจเสียก่อนว่าบัลลังก์ของฝ่าบาทจักมั่นคงเพียงพอ เมื่อนั้นค่อยไปก็คงมิสาย”

อุปราชทอดพระเนตรพระอาจารย์แน่วนิ่ง “ชะรอยจักมีเรื่องกวนใจท่านอยู่กระมัง จึงได้มาพบข้า”

ลูกศิษย์เขามิได้โง่เขลาอย่างที่บางคนค่อนขอด ภายใต้ท่าทีนิ่งเฉยเสมือนมิทุกข์ร้อน กอปรกับจริยาวัตรนุ่มนวลโอนอ่อนตามผู้อื่นราวไร้ความคิดของตนเอง เจ้าชายกัษษกรทรงคิดคำนวณในพระทัยถี่ถ้วนทุกเรื่อง ประเมินสถานการณ์แลผู้คนได้อย่างแหลมคม

“วาน้อยก็ทำท่าแปลกๆ มาสักระยะ” รับสั่งพลางแย้มโอษฐ์เล็กน้อย “ก่อนหน้านี้นางคงกังวลเรื่องรัฐไตมาวเรืองอำนาจ บัดนี้คงเบาใจไปมากแล้วด้วยผ่านมานาน ไม่มีวี่แววทางนั้นจักสนใจพวกเราด้วยซ้ำ แต่ก็คงมีเหตุอื่นให้นางขบคิดอยู่เป็นแน่…ให้ข้าเดา ท่านอาจารย์คงมาด้วยเหตุเดียวกัน”

“ฝ่าบาททรงพระปรีชา อ่านใจอาจารย์ได้เสมอ” เขาหัวเราะกลบเกลื่อนความกังวลต่อถ้อยกราบทูลต่อจากนี้ “เช่นนั้นอาจารย์จักมิอ้อมค้อม อาจารย์ใคร่ให้ฝ่าบาทศึกษาการศึกไว้เสียแต่เนิ่น มิใช่เพื่อป้องกันนครประการเดียว เผื่อว่ามีเหตุให้ต้องทรงนำทัพด้วยองค์เอง ฝ่าบาทก็ทรงทราบดี ขัตติยราชย่อมหนีมิพ้นการนำทัพในสงคราม อย่างน้อยก็เพื่อผดุงเกียรติยศ แลเป็นขวัญกำลังใจให้เหล่าทัพ”

“ข้าต้องสู้กับใครเล่า” ทรงข่มสุรเสียงหงุดหงิดเอาไว้ “ทั้งวาน้อยและอาจารย์ก็อมพะนำกันทั้งนั้น ข้ารู้สึกราวกับเป็นคนโง่ที่มิรู้เท่าทันผู้ใดเลย”

“ด้วยความสัตย์จริง อาจารย์มิทราบเจ้าข้า” สุกกทันตฤๅษีทูลตามตรง “อาจารย์ทูลไปตามการพยากรณ์พระชะตาเท่านั้น ให้น่าหวั่นว่าในมิช้าจักหลีกเลี่ยงสงครามมิได้เจ้าข้า”

“เช่นนั้นวาน้อยก็คงอ่านพยากรณ์ชะตาข้ามาแล้วสินะ” พระองค์แค่นสุรเสียง “ข้าจักไปรู้อันใดได้ วิชาอ่านดวงดาวก็มิได้ร่ำเรียนอย่างใครเขา”

“หามิได้พระเจ้าข้า เป็นทั้งพระชะตาของฝ่าบาทและพระชายาที่จักต้องพัวพันศึกการเมือง แลจำเป็นต้องมีกองกำลังที่เข้มแข็ง วาสุเทพฤๅษีเองเป็นห่วงข้อนี้นัก กำชับอาจารย์ให้เฝ้าระวังอย่างดีที่สุด”

“พระอาจารย์วาสุเทพทราบเรื่องนี้แต่แรกแล้วหรือ เช่นนั้นเหตุใดไม่มีโหรคนใดทำนายเรื่องนี้ออกมาเลยเล่า เอาแต่บอกว่าชะตาสมพงษ์ส่งเสริมเป็นมิ่งมงคล นำพากันสู่ความรุ่งโรจน์”

นักบวชลดเสียงลงกระซิบ “พระชะตาที่เหล่าโหราจารย์ได้ไป หาใช่ละเอียดสมบูรณ์ไม่เจ้าข้า ทางรักตมปุระเก็บสงวนเป็นความลับ เกรงจักมีฝ่ายใดนำไปใช้หาประโยชน์หรือทำไสยมายาได้ แต่มิได้หมายความว่าเป็นดวงชะตาปลอมเจ้าข้า”

สุกกทันตะนึกถึงคำพูดของสหายที่บัดนี้กลับไปพำนัก ณ อุฉุจบรรพตบนแดนเหนืออันแสนไกลว่า

‘ดวงชะตาของทั้งสองพระองค์นั้นแปลกประหลาด’ วาสุเทพถอนใจยาว ‘พระชะตาองค์หญิงชวาลานั้นเป็นดวงนางพญาผู้มีบุญญาธิการยิ่งใหญ่ทรงอำนาจอย่างมิต้องสงสัย กระนั้นหนทางกลับมิได้ง่ายดายนัก ต้องฝ่าฟันอุปสรรคขวากหนามอย่างใหญ่หลวง จุดที่มิอาจทำนายได้คือสิ่งที่พระนางต้องฟันฝ่า ทราบเพียงหนักหนาสาหัสนักแล แต่เมื่อพ้นเคราะห์มาได้ ก็จักปลอดภัย นำความรุ่งโรจน์สู่บ้านเมืองได้ในที่สุด’

 

เชิงอรรถ : 

(1) เทมาสิก หรือ เทมาเส็ก คือ ดินแดนที่เชื่อว่าเป็นเกาะสิงคโปร์ในปัจจุบัน

 



Don`t copy text!