ไนปุรานเริกส์ บทที่ 3 : ระเนียดเบียดกรอบครอบวานวันอยู่
โดย : กิตติศักดิ์ คงคา
ไนปุรานเริกส์ นวนิยายออนไลน์ โดย กิตติศักดิ์ คงคา หนึ่งในผู้เข้าประกวดจากโครงการช่องวันอ่านเอาครั้งที่ 2 เมื่อแพทย์หญิงในยุคพิบูลสงครามหลุดข้ามเวลาไปยังอนาคต และพบว่าเรือนปุราน สมบัติรักตกอยู่ในสถานะหมิ่นเหม่ที่จะถูกยึดไปเพราะพินัยกรรมไม่สมบูรณ์ เธอจะรักษาเรือนหลังนี้ไม่ให้ถูกคนที่มีประสงค์ร้ายครอบครองได้ไหม
วิญญาณของฉันมาอยู่ในร่างคนแปลกหน้า
ฉันพยายามจะคิดวิเคราะห์ถึงต้นสายปลายเหตุ แต่ก็จนปัญญา ปริญญาแพทยศาสตรบัณฑิตของฉันถึงคราวเป็นหมันก็วันนี้ ฉันเคยอ่านนิยายวิทยาศาสตร์มาบ้าง แต่ประเภทที่ตื่นมาอีกครั้งในร่างของใครก็ไม่รู้แบบนี้ ฉันไม่เคยเห็น ฉันพิศภาพผายในกระจกซ้ำอีกที ผู้หญิงที่ให้ฉันยืมร่างจัดว่าเป็นผู้หญิงที่สวยคนหนึ่ง ดูจากรูปร่างหน้าตา ฉันประมาณไว้ว่าอายุคงไม่ล่วงเข้าเบญจเพสดี
การแต่งกายก็จัดว่าแปลกประหลาดเป็นอย่างมาก ฉันอยู่ในชุดคล้ายชุดชั้นใน ท่อนบนเป็นเสื้อที่ราบแนบไปกับเนื้อ เผยให้เห็นส่วนเว้าส่วนโค้งของร่างกายอย่างชัดเจน น่าจะเป็นยกทรงของที่นี่ เพราะฉันไม่ได้ใส่อะไรรองไว้ข้างใต้ ส่วนท่อนล่างเป็นกางเกงที่มีเนื้อบางมาก คลุมทับไว้บนชั้นในอีกที ฉันมองสภาพตัวเองในกระจกก็ได้แต่กลืนน้ำลายลงคออย่างฝาดเฝื่อน หากฉันออกจากเคหสถานไปในพระนครด้วยชุดนี้คงจะถูกสิ้นเกียรติวงศ์ตระกูลแน่
ฉันเดินสำรวจภายในห้องพักจนไปเจอตู้บรรจุเสื้อผ้าอยู่ที่ด้านหนึ่ง ฉันพยายามมองหาชุดกระโปรงยาวที่เรียบร้อยและใช้ได้ในทุกสถานการณ์ แต่ก็ไม่มีตัวเลือกมากนัก ส่วนใหญ่ที่เห็นจะเป็นชุดชั้นในแบบที่ฉันใส่อยู่แต่ต่างสีต่างขนาดกันไป กระโปรงที่มีก็ยาวขนาดไม่คลุมเข่า แถมยังสยายบานเปิดเผย ฉันชั่งใจอยู่นานว่าจะเลือกกระโปรงอันเป็นไปตามแบบรัฐนิยมดี หรือจะเลือกใส่กางเกงขายาวมิดชิดที่ดูเรียบร้อยกว่า
สุดท้ายความอับอายก็อยู่เหนือกว่าความยำเกรงต่อกฎหมาย ฉันเลือกเสื้อแขนยาวคลุมไหล่มาใส่คลุมชุดชั้นในไว้ ท่อนล่างเลือกเป็นกางเกงขายาวถึงตาตุ่ม รองเท้าเลือกเป็นรองเท้าผู้หญิงรัดส้นที่เหมือนจะมีอยู่เพียงคู่เดียว นอกจากนั้นเป็นรองเท้าทรงราบแบบบุรุษเพศทั้งหมด หมวกก็มีให้เลือกเพียงใบเดียวแบบเดียวเท่าที่หาพบ
หลังจากนั่งทำใจมานาน ฉันก็คิดว่าอย่างไรก็ต้องออกจากห้องนี้ อย่างน้อยด้วยกระเพาะที่ต้องการอาหารมาเยียวยา อีกข้อหนึ่งคือฉันคงฝังตัวเองไว้ในห้องสี่เหลี่ยมตลอดไปไม่ได้ อย่างไรฉันก็ต้องค้นหาความจริงว่าตอนนี้ฉันเป็นใครและอยู่ที่ไหนกันแน่ ส่วนข้อที่ว่าทำไมหลังจากฉันตายแล้ววิญญาณจึงมาสิงอยู่ที่ร่างนี้คงยากเกินกว่าจะรู้พิสูจน์แน่ชัดกันไปให้ได้โดยง่าย ป่านนี้พี่ใหญ่กับพี่กลางจะพบศพของฉันหรือยัง อาจต้องรอจนถึงรุ่งเช้า ไม่น่าเชื่อว่าเวลาแค่ชั่วสองสัปดาห์ข้ามฉลองภักดีตระกูลต้องเสียคนในครอบครัวไปถึงสามคน
ทางเดินหน้าห้องเงียบสงบ ฉันจำตัวเลขที่หน้าห้องของตนเองไว้ก่อนจะออกเดินไปตามทางยาว หวังว่าจะเจอใครสักคนที่พอจะตอบข้อสงสัยของฉันได้
“ขอโทษนะคะคุณ”
ฉันพยายามเอ่ยเสียงเรียกอย่างเป็นมิตรกับผู้หญิงคนแรกที่ฉันเจอ อีกฝ่ายหันมามองฉันสงสัยก่อนจะเปลี่ยนไปเป็นตกตะลึงอย่างมาก สายตาสำรวจจากหัวจรดเท้าทำเอาฉันหายใจไม่ทั่วท้อง ไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรผิดปรกติหรือเปล่า ฉันตั้งใจจะเอ่ยปากถาม แต่คนแปลกหน้าก็รีบกดเปิดประตูเข้าไปในห้องแคบ ๆ แล้วปิดประตูหายไป ฉันแอบมองตามไปอย่างเผลอไผล ห้องของหล่อนเล็กเหมือนกล่อง แถมไม่มีกลอนประตู
“นิ”
เสียงหนึ่งดังขึ้นจากเบื้องหลัง ฉันหันไปตามสัญชาตญาณก็พบกับผู้ชายคนหนึ่ง หน้าตาคมคาย สันกรามโค้งรับสวยเป็นนูนเด่น ผิวสีน้ำผึ้งสะอาดเกลี้ยงราวกับไม่เคยต้องงานหนัก ฉันเผลอตะลึงไปชั่วเสี้ยวนาที ฉันเริ่มไม่มั่นใจว่าฉันอยู่ที่ประเทศไทยหรือเปล่า ทำไมหน้าตาแต่ละคนเกลี้ยงเกลาเหมือนคนไม่เคยเจอแดดจ้า
“คะ”
“แต่งตัวบ้าอะไรเนี่ย”
“คุณรู้จักฉันหรือคะ”
ที่นี่ประเทศไทย และดูเหมือนว่าคนตรงหน้าจะรู้จักฉันด้วย เขาทำหน้าเหมือนคนได้กลิ่นของบูด คิ้วยับยู่ยี่ ปากเบะพร้อมจ้องฉันไม่วางตา
“บ้าแถมยังความจำเสื่อมอีก”
อีกฝ่ายเอื้อมมือมาหยิบหมวกบนหัวฉันออกไปเดาะเล่นในมืออย่างถือวิสาสะ ก่อนจะหัวเราะออกมาเบา ๆ ฉันยืนตัวแข็งอย่างทำอะไรไม่ถูก ฉันไม่เคยถูกคนแปลกหน้าพูดจาดูหมิ่นเกียรติและศักดิ์ศรีถึงเพียงนี้ ในใจฉันโกรธจนแทบจะร้องไห้ แต่ก็ต้องฝืนกลบเกลื่อนไว้เพราะเชื่อว่าเขาจะมีแหล่งข้อมูลที่ฉันต้องการ
“เสื้อกันหนาว กางเกงยีนส์ขาบาน รองเท้าส้นสูง กับหมวกจักสานเนี่ยนะ”
เขาเดินรอบตัวฉันและเริ่มต้นวิจารณ์เครื่องแต่งกายบนร่างกายฉันทีละชิ้น เสียงนั่นเต็มไปด้วยความขบขัน ฉันพยายามข่มอารมณ์ให้ราบเรียบที่สุดเท่าที่จะทำได้
“คุณไม่ควรพูดคนอื่นแบบนี้นะคะ”
ฉันเชิดคอสูงขึ้นอย่างไม่ยอมให้ใครมากดฉันให้ต่ำลงได้โดยง่าย ฉันคือหม่อมราชวงศ์หญิงอินทิรา เรียนจบคณะแพทยศาสตร์จากโรงเรียนแพทย์แห่งแรกของประเทศ ผู้ชายกักขฬะคนนี้เป็นใคร ทำไมถึงหัวเราะดูหมิ่นฉันถึงเพียงนี้
“คนอื่น” เขาทำหน้าสงสัยแต่คราวนี้ดูมีแววจริงจังขึ้นอย่างเห็นได้ชัด “เดี๋ยวนี้เรียกแฟนตัวเองว่าคนอื่นแล้วเหรอ”
ประโยคนั่นกลายเป็นปฐมบทของโลกอีกใบที่ฉันไม่เคยได้รู้จักเลย เขาลากฉันกลับเข้าไปคุยในห้อง เพราะบอกว่าการแต่งกายของฉันพิลึกพิลั่นเกินกว่าที่ใครจะสมควรได้เห็น ฉันอึกอักไปเล็กน้อยเพราะไม่สบายใจที่จะอยู่ร่วมห้องกับผู้ชายสองคนในยามวิกาล แต่ก็ดูเหมือนจะไม่มีทางเลือกที่ดีกว่านี้แล้ว เขาถามว่าหรือจะไปห้องเขา ฉันตอบไปว่าไม่อย่างแน่นอน
ผู้ชายคนนั้นชื่อว่าสพล เขาเป็นแฟนฉัน ไม่สิ เขาเป็นแฟนของนิรชาเจ้าของร่างกายนี้ต่างหาก ฉันพยายามจะขอข้อมูลพื้นฐานหลายต่อหลายอย่างจากเขา แต่ดูเหมือนจะไร้ประโยชน์ เขาคาดคั้นฉันซ้ำไปซ้ำมาอย่างไม่เชื่อถือ บางจังหวะสพลเอื้อมมือจะมาคว้าแขนทั้งสองข้างไว้ ฉันรีบถอยหลังกระเถิบหนีแทบไม่ทัน
“ฉันก็ไม่รู้จะอธิบายให้คุณฟังอย่างไรให้ชัดเจนกว่านี้” ฉันพูดพร้อมถอนลมหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายใจ “ฉันตายและตื่นมาอีกทีก็พบว่าตัวเองอยู่ที่นี่ ในร่างกายนี้ ฉันก็รู้เท่านี้เท่าที่บอกคุณ”
ฉันเบือนหน้าไปมองภาพวาดสีน้ำบนผนังอย่างไม่อยากสบตาคนตรงหน้า ในภาพนั่นมีลายเซ็นเขียนว่านิรชาจริงด้วย หากฉันสังเกตให้ดีคงรู้ไปแล้วว่านิน่าจะเป็นชื่อเล่นของเจ้าของร่าง ไม่ใช่คำทักทายที่ฉันไม่รู้จักมาก่อน
“แล้วนิไปไหน”
“ฉันก็อยากรู้เหมือนกันค่ะ” ฉันหันไปมองหน้าเขาหลังจากต้องตอบคำถามเดิมเกินครั้งที่สิบ “แต่ถ้าคุณถามว่าตายแล้วไปไหน ฉันคิดว่าฉันพอจะตอบได้นะคะ”
“โอ๊ย พูดจาภาษาอะไรเนี่ย ไม่เห็นรู้เรื่องเลย” ผู้ชายตรงหน้ายกมือขึ้นขยี้ผมสั้นของตัวเองด้วยท่าทางหงุดหงิดใจ “แล้วผมจะเชื่อได้ยังไงว่าคุณพูดจริง ไม่ได้แกล้งอำผมเล่นเฉย ๆ” เขาเหล่ตามองฉันอย่างระแวดระวังเหมือนกลัวจะโดนหลอก
“นิรชาของคุณประกอบอาชีพอะไรคะ”
“อย่าหลอกถามข้อมูล”
คนตรงหน้ารีบตอบอย่างกลัวจะเสียไพ่ ฉันส่ายหน้าอย่างระอาใจ พร้อมอธิบายต่อ ความจริงฉันอยากจะไปคุยกับเขาที่อื่น แต่ตัวเลือกก็มีเพียงห้องฉัน ห้องเขา และทางเดิน ก่อนจะออกจากห้องไปฉันสำรวจแล้วว่ามีดทำครัวอยู่ที่ตรงไหน ผิดพลาดเสียทีอย่างไรก็จะวิ่งไปเอามาไว้ข่มขู่ต่อรอง
“ฉันไม่ได้หลอกถาม แต่ฉันจะแสดงความรู้เฉพาะด้านที่ฉันคิดว่าเจ้าของร่างนี้ไม่มี หากอาชีพของฉันและนิรชาใกล้เคียงกัน นั่นก็ไม่มีประโยชน์จะพิสูจน์ด้วยวิธีนี้” เขาพยักพเยิดหน้าราวกับว่านี่จะเป็นวิธีการที่ดี นอกจากนี้เขายังเอ่ยถามอาชีพของฉันด้วย
“แพทย์ค่ะ”
ฉันตอบไปด้วยน้ำเสียงกระแทกกระทั้น ยิ่งคุยกับผู้ชายตรงหน้ายิ่งหงุดหงิด เขาเป็นคนไม่มีมารยาท แต่ละประโยคไม่เคยมีหางเสียง ถึงแม้ท่าทางจะเป็นผู้รากมากดี แต่มารยาทของเขาจัดว่าอยู่ในขั้นย่ำแย่
“โอเค ไม่ใกล้ ไหนคุณลองแสดงความรู้อะไรมาหน่อยซิ ลองทำเหมือนเป็นหมอในห้องตรวจก็ได้ เดี๋ยวผมจะยอมเล่นเป็นคนไข้ให้เอง” ฉันแยกไม่ออกว่าคำพูดของเขาจงใจเย้าหรือยอกย้อนกันแน่
“คุณเป็นโรคสะเก็ดเงิน”
ฉันเริ่มต้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ใบหน้าของสพลเปลี่ยนสีไปทันที เขาเลื่อนมือทั้งสองไปจับข้อศอกของตนเอาไว้ นั่นยิ่งทำให้ฉันมั่นใจว่าไม่ผิดทาง
“หรือหากจะเรียกให้ละเอียด คุณเป็นโรคสะเก็ดเงินประเภทที่เกิดตามข้อพับ ฉันวินิจฉัยเบื้องต้นจากสภาพผื่นและรอยโรคบนข้อศอกของคุณ ความจริงการแยกโรคผื่นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่อาการของคุณมีลักษณะสมมาตร เกิดขึ้นทั้งฝั่งซ้ายและขวาใกล้เคียงกัน ฉันทำนายว่าน่าจะเกิดจากภูมิคุ้มกันในร่างกายมากกว่าการติดเชื้อ”
เขามองหน้าฉันราวกับฉันเป็นตัวประหลาดไปแล้ว นั่นยิ่งทำให้ฉันสะใจ ริมฝีปากเขารูดปิดสนิท ไม่มีทีท่าว่าจะเถียงออกมาแม้แต่คำเดียว
“ข้อสนับสนุนอื่นที่ช่วยยืนยันได้คือรอยแผลแตกเล็ก ๆ ใกล้กับผื่นที่น่าจะเป็นอาการข้างเคียงมาจากการใช้ยากลุ่มสเตียรอยด์ และกลิ่นเฉพาะตัวของน้ำมันดินซึ่งเป็นยาที่ค่อนข้างจำเพาะเจาะจงกับโรคนี้” ฉันแกล้งยิ้มเย็น “ฉันพอจะเป็นแพทย์ได้ไหมคะคุณสพล”
“เธอเป็นใคร”
นั่นเป็นครั้งแรกที่เขาเปลี่ยนอาการจากทีเล่นทีจริงเป็นเคร่งขรึม คนตรงหน้าขมวดคิ้วจับจ้องมาที่ฉันอย่างจับผิด ฉันกลืนน้ำลายก้อนใหญ่ลงคออย่างฝาดเฝื่อน
“ฉันตอบคุณไปหมดแล้ว ฉันชื่ออินทิรา ฉันตายและชีวิตหลังความตายฉันคือร่างนี้”
อีกฝ่ายส่ายหัวไปมาอย่างรับไม่ได้กับคำตอบของฉัน แต่นั่นก็ไม่มีข้อโต้แย้งใด เขาก้มหน้านิ่งอย่างคิดหนัก ไม่ว่าฉันจะพยายามพูดอะไร เขาก็เหมือนคนที่ลืมวิธีการตอบโต้ไปแล้ว
“ตกลงที่นี่ที่ไหนแล้วนี่มันยุคสมัยอะไรกันแน่คะ”
ฉันพยายามถาม แต่เปล่าประโยชน์ คนตรงหน้าก้มหน้านิ่ง ไม่แม้แต่แสดงอาการว่ารับรู้ประโยคของฉันด้วยซ้ำ
“คุณสพลคะ ช่วยตอบคำถามของฉันหน่อยค่ะ”
“นี่แฟนของผมหายไปทั้งคน เรื่องคอขาดบาดตายขนาดนี้ คุณยังเอาแต่พูดอะไรแบบนี้อีกเหรอ!” เขาหันมาด้วยท่าทางที่โกรธอย่างเห็นได้ชัด “ที่ไหนสมัยไหนแล้วมันทำไม เอาแฟนผมคืนมา ได้ยินไหมเอาแฟนผมคืนมา!”
“นี่มันก็เรื่องคอขาดบาดตายของฉันเหมือนกัน!” ฉันตะโกนกลับไปอย่างไม่อาจสงบอีกต่อไปแล้ว “คุณคิดว่าการที่ฉันมาโผล่ที่นี่ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายของฉันหรือไง ฉันแค่ถามว่านี่มันพุทธศักราชอะไรแล้ว มันตอบยากตอบเย็นขนาดนั้นเลยหรือ!”
“ทำไม คุณรู้ พ.ศ. ไปแล้วจะได้อะไรขึ้นมา”
“ฉันก็มีสิ่งที่ปกป้องเหมือนกัน!”
ความรู้สึกทุกอย่างถล่มทลายหมดสิ้นหลังจากจบประโยคนั้น ฉันก้มหน้าและร้องไห้ออกมาอย่างโกรธแค้นกับอะไรสักอย่างที่ส่งฉันมาอยู่ที่นี่ โกรธทั้งตัวเองที่ไม่ตายไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด โกรธทั้งชะตาชีวิตที่เล่นตลก และโกรธทั้งคนตรงหน้าที่เอาแต่พูดจาหยาบคาย
“เรือนปุรานอาจจะตกไปอยู่ในมือของคนอื่นไปแล้ว”
ฉันรำพึงขึ้นมากับตัวเองมากกว่าจะตั้งใจจะพูดกับคนตรงหน้า หัวสมองของฉันคิดวนเวียนอยู่เรื่องเดียวไม่รู้จบ เอกสารสองใบที่ฉันเขียนไว้ก่อนจะสิ้นใจตาย แม้จะต้องสูญเสียกระทั่งชีวิตไป ฉันก็ไม่อยากสูญเสียบ้านอันต้องยังไว้ด้วยคำสั่งเสียสุดท้ายของพ่อได้ ชั่ววูบนั้นเองฉันรู้สึกถึงแรงหนึ่งตรงข้างขวา เมื่อเงยหน้าขึ้นจึงเห็นว่าเขากำลังบีบบ่าเบา ๆ เป็นเชิงปลอบใจ ผู้ชายไม่ควรแตะเนื้อต้องตัวผู้หญิงอย่างนี้ แต่ด้วยความเป็นความตายตรงหน้าที่สำคัญกว่า ฉันจึงเลือกจะมองข้ามไป หรือในอีกแง่หนึ่ง เขาก็อาจจะเป็นเพียงมนุษย์คนเดียวในโลกที่พอจะรับฟังฉันได้ตอนนี้
“เรือนปุราน”
เสียงเขาสูงขึ้นอย่างตั้งใจแนบเครื่องหมายปรัศนี ฉันหันไปมองหน้าเขาครู่หนึ่ง ชั่งน้ำหนักในใจเล็กน้อย สพลเองก็น่าจะไว้ใจได้ระดับหนึ่ง อย่างน้อยเขาก็เป็นคนรักของนิรชาที่เป็นเจ้าของร่างเดิมของฉันตอนนี้
“ชื่อบ้านเก่าแก่ของตระกูลฉันค่ะ” ฉันพูดด้วยน้ำเสียงที่ควบคุมอารมณ์ได้ดีมากขึ้นแล้ว “พ่อของฉันฝากฝังไว้ว่าหากไม่มีใครอยู่ก็จะส่งมอบให้กรมศิลปากรดูแล ฉันก็แค่อยากรู้ว่าหลังจากฉันตาย คนที่เหลือในครอบครัวฉันได้ทำตามคำสั่งเสียของฉันหรือเปล่าน่ะค่ะ”
“แล้วเธอจะไปกลัวทำไม ในเมื่อเธอเขียนพินัยกรรมไว้แล้วนี่ ยังไงทุกอย่างก็ต้องเป็นไปตามกฎหมาย” เขาถามอย่างไม่เข้าใจ
“ความจริงก็ไม่ใช่เรื่องน่าห่วงอะไรมากมาย แต่ฉันตายก่อนที่จะลงรายละเอียดพินัยกรรมให้เรียบร้อย ฉันก็ไม่ค่อยสบายใจค่ะ”
“ชื่ออะไรนะ เดี๋ยวผมกูเกิลให้ก็ได้ แป๊บเดียวก็รู้แล้วว่าเป็นทรัพย์ของกรมศิลป์แล้วหรือยัง” เขาพูดอย่างง่าย ๆ พร้อมกับหยิบเครื่องอะไรสักอย่างขึ้นมาในมือ
“คะ”
“โอ๊ย เธอมาจากยุคที่ไม่มีอินเทอร์เน็ตใช่ไหมเนี่ย เดี๋ยวนี้อยากรู้อะไรก็หาในมือถือได้หมดแล้ว อยากรู้อะไรก็ถามมา”
“คะ”
ฉันพูดต่ออย่างไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง ศัพท์แสงแต่ละคำที่พูดมามีแต่สิ่งที่ฉันไม่คุ้นเคย ฉันพยายามจะไม่แสดงความอ่อนด้อยด้านความรู้ออกไป แต่ถ้าไม่ถาม ฉันก็คงไม่สามารถมั่นใจได้เลย
“รู้จักอินเทอร์เน็ตหรือเปล่า”
“ไม่รู้จักค่ะ”
“มือถือล่ะ”
“ไม่รู้จักเหมือนกันค่ะ”
“โอเค งั้นกูเกิลก็คงไม่ต้องถาม”
เขาโบกมือสะบัด ๆ เป็นเชิงรำคาญ มือทั้งสองประคองสิ่งที่เขาเรียกว่าโทรศัพท์มือถือไว้ ทันทีที่นิ้วของเขาไปโดน แสงสว่างก็วาบขึ้นจนฉันตกใจ
“ขอชื่ออีกที เรือนอะไรนะ”
“เรือนปุรานค่ะ”
ฉันพูดพร้อมเอ่ยสะกดพยัญชนะและสระให้เขาทีละตัวด้วย เขาทวนตามที่ฉันบอกพร้อมกับเคลื่อนไหวนิ้วไปบนเครื่อง ภาพตรงหน้าเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ เหมือนกับภาพยนตร์ที่แสดงไปตามวาทยกรจะบรรเลง
“ตกลงมันคือเครื่องอะไรคะ” ฉันถามอย่างอดใจไว้ไม่ได้
“เครื่องห้องสมุด” สพลตอบ “อยากรู้อะไรก็หาในนี้ได้ บรรจุหนังสือไว้เป็นล้าน ๆ เล่ม ไม่ว่าเธอจะเก่งมาจากไหน เธอก็ไม่มีวันชนะเครื่องมือของฉันได้หรอก”
ชายตรงหน้าอมยิ้ม ดูไปดูมาเขาก็เหมือนเด็กเล็ก ๆ คนหนึ่ง ฉันเริ่มอยากรู้ว่าพี่สาวทั้งสองคนมีลูกไหม ถ้ามีเป็นลูกสาวหรือลูกชายชื่อว่าอะไรกันบ้าง ฉันเก็บงำไว้ ตั้งใจเผื่อจะให้เขาค้นหาดู
“เรียบร้อย”
คนตรงหน้าหันเครื่องห้องสมุดมาให้ฉันดู ตอนแรกฉันก็ไม่เข้าใจ แต่พอสังเกตให้ดีก็เห็นว่าเป็นหน้าหนึ่งในหนังสือ ไล่รายชื่อของทรัพย์สินในการดูแลของกรมศิลปากร ชื่อเรือนปุรานโดดเด่นอยู่ตรงนั้น เรือนปุรานอยู่ในการดูแลของกรมศิลปากรแล้วจริง ๆ ด้วย
“นี่ปีพุทธศักราช ๒๕๖๕ ใช่ไหมคะ” ฉันเอ่ยถามอย่างมั่นใจ “ไม่สิ ฉันต้องพูดว่าเวลานี้ก็เป็นปีพุทธศักราช ๒๕๖๕ เป็นอย่างน้อยใช่ไหมคะ”
“พูดภาษาอะไรพิลึกกึกกือ” เขาตอบแบบขำ ๆ
“ก็ฉันเขียนพินัยกรรมว่าจะส่งมอบเรือนปุรานให้กรมศิลปากรในปี ๒๕๖๕ นี่ก็ต้องผ่านมาแล้ว ไม่เช่นนั้นรายชื่อของกรมศิลปากรจะมีชื่อเรือนปุรานได้อย่างไร”
สพลส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม ก้มลงกดเครื่องห้องสมุดอีกครั้ง ฉันชะเง้อหน้าเข้าไปดูแต่ก็ไม่เข้าใจอะไรมาก สุดท้ายเขาก็ยื่นมาให้ดูจนเต็มตา ปฏิทินระบุไว้ว่าวันนี้เป็นวันที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๖๕
“ทีนี้ก็ไม่มีห่วงอะไรแล้ว”
ฉันถอนลมหายใจอย่างโล่งอก ชายหนุ่มตรงข้างฉันลุกยืนขึ้น ก่อนจะเดินไปหยิบน้ำเปล่าที่ใส่ขวดวางไว้มุมหนึ่งของห้องและส่งมาให้ฉัน
“แบบนี้ก็แปลว่าพินัยกรรมของเธอสมบูรณ์สิ บ้านของเธอถึงส่งมอบให้กรมศิลป์ได้ ใช่มั้ยล่ะ ไม่งั้นจะมีชื่อบ้านเธอในห้องสมุดได้ไง”
ฉันรับน้ำมาดื่ม ความเย็นชื่นใจละลายความแห้งผากภายในปากของฉันไปจนหมดสิ้น อารมณ์ของฉันดีขึ้นมาตามลำดับ นี่อาจจะเป็นโลกแห่งความตายจริง ๆ ก็ได้ อย่างน้อยฉันก็ไม่มีห่วงอะไร แถมยังได้หลุดมาในโลกอนาคตอีก ๘๐ ปีให้หลัง
“ก็เกือบจะสมบูรณ์แหละค่ะ แต่ก็ฉันดันมาตายแล้วมาโผล่ที่นี่เสียก่อน” ฉันพูดพร้อมถอนหายใจยาว “แต่ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตหรอกค่ะ คงจะเป็นแค่ความกังวลของฉันไปคนเดียว”
ฉันตอบออกไปด้วยความรู้สึกหมดห่วง หากนี่เป็นโลกแห่งความตาย ฉันก็คงหมดสิ้นพันธะผูกพันแล้ว ฉันรักษาคำพูดครั้งสุดท้ายไว้ได้ในที่สุด ส่งมอบเรือนตายให้คนที่คู่ควรดูแล แต่คิดไปวูบหนึ่งก็ใจโหวงหวิวไปเสียไม่ได้ พี่ใหญ่กับพี่กลางก็คงจะจากไปแล้วในเวลานี้
“ไม่สมบูรณ์ ไม่สมบูรณ์ก็ต้องไม่มีผลทางกฎหมายสิ” เสียงของสพลแย้งมา
“มั้งคะ” ฉันตอบข้าม ๆ “ฉันก็แค่กังวลว่าอาจจะมี แต่เวลาล่วงเลยมาถึงขนาดนี้ คงไม่มีอะไรต้องกังวลแล้วล่ะค่ะ อย่างน้อยเรือนปุรานก็อยู่ในการดูแลของกรมศิลปากรแล้ว”
“ผมไม่เข้าใจ”
เขาจ้องหน้าตรงมาที่ฉันอย่างไม่ปล่อยโอกาสให้หลีกเลี่ยง ฉันอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก แต่แววตานั่นก็เต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้มากกว่าจะส่อไปในทางร้ายใด สพลเหมือนเด็กยักษ์ที่จะไม่ยอมให้ผู้ใหญ่เปลี่ยนเรื่องจนกว่าตัวเองจะได้คำตอบที่ถูกใจ
“ฉันเขียนจดหมายสั่งเสียเสร็จเรียบร้อยแล้ว ตอนที่กำลังจะลงชื่อผู้รับมรดกและรายละเอียด ฉันก็ตายก่อน เข้าใจไหมคะ” ฉันแอบกระทบกระเทียบไปตอนท้าย
“สะเพร่า”
“แล้วคุณรอบคอบกับความตายได้สักเท่าไหนกันล่ะคะ”
ฉันสวนกลับไปแทบจะในทันที สัญชาตญาณเบื้องลึกบอกว่าคนตรงหน้าเต็มไปด้วยความเอาแต่ใจตัวเอง โผงผาง และแข็งทื่อต่อความรู้สึกผู้หญิงเสียเหลือเกิน
“ทำตัวเป็นยัยโสมเฝ้าทรัพย์ไปได้ ป่านนี้แล้วไม่หัดรู้จักปล่อยวาง”
ชายตรงหน้าพูดกับตัวเองมากกว่าจะจงใจสื่อถึงฉัน เขาลุกไปที่ส่วนหนึ่งของห้อง ง่วงอยู่ตู้ตั่งและเครื่องมือต่าง ๆ ที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต
“อันนี้ฉันรู้จักนะคะ ฉันเคยไปดูตอนภาพยนตร์เข้าที่ศาลาเฉลิมกรุง”
ฉันตอบไปโดยไว เขาไม่ได้มีท่าทีตกใจหรือคิดว่าฉันจะโกรธ ออกจะติดตลกด้วยซ้ำ เขายักไหล่แบบไม่สนใจจะต่อล้อต่อเถียง เขาถามฉันว่าระหว่างข้าวกะเพราหมูกับข้าวผัดไก่ฉันอยากกินอะไรมากกว่า ตอนแรกฉันนึกว่าเขาจะลงมือเป็นพ่อครัวทำอาหารให้ แต่เปล่า เขาหยิบกล่องขนาดเล็กออกมาจากสิ่งที่น่าจะเป็นตู้เย็น หลังจากนั้นก็เอากล่องนั่นไปใส่ในเครื่องอะไรสักอย่าง ไฟสว่างวาบและเสียงร้องดัง ชั่วไม่นานเกินห้านาที ข้าวผัดไก่ร้อน ๆ ก็มาวางอยู่ตรงหน้าฉัน
“เครื่องเตาไฟ” เขาพูดติดตลก “เอาไว้ทำให้อาหารร้อนแบบไม่ต้องจุดไฟ อย่าไปจิ้มเล่นล่ะ ระวังเครื่องจะระเบิดใส่หน้า”
สพลพูดขณะที่นั่งมองฉันรับประทานข้าวที่เขาเตรียมให้เงียบ ๆ เมื่อฉันถามถึงจานของเขา เขาก็บอกว่าของตัวเองจัดการมื้อเย็นมาเรียบร้อยแล้ว ฉันเอ่ยขอบคุณไปเบา ๆ ถึงแม้ว่าจะไร้อารยะเชิงคำพูดไปบ้างบางที แต่เขาก็เป็นมิตรคนเดียวที่ฉันมีในโลกประหลาด
“แล้วพินัยกรรมของคุณนี่ฝากไว้ที่ทนายความเหรอ แปลก ทำไมเขาไม่บอกให้คุณลงรายละเอียดให้เรียบร้อย” สพลหันกลับมาชวนคุยเรื่องพินัยกรรมอีก เหมือนว่าหาเรื่องที่จะคุยกับฉันไม่ได้อีกแล้ว
“ฉันซ่อนไว้ในบ้านนี่แหละค่ะ ยังไม่มีโอกาสได้ทำอะไร ๆ ให้ลุล่วงสำเร็จก็ดันมาโผล่ที่นี่เสียก่อน” ฉันพูดอย่างผิดหวังกับชะตาชีวิตตนเอง
“ซ่อน เรือนปุรานอะไรนี่มีที่ซ่อนสมบัติแบบในละครด้วยเหรอ ห้องลับ ช่องลับ กลไกพิเศษอะไรแบบนั้น”
สพลพูดด้วยท่าทีกระตือรือร้นเป็นเด็ก ๆ ฉันหัวเราะน้อย ๆ แต่ไม่ตอบอะไรออกไป คนตรงหน้าจึงเปลี่ยนอาการมาเป็นเบะปากเหมือนจะไม่พอใจ แต่ก็นั่นแหละ ฉันเอ่ยคำลาทันทีที่อีกฝ่ายขอตัวกลับห้อง ฉันเหนื่อย เหนื่อยเกินกว่าจะสู้รบตบมือกับใครก็ตามที่อยู่ในโลกประหลาดนี้แม้สักคน
เมื่อสพลจากไปแล้ว ฉันก็เริ่มมีความคิดสงสัยใคร่รู้ในตัวนิรชา เจ้าของห้องและเจ้าของร่างคนเดิมขึ้นมามาก ฉันพยายามจะตามหาสมุดบันทึก หรือประวัติส่วนตัว หรืออะไรสักอย่างที่พอจะหาได้ในห้องแห่งนี้ แต่บ้านกล่องของนิรชาก็ว่างเปล่าเต็มทน มีแต่เครื่องอะไรเต็มไปหมด ข้าวของเครื่องใช้ อุปกรณ์วาดภาพระบายสี แต่หาสิ่งที่พอจะบ่งชี้ถึงตัวเจ้าของห้องแทบไม่ได้เลย
ฉันรื้อข้าวของไปเรื่อย ๆ อย่างไม่ยอมแพ้ จนกระทั่งมาเจอสมุดบันทึกเล่มหนึ่ง จะว่าเป็นสมุดบันทึกข้อความก็คงไม่ได้ เพราะเนื้อหาเกือบร้อยทั้งร้อยเป็นรูปวาดเหมือนจะขึ้นโครงสำหรับวาดภาพขนาดใหญ่ หรือไม่ก็ออกแบบอะไรบางอย่าง ฉันเปิดไล่ไปเรื่อยอย่างต้องการจะมองหาข้อความหรืออะไรบางอย่างที่สำคัญ จนกระทั่งมือเลื่อนเปิดมาถึงหน้าที่มีตัวอักษรเขียน ใจฉันก็เหมือนตกลงในห้วงเย็นเยียบของมหาสมุทร ฉันเพ่งพิศภาพตรงหน้าซ้ำไปซ้ำมา ลองหยิบดินสอมาเทียบเคียงเพื่อสร้างความมั่นใจให้ถึงที่สุด แต่ความจริงตรงหน้าก็ไม่อาจปฏิเสธไปได้
ฉันลายมือเหมือนกับนิรชาทุกประการ