ซ่อนรักในรอยกาล “ลวปุระ ทวารวดี” บทที่ 9 : จันทราสีเลือด (2)

ซ่อนรักในรอยกาล “ลวปุระ ทวารวดี” บทที่ 9 : จันทราสีเลือด (2)

โดย : พิมพ์อักษรา

Loading

ซ่อนรักในรอยกาล โดย พิมพ์อักษรา กับผลงานนวนิยายอิงประวัติศาสตร์อ่านง่าย ว่าด้วยทฤษฎีหนึ่งในตำนานประวัติพระนางจามเทวีกับพระสวามีที่แทบไร้หลักฐาน ผ่านเกมการเมืองในอาณาจักรทวารวดี อันมีชายปริศนาแฝงตัวเข้ามาอยู่เบื้องหลังเกมชิงบัลลังก์ครั้งใหญ่นี้ ติดตามได้ในเพจ อ่านเอา และ anowl.co

 

เมื่อจอมนารีแห่งลวปุระปรากฏต่อสายพระเนตร เจ้าฟ้าสิทธิราชก็ทรงตกตะลึง ด้วยพระนางทรงสิริโฉมงดงามยิ่งกว่าในภาพเขียนแลยิ่งกว่าสตรีใดที่พระองค์เคยพานพบทั้งสิ้น ทรงแต่งองค์ด้วยเครื่องทรงงามวิจิตรหากน่าเกรงขามอย่างขุนศึก สะพายพระแสงดาบอาญาสิทธิ์แห่งละโว้อันเลอค่าที่ได้รับพระราชทานมาจากพระบิดา ดูงามสง่าเจิดจรัสเหมือนภาพฝันมากกว่าความจริง

“หม่อมฉันขอทำความเคารพฝ่าบาทในฐานะจอมทัพขัตติยราชเพคะ”

ครั้นเจ้าหญิงผู้ทรงสิริโฉมทอดพระเนตรเห็นพระองค์ตกตะลึงอ้ำอึ้งอยู่เช่นนั้น จึงรับสั่งต่อว่า

“หม่อมฉันขอเชิญฝ่าบาทมาประลองฝีมือกัน อย่าให้ทหารทั้งหลายต้องพลอยยากลำบาก สังเวยชีวิตด้วยเรื่องของเราต่อไปอีกเลย”

เจ้าฟ้าแห่งไตมาวได้สดับเช่นนั้นจึงได้พระสติกลับคืนมา รับสั่งย้อนถามกลับไปทันที

“การศึกครานี้ ไยพระน้องนางต้องมาทำให้โลหิตเปรอะเปื้อนวรกาย มิบังควรแก่สตรีเพศเสียเลย หรือละโว้นั้นสิ้นแล้วซึ่งชายชาตรี”

“อันละโว้จะสิ้นชายชาตรีนั้นหามิได้” เจ้าหญิงมีพระดำรัสตอบ “แต่หม่อมฉันเป็นราชธิดาของกษัตริย์ลวปุระ เป็นเอกธิดาใต้เศวตฉัตร หากคิดหลีกหนี ประชาราษฎร์ทั้งหลายจักครหาติเตียนได้ อันบุรุษมีใจสตรีก็มีใจ หากว่าหม่อมฉันพลาดพลั้ง ฝ่าบาทก็เอาชีวิตหม่อมฉันไปเถิด หากฝ่าบาทพลาดพลั้งก็ขอได้โปรดอภัยแก่หม่อมฉัน”

สิทธิราชทรงเห็นความกล้าหาญของพระนางเช่นนั้น ก็ตัดสินพระทัยประลองฝีมือกันทันที การดวลดาบดำเนินไปจนล่วงเข้ายามเที่ยงวัน ทั้งสองขัตติยราชยังมิได้แสดงว่ามีฝ่ายใดเพลี่ยงพล้ำ จนในที่สุดเจ้าฟ้าแห่งไตมาวจึงมีรับสั่งให้ทั้งสองฝ่ายหยุดพักเหนื่อยกันเสียก่อน ครั้นบ่ายอ่อนจึงค่อยมาประลองกันต่อ

ระหว่างนั้นก็ทรงใคร่ครวญว่าการยุทธครั้งนี้เห็นทีมิควรค่าแก่การยาตรามาเสียแล้ว ทั้งไพร่พลล้มตายเป็นผักปลาอย่างน่าอเนจอนาถ ทั้งอาวุธ ทรัพย์ เสบียง ยารักษาโรค ตลอดจนสัตว์และพาหนะจำนวนมากที่ละลายไปกับกองทัพใหญ่โต ความร่ำรวยที่หวังจะได้จากลวปุระนั้นแท้จริงอาจมิคุ้มค่ากับสิ่งที่ไตมาวต้องเสียไปก็เป็นได้ นับเป็นการขี่ช้างจับตั๊กแตนที่อาจสูญเปล่า ด้วยแม้แต่ตั๊กแตนก็อาจจับมิได้สักตัว

แต่พระองค์ก็ทรงขึ้นหลังเสือเสียแล้ว มิควรต้องคิดเรื่องหาทางลง มีแต่เดินหน้าต่อไปจนสุดทาง

เมื่อถึงเวลาต้องสัประยุทธ์ตัวต่อตัวกันอีกหน เจ้าฟ้าสิทธิราชจึงได้ทรงประจักษ์…จอมนารีแห่งลวปุระที่ทรงหมายปองนี้ มิเพียงแต่มีสิริโฉมเลอลักษณ์และทรงพระปรีชาปราดเปรื่องในการวางแผนรบเท่านั้น พระนางยังทรงมีเพลงดาบที่เหนือกว่าพระองค์อีกด้วย

และแล้ว เมื่อตะวันคล้อยลงต่ำ ผืนฟ้ากลายเป็นสีส้มแก่ เจ้าฟ้าแห่งอาณาจักรไตมาวก็ทรงเพลี่ยงพล้ำ ถูกเจ้าหญิงชวาลาฟันเฉี่ยวเอาผ้าโพกพระเกศาขาด บรรดาทหารเอกแห่งไตมาวรีบถลันเข้ากันพระองค์ไว้ แล้วต่างฝ่ายจึงลาทัพกัน

ผลแห่งการประลองยุทธ์ครานี้ นำมาซึ่งขวัญกำลังใจฮึกเหิมแก่ทหารละโว้เป็นอันมาก ขณะที่ทหารฝ่ายไตมาวกลับยิ่งเสียขวัญ เจ้าหญิงชวาลารีบจัดประชุมบรรดาขุนศึกแม่ทัพอีกครั้ง ขุนเจ้ามาอินทร์จึงทูลแนะว่า

“ขณะนี้ละโว้อยู่ในสถานการณ์ได้เปรียบแล้ว หากมัวรบกันแบบนี้จักกินเวลาเนิ่นนานไป กำลังทางเราน้อยกว่า จักกลายเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำได้ง่าย เห็นทีจะต้องโจมตีทะลวงค่ายข้าศึกให้แตกหักไปเสียเลยดีกว่า”

เช่นเดียวกับฝ่ายไตมาวที่คิดจะทำสงครามแตกหักกับลวปุระเช่นกัน ด้วยหากยังทำสงครามยืดเยื้อต่อไปเช่นนี้เสบียงก็จักร่อยหรอลงเรื่อยๆ กองทัพจะคับขัน ยามนี้ทหารไตมาวยังมีมากกว่าละโว้มาก ตีโอบข้าศึกแล้วจัดการเป็นดีที่สุด

วันรุ่งขึ้น กองทัพไตมาวจึงได้จัดทัพรูปพระจันทร์เสี้ยวเตรียมรับการเข้าโจมตีของลวปุระ พระนางชวาลาทอดพระเนตรเห็นดังนั้นก็ทรงอ่านกลศึกของฝ่ายตรงข้ามออก จึงทรงแบ่งกำลังส่วนหนึ่งผสมกับกองกำลังรักตมปุระในละโว้เข้าตีปีกขวา อีกส่วนหนึ่งให้ฝ่ายเมืองอัตตะปือและชากังราวเข้าโจมตีปีกซ้าย เมื่อปีกทั้งสองขาดจากกันค่อยโอบทัพเข้าล้อมทัพหลวงของข้าศึก

ส่วนทหารจากปีกที่ขาดนั้น ขุนเจ้าขันติทูลแนะให้วางกำลังซุ่มไว้อีกส่วนหนึ่ง คอยตามตีไม่ให้กลับเข้ามาช่วยทัพหลวงได้ ส่วนขุนเจ้าออนสั่งให้จัดกองทหารเล็กๆ อีกหนึ่งกองไปซุ่มรอไว้หลังค่ายพวกไตมาว เพื่อช่วยซ้ำเติมข้าศึกอีกทางหนึ่ง

ครั้นได้ฤกษ์แล้ว กองทัพหลักของเจ้าหญิงชวาลาก็เข้าตีกองทัพหลวงฝ่ายไตมาวทันที แม้กองกำลังทัพหลวงไตมาวจักมีจำนวนมากกว่าหลายเท่า หากฝ่ายละโว้ก็อาศัยการบุกทะลวงอย่างรวดเร็ว ไม่นาน พระนางชวาลาก็สามารถเข้าถึงใจกลางทัพข้าศึกได้ในที่สุด

ขณะเดียวกันนั้นเอง ปีกทั้งสองที่เจ้าฟ้าสิทธิราชคิดใช้โอบกองทัพของเจ้าหญิงชวาลาก็ถูกทัพพันธมิตรของละโว้ตีขาดออกจากกัน กองทหารที่ไปซุ่มหลังค่ายไตมาวก็เริ่มจุดไฟเผา ความชุลมุนวุ่นวายเกิดขึ้นในกองทัพหลวงไตมาวจนเสียกระบวนรบ พระองค์จึงห่วงหน้าพะวงหลัง เมื่อทรงรู้สึกพระองค์อีกที เจ้าหญิงชวาลาก็ควบอาชามาอยู่เบื้องพระพักตร์เสียแล้ว

“ชวาลา…” ทรงอดเสียดายมิได้ “มิควรที่เราต้องพบกันในสภาวการณ์เช่นนี้เลย”

“หม่อมฉันก็เสียใจมิแพ้กันเพคะ” พระนางนึกเห็นพระทัย “แต่อย่างไรหม่อมฉันก็เป็นหญิงที่มีสวามีแล้ว ฝ่าบาทจักคิดแย่งชิงพรากผัวเมียแล้วตีเอาเมือง หม่อมฉันก็เห็นจะทนมิได้ ต้องปกป้องศักดิ์ศรีของตนเพคะ โปรดอภัยให้หม่อมฉันเถิด”

ความมืดกลืนกินผืนนภาเสียสิ้น ดวงแขค่อยปรากฏลิบจากริมขอบฟ้า แง้มโฉมผ่านม่านเมฆทีละน้อย แสงจันทร์เพ็ญแลดูเข้มกว่าทุกครา

เจ้าฟ้าสิทธิราชสูดอัสสาสะลึกยาว ตัดสินพระทัยแน่วแน่ ไสอาชาพุ่งเข้าต่อสู้กับสตรีที่โรมรันกับพระองค์อย่างมิเกรงกลัว

นานราวชั่วกัปชั่วกัลป์ ฉับพลันนั้น ดาบของเจ้าหญิงชวาลาก็เฉี่ยวพระกรพระองค์จนโลหิตกระเด็น

และแล้ว…ธงชัยของกองทัพอาณาจักรไตมาวก็ถูกหักกลางสมรภูมิ!

 



Don`t copy text!