ไนปุรานเริกส์ บทที่ 5 : ปุฝาครอบยอดเหย้าเรือนตาย
โดย : กิตติศักดิ์ คงคา
ไนปุรานเริกส์ นวนิยายออนไลน์ โดย กิตติศักดิ์ คงคา หนึ่งในผู้เข้าประกวดจากโครงการช่องวันอ่านเอาครั้งที่ 2 เมื่อแพทย์หญิงในยุคพิบูลสงครามหลุดข้ามเวลาไปยังอนาคต และพบว่าเรือนปุราน สมบัติรักตกอยู่ในสถานะหมิ่นเหม่ที่จะถูกยึดไปเพราะพินัยกรรมไม่สมบูรณ์ เธอจะรักษาเรือนหลังนี้ไม่ให้ถูกคนที่มีประสงค์ร้ายครอบครองได้ไหม
ฉันขอร้องให้ตะวันพาฉันไปพบครอบครัวของนิรชา
ฉันปรับตัวอยู่กับชีวิตในกรุงเทพมากว่าสัปดาห์แล้ว ฉันยอมรับว่าทุกอย่างเป็นไปอย่างมหัศจรรย์ ราวกับหลุดไปอยู่ในโลกใหม่ คนไทยสมัยนี้สามารถเดินทางได้ด้วยรถไฟที่ตั้งอยู่บนเสา ตะวันเกลี้ยกล่อมฉันอยู่ถึงสามวันกว่าจะยอมทดสอบเดินทางด้วยตนเอง ฉันตกประหม่าไปจนตะวันจับสังเกตได้ เขาปลอบใจ หลังจากนั้นก็ไม่เร่งรัดให้ฉันทดลองอะไรใหม่ ๆ อีกเลย
เมื่ออยู่ในห้อง โลกขณะนี้ก็ไม่ต่างกับที่จากมาเท่าไหร่นัก สพลจัดการลบความผิดที่ผิดทางออกไปจากห้องจนหมด เครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์หน้าตาประหลาด ฉันเองก็เจอคนรักของนิรชาไม่บ่อยนัก ทางนั้นบอกว่าตนทำงานไม่เป็นเวลา ครั้งหนึ่งฉันเปรยว่าอยากจะหานาฬิกาติดผนังและปฏิทินมาไว้ในห้องสักหน่อย สพลหัวเราะขึ้นมาทันที ไม่มีใครใช้นาฬิกาเทอะทะกับปฏิทินกระดาษอีกแล้ว เสียงลั่นตอบ วันรุ่งขึ้นชายผิวสีน้ำผึ้งคนนั้นก็จัดการเตรียมนาฬิกาแบบสวมข้อมือมาให้พร้อมตั้งเวลาให้เสร็จสรรพ นั่นสักประมาณวันสองวันก่อนออกเดินทางไปบ้านเกิดของนิรชาได้
“ฉันควรชวนสพลไปด้วยไหมคะ”
ฉันเอ่ยถามตะวันขณะที่ก้าวขึ้นมานั่งอยู่ด้านข้างคนขับ วันนี้ตะวันรับบทเป็นสารถี อีกฝ่ายหันหน้ามามองฉันอย่างตั้งใจ จากที่กำลังจะเคลื่อนรถออกจากลานจอดรถก็หยุดก่อน เปลี่ยนอาการมาเป็นจริงจังในการสนทนา
“ผมลืมบอกคุณเรื่องนี้” ตะวันถอนลมหายใจ “ถ้าคุณไปถึง ผมแนะนำให้คุณหลีกเลี่ยงการพูดถึงสพลจะดีกว่า ความจริงเรื่องที่ทำให้คุณทะเลาะกับพ่อแม่จนแทบไม่ได้กลับบ้านก็มีต้นเหตุมาจากไอ้สพลเนี่ยแหละ แต่เรื่องมันก็นานมาแล้ว คุณก็เลี่ยง ๆ หน่อยแล้วกัน”
“คุณพ่อคุณแม่ไม่ชอบสพลเหรอคะ” ฉันเริ่มต้นเก็บข้อมูล
“มาก” ตะวันย้ำหนักแน่น “ไม่ชอบแบบมาก ๆ ตอนแรกที่เขารู้ว่านิจะซื้อคอนโดอยู่โดยมีสพลอยู่ใกล้ ๆ ก็ทะเลาะกันบ้านแทบแตก นิไม่กลับไปบ้านเลยเกือบปี จนต่างฝ่ายต่างอ่อนลงก็พอจะกลับมาได้เจอกันบ้าง แต่ก็เลี่ยง ๆ ที่จะคุยเรื่องนี้ไป”
ฉันพยักหน้ารับทราบ
“คุณเองก็ต้องระวังเรื่องตรงนี้ไว้ให้มาก ถ้าหากดันไปพูดอะไรผิดจนทะเลาะกันลุกลามใหญ่โต ความจะแตกเอาได้ว่าคุณไม่ใช่นิ แล้วเดี๋ยวเรื่องวุ่นวายจะตามมาอีกไม่รู้จบ เอาจริง ๆ นะอินทิรา ผมไม่เห็นด้วยเลยที่คุณจะไปหาพ่อแม่นิแบบนี้”
เขาลงท้ายประโยคด้วยหน้ามุ่ย แต่ก็เป็นหน้ามุ่ยแบบตะวัน เห็นแล้วก็อดขำในใจไม่ได้ ตะวันเป็นผู้ชายประเภทตามใจคนอื่นเสียมาก เรื่องนี้ฉันก็รบเร้าเขาไม่นาน สุดท้ายเขาก็ยอมแม้จะบ่นเป็นหมีกินผึ้งอยู่บ่อยครั้ง
“ฉันก็อยากไปพบคุณพ่อคุณแม่บ้างสิคะ”
ฉันตอบไปตรง ๆ มองหน้าเขาอย่างบริสุทธิ์ใจ ตะวันถอนลมหายใจออกมายาวเหยียด ฉันลอบสังเกตอาการอยู่เงียบ ๆ หวังว่าความต้องการของฉันจะไม่ทำให้เขายุ่งยากใจจนเกินไป แต่ในท้ายที่สุดเขาก็ยิ้มออกมา ฉันรีบฉีกยิ้มให้เขาบ้าง แทนคำขอบคุณที่เขาช่างเป็นเพื่อนที่แสนดีในโลกประหลาดเหลือแสนใบนี้ คนตรงหน้าก็เอ่ยชวนให้ออกเดินทาง
หลังจากออกจากคอนโดมิเนียม ตะวันก็วนไปรับเพื่อนร่วมทางมาด้วยอีกสองคน ตามคำบอกเล่าของตะวัน หากไม่ชวนรมิตากับคเชนทร์ไปด้วยจะแปลกเพราะถือเป็นเพื่อนสนิทกลุ่มเดียวกัน เวลากลับบ้านนิรชาก็จะลากเพื่อนสองคนนี้ไปด้วยเสมอ ฉันเห็นด้วยเป็นอย่างมาก เพราะการจะเดินทางอ้างแรมกับผู้ชายสองคนคงจะไม่เหมาะไม่ควร
“สวัสดีค่ะรมิตา สวัสดีค่ะคเชนทร์”
ฉันเอ่ยทักด้วยเสียงสดใสเมื่ออีกสองคนก้าวขึ้นรถมา ตะวันสอนว่าไม่จำเป็นต้องลงท้ายคะค่ะทุกครั้งที่จบประโยคก็ได้ หากมีการใช้คะค่ะไประหว่างประโยคแล้ว ภาพรวมก็ดูสุภาพไม่ต่างกัน
“นิ” เสียงผู้หญิงถามกลับมาทันที “แกเป็นบ้าปะเนี่ย พูดอะไรวะ”
ผู้หญิงผมสั้นก้าวขึ้นมานั่งบนรถด้วยอาการตกตะลึง ความจริงรมิตาก็ดูเป็นคนสะสวยสมสมัยดี แต่การพูดจาดูไม่ค่อยเรียบร้อยเท่าไหร่นัก ส่วนคเชนทร์ตัดหัวเกรียนเหมือนพวกทหาร แต่เกรียนเท่ากันหมดทั้งหน้าหลัง ไม่ใช้ยาวตรงหน้าและไถจนติดหนังศีรษะตรงด้านข้างและหลัง
“เห็นไหมผมบอกแล้วว่าตากับเชนตกใจแน่”
ตะวันหันมาพูดพร้อมขยิบตากลบเกลื่อน ฉันเข้าใจความหมายได้ทันที เรียกว่าเคยคุ้นเสียจะดีกว่า เวลาฉันทำอะไรแปลก ๆ พูดอะไรแปลก ๆ ตะวันจะคอยแก้ไขให้ ฉันก็ต้องรับมุกตามให้ทันเท่านั้นเอง
“แกดูละครย้อนยุคเยอะไปเปล่าวะนิ ฉันว่าแกเริ่มติดคำพูดคำจามาจากละครแล้วนะ”
รมิตาชะโงกหน้ามาจ้องฉันอย่างสงสัย ฉันผงะไปน้อย ๆ อย่างรับมือไม่ถูก ผู้หญิงตรงหน้าพินิจพิจารณาฉันอย่างสนใจ
“เปล่านี่คะตา”
“เนี่ยวิธีการพูดโบร้าณโบราณ แกคอสเพลย์เป็นแม่พลอยเหรอ อินเนอร์ใช้ได้อยู่นะ”
ฉันกลืนน้ำลายลงคอด้วยรับมือไม่ค่อยจะถูก เสหน้าไปมองคนที่กำลังขยับรถเคลื่อนตัวออกไปอย่างขอความช่วยเหลือ
“แกก็เวอร์ แกล้งเล่นกันขำ ๆ แค่นั้นแหละ”
“อื้อ ค่ะ”
ฉันรับคำให้ดูสมัยใหม่ตามที่ตะวันเคยสอน แต่ปากเจ้ากรรมก็ดันเผลอลงคำประติชญาวิเศษณ์แถมไปด้วย โชคดีที่กลืนเสียงลงคอไปได้มาก แถมเสียงอึงอลจากถนนอลหม่านก็มาช่วยเบี่ยงเบนความสนใจไว้
“แล้วคิดยังไงกลับบ้านวะ ปกติเห็นเกลียดกันยิ่งกว่าอะไรดี”
“คิดถึง เอ่อ มั้งคะ”
คำตอบฉันดูตะกุกตะกักจนคเชนทร์หันมามองด้วยสีหน้าเหยเก ฉันพยายามตอบสั้น ๆ และพูดให้เร็วขึ้นเพื่อให้ดูธรรมชาติมากขึ้น แต่ก็ดันเผลอพูดคำที่ตะวันบอกว่าเลิกใช้กันไปหมดแล้วอยู่ดี
“เอาเหอะ กลับไปก็อย่าตีกันอีกแล้วกัน ครั้งที่แล้วยังปวดหัวไม่หาย มีอะไรก็ค่อยพูดค่อยจา”
คเชนทร์ถามซ้ำมาอีกครั้ง จากข้อมูลที่ตะวันเล่า ตั้งแต่เรียนจบมานิรชาเองก็กลับบ้านแค่ไม่กี่ครั้ง แต่ละครั้งก็มักจะเป็นธุระสำคัญที่ต้องจัดการเรื่องเอกสาร อย่างครั้งล่าสุดก็มาจัดการเรื่องย้ายทะเบียนบ้านไปอยู่ที่กรุงเทพ กระทบกระทั่งกับพ่อแม่บ่อยครั้ง ฉันวิตกแต่ก็ไม่ถึงกับมาก คงไม่มีอะไรรุนแรงไปกว่าความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับ หม่อมเจ้าฉลอง ฉลองภักดีตระกูล อีกแล้ว
“ค่ะ เอ๊ย อื้อ”
ฉันรับคำไปโดยสัญชาตญาณก่อนจะรีบเปลี่ยนให้เป็นสมัยนิยมมากขึ้น เพื่อนทั้งสองทำหน้างง ๆ ฉันจึงรู้ตัวรีบเปลี่ยนคำ
“ว่าแต่แกเตรียมครีมกันแดดมาหรือเปล่า”
และฉันก็เข้าใจในที่สุดว่าทำไมรมิตาถึงต้องถามถึงครีมกันแดด ตอนแรกฉันเข้าใจว่าบ้านของนิรชาน่าจะอยู่แถบภาคกลาง ไม่ห่างออกไปมากนัก ขับรถสักสองสามชั่วโมง เพราะดูจากรูปพรรณสัณฐาน ผิวเนื้อขาวสะอ้าน ร่างอรชรอ่อนบางของนิรชาแล้ว น่าจะเกิดในเชื้อสายตระกูลของชาวพระนครเก่า แต่ผิดถนัด ตะวันใช้เวลาขับรถยาวนานกว่าหกชั่วโมง ออกจากกรุงเทพในช่วงสาย กว่าจะถึงบ้านเกิดของเจ้าของร่าง ดวงอาทิตย์ก็เกือบลับขอบฟ้าแล้ว
ฉันไม่กล้าเอ่ยปากถามต่อหน้าเพื่อนอีกสองคนเพราะจะมีพิรุธมากที่ไม่รู้จักบ้านของตนเอง กว่าฉันจะรู้ก็เมื่อสถานที่ดังกล่าวมาตั้งอยู่ตรงหน้าแล้ว และนั่นก็เต็มไปด้วยความสมบุกสมบัน บ้านของนิรชาเป็นบ้านไม้ขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ ตีขนาดคงจะมีห้องให้ใช้สอยสักสี่ห้าห้องได้ ตัวบ้านทำด้วยไม้ยกสูงปักลงไปในเลน หลังคามุงด้วยจากและสังกะสี โครงสร้างดูน่าระแวดระวังว่าจะทรงตัวอยู่บนพื้นดินอ่อนยวบด้านล่างได้ ด้านหน้ามีบันไดลิงทอดยาวลงไป และมีเรือหางยาวสีสดจอดอยู่หนึ่งลำ ที่อยู่ระบุตำแหน่งยังตำบลบางสน อำเภอปะทิว จังหวัดชุมพร
“สวัสดีค่ะคุณพ่อคุณแม่”
ฉันรีบยกมือไหว้ชายและหญิงวัยกลางคนคู่หนึ่งทันทีเมื่อก้าวเข้ามาในเขตเรือน ตะวันสะกิดเตือนเป็นสัญญาณให้รู้ว่านี่คือบุคคลที่ฉันต้องการมาหา ตอนแรกเหมือนทั้งสองคนจะไม่รู้สึกตัวเท่าไหร่ แต่เมื่อหันหน้ามาเจอฉันกำลังยกมือประนม ชายหญิงคู่นั้นก็เหยหน้าไปเป็นไก่ตาแตก
“พันพรือ หน่องนีลืมกินยามาตะ หรอยไรฉ็อมฉ็อม”
คราวเป็นฉันที่เป็นไก่ตาแตกเสียเอง หันไปมองหน้าตะวัน ชายหนุ่มก็รีบตรงเข้ามากระซิบกระซาบแปลความหมายให้ ฉันพยักหน้ารับ รมิตากับคเชนทร์ก็เงียบไปแบบไม่เข้าใจสถานการณ์เช่นกัน
“พ่อกับแม่ช่วยพูดภาษากลางได้มั้ยครับ พอดีผมกับตาแล้วก็เชนไม่ค่อยคุ้นหูเท่าไหร่ แปลไม่ค่อยจะออก”
ตะวันรีบแก้สถานการณ์เป็นการด่วน พ่อแม่ของนิรชาถึงแม้จะดูงง ๆ ไปบ้างแต่ก็ยอมปรับสำเนียงเป็นไทยกลางแต่โดยดี ตะวันบอกฉันว่าแม่ของนิรชาพูดว่า ฉันเป็นอะไรมาหรือเปล่า ทำไมพูดจาแปลก ๆ พอได้คำขยายความเพิ่มจึงเข้าใจ ตั้งแต่เกิดมานิรชาคงไม่เคยเรียกพ่อแม่ว่าคุณพ่อคุณแม่
“แต่ฉันคุ้นเคยแบบนี้นี่คะ อีกอย่างท่านก็เป็นคุณพ่อคุณแม่ของนิรชาด้วย ไม่ว่าอย่างไรก็ควรจะให้เกียรติท่านตามกาลเทศะหรือเปล่าคะ”
ตะวันลากฉันมาหลบมุมเสวนาอยู่ฝั่งหนึ่งของบ้าน ฉันจึงมีโอกาสได้พูดความไม่เข้าใจออกไป แน่นอนว่าฉันถูกเขาบ่นมาอีกหนึ่งกัณฑ์เทศน์ เขาบอกว่ายุคสมัยนี้ไม่มีใครเรียกพ่อแม่ว่าคุณพ่อคุณแม่แล้ว มันห่างเหินเกินไป ยิ่งนิรชาที่เกเรกับพ่อแม่มาตั้งแต่ไหนแต่ไร ยิ่งทำยิ่งประหลาด ตะวันอธิบายการเรียกใช้สรรพนามกับคนรอบตัวให้ฉันใหม่ กับพ่อแม่ เรียกตัวเองว่านิเรียกอีกฝ่ายว่าพ่อหรือแม่ กับเพื่อน เรียกตัวเองว่าฉันเรียกอีกฝ่ายว่าแก กับคนห่างเหิน เรียกตัวเองว่าฉันเรียกอีกฝ่ายว่าคุณ
“กับผม คุณจะแทนตัวเองว่าฉันแล้วเรียกผมว่าคุณก็ได้” เขาปิดท้าย
“นี่ฉันกับคุณยังนับรวมกันว่าห่างเหินอีกหรือคะ ฉันนึกว่านิรชากับคุณจะสนิทสนมกันมากกว่ารมิตาหรือคเชนทร์เสียอีก” ฉันถามแบบไม่เข้าใจ
“ผมหมายถึงถ้าอยู่กันสองคนไง” ตะวันยกมือขึ้นมาเกาหัวแบบยุ่งยากใจ “ถ้าอยู่ต่อหน้าคนอื่นจะเรียกว่าฉันกับแกก็ได้ แต่ถ้าอยู่กันสองคน คุณจะเรียกผมแบบเดิม ผมก็ไม่ติด คุณจะได้ไม่ต้องเกร็ง”
“งั้นฉันเรียกคุณว่าฉันกับแกด้วยดีไหมคะ ยังไงฉันก็เห็นคุณเป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดในเวลานี้นะคะ” ฉันถามพร้อมยิ้มให้
“ไม่ดีกว่าครับ” ตะวันตอบหลังจากนิ่งไปครู่หนึ่ง “ความจริงผมชอบที่คุณเรียกผมว่าคุณและแทนตัวเองว่าฉันมากกว่า” และเขาก็เงียบไปอีกครั้ง “ผมว่ามันดูพิเศษดี”
“หรือคะ ฉันกับคุณนี่ใช้ได้ในกรณีไหนอีกไหมคะ ฉันจะได้เลือกใช้ได้อย่างถูกต้อง”
ฉันถามต่ออย่างสงสัย เมื่อไล่ลำดับความสัมพันธ์ดูแล้ว ระดับความสนิทสนมดูจะแปลกไปสักหน่อย ความจริงฉันอยากจะถามให้ตรงกว่านั้นว่า ฉันกับคุณนี่สามารถใช้ได้ในสถานะใดอีกบ้าง แต่พอจะพูดออกไปแล้วก็ติดขัดอยู่ในปาก พูดออกไปไม่ได้เสียที
“ก็เก็บไว้ใช้กับผมไง”
เขาฉายรอยยิ้มเจิดจ้าให้ฉันอีกครั้ง ดวงใจของฉันเต้นเร็วขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว โลกใบนี้ช่างซับซ้อนและเข้าใจได้ยากเหลือเกิน เมื่อนั้นฉันก็เผลอนึกถึงพี่ใหญ่และพี่กลางขึ้นมา หากว่าเราสามใบเถายังอยู่ด้วยกันคงจะพอปรึกษาหารือกันได้บ้าง ฉันนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง ตะวันคงจะเห็นเลยบอกให้ฉันพักไปก่อนเพื่อปรับตัว ส่วนเขาจะไปรับหน้าพ่อกับแม่นิรชาให้ก่อน
ฉันมองโค้งน้ำกว้างที่สอดรับกับเวิ้งฟ้าเบื้องบนอันสุดเส้นสายตายาวไกล แสงสุดท้ายของวันกำลังจะอัสดงปลงลับล่วงเข้าราตรีแล้ว ทำเลบ้านของนิรชาตั้งอยู่ในคุ้งอ่าวที่กว้านลึกเข้ามา อุดมประดับด้วยต้นไม้แน่นทึบขจี พื้นเลนจรดผืนเรือนเลื่อนไกลไปประทับกับผืนน้ำทะเลกว้างที่ห่างสายตาออกไป แดดแดงยออ่อนจนย้อมฟ้าให้กลายเป็นสีส้มงาม เมฆหมู่คลี่ตัวลอยคว้างกลางฟ้าโดดเด่น บางขอบบางเส้น อณูเนื้อเกินจับต้องฉายสีเป็นเงินเงาชวนให้ไล่สายตาติดตาม ณ ลมหายใจนั้นฉันรู้สึกโชคดีที่ยังมีชีวิตอยู่ ถึงแม้จะหาข้อสรุปได้ยากยิ่งว่ามีเหตุปัจจัยมาจากต้นหนกลใดก็ตาม
“กินข้าวแหล่วม้ายหน่องนี”
พ่อของนิรชาทักฉันในวันรุ่งขึ้น ฉันพอทราบกิจวัตรคร่าว ๆ มาจากการสังเกต ผู้เป็นพ่อจะออกเรือหาปลาตั้งแต่ตอนน้ำขึ้น ส่วนมากก็ช่วงเช้าตรู่ ส่วนผู้เป็นแม่จะรับหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยภายในบ้าน สัตว์ทะเลที่หามาได้ก็จะเก็บไว้กินส่วนหนึ่ง แต่ถ้าเจอปลาแพง ๆ อย่างปลาอินทรี ปลาเต๋าเต้ย ก็จะแบ่งไปขายที่ตลาด เพราะแลกเงินได้มาก
ภาพรวมของชีวิตสองสามีภรรยาพออยู่พอกิน ไม่ได้มีมากแต่ก็ไม่ถึงขั้นลำบากยากแค้น ตะวันเล่าว่านิรชาส่งเงินให้ที่บ้านเป็นประจำ แต่จะเท่าไหร่ เขาก็ไม่ทราบตัวเลขแน่นอนเหมือนกัน ภาพครอบครัวตรงหน้าของฉันก็ฉายให้พบว่าพ่อแม่ของนิรชาเองก็มีความสุขในชีวิตดี แต่ไม่รู้ว่านั่นเป็นเพราะว่าฉันนั่งอยู่ตรงนี้หรือไม่ ถึงแม้ว่าตะวันจะย้ำนักย้ำหนาว่าตัวนิรชาเองกับพ่อแม่ไม่ค่อยจะลงรอยกันนัก แต่พอมาประสบด้วยตนเอง ฉันคิดว่าครอบครัวในร่างนี้สมัครสมานกลมเกลียวยิ่งกว่าบ้านฉลองภักดีตระกูลที่จากมาเสียอีก
“นี่คุณ แม่เขาชวนออกไปหาหอยตอนช่วงบ่าย คุณจะไปด้วยกันไหม แต่ผม ตา แล้วก็เชนไปกันหมดนะ สนุกดี ถ้าคุณกลัวลำบากก็รออยู่ที่นี่ก็ได้ เอ่อ มันก็สมบุกสมบันอยู่พอสมควร”
ตะวันมาชวนขณะที่ฉันกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่เงียบ ๆ อีกสิ่งที่ฉันต้องทำคือการประกอบเวลาที่หายไป ๘๐ ปีให้สมบูรณ์ หลังจากปี ๒๕๘๕ ที่ฉันตายจนถึงวันนี้มีอะไรขึ้นบ้าง ฉันจำเป็นต้องรู้ อย่างน้อยก็เพื่อเข้าใจทุกขอบข่ายองคาพยพของประเทศไทยในปัจจุบัน
“ไปสิคะ”
ฉันยิ้มรับและไปเตรียมตัวให้ทะมัดทะแมง ตะวันแนะนำให้ฉันเปลี่ยนเป็นกางเกงขายาวสีเข้มที่สกปรกได้ ฉันไม่ได้เตรียมมาจึงรื้อดูตู้ของนิรชาที่พอจะมีเสื้อผ้าทิ้งไว้ เลือกให้เหมาะสม ก่อนจะเดินออกจากบ้านที่เจ้าเรือนเรียกว่าขนำและลัดเลาะไปตามป่าชายเลนขนาดเล็กที่คั่นกลางระหว่างที่แห่งนี้กับโลกศิวิไลซ์ที่อยู่ห่างไปแสนไกล
“อยู่กรุงเทพสบายดีมั้ย”
แม่ของนิรชาพูดด้วยภาษากลางติดสำเนียงทองแดง ฉันรู้จักโทรศัพท์มือถือแล้วว่าเครื่องมือนั่นใช้ติดต่อกับคนที่อยู่ไกล ๆ ได้ด้วยยุคฉันโทรศัพท์มีไว้สำหรับติดต่อกันเพื่อส่งโทรเลขหาคนไกลในกรณีเร่งด่วน แต่สมัยนี้ใครต่อใครก็มีโทรศัพท์ติดตัวแล้ว ฉันก็เพิ่งทราบว่าคนไทยสมัยนี้ไม่มีใครใช้โทรเลขกันแล้ว
“สบายดีนะคะคุณแม่”
ฉันยิ้มตอบ ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะดูไม่ค่อยเคยชินกับลักษณะการพูดของฉันนัก แต่ฉันก็แกล้งทำเป็นมองไม่เห็น ลึก ๆ ในใจของฉันเชื่อว่าการพูดด้วยภาษาที่ไพเราะไม่ใช่สิ่งต้องห้ามไม่ว่าจะในสังคมไหน อดีตหรือปัจจุบัน
“งานค่อนข้างยุ่งน่ะค่ะ นิเองก็ต้องปรับตัวหลาย ๆ อย่าง ไว้เข้าที่เข้าทางเมื่อไหร่จะมาเล่าให้คุณแม่ฟังอย่างละเอียดเลยนะคะ”
ฉันพูดขณะที่ย่ำเท้าลงไปในพื้นยวบ ความจริงสถานการณ์รอบด้านไม่น่าพึงประสงค์แม้สักอย่าง อากาศที่ร้อนอบอ้าว ถึงแม้จะมีร่มเงาและไอเย็นช่วยแต่ก็ยังร้อน พื้นโคลนเหนอะหนะที่แสนจะลำบากสำหรับการก้าวเหยียบและทรงตัว โลกรอบด้านที่ไม่เคยคุ้น แต่มีเพียงสิ่งเดียวที่ทำให้โลกตรงหน้าสว่างขึ้นมาได้ ความเป็นแม่ ถึงแม้ว่าฉันจะรู้ดีว่าสิ่งตรงหน้าไม่ได้มอบให้แด่อินทิรา แต่เป็นนิรชา แต่นั่นก็ทำให้หัวใจของฉันอบอุ่นขึ้นไปด้วย ฉันประหวัดไปถึงชายหญิงชราคู่หนึ่งในเรือนปุราน หากย้อนเวลากลับไปได้ก็อยากจะขอกราบแนบเท้าท่านทั้งสองอีกครั้ง แต่นั่นก็เกินความเป็นไปใฝ่ฝันใดที่ฉันจะเรียกร้องและพยายาม
“ว่าง ๆ ก็โทรมาหาพ่อแม่บ้าง” แม่ของนิรชาพูดออกมาด้วยใบหน้ายิ้มเรื่อ
“ไว้นิจะโทรหานะคะ”
ฉันตอบไปด้วยประโยคในใจที่คิดว่าระดับภาษาเหมาะสมกับสถานการณ์ แม่ของนิรชาไม่ตอบแต่หันไปแอบอมยิ้มเงียบ ๆ กับกระป๋องเก็บหอยที่ถืออยู่ ใจของฉันฟูอย่างไรก็บอกไม่ถูก อดนึกถึงชีวิตครอบครัวของตัวเองขึ้นมาบ้างไม่ได้ ฉันคงไม่สามารถกลับไปชดใช้แก้ไขความผิดในอดีตใดได้อีกแล้ว แต่เมื่อโชคชะตาให้โอกาสฉันมา ฉันก็คงจะยืมร่างกายของผู้หญิงคนนี้ชดเชยอะไรบางอย่าง ทั้งกับตัวฉัน ตัวนิรชา พ่อแม่ของฉัน และพ่อแม่ของนิรชาเอง
“แบบนี้หรือเปล่าคะแม่”
กิจกรรมการเก็บหอยเริ่มต้นในช่วงเวลาบ่ายอ่อน อากาศจะผ่อนร้อนไปมากแล้ว สมาชิกทุกคนได้รับมีดอีโต้เก่า ๆ และกระป๋องกันคนละหนึ่งใบ วิธีการคือเอามีดเกลี่ยขุดสุ่มหาไปตามพื้น เมื่อใบมีดไปชนกับเปลือกหอย เสียงก็จะดังแก๊งแก๊ง จากนั้นก็ให้เอาอีโต้พุ้ยดินและควักตัวหอยขึ้นมา ฉันแยกไปกับแม่ของนิรชาสองคน ตั้งใจอยากให้เวลากับผู้เป็นแม่มากเป็นพิเศษ อีกฝ่ายก็ดูจะรู้สึกประดักประเดิดไปบ้างกับการทำตัวของฉัน แต่ฉันก็เลือกจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น แกล้งถามโน่นถามนี่ไปเรื่อยเพื่อสร้างบทสนทนา ฉันเชื่อว่าแม่ของนิรชาจะต้องรู้สึกดี อย่างที่ฉันในเวลานี้ก็ปีติใจไม่แตกต่างเลย
“คุณปรับตัวเก่งกว่าที่คิดนะเนี่ย”
ตะวันหาจังหวะเข้ามากระซิบกับฉันเป็นการส่วนตัวเมื่อมีจังหวะในขากลับ ฉันเบ้หน้าใส่เขาอย่างเริ่มที่จะสนิทกันขึ้นมามากแล้ว ใครว่าว่าฉันปรับตัวได้เก่ง การเหยียบขาลงไปในโคลนลึกครึ่งแข้งที่ข้างล่างมีอะไรต่อมิอะไรอยู่บ้างก็ไม่รู้ไม่ได้ชวนให้หายใจได้ทั่วท้องเลย แต่ทั้งหมดทั้งมวลก็เพื่อหญิงวัยกลางคนที่กำลังแบกกระป๋องหอยใบใหญ่กลับบ้านอาด ๆ ตรงหน้า
หล่อนสมควรได้รับความสุขอย่างที่แม่คนหนึ่งพึงมี ฉันทราบดีว่านั่นมีค่าขนาดไหนและจะทำอย่างไรเพื่อพอจะส่งมอบให้หล่อนได้บ้าง ต่อจากนี้ไปฉันตั้งใจจะโทรหาพ่อและแม่ของนิรชาเป็นประจำ แต่ก็คงจะต้องรอให้ปรับตัวเข้ากับโทรศัพท์ได้ก่อน ถือเสียว่าเป็นค่าเช่ายืมร่างกายของเจ้าของเรือนร่างนี้แล้วกัน
“หรอยแรงแม่เอ๊ย”
พ่อของนิรชาคำรามออกมาเสียงดังหลังจากตักแกงเข้าปากไปคำแรก เย็นนั้นพวกเราล้อมวงกินอาหารด้วยกันตามกิจวัตร สำรับวันนี้เป็นปูนึ่งที่ลอบขึ้นมาได้ แกงเผ็ดหอยแครงนก และผัดเผ็ดหอยพู่กันที่พาไปขุดกันมาได้มากมาย กินได้คำสองคำฉันก็เผ็ดจนน้ำหูน้ำตาไหล พ่อของนิรชาหัวเราะเสียงดังว่าเสียชื่อคนใต้หมด ส่วนคนเป็นแม่ลุกขึ้นไปเจียวไข่มาให้ตัดรส ปากก็บ่นไปว่าปรกติกินเผ็ดได้อย่างกับอะไรดี ไปอยู่กรุงเทพคราวนี้กลายเป็นคนลิ้นอ่อนเสียเฉย ๆ
ฉันหลงรักบรรยากาศของครอบครัวนิรชาอย่างบอกไม่ถูก พ่อแม่ของนิรชาเป็นคนเรียบง่าย พอใจก็ยิ้ม ไม่พอใจก็บึ้งตึง ชอบไม่ชอบอะไรก็บอก หัวเราะร่ากับมุกตลกโปกฮาที่คเชนทร์เล่าให้ฟัง รายนั้นมีพี่ชายเป็นตำรวจเลยมีสารพัดเรื่องเล่าพิลึกพิลั่นที่พี่ชายได้เจอตอนทำงานมาเล่าให้ฟังอย่างขำขัน ฉันเองก็ยิ้มไปกับทุกคนโดยรอบ เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง แต่ฉันก็รู้สึกได้ถึงอวลไอของความสุขเป็นอย่างดี
คืนที่สองของการเยี่ยมบ้านของฉันกำลังจะผ่านพ้นไป ทั้งฉันทั้งชายหญิงคู่นั้นต่างก็เหมือนคนคุ้นเคยแปลกหน้าที่ต้องกลับมาทำความรู้จักกันใหม่อีกครั้ง หลายครั้งหลายคราว ประโยคสนทนาก็ช่างกระอักกระอ่วน หลายทีหลายหน การอยู่ใกล้ชิดพ่อแม่ลูกก็พิพักพิพ่วนเหลือประมาณ แต่นี่ก็เป็นหนึ่งความตั้งใจของฉัน นี่อาจเป็นพันธกิจในการดำรงอยู่ อินทิราหนออินทิรา เธอจะมาใช้ชีวิตอยู่ในโลกอันแสนพิลึกกึกกือนี่เพื่ออะไร
พ่อของนิรชาออกไปหาปลาแต่เช้า ฉันตื่นขึ้นมาเรือหางยาวลำเล็กก็หายไปจากหลักที่ผูกไว้ที่บันไดหน้าบ้านแล้ว วันนี้เป็นวันสุดท้ายของการมาเยี่ยมบ้านของนิรชา ทั้งตะวัน รมิตา และคเชนทร์ทำเรื่องลาหยุดมาแค่วันเดียวคือวันศุกร์ บ่ายวันอาทิตย์ก็ต้องออกจากที่นี่ ถึงกรุงเทพก็คงมืดค่ำพอดี ฉันมองเวิ้งน้ำเบื้องหน้าอย่างตัดสินใจอะไรไม่ถูก รู้สึกเหมือนมีเรื่องต้องทำมากมาย แต่ก็ไล่เรียงไปให้หมดจดสิ้นไม่ได้ ระดับน้ำค่อย ๆ เพิ่มสูงขึ้นทุกที จนเข้าเวลาสาย น้ำก็สูงพอที่จะทำให้เรือนกลายเป็นตั้งอยู่บนผืนน้ำโดยสมบูรณ์
“ตะวัน นั่นใช่เรือคุณพ่อหรือเปล่าคะ”
ฉันร้องเรียกชายหนุ่มขณะที่เขากำลังจะเดินผ่านไปเข้าครัว ตรงหน้าชานขนำมีเรือลำหนึ่งลอยเท้งเต้งอยู่กลางน้ำ ฉันเองก็ไม่มั่นใจตอนที่เรือแล่นเข้ามาในคุ้ง สังเกตอีกทีก็พบอยู่ตรงนั้นแล้ว เข้าใจตอนแรกว่าเป็นเรือของพ่อนิรชา แต่จนแล้วจนรอดเรือนั่นก็ไม่แล่นกลับมาท่าเรือนสักที กลับปล่อยตัวให้ลอยเล่นลมไปเสียเฉย ๆ นานแล้ว มองจากตรงนี้ก็ไม่เห็นใครบนเรือด้วย แม้จะพยายามชะโงกตัวดูเท่าไหร่ก็ไม่เห็น ลางสังหรณ์ของฉันไม่ค่อยจะสู้ดี
“ใช่นะ ผมจำได้”
“เรือลอยอยู่ตรงนั้นนานแล้วค่ะตะวัน คุณพ่ออยู่ไหนก็ไม่รู้ ฉันรู้สึกไม่ดีเลยค่ะ กลัวจะเกิดอันตราย”
ปากเอ่ยไปตามรู้สึกนึกคิด ตะวันเองที่ตอนแรกดูจะเฉย ๆ ก็เริ่มร้อนรนขึ้นมาบ้าง วิ่งไปตามแม่ของนิรชาให้ออกมาดู ฝ่ายนั้นก็ไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง บอกว่าจะไปขอยืมเรือข้างบ้านออกไปดู ฉันกับตะวันจึงขันอาสาไปด้วย ตะวันพยายามจะห้าม แต่พอฉันบอกคำเดียวว่าฉันเป็นแพทย์ ริมฝีปากของชายหนุ่มก็ปิดสนิทศิโรราบไปโดยฉับพลัน
“ใจเย็น ๆ นะคุณ”
อาการของฉันร้อนรนอย่างแทบจะควบคุมสติไว้ไม่ได้ ภาพตรงหน้าทาบทับกับความทรงจำเก่าก่อนของพ่อฉันที่อยู่อีกยุคอีกสมัยหนึ่ง หากวันนั้นฉันอยู่ในเหตุการณ์ด้วย ฉันจะรักษาชีวิตพ่อไว้ได้ไหม ถ้าฉันยังอยู่ที่เรือนปุราน เหตุการณ์จะไม่ลงเอยแบบนี้หรือเปล่า ความรู้สึกในใจตีวุ่นวายกันจนเนื้อในอกแทบจะระเบิดออกมา
“พ่อ!”
ฉันระเบิดเสียงออกมาอย่างตกใจเมื่อเห็นภาพในเรือถนัดถนี่ครบถ้วน เครื่องยนต์ของเรือดับปล่อยให้พาหนะเท้งเต้งอยู่กลางน้ำ กุ้งหอยปูปลาที่จับได้กระจายอยู่เต็มเรือ แต่นั่นไม่สำคัญเท่าชายคนหนึ่งที่กำลังนอนสลบไสลอยู่ที่พื้น ฉันดูเพียงเสี้ยววินาทีก็รู้ว่าอาการของชายกลางคนผู้นี้หนักหน่วงเพียงไหน ร่างนั่นนอนจมกองอาเจียนที่เปรอะเปื้อนไปทั่วเรือ ปัสสาวะเรี่ยราดส่งกลิ่นฉุนซึมไหลผ่านตั้งแต่กางเกงไปยังแผ่นพื้นไม้ กลิ่นเหม็นคละคลุ้ง แต่อาการหายใจกลับเบาอ่อน สิ้นไร้สติสมประดี มโนสำนึกแห่งความเป็นแพทย์ของฉันกลับมาสะดุ้งตื่นขึ้นก็เมื่อนั้น
พ่อของนิรชาห่างจากความตายแค่คืบเดียว