ซ่อนรักในรอยกาล “ลวปุระ ทวารวดี” บทที่ 7 : จอมทัพหญิง (2)

ซ่อนรักในรอยกาล “ลวปุระ ทวารวดี” บทที่ 7 : จอมทัพหญิง (2)

โดย : พิมพ์อักษรา

Loading

ซ่อนรักในรอยกาล โดย พิมพ์อักษรา กับผลงานนวนิยายอิงประวัติศาสตร์อ่านง่าย ว่าด้วยทฤษฎีหนึ่งในตำนานประวัติพระนางจามเทวีกับพระสวามีที่แทบไร้หลักฐาน ผ่านเกมการเมืองในอาณาจักรทวารวดี อันมีชายปริศนาแฝงตัวเข้ามาอยู่เบื้องหลังเกมชิงบัลลังก์ครั้งใหญ่นี้ ติดตามได้ในเพจ อ่านเอา และ anowl.co

ขอให้สงครามครั้งนี้ผ่านไปเสียก่อนเถิด

เจ้านายแต่ละฝ่ายลอบสังเกตกันและกัน ระแคะระคายอยู่บ้างว่าอย่างน้อยทั้งอู่ทอง จันเสน ศรีเทพต่างก็เข้าหารัตติฤๅษีให้เป็นที่ปรึกษาอย่างลับๆ

สิ่งที่เกิดขึ้นได้แสดงให้ประจักษ์แล้วว่าแผนการอันชาญฉลาดของฤๅษีกำลังสัมฤทธิผล สมกับที่เพียรย้ำว่าเหมาะกับผู้ที่อดทนรอได้อย่างใจเย็นเท่านั้น

กระนั้น ฤๅษีหนุ่มเองก็ประกาศชัดแจ้งแต่แรกว่าเขาเป็นอิสระ ไม่ฝักฝ่ายเป็นพวกใดพวกหนึ่งโดยเฉพาะ จึงไม่มีประโยชน์ที่จะคิดตลบหลังสังหารเขาในภายหลังเมื่อสมประโยชน์กันแล้ว

ทว่า เช่นนั้นแล้ว รัตติฤๅษีจะได้ ‘ประโยชน์’ ใดจากเรื่องนี้เล่าในเมื่อมิได้ทำงานให้ฝ่ายใด

ไม่มีฝ่ายใดนิ่งนอนใจเรื่องนี้…แต่อย่างไรก็ต้องรอดูว่าลูกศิษย์รุธีฤๅษีจักมีแผนเดินหมากอย่างไรต่อนับจากนี้

 

ราตรีนั้นมืดมิด เมฆหมอกได้ปกคลุมดวงเดือนจนเหลือเพียงแสงสลัวราง หากแสงตะเกียงแลคบเพลิงยังสว่างไสวทั่วทุกตำหนักและท้องพระโรง แทบไม่มีผู้ใดได้หลับได้นอนอีกแล้วนับตั้งแต่ทูตของชาวไตมาวมาเยือน โดยเฉพาะฝ่ายรักตมปุระที่ได้รับผลกระทบโดยตรง

เจ้านายและขุนนางมลายูในละโว้ประชุมหารือแข็งขันเร่งด่วน การตัดสินใจของเจ้าหญิงชวาลาทำให้พวกเขาต้องรื้อทวนแผนการทั้งหมดอีกครั้ง หมากที่รักตมปุระวางอย่างใจเย็นรอบคอบมาตั้งแต่รัชสมัยพระเจ้าปาลทัตและใกล้สัมฤทธิผลเต็มทีกลับสะดุดลงด้วยภัยจากคนนอก ที่แม้จะคาดการณ์คำนวณอย่างไรก็ไม่มีทางคำนึงถึงเรื่องอุกฉกรรจ์เช่นนี้ได้เลย

“เจ้าหญิงในละโว้ก็มีตั้งมากมาย เหตุใดต้องจำเพาะเป็นองค์หญิงวาผู้มีสวามีแล้วให้ได้ คิดเช่นไรก็ประหลาด” คุณท้าวเกษวดีว่า “จริงอยู่ว่าองค์หญิงนั้นทรงสิริโฉมเลอลักษณ์ แลมีปรีชาสามารถเลื่องลือระบือไกล แต่เหตุที่ต้องหาเรื่องกระทำดุจศึกชิงนาง ถึงกับระดมพลจากนครทั้งเก้า และพันธมิตรนอกไตมาว ข้ามขุนเขากันดารอันตรายมาแสนไกลเพื่อสตรีนางเดียว มิมากเกินไปหน่อยหรือ”

“นี่มิใช่ศึกชิงนางหรอกพี่เกษ” ชวาลารับสั่งเยือกเย็น “ไม่มีผู้ใดยอมกรีธาทัพนับแสนมาด้วยเรื่องนี้เป็นแน่ พวกเขาย่อมทราบดีว่าการขอชายาของผู้อื่นย่อมได้รับคำปฏิเสธ จึงใช้เป็นเหตุบังหน้าหาความชอบธรรมในการบุกโจมตีละโว้ แท้แล้วคงต้องการยึดครองบ้านเมืองอันมั่งคั่งอุดมสมบูรณ์ของเรานั้นแล”

“แต่องค์หญิงจักออกศึกด้วยองค์เองนั้น หม่อมฉันยังกังขา” ปทุมวดีไม่สบายใจ “หากวาสุเทพฤๅษียังอยู่ หม่อมฉันก็ยังพอวางใจได้ว่าอย่างน้อยคงพอมีอุบายถวายบ้าง”

“พระอาจารย์เอ่ยเป็นนัยหลายคราแล้วพี่เอ๋ย…ว่าท่านทุ่มเทสั่งสอนข้าจนหมดสิ้นแล้ว เพื่อที่ข้าจักต้องมีวิชาและปัญญาเอาตัวรอดได้เองในวันที่ท่านไม่อยู่ ข้าจึงมั่นใจว่าจักต้องประสบชัยชนะในศึกครานี้”

“ยามนี้ข้าห่วงเจ้าเขนยิ่งนัก” พระพักตร์เจ้าหญิงมฤติกาเคร่งเครียด “พระองค์มิคุ้นเคยการสู้รบ จะต้านศึกได้นานเท่าไรกัน ใจข้าใคร่ส่งกองกำลังทั้งหมดไปตั้งแต่ราตรีนี้เสียด้วยซ้ำ ถ้าหากเจ้าเขนเป็นอันใดไป…ทุกสิ่งที่เราเพียรสร้างมาได้จบสิ้นกันครานี้”

“เจ้าพี่เขนยังพอรับมือไหวเพคะ ยังทรงพอป้องกันนครได้ดีกว่าที่ลูกคาดไว้เสียอีก หากลูกก็มิได้นิ่งนอนใจ กำลังวางกลยุทธ์การศึกให้รอบคอบที่สุด ถึงได้เรียกประชุมแม่ทัพนายกองทั้งหมดตั้งแต่ย่ำรุ่งจนถึงเพลานี้อย่างไรเพคะ เจ้าแม่ก็ทรงทราบดี รี้พลทั้งหมด เฉพาะทัพจากละโว้เอง รวมกับแคว้นในทวารวดีทั้งหมดก็ยังมิเพียงพอต่อกร ถึงจะรวมกำลังพลรักตมปุระและไชยาของพวกเราในละโว้ก็นับว่ามิน้อย หากก็เปรียบเหมือนเอาน้ำในบ่อเทรวมลงในมหาธาราอยู่ดี หรือต่อให้รอทัพจากรักตมปุระกับไชยามาสมทบ ก็ต้องใช้เวลาเดินเรืออีกสิบกว่าราตรี กว่าจะมาถึงก็คงมิทันการ” ดวงเนตรพระนางกลอกไปมาอย่างครุ่นคิด

“เราจำต้องใช้ประโยชน์จากภูมิประเทศและกลศึกเท่านั้นจึงจะรับมือได้”

“แม่เพิ่งเข้าใจว่าเหตุใดพระอาจารย์จึงต้องให้ลูกศึกษาตำราพิชัยสงคราม” พระมารดาทอดถอนพระทัย “คงมองเห็นไม่ทางใดก็ทางหนึ่งนั้นแลว่าภายหน้าชวาลาของแม่จักต้องเป็นจอมทัพหญิง”

มฤติกาทอดพระเนตรพระธิดาอย่างห่วงหาหากก็เชื่อมั่น พระนางทรงเลี้ยงดูเจ้าหญิงชวาลามาอย่างสมบูรณ์ที่สุด สรรพศาสตร์ใดก็ให้เรียนรู้อย่างเจนจบ ถึงแม้มิเคยลงสนามทำสงครามมาก่อน ทว่าก็มิได้เก็บองค์อยู่ในวังเหมือนสตรีชั้นสูงอื่นๆ ทรงเคยฝึกสัประยุทธ์และคุ้นเคยกับกองทัพอยู่บ้าง

“ให้ชวาลาเป็นจอมทัพในศึกนี้หาใช่เป็นเคราะห์ร้ายเสมอไป เป็นโอกาสที่ลูกจักแสดงบารมีให้เป็นที่ประจักษ์” พระนางทบทวนอย่างสุขุม “เพียงแค่ประชาชนรู้ว่าเจ้าหญิงของพวกเขาตัดสินใจจะนำทัพสู้สงครามด้วยองค์เอง พวกเขาจักยิ่งยอมรับนับถือเจ้าในฐานะหน่อเนื้อกษัตริย์ และในฐานะตัวแทนราชวงศ์ลวปุระอย่างแท้จริงอย่างที่มิมีผู้ใดเทียบเทียมได้ ยิ่งกว่าเจ้าชายรามราช ราชบุตรแห่งละโว้เสียอีก”

“ลูกมิเคยคิดชิงดีชิงเด่นเจ้าพี่เขนเช่นนั้นเลยเพคะ เราเป็นคู่ชีวิต ย่อมต้องส่งเสริม นำพากันและกันสู่ความผาสุกรุ่งเรือง เพลานี้ลูกห่วงสวัสดิภาพของพระองค์เหลือเกิน”

มฤติกามิขัดพระธิดาอีก แม้ในพระทัยจักดำริว่าการเสกสมรสของขัตติยราชนั้นหลีกไม่พ้นเป็นหมากทางการเมืองเพื่อประสานประโยชน์ทั้งสิ้น แต่การที่ได้ครองรักกับผู้ที่มีจิตปฏิพัทธ์ด้วย แลสามารถเกื้อกูลประโยชน์กันได้อย่างลงตัวนั้นนับเป็นบุญวาสนาสูงส่งที่พระนางมฤติกามิเคยได้รับ จึงสมควรที่จักทรงยินดีกับพระธิดา ดำริดังนั้นจึงเปลี่ยนไปย้ำให้ความมั่นใจพระนาง

“ลูกหญิงของแม่จักต้องนำชัยชนะมาสู่ละโว้เป็นแน่แท้…แม่มิมีข้อกังขาในเรื่องนี้แม้สักเสี้ยวใจ”

ไม่มีสิ่งใดทำลายความตั้งใจของรักตมปุระได้ทั้งนั้น

แม้แต่กองทัพเกรียงไกรแห่งนครรัฐไตมาวก็ตาม

 



Don`t copy text!