ซ่อนรักในรอยกาล “ลวปุระ ทวารวดี” บทที่ 8 : ศึกแรก (1)

ซ่อนรักในรอยกาล “ลวปุระ ทวารวดี” บทที่ 8 : ศึกแรก (1)

โดย : พิมพ์อักษรา

Loading

ซ่อนรักในรอยกาล โดย พิมพ์อักษรา กับผลงานนวนิยายอิงประวัติศาสตร์อ่านง่าย ว่าด้วยทฤษฎีหนึ่งในตำนานประวัติพระนางจามเทวีกับพระสวามีที่แทบไร้หลักฐาน ผ่านเกมการเมืองในอาณาจักรทวารวดี อันมีชายปริศนาแฝงตัวเข้ามาอยู่เบื้องหลังเกมชิงบัลลังก์ครั้งใหญ่นี้ ติดตามได้ในเพจ อ่านเอา และ anowl.co

ผู้ที่มาพบเขาโดยเร่งด่วนยามวิกาลเป็นคนแรกคือราชสตรีชั้นสูงฝ่ายในพระนางนั้น ผู้ปิดคลุมพักตร์ด้วยผ้าโปร่งสีเข้มสองชั้นมิดชิด ไร้ถนิมพิมพาภรณ์เครื่องทรงบอกยศ แลมิยอมเปิดเผยองค์ว่าเป็นพรรคพวกฝ่ายใด

“ท่านทราบข่าวแล้วกระมัง” สุรเสียงสะกดอารมณ์ฉุนเฉียวไว้ “ชวาลาตีทัพหน้าไตมาวแตกแล้ว และเหตุใดจึงเป็นกัษษ…” ชะงักไปครู่แล้วเชิดพักตร์ขึ้น “เป็นรามราชที่บาดเจ็บสาหัส ไม่ใช่นางเจ้าหญิงจามนั่น”

มิใช่เพียงพระนางผู้นี้ที่โมโหแค้นใจ เขาเองก็รู้สึกดุจเดียวกัน ต่างตรงเหตุผลของความโกรธา ที่เขามิได้หมายพระชนม์เจ้าหญิงชวาลา แต่เป็นพระชนม์ของเชษฐาแฝด

“เจ้าอุปราชมิเคยสัประยุทธ์ในการศึก เพียงถูกฟันพาหาได้แผลฉกรรจ์เท่านั้นมินับว่ามีบุญญาบารมีอย่างยิ่งหรอกหรือเจ้าข้า มิเช่นนั้นคงได้สังเวยพระชนม์ชีพในสมรภูมิเป็นแน่แท้” รัตตกรอดแค่นเสียงด้วยความคับแค้นมิได้ ด้วยเขาหมายความตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง เหตุใดบุรุษผู้อ่อนแอแทบมิเคยจับดาบกระทำยุทธการอย่างพระเชษฐา ตกอยู่ในวงล้อมศัตรูแล้วยังรอดตายมาได้ ฤๅไสยอาคมที่เขาจงใจวางแผนอย่างแยบยลเพื่อหลบเลี่ยงวิชาของสุกกทันตฤๅษีจะใช้มิได้ผลกันเล่า

ฤๅษีเฒ่าผู้นั้นรอบรู้ทุกสรรพศาสตร์ แลระมัดระวังความปลอดภัยของกัษษกรอย่างเข้มงวด ชายหนุ่มจึงต้องรอคอยอดทนอย่างใจเย็นหาช่องโหว่ของการคุ้มกันแน่นหนาทั้งทางกายภาพและทางมนตรา

แล้วโอกาสก็มาถึงในวันหนึ่ง…เป็นวันหนึ่งในหลายคราที่ชายหนุ่มอาศัยลักษณะกายภาพที่เหมือนกับพระเชษฐามิผิดเพี้ยนเข้านอกออกในพระราชฐานชั้นในอย่างอิสรเสรี ไร้คนกังขาสงสัยว่าบุรุษทรงศักดิ์ที่ทรงพระดำเนินไปมาในพระตำหนักมิใช่ราชบุตรละโว้

เขาเลือกพระแสงดาบจากพระราชบิดาหริมิตรเป็นเป้าหมาย แม้แทบไร้โอกาสที่เจ้าชายกัษษกรจะทรงดาบฟาดฟันข้าศึกด้วยพระแสงเล่มนี้ก็ตาม กระนั้นฤๅษีหนุ่มก็คำนวณอย่างดีแล้วว่าเมื่อปลาตัวเขื่องอย่างนครรัฐไตมาวฮุบเหยื่อที่วางไว้แล้ว สงครามจักต้องเกิดแน่แท้ แลถึงเวลานั้นสุกกทันตฤๅษีก็คงได้จากทวารวดีไปสู่แดนเหนือตามสหายตามที่ได้ประกาศไว้นั้นแล แล้วมีหรือที่เจ้าอุปราชลวปุระจะทรงนิ่งเฉยให้สตรีนำทัพโดยมิลงมาเป็นจอมทัพเสียเองได้

อย่างไรเจ้าชายกัษษกรก็ต้องใช้พระแสงดาบศักดิ์สิทธิ์แห่งจันทรวงศ์ไชยาแน่แท้…

ดาบที่ลงไสยเวทเอาไว้อย่างแนบเนียน เมื่อมารได้ดื่มโลหิตมนุษย์เข้าไปมากเท่าไร มนตร์ดำทั้งหลายก็จะออกมาทำลายผู้ใช้ได้รุนแรงมากเท่านั้น

เพียงแต่ไม่คิดว่าเวลานั้นจะมาถึงเร็วกว่าที่คาด ในเมื่อตามชะตาดาราที่เขาศึกษามาอย่างปรุโปร่ง กัษษกรจะต้องทรงออกศึกในสมรภูมิใหญ่ในอีกหลายราตรีข้างหน้า อันจะตรงกับคืนจันทราสีเลือดต่างหาก

ครานี้ถูกฟันบาดเจ็บและตกจากหลังม้า แต่ไม่ตาย…ไม่ตาย น่าเจ็บใจยิ่งนัก

ไสยมารของเขาคงจักทรงอานุภาพเต็มที่ในคืนพระจันทร์เสวยโลหิตเป็นแน่

“แล้วเหตุใดท่านจึงยังจัดการนางหญิงจามผู้นั้นมิได้เสียที” พระนางรับสั่งสุรเสียงราบเรียบ หากเปลวเพลิงคุโชนในดวงเนตรอย่างมิสบอารมณ์ “ดูทีวิชาของท่านคงใช้การมิได้ดังคำอวดอ้างเสียแล้ว”

“ช้าก่อนเถิดพระนางเจ้า…ฤๅมิใช่คนของท่านที่ให้แฝงตัวเข้าไปรับใช้เจ้าหญิงชวาลาทำการมิสำเร็จกันเล่า ไหนว่าท่านยืนกรานเป็นมั่นเหมาะว่าข้ารับใช้ของท่านฝีมือดี ทำการใหญ่มาหลายต่อหลายครั้ง กับแค่ให้ชิงเครื่องรางสร้อยพระศอของวาสุเทพฤๅษีมาให้ได้นั้นมิเกินมือแน่ บัดนี้นางผู้นั้นอยู่ที่ใดกันเล่า มิได้ส่งข่าวมาถึงท่านแล้วหรือกระไร”

พระนางผู้ไม่ทราบฝ่ายนิ่งไปชั่วขณะ รัตตกรจึงอนุมานได้ว่าคนของพระนางน่าจะยังมิได้ส่งข่าวมา อันหมายถึงภารกิจยังมิสำเร็จลุล่วงก็เป็นได้…ชายหนุ่มลอบถอนหายใจโล่งอก เป้าหมายของเขามิใช่พระนางชวาลา เขาย่อมมิต้องการให้เจ้าหญิงของเขาบาดเจ็บ เพียงจำต้องมีสิ่งหลอกล่อพวกเชื้อพระวงศ์ที่กระหายความตายของเจ้าหญิงชวาลาให้ตายใจเท่านั้น

“หากปลดเครื่องรางออกมามิได้ ก็มิอาจโจมตีพระนางชวาลาด้วยคาถาได้เป็นอันขาด แลตัวพระนางเองก็มิแคล้วว่าจะรู้วิชาคาถาอาคมป้องกันตนเองอย่างเจนจัด”

“นางหญิงจามเจ้าเล่ห์เพทุบาย น่ารังเกียจยิ่งนัก ต้องมีสักทางสิที่จะเล่นงานนางได้”

เขาพิศสังเกตราชนารีตรงหน้า เริ่มปะติดปะต่อบางอย่างได้จากอากัปกิริยาและพระดำรัส หากใคร่ให้แน่ใจ จึงตะล่อมหยั่งเชิงไปว่า “ดูทรงรังเกียจชิงชังเจ้าหญิงจากแคว้นทะเลใต้ยิ่งนัก เช่นนั้นมิทรงนึกเดียจฉันท์เจ้าอุปราชบ้างหรือเจ้าข้า เหตุใดยังทรงยกย่องในฐานะราชบุตรละโว้ได้ด้วยความยินดี อันองค์ชายนั้นก็เป็นชาวใต้ มิทรงเรียกเป็นเจ้าชายจามบ้าง เหตุใดจึงแตกต่างกันนักเล่า”

“เฮอะ…ข้าจักรังเกียจราชบุตรองค์เดียวของละโว้ได้อย่างไร” ผู้ตรัสกัดริมโอษฐ์เสมือนครุ่นคิดและข่มอารมณ์ “แต่จะให้เอาพวกศรีเทพหรืออู่ทองขึ้นเป็นรัชทายาทก็หาได้คู่ควรไม่ ซ้ำยังมีอัชฌาศัยเหลือทนยิ่งนัก เช่นนี้ให้เป็นรามราชก็ยังดีเสียกว่า”

ดาบสหนุ่มเริ่มเดาได้รางๆ แล้วว่าราชนารีสูงศักดิ์ผู้นี้เป็นผู้ใด ความยิ่งใหญ่ของพระนางชวนให้ขุมขนลุกชัน เป็นไปได้อย่างมากว่าไม่ว่าแผนการจักสัมฤทธิผลหรือล้มเหลว พระนางย่อมกำจัดรัตติฤๅษีก่อนเป็นอันดับแรก…ชายหนุ่มนึกหมายมาดอยู่ในใจ…เขาจักมิยอมให้ถึงวันนั้นเป็นอันขาด ด้วยหากถึงเพลานั้น รัตติฤๅษีก็จักอันตรธานหายไปจากโลกนี้อย่างไร้ร่องรอย

หากกระนั้นก็มิควรประมาทสตรีผู้นี้…นึกได้ดังนั้น เขาจึงทูลตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนน้อมลง

“อย่าได้ทรงวิตกไปเลยเจ้าข้า หากคนของท่านทำงานมิสำเร็จ ก็ยังมิสิ้นหนทางเสียทีเดียว โปรดทรงระลึกไว้เถิดว่าสงครามยังมิจบ องค์หญิงชวาลายังต้องทรงอยู่ในสมรภูมิไปอีกระยะ แต่ไม่ว่าอย่างไรพระนางก็ต้องปราชัยในศึกครานี้อยู่ดี ท่านจงอดทนรอก่อนเถิด”

อีกคราที่รัตตกรเอ่ยสิ่งตรงข้ามกับที่ใจคิด ด้วยเขาคาดการณ์แต่แรกแล้วว่าอย่างไรลูกศิษย์วาสุเทพฤๅษีก็ไม่มีทางพ่ายแพ้ หากมิมั่นพระทัยว่าจักประสบชัยได้ ก็คงไม่ตัดสินพระทัยเป็นจอมทัพนำศึกแต่แรก

และแผนการแท้จริงของเขานั้นตั้งอยู่บนเงื่อนไขว่าเจ้าหญิงชวาลาจักต้องชนะศึกครานี้เท่านั้น!



Don`t copy text!