ซ่อนรักในรอยกาล “ลวปุระ ทวารวดี” บทที่ 9 : จันทราสีเลือด (1)

ซ่อนรักในรอยกาล “ลวปุระ ทวารวดี” บทที่ 9 : จันทราสีเลือด (1)

โดย : พิมพ์อักษรา

Loading

ซ่อนรักในรอยกาล โดย พิมพ์อักษรา กับผลงานนวนิยายอิงประวัติศาสตร์อ่านง่าย ว่าด้วยทฤษฎีหนึ่งในตำนานประวัติพระนางจามเทวีกับพระสวามีที่แทบไร้หลักฐาน ผ่านเกมการเมืองในอาณาจักรทวารวดี อันมีชายปริศนาแฝงตัวเข้ามาอยู่เบื้องหลังเกมชิงบัลลังก์ครั้งใหญ่นี้ ติดตามได้ในเพจ อ่านเอา และ anowl.co

แสงสนธยาเลือนหาย ความอนธการคืบคลานปกคลุมท้องนภาจนมืดสนิท

ล่วงเข้าปลายปฐมยาม เสียงกระทบไม้ไผ่ดังขึ้นเป็นจังหวะสามครั้ง ข้าหลวงเดินหนังสือรีบรุดจากตำหนักอู่ทองไปสู่ตำหนักศรีเทพ จากนั้นแสงประทีปแลอัจกลับแก้วจึงสว่างเรืองขึ้นทางหอคอยตำหนักเป็นสัญญาณว่าสารถึงมือผู้รับแล้ว ผ่านไปอีกสี่บาทผู้เดินหนังสือจากฝ่ายศรีเทพจึงมุ่งหน้าไปทางตำหนักจันเสน เมื่อแสงเทียนจากหอคอยตำหนักสว่างขึ้นก็เป็นอันรับทราบทั่วถ้วนกันว่าทั้งสองฝ่ายได้รับสารลับจากฝ่ายอู่ทองเรียบร้อยแล้ว

“รัตติฤๅษีมิกลับอาศรมมาร่วมเจ็ดราตรีแล้ว เจ้าชายชนุดรพบเพียงรุธีฤๅษีนอนสิ้นสภาพอย่างน่าเวทนาไร้คนเหลียวแล ชวนให้เห็นเป็นพิรุธนักว่าแผนการล้มเหลวเขาจึงหนีเอาตัวรอดไปเสียแล้ว ฤๅมิเช่นนั้นก็อาจเป็นส่วนหนึ่งของแผนการ เพื่อให้แน่ใจว่าภารกิจจักลุล่วง ไร้ช่องโหว่ จึ่งแจ้งให้พวกท่านทราบความ”

แม้พวกเขาเป็นคู่แข่งกัน ต่างฝ่ายต่างก็ทยอยสะสมกำลังฐานอำนาจของตนมายาวนานหลายสิบปี แลบัดนี้รวบรวมขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยมาเป็นพรรคพวกกันได้มากแล้วก็ตาม หากในยามนี้ที่ลงเรือลำเดียวกัน ด้วยเป้าหมายเดียวกันนั้น พวกเขาได้หันมาสมานสามัคคีร่วมใจกัน เพราะหากผิดพลาดแม้เพียงนิดเดียว ก็เสมือนน้ำผึ้งหยดเดียวที่อาจบานปลายทำลายแผนการทุกอย่างพังพินาศ

ละโว้ที่ปราศจากเจ้าหญิงชวาลา ก็เหมือนโลกาที่ไร้แสงอาทิตย์ ในเมื่อพวกเขาคิดจะดับแสงตะวันอันเจิดจ้าเกินไปอย่างชวาลา แต่ละฝ่ายก็ย่อมต้องเตรียมตัวให้พร้อมเสมอ มิเช่นนั้นจักถูกทิ้งไว้ในเงามืด ช่วงชิงแสงทองไว้มิทัน หมดโอกาสที่จักได้เป็นผู้ฉายแสงเรืองโรจน์แทนชาวแคว้นทะเลใต้และพวกวงศ์พระจันทร์เสี้ยวชาวละโว้ดั้งเดิมนั้นแล

ขณะนั้น พระราชเทวีมัณฑนาผู้ทรงกำลังสังเกตการณ์บนท้องฟ้าบนหอดูดาวได้สังเกตเห็นแสงเรืองสว่างเป็นแบบแผนมาจากสามตำหนักของพวกเจ้าต่างแคว้น…

ทรงหันไปหานางกำนัลที่ไว้พระทัยมากที่สุด “พวกเขาทราบเรื่องแล้วกระมัง”

“เพคะ เจ้าชายชนุดรนำร่างท่านรุธีมาให้แพทย์หลวงรักษาแล้วเพคะ”

“อืม…” พระนางพยักพักตร์ช้าๆ ทอดพระเนตรผืนฟ้าอันมีเพียงจันทร์เสี้ยวสลัวรางอย่างครุ่นคิด

“อีกไม่กี่ราตรีสงครามก็น่าจักจบแล้ว หวังว่า… ละโว้ จักเป็นฝ่ายประสบชัยชนะ”

 

เขาจากละโว้มาในยามดึกสงัด คืนนั้นดวงจันทร์แหว่งเว้ารางเลือนในม่านเมฆ หากมองเห็นดาวเปล่งแสงระยิบระยับเต็มฟ้า ผืนนภายามราตรีนั้นงดงามได้แม้ไร้แสงจันทร์…

นับเป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกเป็นอิสระจากพันธนาการแห่งความเป็นนักบวช มิต้องแบกเครื่องหมายแห่งดาบสไว้กับตัวอีกแล้ว บัดนี้เขาเป็นบุรุษเต็มตัว บุรุษผู้เต็มไปด้วยเลือดเนื้อความต้องการและความฝัน ขับเคลื่อนด้วยความฮึกเหิมทะยานอยาก และความคับแค้น

รออีกไม่นาน…ให้เขาได้ปลดไอ้ผ้าจัญไรที่ปกปิดความเป็นตัวตนเขามาแทบทั้งชีวิตออกให้ได้เสียก่อนเถิด เมื่อนั้นทั้งโลกก็จักอยู่ในมือเขา

“นี่แน่ะไอ้มืด เราจักหยุดขบวนเพื่อทำการค้าละแวกเขื่อนขัณฑ์นี้สักสี่ห้าทิวา หากเอ็งใคร่ไปทางสุวรรณบรรพต ก็ต้องแยกกันเสียตรงนี้”

เขาเดินทางโดยสารมากับขบวนพ่อค้าที่มิได้อยู่ประจำเป็นหลักแหล่ง ทราบดีว่าวิธีนี้ใช้เวลาเดินทางนานกว่าปกติ หากก็เป็นช่องทางที่ปลอดภัย มิต้องเสี่ยงหลงทาง ทั้งยังมีคนคอยคุ้มกันโดยปริยาย มีอาหารการกินให้มิต้องอดอยาก

“ขอบน้ำใจเอ็งนัก ช่างขยันขันแข็งเสียเหลือเกิน พวกเราใคร่จักมีเอ็งร่วมทางต่อไปนะไอ้มืด หากเปลี่ยนใจก็ยังมิสาย” หัวหน้าพ่อค้ากล่าวอย่างใจกว้าง สีหน้าอาลัยเสียดายอย่างยิ่ง “ว่าแต่เอ็งจักไปแถวนั้นด้วยเหตุใดกัน มิรู้หรือไรว่าเป็นแดนสงคราม มิกลัวถูกลูกหลงตายไป หรือถูกจับเป็นทาสเชลยเรอะ”

“ข้าร้อนใจ ใคร่พบหน้าพี่ชายเจ้าข้า” รัตตกรตีหน้าเศร้า “ข้าไร้ญาติขาดมิตร เหลือพี่ชายเพียงคนเดียว เป็นตายร้ายดีอย่างไร ขอให้ได้อยู่ดูแลกันก็พอเจ้าข้า”

“พี่ชายเจ้าถูกเกณฑ์ไปประจำการที่นั่นสินะ” พ่อค้าอีกคนทำหน้าเห็นใจ “เอาเถิด พวกข้าขออวยพรให้เอ็งโชคดีได้พบพี่ชายนะไอ้มืด”

จากชายแดนเขื่อนขัณฑ์ไปสุวรรณบรรพตมิไกลมาก แต่ก็มิใกล้หากต้องเดินเท้า หัวหน้าพ่อค้าผู้อารีเห็นใจจึงมอบม้าแก่ให้ตัวหนึ่ง “มันแก่จนเรี่ยวแรงแทบไม่มี มิใช่ม้าหนุ่มประเปรียวหรอกหนา หากคงพอทุ่นแรงให้เอ็งได้ เอ็งขี่ม้าเก่งทีเดียวข้าเห็น คงจักโดยสารมันไปได้ ข้าขอเพียงให้ดูแลมันสักหน่อย อย่าให้อดอยากหรือวิ่งนานเกินกำลังไหวเท่านั้น”

เป็นครั้งแรกที่รัตตกรได้รับน้ำใจไมตรีจากคนแปลกหน้าโดยที่เขามิต้องเป็นคนพิเศษใด เป็นเพียงไอ้มืดตัวดำ ปิดหน้ามิดชิด และอีกฝ่ายมิได้หวังผลตอบแทนแต่อย่างใด…

ชายหนุ่มรู้สึกราวกับได้รับหยาดฝนชโลมลงบนผืนดินหัวใจอันแห้งแล้งแตกระแหง

“ข้านับถือหัวใจเอ็งนัก ขอให้เอ็งรักษาคุณความดี กระทำแต่เรื่องดีงามเท่านั้น ความดีจักคุ้มครองเอ็งเอง จำไว้เถิด”

รัตตกรสะอึก…เนิ่นนานมาแล้ว พระมารดาตาราก็เคยตรัสกับเขาเช่นนี้…

แต่ความดีมิเคยมอบรางวัลให้ลูกเลย เจ้าแม่…

ชายหนุ่มออกเดินทางสู่สุวรรณบรรพต หากบำรุงดูแลเจ้าม้าแก่นี่ให้ดี มิให้หักโหมเกินไปดังหัวหน้าพ่อค้าว่า มันก็คงพาเขาไปถึงปลายทางได้ตลอดรอดฝั่งตามกำหนดที่ตั้งใจไว้…ป่านนั้นยุทธการประจันกันของขุนศึกสองฝ่ายคงใกล้งวดเต็มที อาจใกล้ถึงคราที่พระนางชวาลาจักลงสังเวียนตามที่ลั่นวาจาไว้

ช่างเป็นสตรีผู้กล้าหาญเด็ดเดี่ยวเสียเหลือเกิน

แม้มั่นใจมาตลอดว่าพระนางจักประสบชัย หากครั้นใกล้สมรภูมิขึ้นเท่าใด รัตตกรกลับเริ่มประหวั่นใจ… อย่างไรพระนางชวาลาก็เป็นเพียงสตรีตัวคนเดียว ไร้ที่ปรึกษาอย่างวาสุเทพฤๅษีหรือพระมารดา ภัสดาก็มาบาดเจ็บเป็นภาระเสียอีก มีโอกาสที่พระนางจักเพี่ยงพล้ำก็มาก

ขอให้ไปถึงสุวรรณบรรพตเสียก่อน เขาจักสนับสนุนช่วยเหลือชวาลาของเขาเอง…

ชายหนุ่มวางแผนมาอย่างแยบยลรอบคอบ…เขาจักต้องไปถึงค่ายประทับก่อนคืนจันทราสีเลือดเล็กน้อยเพื่อดูลาดเลาเตรียมตัวให้พร้อม รอให้ถึงเพลาราหูอมจันทร์สีเลือดอันเป็นเวลาที่เกราะกำบังของกัษษกรจักอ่อนกำลังลง พลังมืดไสยดำทั้งหลายจักขึ้นมาจากนรกสำแดงอิทธิฤทธิ์ได้มากกว่าทุกครา เมื่อนั้นจึงถึงคราที่เขาจักใช้วิชาที่ร่ำเรียนสั่งสมมาทั้งชีวิตกำจัดพระเชษฐาแฝด

จากนั้นเขาจักอาศัยวิชาไสยมารในคืนจันทราสีเลือดปลิดพระชนม์เจ้าฟ้าแห่งไตมาวไปในคราเดียวกัน เพราะหากมิลงมือในคืนนั้น ก็ยากที่จักสังหารเจ้าฟ้าผู้เกรียงไกร แวดล้อมด้วยกองอารักขาแน่นหนาได้ เมื่อสิ้นจอมทัพแล้ว พวกไตมาวก็ต้องล่าทัพกลับนครของตนไป

เมื่อนั้นราชบุตรละโว้และพระชายาก็จักกลับมาตุภูมิมาอย่างทรงเกียรติในฐานะผู้ชนะสงคราม โดยที่พวกเชื้อพระวงศ์หน้าโง่เหล่านั้นมิอาจเอาผิดลงโทษกับผู้ใดได้ ด้วยเพลานั้น รัตติฤๅษีจักอันตรธานจากโลกนี้ไปเสียแล้ว

รัตตกรควบอาชาแก่ไปอย่างใจเย็น เขาเริ่มเข้าใกล้ชายแดนสุวรรณบรรพตเข้าไปทุกที เริ่มได้ยินเสียงเล่าลือการศึกตลอดทาง แลต้องประหลาดใจเมื่อได้ยินในเรื่องที่ออกแสลงหูอยู่มิน้อย

“หากมิบาดเจ็บไปเสียก่อน อุปราชรามราชก็คงได้เป็นผู้สัประยุทธ์กับเจ้าฟ้าสิทธิราชนั้นแล เหล่าทหารเขาแซ่ซ้องกันทั้งกองว่าเพลงดาบของพระองค์แกล้วกล้าไร้ที่ติ หาใช่เจ้าชายผู้อ่อนแอมิเคยจับดาบดังคนนินทาไม่”

เจ้าพี่เขนหลวงน่ะหรือจักรู้ชำนาญเพลงดาบเช่นนั้นได้…

รัตตกรหวนนึกถึงครั้งยังพำนักในไชยานคร ยามนั้นเขาได้กลายเป็นดาบสไปโดยมิเต็มใจ และคอยหาโอกาสเฝ้าแอบมองว่าพระเชษฐาทรงดำเนินชีวิตเช่นไรบ้าง

ในฤดูร้อนวันหนึ่ง เจ้าชายกัษษกรกำลังฝึกซ้อมเพลงดาบกับพระญาติพระวงศ์ทั้งหลายตามคำสั่งของครูดาบผู้เข้มงวด ผู้ยืนกรานว่าอย่างไรเจ้าชายกัษษกรก็จำต้องมีวิชาดาบไชยาติดองค์ให้ได้ เจ้าชายกัษษกรผู้ที่ขณะนั้นเป็นเพียงยุวกุมารมีพระพักตร์เคร่งเครียด อัสสุชลเจียนหยดอยู่รอมร่อ หากยังคงข่มพระทัยไว้ด้วยทิฐิมานะ ด้วยบรรดาเจ้านายชั้นสูงทั้งหลายรวมถึงพระราชบิดาได้เสด็จมาชมการซ้อมครั้งนั้นด้วย

พระเชษฐาแฝดของเขาทรงทำได้ไม่ดีนัก พระญาติวัยไล่เลี่ยกันต่างพากันสรวลขบขันหยอกล้อ แม้เป็นไปด้วยความเอื้อเอ็นดูมากกว่าชิงชังหมิ่นหยาม หากเจ้าชายกัษษกรก็ทรงรู้สึกอับอายสิ้นเกียรติอยู่ดี ถึงกับมีข่าวแพร่สะพัดออกมาว่ามิทรงคิดจับดาบอีกเลย

คนเช่นนี้น่ะหรือจะฝ่าทะลวงศัตรูแล้วฟาดฟันด้วยเพลงดาบไชยาได้ คงเป็นคำเยินยอเกินจริงที่ชวาลาทรงพยายามฉายแสงให้ภัสดาเสียมากกว่า

“องค์หญิงก็ช่างรักใคร่สวามีเสียเหลือเกิน ขนาดต้องทรงออกศึกบัญชาการรบเอง ก็ยังมิเคยทอดทิ้งให้ผู้อื่นดูแลเจ้าชายนานข้ามวันเชียวละ จักต้องเจียดเวลามาดูแลพยาบาลพระองค์ให้จงได้”

ยิ่งฟังรัตตกรยิ่งระคายหู ระคายใจ…ชวาลาทรงหลงใหลสิ่งใดในตัวพระเชษฐาเขากันหนอ ในเมื่อกัษษกรทรงเป็นบุรุษผู้อ่อนแอ ปกป้องชายาของตนยังมิได้ แลต้องคอยอาศัยบุญญาบารมีสตรีอุ้มชู

เจ้าพี่เขนหลวงทรงโชคดีเกินไปเสียแล้ว แม้ไร้คุณสมบัติใดๆ ทั้งปวง หากกลับทรงได้ทั้งบัลลังก์ ทั้งนางแก้วโดยมิต้องพยายาม

อีกไม่นานนักแล…ถึงเวลาที่เจ้าพี่จักต้องสละ ‘ทุกสิ่งทุกอย่าง’ ให้อนุชาผู้นี้

 



Don`t copy text!