ไนปุรานเริกส์ บทที่ 2 : ทแยงทบวงกบกาลเหลี่ยมซ้อน

ไนปุรานเริกส์ บทที่ 2 : ทแยงทบวงกบกาลเหลี่ยมซ้อน

โดย : กิตติศักดิ์ คงคา

Loading

ไนปุรานเริกส์ นวนิยายออนไลน์ โดย กิตติศักดิ์ คงคา หนึ่งในผู้เข้าประกวดจากโครงการช่องวันอ่านเอาครั้งที่ 2 เมื่อแพทย์หญิงในยุคพิบูลสงครามหลุดข้ามเวลาไปยังอนาคต และพบว่าเรือนปุราน สมบัติรักตกอยู่ในสถานะหมิ่นเหม่ที่จะถูกยึดไปเพราะพินัยกรรมไม่สมบูรณ์ เธอจะรักษาเรือนหลังนี้ไม่ให้ถูกคนที่มีประสงค์ร้ายครอบครองได้ไหม

ฉันไม่มีโอกาสแม้แต่จะรดน้ำศพพ่อแม่เป็นครั้งสุดท้าย

กว่าที่คนขับรถของพี่กลางจะพาฉันกลับมาถึงพระนคร ฟ้าก็มืดแล้ว ศพของพ่อและแม่ถูกนำไปบรรจุไว้ในโลงสีนวลอร่ามเพื่อประกอบพิธีสวดพระอภิธรรม ฉันยอมรับโดยสัตย์จริงว่าฉันไม่ค่อยจะลงรอยกับพ่อตัวเองนัก แต่ก็ไม่ได้ค่อนไปทางเกลียดชังเพียงหากจะน้อยเนื้อต่ำใจในตัวเองมากกว่า เมื่อวันที่ได้มาดูรูปนิ่งสนิทของพ่ออยู่หลังควันธูปแบบนี้ ความรู้สึกภายในของฉันก็เหมือนจะถูกฉุดกระชากลากถูกันไปมา จะรักก็พูดไปเสียเต็มปากไม่ได้ แต่ก็บอกว่าไม่ก็ตัดสินลงไปได้ยากเช่นกัน

“คุณพ่อคุณแม่เจ็บไหมพี่กลาง”

ฉันเอ่ยถามด้วยเสียงกระซิบ พี่สาวจึงตัวฉันไปกอด ฉันสำทับถามอีกครั้ง ปณิธานที่เคยตั้งไว้ว่าจะเป็นผู้ดูแลพยาบาลพ่อแม่ยามแก่เฒ่าสิ้นลงจนหมดแล้ว

“ไม่เจ็บหรอกอิน” รอยลูบบางเบาดั่งจะปลอบโยนไว้ “อีกฝ่ายขับมาอย่างแรง ทันทีที่กระแทก คุณพ่อคุณแม่ก็น่าจะหมดสติไปเลย ไม่มีแม้โอกาสจะพาไปโรงพยาบาลด้วยซ้ำ”

ฉันไม่กล้าแม้แต่จะเลื่อนใบหน้าออกมาจากไหล่ที่ยืมของพี่สาวอยู่ ฉันยังจำความรู้สึกตอนเดินออกจากบ้านมาอย่างไร้สมบัติพัสถานได้ดี นั่นทำให้ฉันยิ่งร้องไห้ออกมา ชีวิตสั้นเหลือเกินเมื่อคิดในแง่นี้ ฉันพยายามปรับอารมณ์และสภาพตัวเองให้ปรกติ แต่คงจะทำได้ไม่ดีนัก

“เดี๋ยวสวดศพเสร็จแล้วกลับไปพักที่บ้านนะอิน เดี๋ยวพี่จะให้คนรถไปส่ง พี่คงต้องคอยอยู่จัดการความเรียบร้อยที่นี่อีกสักพัก อินเดินทางมาเหนื่อย ๆ พักผ่อนให้เต็มที่ก่อน แล้วจะอะไรอย่างไรกันต่อก็ค่อยว่ากัน” ฉันมองเห็นความรักในดวงตาของคนตรงหน้า

“พี่กับพี่ใหญ่ก็จะไปพักที่เรือนปุรานด้วยระหว่างนี้ จัดการทุกอย่างให้เสร็จแล้วค่อยมาตั้งสติกันใหม่อีกที กลับมาที่นี่เถอะอิน ไม่ว่าอย่างไรที่นี่ก็เป็นบ้าน ถ้าไม่สบายใจก็มาพักกับพี่หรือพี่ใหญ่ก่อนสักพักก็ได้ พี่เองก็อยากมีเพื่อนอยู่ด้วยเหมือนกัน”

ฉันอยู่ที่งานวันแรกจนเสร็จสิ้น ส่งแขกทุกคนกลับออกไปจากงาน หลังจากนั้นก็ถึงมีเวลามานั่งพิศภาพพ่อแม่ผ่านแว่นตาสีขาวดำอีกครั้ง นั่นอาจจะนานเท่าไหร่ฉันก็ไม่มั่นใจและรู้ตัว จนกระทั่งพี่สาวคนกลางของฉันเดินมาแจ้งว่าคนขับรถพร้อมจะกลับไปส่งฉันที่บ้านแล้ว ไม่มีข้อคัดค้านใดอื่นที่อนุญาตให้ฉันตอบ ฉันจึงกลับมาที่บ้านเป็นคนแรก ในขณะที่พี่สาวสองคนยังคอยอยู่จัดการงานศพต่อ เรือนปุรานโดดเดี่ยวมากนักเมื่อไม่มีพ่อแม่และพี่สาวอยู่ด้วย เพราะการจากไปอย่างกะทันหันทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างยังคงสภาพไว้ในแบบเดิม

ฉันไม่ได้เข้าไปในชายคาในทันที หากแต่เดินทอดน่องเรื่อยเปื่อยมาหยุดลงที่มุมสวน ปรกติพ่อไม่เคยลงสวนด้วยตนเอง แต่ต้นไม้ทุกต้น กล้าไม้ทุกกิ่งที่ลงปลูก พ่อเป็นคนเลือกมาด้วยตัวเองหมด ความรักของพ่อคือรักแบบไม่ประคบประหงมดูแล ฉันหย่อนตัวลงนั่งบนม้าหินอ่อนตัวโปรด หากนั่งจากตรงนี้องศาตรงหน้าจะครอบคลุมเรือนปุรานไว้ได้ทั้งเรือน

กลิ่นหอมหวานหนึ่งลอยยั่วล้อเข้ามาทักทาย ฟ้ามืดทึบสนิทแล้ว ไม่มีเมฆให้เห็นแม้เพียงสักก้อน ดวงดาวแห่งความหวังอื่นใดก็เช่นกัน หากแต่พระจันทร์ลอยเด่นอยู่กลางฟ้า งดงามแต่เงียบเหงา ฉันลุกเดินขึ้นตามกลิ่นหอมเย็นไปอย่างสงสัย ฉันคลุกคลีกับสวนนี้มาตั้งแต่เกิด แต่ดอกไม้ที่กำลังส่งสาส์นเทียบเชิญอยู่นี่ ฉันไม่คุ้นเคย ไม่อาจเรียกว่าคุ้นเคย ฉันสูดลมหายใจลึกเข้าเต็มปอด ก่อนที่คลองจักษุจะเลื่อนไปหาจนเจอความงามขาวสว่างหนึ่งที่เรืองฉายเรื่ออ่อนอยู่ในความมืดมน

ดอกวาสนา

ดอกไม้จากเรือนร่างที่ฉันรู้จักแต่เพียงต้น พ่อปลูกวาสนามาหลายปี นานนับตั้งแต่ฉันจำความได้ ต้นสูงชะลูดอันมีใบยาวแหลมก็มาปรากฏอยู่ในสวนแล้ว แต่ไม่มีสักครั้งที่ช่วงช่อจะมีโอกาสได้เผยกาย พ่อบอกว่าวาสนาออกดอกยาก ต้องอาศัยอากาศหนาวจัดถึงจะพอมีหวัง เมืองหลวงร้อนอยู่ชั่วนาตาปี คงจะไม่มีโอกาส พ่อย้ำเสมอว่าดอกวาสนามีความหมายตรงตัวว่าวาสนา หากได้เผยผลิดอกออกรูปร่างแล้ว นั่นก็เป็นวาสนาอย่างยิ่งต่อคนที่ฟูมฟักทะนุถนอมมา

“นี่คือวาสนาหรือพ่อ”

ฉันรำพึงถามออกมาโดยไม่รู้ตัว ยิ่งใกล้กลิ่นก็ยิ่งหอมติดตรึงอยู่ในความรู้สึกฝังประทับ มือเผลอลูบไล้องคาพยพของต้นวาสนาตรงหน้าราวกับจะเป็นการสื่อสารไปยังห้วงรู้สึกอันแสนไกล คืนนั้นฉันล่วงเข้านิทรารมณ์ด้วยความรู้สึกประหลาดสารพัดสารพัน เรือนปุรานแทนได้ด้วยรัก ด้วยโอบกอด ฉันรู้สึกเหมือนเป็นเด็กตัวน้อยที่ยังมีแม่คอยคลุมผ้าผวยให้อุ่นกาย เหมือนมีอ้อมกอดของญาติผู้ใหญ่สักคนคอยปกป้องฉันไว้จากโลกร้ายภายนอก

แต่ฝันที่ต้องเผชิญเรียกได้ว่าโหดร้าย เหงื่อชุ่มร่างปลุกให้ฉันขึ้นมาพบกับความโดดเดี่ยวในยามดึก ร้องไห้ ใคร่ครวญถึงอดีตที่ไม่อาจย้อนคืนมา และอนาคตที่ไม่อาจบังเกิดขึ้นได้อีกแล้ว ฉันตกอยู่ในห้วงร่างว่างเปล่า ไปไม่ได้ กลับไม่ถึง วิ่งวนอยู่ในความสับสนที่ไม่อาจจับได้หรือรู้มี ฉันร้องไห้ทุกครั้งที่ตื่นมาพบกับความมืดที่เหมือนจะล้อมจับฉันเอาไว้จากทุกด้าน แต่เรื่องราวในความฝันว่างสะอาด ไม่มีปรากฏอยู่ในความทรงจำ เป็นราวโลกโหดร้ายที่หลอกละเลิงเล่นไม่ให้รู้ตัว

ฉันตื่นขึ้นและลากผ้าผวยลงไปปูไว้จรดพื้น ให้ร่างเรือนไม้โบราณสัมผัสฉันไว้ผ่านอ้อมกอดของอาภรณ์ที่อ่อนเบา ครั้งแรกในชีวิตที่ฉันต้องนอนคนเดียว แม่สอนให้ฉันทำแบบนี้ ใกล้อีกนิด ราวกับถูกโอบอุ้มไว้เรือนปุรานอันอุดมไปด้วยรัก ในคืนนั้นฉันไม่ร้องไห้ และในคืนนี้ฉันก็ไม่ได้ร้องไห้มาอีกเช่นกัน ความผูกพันและสายใยบางอย่างรัดรึงแน่นระหว่างฉันกับเรือนตายแห่งนี้ เว้าวูบหนึ่งฉันก็ใจหาย หากไม่ได้พบพานและอาศัยอยู่ในบ้านแห่งนี้อีก แต่ก็เป็นเพียงเศษวินาทีเสี้ยวก่อนจะเผลอหลับไป

ฉันมีกิจวัตรซ้ำ ๆ เพียงไปกินข้าวกับพี่สาวตนโตบ้างคนรองบ้างในแต่ละวัน ช่วงบ่ายไล่ไปถึงดึกก็อยู่โยงที่งานสวดพระอภิธรรมของผู้เป็นพ่อและแม่ ท่านทั้งสองอยู่ที่นั่นมาตลอด จนกระทั่งค่อย ๆ กร่อนสลายหายไปกลายเป็นไอสีเทาเหลือบขาว ฉันรู้สึกว่าบางส่วน หรือเกือบทุกส่วนในชีวิตแหว่งวิ่นหายไปพร้อมกับไอระเหยคว้างกลางอากาศนั่น ความเจ็บปวดฝังลึกบางอย่างเตือนใจให้นึกถึง คำขอขมาที่คิดมาทั้งชีวิตแต่ไม่มีสิทธิ์จะได้พูดอีกแล้ว

งานฌาปนกิจศพของพ่อกับแม่ผ่านไปได้อย่างเรียบร้อย ได้ทั้งแรงสามีอันเป็นข้าราชการใหญ่โตของพี่ใหญ่และสามีอันเป็นนายห้างกว้างขวางของพี่กลาง ฉันก็แทบจะไม่ต้องลงมือลงแรงอะไรด้วยซ้ำ แขกจะให้ต้อนรับก็ไม่ได้มีมากมาย เหตุด้วยฉันย้ายไปทำงานเสียไกล เพื่อนฝูงสมัยมหาวิทยาลัยก็ล้วนหายหน้าหายตาไปทำงานกันหมด

ฉันและพี่สาวตกลงกันว่าจะจัดการเรื่องพินัยกรรมให้เสร็จสิ้นหลังจากจัดการพิธีลอยอังคาร ฉันเองก็ติดจะเกรงใจต้นสังกัดที่ขอลาไว้ยาวนานเพื่อมาจัดการธุระ หากจะต้องขอลาเพื่อมาจัดการเรื่องทรัพย์สินอีกคงมองหน้าเพื่อนร่วมงานได้ยาก

อีกประการหนึ่ง ฉันคิดว่าลูกนอกคอกอย่างฉันคงไม่มีมรดกที่ทั้งพ่อและแม่จะเจียดแบ่งให้มากมายนัก จินตนาการไว้ว่าคงจะเป็นเพียงเงินทองเล็ก ๆ น้อย ๆ และสิ่งของเครื่องประดับติดตัวเสียมากกว่า หรือไม่ก็อาจจะไม่ได้รับอะไรเลยแม้แต่สตางค์แดงเดียว ฉันอาจไม่ถูกนับเป็นลูกและการที่ไม่ใช่ลูกแล้วจะไม่ได้รับอะไรเลยก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดแต่อย่างใด

“มาพร้อมหน้ากันแล้วนะครับ”

เสียงของทนายประจำตระกูลเอ่ยถามขึ้นเป็นปฐมบทยามสายวันรุ่งขึ้นในสามวันให้หลัง ในห้องแคบอันเป็นสถานรับรองหลักของบ้านประกอบขึ้นเพียงฉัน พี่สาวทั้งสอง และทนายความอีกหนึ่งคน พี่สาวฉันจึงตอบรับไปเป็นพิธี

“มากันครบทุกคนแล้วค่ะ คุณทนายเริ่มต้นตามความเหมาะสมได้เลยค่ะ”

ฉันกวาดตามองเรือนไม้ที่ฉาบทับไว้ด้วยสีงาช้างอย่างอาลัยอาวรณ์อย่างบอกไม่ถูก อีกเพียงไม่กี่นาทีข้างหน้า ฉันอาจจะหมดศักดิ์และสิทธิ์ในการอาศัยอยู่ที่เรือนนี้ก็เป็นได้ ก้อนเนื้อในอกของฉันเหมือนจะถูกบีบคั้น เสียงความรู้สึกอึงคะนึงซ้อนซับไปมาจนฉันก็ไม่อาจตามห้วงอารมณ์ตนเองได้เท่าทัน ฉันพยายามเก็บอาการไว้นิ่ง อย่างน้อยพี่ใหญ่พี่กลางก็จะได้ไม่ต้องมาเป็นกังวล

“ข้าพเจ้า หม่อมเจ้าฉลอง ฉลองภักดีตระกูล ได้ทรงเขียนพินัยกรรมฉบับนี้ขึ้นไว้เพื่อทรงแสดงเจตนาว่า เมื่อข้าพเจ้าถึงชีพิตักษัย ข้าพเจ้าทรงประสงค์ที่จะประทานทรัพย์สินของข้าพเจ้าให้กับบรรดาผู้สืบสันดานดังมีรายการตามต่อไปนี้”

พ่อเขียนพินัยกรรมไว้โดยแบ่งเป็นสองกรณีคือขณะที่แม่ยังมีชีวิตอยู่และแม่ได้เสียชีวิตแล้ว ความแตกต่างก็อยู่เพียงการจัดสรรที่มีสัดส่วนที่ลดหลั่นกันไป พ่อไล่เรียงมรดกไว้ตามชื่อทรัพย์สิน ไม่ใช่ผู้รับ ทนายความจึงค่อย ๆ อ่านรายชื่อทรัพย์สมบัติไปทีละข้อก่อนจะระบุว่าแต่ละชิ้นใครจะเป็นผู้ได้รับไป วูบหนึ่งฉันรู้สึกเหมือนกับว่าพ่อมานั่งสาธยายบทถ้อยให้ฉันฟังด้วยตนเอง

พี่สาวคนโตได้ทรัพย์สินส่วนใหญ่เป็นกรรมสิทธิ์ในที่ดินและสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ สมกับเป็นภรรยาเจ้านาย ส่วนพี่สาวคนรองได้ทรัพย์สินส่วนใหญ่เป็นส่วนแบ่งทางธุรกิจต่าง ๆ ที่พ่อเคยร่วมลงขันก่อตั้งไว้ สมกับเป็นภรรยาเจ้าสัว ส่วนนกขมิ้นสีเหลืองอ่อนผู้โผบินไปเกาะตามสุขศาลาทีโรงพยาบาลทีอย่างฉัน ก็ได้รับส่วนแบ่งเป็นพวกเงินสดและของมีค่าดังคาด ฉันไม่ได้น้อยใจแม้แต่น้อย ตกใจเสียด้วยซ้ำที่ยังมีชื่อตัวเองอยู่ในกองมรดก

“และสุดท้าย เรือนปุราน อันมีความหมายครอบคลุมถึงอาคารกับที่ดินตามที่ระบุในเอกสารแนบฉบับสุดท้าย หมายรวมไปถึงสังหาริมทรัพย์อื่นที่ข้าพเจ้าไม่ได้ตรัสอ้างถึง ข้าพเจ้าขอประทานให้กับ หม่อมราชวงศ์หญิงอินทิรา ฉลองภักดีตระกูล”

ฉันนิ่งอึ้งไปเหมือนคนไม่ค่อยจะรู้สึกตัว สายตาเบือนไปที่พี่สาวคนโต มือนุ่มก็มาเอื้อมคว้ามือฉันไปตระกองปลอบ เมื่อหันไปมองพี่สาวคนรอง ศีรษะของฉันก็ถูกดึงเข้าไปซบตรงไหล่สูง ลูบไล้ด้วยรอยพิถีพิถันอ่อนเบา ฉันคิดอะไรไม่ออก ทำได้แค่ยืมความอบอุ่นจากพี่ทั้งสอง ขณะที่ความสับสนภายในกำลังวิ่งวุ่นไปในห้วงละอาย คลองจักษุตรงหน้าเลือนรางไปด้วยของเหลวแห่งความรู้สึกผิดบาปอีกครั้ง ฉันยังจำวันที่ลงไว้ในหัวกระดาษเอกสารสั่งลาได้ดี นั่นเคลื่อนคล้อยลอยผ่านหลังจากที่ฉันไม่หวนกลับมา

“โดยมีเงื่อนไขว่าผู้ได้รับมรดกจะต้องกลับมาอาศัยอยู่ที่เรือนปุรานเป็นการถาวรและรักษาสภาพอาคารแห่งนี้ให้คงสภาพดั้งเดิมตลอดไป ห้ามทุบทำลายแก้ไขไปเป็นสิ่งปลูกสร้างอื่น หากผู้ได้รับมรดกไม่สามารถตอบรับเงื่อนไขของข้าพเจ้าได้ ข้าพเจ้าจะขอประทานกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินนี้ให้กับกรมศิลปากรดูแลในเงื่อนไขเดียวกัน”

ทนายความกลับไปแล้ว หลังจากพี่สาวคนโตจัดการเอกสารในฐานะผู้จัดการมรดกเรียบร้อย บ้านก็กลับมาสู่ความเงียบอีกครั้ง ฉันกวาดสายตาไปโดยรอบ ขอบขื่อเนื้อระแนงดูจะสว่างไสวไปในเพียงเวลาชั่วข้ามคราว

“คุณพ่อตั้งใจจะให้บ้านหลังนี้เป็นเรือนหอของอิน”

พี่สาวคนรองของฉันเริ่มประโยคด้วยเสียงราบเรียบ ฉันหันไปมองอย่างไม่เชื่อประโยคที่ได้ยิน จนอีกฝ่ายต้องเอ่ยย้ำขึ้นอีกครั้ง

“คุณพ่อรู้สึกผิดเรื่องที่จับพี่กับพี่ใหญ่คลุมถุงชนมากนะอิน เคยแม้กระทั่งเข้าไปคุยกับทางฝ่ายบ้านสามีพี่กับพี่ใหญ่ให้ปรับปรุงพฤติกรรมในการอยู่ร่วมกันบ้าง ก็ดีขึ้นนะอิน ถึงแม้จะไม่ได้มากมายนัก ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะพี่กับพี่ใหญ่ด้วยที่รักสามีไปแล้ว อดนิดทนหน่อยพี่ก็ถือว่าเป็นชีวิตครอบครัว” พี่สาวคนรองของฉันพูด

“ความจริงคุณพ่อก็ไม่ได้รังเกียจเอกภพหรอกอิน เพียงแต่มุมมองของผู้ใหญ่ก็ไม่พอใจที่อินคบหาดูใจใครแล้วไม่เข้าตามตรอกออกตามประตู คุณพ่อเขามองว่าเอกภพสมควรเข้ามากราบแนะนำตัวอย่างเป็นทางการกับคุณพ่อคุณแม่ได้แล้ว จะไปมาหาสู่ก็ต้องมาคุยมาพบกันในบ้านเรา ไม่ใช่อยู่นอกสายตาของผู้หลักผู้ใหญ่แบบนี้” พี่สาวคนโตของฉันเสริม

“แต่คุณพ่อยังจับอินไปดูตัวกับผู้ชายอยู่เกือบทุกสัปดาห์เลยนะคะ”

“คุณพ่อท่านอยากให้เอกภพร้อนใจและรีบมาสู่ขออินให้เป็นเรื่องเป็นราวสักที อินก็อายุมากขึ้นทุกวัน ยิ่งคนรักของอินไม่มีสมบัติพัสถานอะไร ท่านก็ยิ่งอยากให้แต่งเข้า จะได้ช่วยกันดูแลเรือนปุรานแห่งนี้ไปด้วย” พี่สาวคนหนึ่งถอนลมหายใจยาว อีกคนจึงได้โอกาสเสริมมาอย่างหนักใจ

“สามีของพี่สองคนไว้ใจไม่ได้นักหรอกอิน เรื่องความหน้าใหญ่ใจโตกับผลประโยชน์ทางธุรกิจ ตัวพี่สองคนเองก็ใช่ว่าจะมีอำนาจคะคานอะไรไปค้านสามีได้ คุณพ่อจึงอยากให้อินดูแลที่นี่ไว้ ท่านรู้ว่าในลูกสาวสามคน อินรักที่นี่ที่สุด ท่านเปรยกับคุณแม่ไว้ตอนที่พี่สองคนนัดกันกลับมาเยี่ยมบ้าน อินเอ๊ย คนทิฐิสูงอย่างคุณพ่อท่านไม่พูดตรง ๆ หรอก แกล้งทำไม่รู้ว่าพี่ทั้งสองจะได้ยิน”

“อิน…” ฉันรำพึงขึ้นอย่างไม่รู้จะพูดอะไรต่อดี

“คุณพ่อท่านรักอินมาก แต่ท่านก็โกรธอินมากเหมือนกัน พี่เชื่อว่าถ้าอินกลับมาไหว้ขอขมา คุณพ่อก็คงจะยอมให้อภัย แต่คนปากหนักอย่างท่าน หากอินไม่กลับมาก็อย่าหวังเลยว่าท่านจะให้ออกตามตัว อินคิดหรือว่าคุณแม่ทราบความเป็นไปของอินทั้งหมด แต่คุณพ่อจะไม่รู้”

ฉันเหม่อมองไปรอบด้านอย่างหมดสิ้นคำพูดใดจะเอ่ย ภาพทรงจำในตัวฉันของฉันวิ่งวนซ้อนทับกันไปมา ในที่นั่นมีฉัน พ่อของฉัน และเรือนปุรานของฉันอยู่

“กลับมาอยู่ที่บ้านเถอะอิน งานการที่นี่ก็คงขยับขยายหาได้ไม่ยากนัก ส่วนเรื่องเอกภพพี่ก็ไม่ได้เร่งรัดอะไร แต่ถ้าพร้อมก็หมั้นหมายไว้ให้เป็นกิจจะลักษณะ เดี๋ยวพี่กับสามีจะช่วยออกหน้าเป็นผู้ใหญ่ให้เอง อย่างน้อยก็เห็นแก่คุณพ่อนะอิน ท่านอยากให้อินกลับมาอยู่ที่นี่ ใช้ที่นี่เป็นเรือนหอ ท่านคงไม่อยากให้บ้านต้องร้างและผุพังไปตามเวลา คนหัวเก่าแบบคุณพ่อ เรือนปุรานเป็นแบบไหน ท่านก็คงอยากให้มันเป็นแบบเดิมตลอดไป ถึงแม้ว่าจะไม่ได้อยู่ดูด้วยสายตาของตนเอง”

พี่สาวของฉันกลับไปหลังจากรับประทานอาหารมื้อเที่ยงเสร็จ หากถามถึงคำตอบในตัวฉันเวลานี้ นั่นก็คงต้องกลับมาอยู่ที่นี่อย่างไม่มีเงื่อนไข สิ่งที่พี่สาวพูดมาถูกต้องทุกประการ ฉันรักเรือนแห่งนี้มากเหลือเกิน ทุกซี่แนวทแยงแผ่นไม้เหมือนจะมีชีวิต ความจริงพี่สาวทั้งสองก็คงรักที่แห่งนี้ไม่แตกต่าง แต่ด้วยหน้าที่ความเป็นภรรยา พี่ใหญ่และพี่กลางคงจะกลับมาอยู่อย่างถาวรไม่ได้

ฉันเดินเข้าไปที่ห้องทำงานของพ่อในค่ำคืนนั้น สถานที่แห่งนี้เป็นดินแดนวิเศษ พ่อห้ามลูก ๆ เข้ามาวุ่นวายเสมอเพราะต้องการทำงานอย่างมีสมาธิเต็มที่ แต่พ่อคงไม่รู้หรือไม่ก็อาจจะรู้แต่แกล้งไม่รู้ว่าฉันแอบเข้ามาวิ่งเล่นในที่นี้เป็นประจำ แฝงตัวมองจากทางสวนเข้ามาทางหน้าต่างก็บ่อย หรือแม้แต่ลอบแง้มช่องประตูสอดส่องพ่อที่กำลังขะมักเขม้นก็หลายครั้ง

ฉันนั่งลงบนโต๊ะทำงานที่พ่อแสนจะหวงนักหวงหนา โต๊ะทำงานที่แฝงซ่อนความลับไว้เสียมากมาย ฉันวางกระดาษพินัยกรรมที่ทนายความทำสำเนาโรเนียวมาให้อย่างละชุดไว้ด้านหนึ่ง ส่วนอีกด้านหนึ่งก็หยิบกระดาษเปล่าขึ้นมา มือเอื้อมไปคว้าปากกาที่อยู่บนโต๊ะ คืนนี้ดวงจันทร์ประทับอยู่เป็นเอกอีกแล้ว ปราศจากเครื่องนำทางระยิบระยับอื่นใดบนห้วงฟ้า นานเท่านานจนกระทั่งฉันเริ่มนึกไล่เรียงความที่จะบรรจุลงในเอกสาร ฉันก็ถอนลมหายใจออกมายาว

ฉันจรดปากกาลงบนกระดาษเปล่า เทียบเคียงไล่เรียงเอาจากต้นฉบับพินัยกรรมของผู้เป็นพ่อ พ่อผู้ทิ้งสมบัติที่สำคัญที่สุดในชีวิตไว้ให้ฉัน ฉันจึงจำเป็นต้องปกป้องสมบัติชิ้นนี้ตามหน้าที่สืบไป พินัยกรรมสำคัญอย่างยิ่งยวดในเวลานี้ เพราะหากฉันไม่เขียนเจตจำนงทิ้งไว้ เรือนแห่งนี้อาจจะตกไปเป็นทรัพย์ร่วมระหว่างพี่สาวทั้งสองและสามี เรือนปุรานอาจจะกลายสภาพไปเป็นใครที่ฉันไม่รู้จัก และแน่นอนที่สุด ฉันไม่อาจยินยอม ฉันเขียนไล่ความต้องการในการมอบทรัพย์สินทั้งหมดของชีวิตเรียงไปจนสุด ลงนามลายเซ็นด้วยความรู้สึกอันสั่นเทา วันที่ และลงท้ายด้วยน้ำตาที่เริ่มไหลเอ่อออกมา

ฉันคิดถึงเอกภพสุดหัวใจ เอกภพผู้สมควรจะถูกเขียนชื่อไว้ในพินัยกรรมตรงช่องผู้รับทรัพย์สมบัติอันถูกเว้นว่างเอาไว้ ฉันจรดปากกาหลายต่อหลายครั้งจะลงเขียน แต่ก็ไม่มากไปกว่ามือที่สั่นจนควบคุมไม่ได้จนเผลอทำปากกาหลุดจากมือ ภาพสัมพันธ์ระหว่างฉันกับเอกภพก็พร่ามัวไม่ต่างจากคลองจักษุอันฉาบเคลือบไว้ด้วยน้ำตาในเวลานี้ ฉันรวมสติหลายต่อหลายครั้ง ตั้งใจจะเขียนชื่อเขา แต่จนแล้วจนรอดฉันก็ทำไม่ได้ ฉันซ่อนพินัยกรรมฉบับไม่สมบูรณ์นั่นไว้ที่โต๊ะ ซ่อนไว้อย่างไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะมีใจที่กล้าพอจะตัดสินใจลงไปให้แน่วแน่สักที หลังจากนั้นฉันจึงเดินกลับมาที่เตียงเพื่อฝืนเข้าห้วงแห่งความหลับอีกครั้ง

แต่ฝันร้ายดั้งเดิมเช่นเมื่อคืนก่อนก็เข้ามาทุบถองโบยตีอีกครั้ง ในนั้นพรั่นพร่าไปด้วยเหตุการณ์ที่ฉันไม่รู้จัก การประสบอุบัติเหตุของพ่อแม่ เอกภพที่ไม่เคยกลับมา เรือนปุรานไหม้อยู่ในกองเพลิงจนเหลือเพียงซาก ฉันที่หลงวิ่งเล่นอยู่ในสนามเด็กเล่นแห่งความเปล่าเปลี่ยว ฉันสะดุ้งตื่นขึ้นอีกครั้ง ดันตัวเองขึ้นอย่างไม่อาจทนทานต่อห้วงร้ายทางสำนึกลงไปได้ ฉันเดินไปที่โต๊ะ และจรดปากกาเขียนจดหมายฉบับหนึ่ง ถ่ายทอดความตั้งใจทั้งหมดออกมา

ถึงพี่สาวของฉัน

ก่อนอื่นอินต้องขอโทษพี่ใหญ่และพี่กลางมากนะคะที่ตัดสินใจทุกอย่างแบบนี้ แต่อินขอเน้นย้ำอีกครั้งนะคะว่าอินรู้ตัวและมีสติครบถ้วนทุกประการ พี่ใหญ่พี่กลางคะ อินขอส่งมอบเรือนปุรานให้กรมศิลปากรตามความประสงค์ของคุณพ่อในปี ๒๕๖๕ นะคะพี่ อินเผื่อเวลาไว้ช้าที่สุดหากอินสิ้นบุญจากไปก่อนและพี่ ๆ ยังอยากจะแวะเวียนมาเยี่ยมที่บ้านหลังนี้ต่อไป แต่อินขอโทษนะคะที่อินไม่อาจส่งมอบเรือนหลังนี้ให้กับว่าที่หลาน ๆ อันแสนจะน่ารักในอนาคตของอินได้ อินเป็นลูกอกตัญญูมากนัก พี่ใหญ่พี่กลาง อินขออนุญาตตอบแทนบุญคุณคุณพ่อครั้งสุดท้ายด้วยการรักษาเรือนปุรานนี้ไว้ให้นานที่สุดเท่าที่คุณพ่อจะต้องการนะคะ หลาน ๆ ของอินคงจะเติบโตไปเป็นคนใหญ่คนโตในแวดวงสังคม บ้านหลังนี้ก็เป็นเพียงสิ่งหลงยุคหลงสมัยที่อยู่ในรายชื่อสมบัติตระกูลเท่านั้น ถือว่าอินขอแล้วกันนะคะพี่ใหญ่พี่กลาง เมื่อสิ้นบุญสามใบเถาอย่างเราแล้ว มอบให้ผู้ที่เหมาะสมกว่าได้ไปดูแลเถิด ถือเป็นคำขอร้องสุดท้ายหลังจากความตายของอินแล้วกันนะคะ

จากน้องสาวของเธอ

ฉันร้องไห้ให้กับจดหมายตรงหน้า สิ่งสุดท้ายที่ลูกนอกคอกอย่างฉันพอจะมีโอกาสได้ทำ ฉันยิ้มอย่างพึงพอใจในหนทางที่เลือกจนสำเร็จแล้ว คว้ามือจะหยิบพินัยกรรมเจ้าปัญหาที่ยังเว้นว่างชื่อผู้รับนั่นไว้ออกมาจัดการ ตั้งใจจะเติมชื่อและรายละเอียดที่เหลืออยู่ให้สมกับจดหมายที่เขียนไว้ ส่งมอบเรือนปุรานให้กรมศิลปากรในปี ๒๕๖๕ เพียงเท่านี้ก็เรียบร้อย ทุกอย่างก็เป็นอันเสร็จสิ้นสมบูรณ์ หากถ้าวันหนึ่งเอกภพกลับมา และพิสูจน์ตัวเองได้ว่าเหมาะสมที่ฉันจะฝากฝังชีวิตและเรือนแห่งนี้ไว้กับเขา ฉันค่อยเขียนพินัยกรรมขึ้นมาใหม่แทนฉบับนี้ก็ไม่ถือว่าสาย

แต่ยังไม่ทันที่จะเลื่อนไปถึงลิ้นชัก มือของฉันก็สั่นไปอย่างไม่อาจควบคุม กลิ่นวาสนาลอยอบอวลเข้ามาฟุ้งในห้องราวกับต้นไม้ใหญ่ห่างไปแค่มือเอื้อม กลิ่นหอมเย็นที่เคยกระทบฆานประสาทเพียงเบาอ่อน ครานี้หนักแน่นจนกลายเป็นแทบจะฉุน ในใจอยากจะลุกขึ้นไปปิดหน้าต่างที่เปิดโล่งไปยังสวนด้วยสังหรณ์บางอย่าง แต่ก็ไม่อาจทำให้หมดจดลงไปได้ ฉันดึงมือกลับมาจากลิ้นชัก พยายามจะลูบใบหน้าทั้งสองให้ตื่นสติรู้ความ กลิ่นฉุนเฉียวประหลาดตีรวนไม่หายอยู่ในคลองผัสสะ ภาพตรงหน้าค่อยหยดเปื้อนไปราวกับสีน้ำที่โดนของเหลวเข้ามาไหลลาม

อาการแสบร้อนราวกับพญามัจจุราชกำลังบีบเค้นเกิดขึ้นในเนื้อหน้าอกข้างซ้าย ฉันเอามือไปกุมไว้พร้อมกับหายใจเหนื่อยหอบขึ้นมากะทันหัน อุปมาดังมือที่มองไม่เห็นกำลังบดขยี้ก้อนเนื้อหัวใจของฉันไว้อย่างทารุณ สติสัมปชัญญะเริ่มต้นขาดวิ่นและเว้าแหว่งไปอย่างรวดเร่ง ภาพตรงหน้าพร่ามัวไปหมด ฉันรู้สึกเหมือนหายใจลงปอดไม่ค่อยจะถนัดนัก สมองก็ตื้อไปราวกับเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ใกล้หมดแรงขับเคลื่อนเต็มที่

ความรู้ด้านแพทยศาสตร์ของฉันย้ำเตือนว่านี่คืออาการของหัวใจขาดเลือด เส้นเลือดที่ไปหล่อเลี้ยงหัวใจเส้นใดเส้นหนึ่งของฉันกำลังตีบตัน หรือไม่ปะเหมาะเคราะห์ร้ายก็อาจจะบกพร่องไปทั้งสามเส้น ฉันสมควรได้รับยาอมใต้ลิ้นสำหรับขยายหลอดเลือดอย่างรวดเร็วที่สุด แต่อนิจจา นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ฉันมีอาการดังกล่าว ฉันจึงไม่มียาที่ว่าพกติดตัว และในเวลาอย่างนี้ฉันก็คงไม่มีทางจะกระเสือกกระสนไปโรงพยาบาลได้ทันท่วงที

ฉันพยายามเอื้อมคว้ามือสะเปะสะปะไปบนโต๊ะ หมายจะให้วัตถุมากมายหล่นลงที่พื้นจนคนรับใช้อันพักอยู่ที่ห้องเล็กด้านล่างได้ยิน แต่ฉันก็ไม่รู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นอีกหรือไม่ หูของฉันเหมือนจะดับ ตาของฉันพร่ามัว สติเลื่อนลอยไปโดยสมบูรณ์แล้ว ห้วงสำนึกกลายเป็นขาวโพลนว่างเปล่า เจ็บและเจ็บมากขึ้นทุกที ห้วงทรมานยังขยี้ย้ำซ้ำซ้อนไม่หมดไป ดั่งเนื้ออกจะระเบิดออกมาเป็นเศษชิ้น ฉันพยายามหายใจ แต่รู้สึกว่าทุกอย่างกำลังดำเนินไปอย่างยากลำบาก ความทรงจำสุดท้ายคือกลิ่นดอกวาสนาที่หอมชัดอยู่ในประสาทรับรู้ ฉันตาย แพทย์หญิงอินทิราคนนี้กำลังจะขาดใจตายแล้ว

วาสนา – วาสนา

กลีบพับลับลาร่วงหล่น

เหลือไว้เพียงกลิ่นยินยล

หลงกล – หลงรูป – หลงกาย

หากจะมีอะไรสักอย่างปลุกฉันให้ตื่นขึ้นก็คงเป็นกลิ่นดอกวาสนาที่ยังคงฉุนกึกอยู่ในจมูก ฉันพยายามเร่งเรียกสติที่หลงเหลือให้เพิ่มมากขึ้นตามเวลา ศีรษะส่ายสะบัดไปมาอย่างเรียกหาสำนึก ดวงตาของฉันรู้ตื่นขึ้นหลังจากผ่านเวลาไปพอสมควร และนั่นก็ทำให้ฉันแทบจะฟั่นเฟือนไปอีกครั้ง ฉันหลับตา เบิกขึ้น หลับตา เบิกขึ้น และหลับตา และเบิกขึ้น แต่ภาพฉายตรงหน้าก็ไม่เปลี่ยนไป

ฉันอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมเล็กตันห้องหนึ่ง รูปร่างหน้าตาประหลาดไม่คลึงคล้ายกับเรือนปุรานแม้แต่นิดเดียว ห้องฉาบไว้ด้วยสีขาว ประดับประดาตกแต่งด้วยอะไรที่ฉันแทบจะไม่รู้จัก สิ่งละอันพันละน้อยหน้าตาเหมือนหลุดมาจากต่างโลก กล่องสี่เหลี่ยมโลหะที่มีจานกลมใส่อยู่ภายใน อุปกรณ์แบนราบสีดำคาดดำที่ติดอยู่บนผนัง ม้านั่งหน้าตาพิสดารที่มีแท่งเหล็กเสียบไว้เป็นที่คั่น

ไม่คุ้น ไม่มีอะไรเคยคุ้นในสายตาแม้แต่อย่างเดียว แต่สิ่งหนึ่งที่พอจะระลึกได้ กลิ่นวาสนาหวานขื่นที่ยังคงอยู่ ลอยล่องมาจากชานเรือนที่เปิดเผยอเผยไว้เพียงร่องแง้ม ฉันเดินลุกตรงไปเปิดบานเรือนกว้างออกไป ภาพตรงหน้าทำเอาฉันตกตะลึงไปถึงขีดสุด โลกตรงหน้าตกอยู่ในกลางคืนมืดสนิท แต่กลับมีแสงระยิบระยับมากมายมหาศาลประดับประดาอยู่บนพรมพื้น

รถไฟม้าเหล็กอันวิ่งอยู่บนเสาสูงดูน่ากลัวพิกล ถนนลอยฟ้าฉวัดเฉวียนซ้อนทบไปมาจนกลัวว่าจะพังแหล่มิพังแหล่ ผืนภาพขนาดใหญ่ที่สว่างเรืองรองยิ่งกว่าจอศาลาเฉลิมกรุง ตึกสูงทรงพิกเลนทรีย์ทู่ทื่อ ขาของฉันก้าวออกไปเอื้อมคว้าเอากิ่งวาสนาที่ปักชำอยู่ในกระถางขนาดเล็ก ดอกไม้ดอกหนึ่งประดับอยู่บนไม้นั่น หอมไม่ต่างกับภาพทรงจำแห่งเรือนปุราน ในขณะนั้นเองที่ฉันต้องตกตะลึงพรึงเพริดไปอีกครั้ง ระเบียงเรือนที่ฉันอยู่สูงเสียดฟ้า สูงยิ่งกว่ายอดเขาพระสุเมรุ สูงจนเห็นคนที่กำลังสัญจรไปมาตัวเท่าแค่แมลงตัวจ้อยกระจิริด

ด้วยความตะลึงตะลานจนควบคุมสติไม่อยู่ มือที่ประคองกระถางวาสนาไว้จึงเผลอปล่อยโดยไม่อาจรู้ตัว ต้นไม้ขนาดเล็กลอยละลิ่วร่วงหล่นลงสู่พื้นด้านล่าง ฉันทรุดตัวลงบนพื้นอย่างสั่นเทา ค่อยบังคับคืบคลานเคลื่อนตัวเข้าไปอยู่ในห้องแคบอีกครั้ง และเมื่อฉันเงยหน้าขึ้นหลังจากสูดหายใจเรียกสติเสียเต็มปอด ฉันก็แทบจะขาดลมสะบั้นตายอีกครั้ง ตรงหน้าฉันเป็นกระจกบานสูงร่วมสองเมตร แต่สิ่งที่รุกรานร้าวรู้สึกยิ่งกว่าคือสิ่งที่ปรากฏอยู่ ณ ที่นั่น

 

เงาสะท้อนตรงหน้าไม่ใช่ใครที่ฉันรู้จักเลย



Don`t copy text!