ซ่อนรักในรอยกาล “ลวปุระ ทวารวดี” บทที่ 8 : ศึกแรก (2)

ซ่อนรักในรอยกาล “ลวปุระ ทวารวดี” บทที่ 8 : ศึกแรก (2)

โดย : พิมพ์อักษรา

Loading

ซ่อนรักในรอยกาล โดย พิมพ์อักษรา กับผลงานนวนิยายอิงประวัติศาสตร์อ่านง่าย ว่าด้วยทฤษฎีหนึ่งในตำนานประวัติพระนางจามเทวีกับพระสวามีที่แทบไร้หลักฐาน ผ่านเกมการเมืองในอาณาจักรทวารวดี อันมีชายปริศนาแฝงตัวเข้ามาอยู่เบื้องหลังเกมชิงบัลลังก์ครั้งใหญ่นี้ ติดตามได้ในเพจ อ่านเอา และ anowl.co

เจ้าชายกัษษกรลืมพระเนตรขึ้นช้าๆ เจ็บร้าวไปทั้งวรกาย โดยเฉพาะพาหาข้างขวาที่ทั้งปวดแสบปวดร้อนและหนักอึ้ง ได้กลิ่นชื้นราวประทับอยู่ในถ้ำ พระสติที่เริ่มกลับคืนกำลังไล่เรียงความทรงจำที่เกิดขึ้นก่อนหน้า

ทรงอาชาเข้าต่อสู้กับข้าศึก…จากนั้น…

“เจ้าพี่เขนฟื้นแล้ว” สุรเสียงหวานที่ทรงโหยหาดังแทรกภวังค์คำนึง วรองค์งามที่คุ้นเคยปรี่ตรงเข้ามาทันใด “โธ่ เจ้าพี่…น้องเป็นห่วงเหลือเกิน โล่งอกไปที”

อัสสุชลพระชายาของพระองค์ร่วงหล่นอาบสองปราง “ไม่ควรเลยต้องเสี่ยงพระชนม์เช่นนั้น”

“วาน้อย…” ทรงพยายามยกหัตถ์ขวาเอื้อมหาหากเจ็บแปลบ “วาน้อยปลอดภัยใช่หรือไม่”

“น้องปลอดภัยเพคะ เจ้าพี่ยังมีแก่ใจห่วงน้องอีกหรือ น้องกังวลแทบขาดใจตั้งแต่เจ้าพี่พุ่งเข้าไปในดงศัตรูเช่นนั้น กลัวเหลือเกินว่าเจ้าพี่จักทิ้งน้องไป” พระนางลูบพระพักตร์พระองค์แผ่วเบา “เจ้าพี่ของน้องทรงกล้าหาญยิ่งนัก น้องภาคภูมิใจในสวามีของน้องเหลือเกิน”

“เกิดอันใดขึ้นกับพี่…พี่คงเสียท่าสินะ เช่นนั้นคงมิตกอยู่ในสภาพนี้”

เจ้าหญิงชวาลาทูลเล่าอย่างละเอียดว่าพระองค์ทรงม้าเข้าฟาดฟันทหารฝ่ายนั้นอย่างแกล้วกล้า ทว่าจู่ๆ ก็กลับทรงชะงักราวเห็นภาพประหลาด จึงเป็นจังหวะให้เพลี่ยงพล้ำ ถูกขุนศึกฝ่ายตรงข้ามฟันพระพาหาเข้าอย่างจัง และเสือกม้าเข้าประชิดจนพระองค์ตกลงจากหลังอาชาทรงคู่พระทัยแล้วหมดสติลง

“น้องก็ร้อนใจ รีบพาร่างเจ้าพี่กลับเข้ามาเสียก่อนที่มันจะลงดาบอีกหน จากนั้นเกาทัณฑ์ที่เกณฑ์รวบรวมมาเพิ่มเดินทางมาถึงพอดี จึงต้องรีบออกไปบัญชาการเสียก่อน แต่ก็พอวางใจว่าแพทย์หลวงที่เก่งที่สุดดูแลเจ้าพี่อยู่เพคะ”

พลธนูจึงรีบระดมยิงธนูเพลิงกำราบข้าศึกอีกหน เป็นอันหมดสิ้นทัพหน้าของกองกำลังไตมาว

“น่าอายเหลือเกิน สุดท้ายพี่ก็ต้องให้สตรีลุกขึ้นมาปกป้อง” ตรัสอย่างอดสู “ช่างเป็นสวามีที่ไร้เกียรติ”

“อย่ารับสั่งเช่นนั้นเลยเพคะ แค่ได้เห็นน้ำพระทัยแกล้วกล้าของเจ้าพี่ หม่อมฉันก็ซาบซึ้งยิ่งแล้ว” พระชายาจุมพิตแผ่วเบาบนพระปรางสวามี “อย่าได้เกี่ยงว่าการใดเป็นของบุรุษ การใดเป็นของสตรีเลย เราสองเป็นคู่ชีวิตกัน ย่อมรักแลเกื้อกูล ปกป้องดูแลกันไปชั่วชีวิต”

“พี่รักวาน้อย…” ทรงพยายามบีบพระหัตถ์น้อยๆ ของพระชายา “ไม่อยากให้เจ้าเสี่ยงอันตรายสักนิด แต่พี่ทำอันใดเพื่อวาน้อยมิได้เลย ต้องปล่อยให้ชายาเป็นแม่ทัพบัญชาการรบ ไปเสี่ยงชีวิต”

“ทั้งเจ้าพี่และน้องต่างรู้ดีว่าเราเกิดมาพร้อมหน้าที่ยิ่งใหญ่ต่อแผ่นดิน ต้องเสียสละความสุขสำราญนานัปการ รวมถึงเสี่ยงชีวิต มิอาจเลี่ยงได้ พึงระลึกไว้อยู่เสมอ” ชวาลาตรัสนุ่มนวลหากจริงจังอย่างผู้เห็นในสัจธรรม “แต่เราสองจักกระทำอย่างดีที่สุด เจ้าพี่ก็ทรงปฏิบัติอย่างดีที่สุดแล้ว มิควรต้องน้อยเนื้อต่ำใจ”

ตรัสแล้วชวาลาก็อดแย้มสรวลมิได้ “มิทราบมาก่อนว่าเจ้าพี่จักทรงดาบได้เก่งกาจเยี่ยงนั้น ผู้ใดว่าเจ้าพี่สัประยุทธ์ไม่เป็นกันเล่า ใคร่ให้ได้ยลดังที่น้องและกองทัพเราประจักษ์ด้วยตาตนเองเชียวนา”

“คงพอมิให้เสียทีมีเลือดไชยากระมัง” พระองค์พลอยสรวลตาม

“เพลงดาบไชยาที่ทรงเคยสอนน้องในวัยเยาว์ใช่หรือไม่เพคะ ทรงสอนน้องครั้งนั้นแล้วก็มิเห็นแตะต้องอาวุธอีกเลย มิคิดมาก่อนว่าเจ้าพี่ยังจดจำได้”

“พี่จักกล้าสอนวาน้อยผู้มีขุนศึกชั้นเอกสอนการยุทธได้อย่างไร” ขนงขมวดครุ่นคิด

“แต่วาน้อย…พี่ว่ามีบางสิ่งผิดประหลาดเกิดขึ้นในยุทธการนั้น พี่สงสัยว่า…อาจจะ…”

“โดนไสยเวทใช่ไหมเพคะ”

กัษษกรพยักพักตร์ช้าๆ “มีสิ่งใดที่วาน้อยมิทราบบ้างหนอ…” ตรัสพลางถอนพระทัย เล่าให้พระชายาฟังว่าทรงฟันร่างศัตรูไปจำนวนหนึ่ง เบื้องแรกก็สยดสยองต่อซากความตายและกลิ่นคาวเลือดตรงหน้าด้วยมิเคยสังหารผู้ใดมาก่อน หากก็ยังมีสติระลึกรู้ตัวได้เสมอ กระทั่งดาบได้อาบเลือดจนมิดด้ามนั้นแลก็เกิดเรื่องประหลาดขึ้น มีควันสีดำพวยพุ่งออกมาจากดาบ ก่อตัวขึ้นเป็นม่านทะมึนหนา ได้กลิ่นเหม็นเน่าโชยออกมา จากนั้นจึงค่อยมีลมพุ่งจากพระองค์กระแทกม่านควันนั้นกลับ ขณะที่ทรงกำลังตื่นตะลึงนั้นเองจึงเสียจังหวะพลาดพลั้งถูกฟันพาหา

“หมายความว่ามีผู้เล่นไสยมายากับพระแสงดาบของเจ้าพี่” พระนางตกพระทัย “ต้องเป็นผู้รับใช้ใกล้ชิดอย่างยิ่ง เจ้าพี่สงสัยผู้ใดหรือไม่เพคะ”

เจ้าชายกัษษกรกลับทรงนิ่งไป จักบอกพระนางได้อย่างไรว่าทรงมีบุคคลต้องสงสัยในหทัยแล้ว คือพระอนุชานักพรตของพระองค์นั้นแล เนื่องจากแทบไม่มีผู้ใดนอกจากข้ารับใช้คนสนิทที่ติดตามพระองค์มาจากไชยาทราบเรื่องพระแสงดาบหริราชที่พระเจ้าหริมิตรพระราชทานให้มาก่อน แลด้วยเพราะผู้ที่กระทำอุกอาจเช่นนั้นได้ หากมิรับใช้ใกล้ชิดอย่างยิ่ง ก็ต้องเป็นผู้ที่มีรูปร่างลักษณาการดุจเดียวกับพระองค์ทุกประการ

“ครั้งสับเปลี่ยนรายงานก็หนหนึ่ง ยังพออนุโลมว่ากลั่นแกล้งเล็กๆ น้อยๆ แต่หนนี้เป็นเรื่องใหญ่หมายชีวิต น้องว่าชักไม่ได้การเสียแล้ว เจ้าพี่มั่นพระทัยหรือไม่ว่าคมิกไว้ใจได้”

“มิใช่คมิกหรอก…เขามิคาดคิดด้วยซ้ำว่าพี่จักมีวันหยิบพระแสงดาบหริราชขึ้นมาใช้”

“อย่างไรก็ย่อมเป็นผู้ที่หวังกำจัดเจ้าพี่…แล้วคนผู้นั้นจักได้ประโยชน์อันใด หากมิใช่ได้ขึ้นครองบัลลังก์แทนเจ้าพี่ได้ พวกเจ้าอาทั้งหลายกระนั้นหรือ อย่างไรก็ไม่มีสิทธิ์ในราชบัลลังก์อยู่แล้ว เว้นแต่จักก่อกบฏและปราบดาภิเษกตัวเองขึ้นแทน แต่เจ้าพ่อระวังเรื่องกบฏยึดอำนาจนี้อย่างแข็งขัน ป้องกันทุกทางมิให้เจ้านายฝ่ายชายพระองค์ใดมีอำนาจราชศักดิ์มากเกินไป” เจ้าหญิงห่ออังสาอย่างพรั่นพรึง “กระนั้นก็ตาม หากจักพิเคราะห์ให้ถ้วนถี่แล้ว น้องคิดว่ากำลังมีคนปองร้ายพวกเราทั้งคู่ แลคงหนีมิพ้นพวกฝ่ายในชาววงศ์เวหะพวกนั้น”

“วาน้อยด้วยหรือ”

“น้องพบนางกำนัลแปลกหน้าในค่ายประทับที่เขื่อนขัณฑ์นครเพคะ เป็นสตรีวัยกลางคน ลักษณาการสุขุมเรียบร้อย กิริยาอ่อนช้อยละม้ายคุณท้าวจรุง” ชวาลาถอนปัสสาสะยาว “นางเข้ามาป้วนเปี้ยนปะปนกับนางกำนัลที่ดูแลห้องสรงอย่างอุกอาจ ทั้งที่รู้ว่าน้องย่อมจดจำข้าหลวงรับใช้ทุกนางได้ อาจคิดเสี่ยงดวงเอายามสงครามที่น้องคงมิได้พิถีพิถันสรงหรือแต่งองค์ทรงเครื่องมากนัก”

เมื่อเห็นพักตร์สวามีถอดสี ก็รีบอธิบาย

“น้องเฉลียวใจเสียก่อน แต่นางช่างปากแข็งนัก เค้นเอาเท่าไรก็ไม่ยอมปริปากว่าเป็นคนของผู้ใด เมื่อจวนตัวก็รีบชิงกินยาพิษปลิดชีพตนเองเสีย เคราะห์ดีน้องให้แพทย์ช่วยไว้ได้ทัน ฟื้นคืนสติขึ้นมาเมื่อไรคงได้สอบสวนกันอีกครั้ง”

“วาน้อยคิดว่า นางต้องการปลดเครื่องรางเหรียญตรากระนั้นหรือ”

“เพคะ นางพยายามยุ่งกับคอน้องจนผิดสังเกต” พระนางแตะเหรียญบนสร้อยพระศอ

“เรื่องน้องมีเครื่องรางชิ้นนี้มิได้รู้ทั่วไปในวงกว้าง หากก็มิใช่ความลับเฉพาะ จักมีผู้ล่วงรู้และหาประโยชน์ก็พอเป็นไปได้ แต่พวกเขาหารู้ไม่ว่าน้องมิได้มีเพียงเครื่องรางชิ้นนี้ป้องกันตัว พระอาจารย์ห่วงน้องยิ่งนัก พยายามคุ้มครองทุกทาง เช่นเดียวกับที่ท่านสุกกทันตะห่วงเจ้าพี่นั้นแล”

“แต่เจ้าก็อย่าประมาทเด็ดขาด สิ่งใดก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น จงระวังให้มาก” ทรงบีบพระหัตถ์น้อยๆ ของพระชายาแล้วตรัสถาม “วาน้อยมีแผนการอย่างไรต่อไป พี่จักได้วางตัวมิให้เป็นตัวถ่วงกองทัพ แขนเจ็บสาหัสเช่นนี้รังแต่จะเป็นภาระเสียเปล่า”

“กองทัพพวกไตมาวยังมีจำนวนอีกมหาศาล หากสู้รบกันซึ่งหน้าแล้ว พวกเราก็ย่อมเสียเปรียบอยู่ดี น้องได้เรียกประชุมขุนศึกใหญ่ทั้งหมด ทั้งขุนเจ้ามาอินทร์ ขุนเจ้าออน ขุนเจ้าเมือง ขุนเจ้าขันติ”

แม่ทัพเหล่านั้นเป็นขุนศึกใหญ่เจนสนามที่รับใช้ราชบัลลังก์ละโว้มาถึงสองรัชสมัย รวมถึงถวายคำสอนวิชาการศึกให้พระนางชวาลามากกว่ารัชทายาทอย่างพระองค์เสียอีก ชวาลาย่อมทรงทราบดีว่าการยกนามขุนศึกตัวฉกาจขึ้นมาจักสร้างความมั่นใจเชื่อถือให้สวามีได้

“พวกเขาล้วนเห็นตรงกันว่าต้องประวิงเวลาหลอกล่อให้เสบียงอาหารของฝ่ายศัตรูร่อยหรอลงเสียก่อน เมื่อนั้นข้าศึกจักเริ่มอ่อนกำลัง เราจึงค่อยโจมตีอีกคราเพคะ”

“ประวิงเวลาอย่างไรหรือ”

ชวาลาทรงมีท่าทีกระสับกระส่าย ลักษณาการเช่นนี้ย่อมหมายถึงแผนการของพระนางจักไม่สบพระทัยกัษษกรเป็นแน่ ครั้นพระนางจำยอมอธิบายอย่างมิเต็มพระทัยนัก กัษษกรก็ทรงร้องห้ามทันใด

ทว่า พระเนตรของเจ้าหญิงชวาลาที่ทอดพระเนตรกลับมา บอกให้พระองค์ทรงทราบว่ามิอาจเปลี่ยนพระปณิธานอันมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวและ…ใจกล้าบ้าบิ่นของพระชายาได้เลย

 



Don`t copy text!