ไอ้สี่ตา
โดย : มาลา คำจันทร์
ตำนานพงไพร เรื่องสั้นชุดจบในตอน โดย มาลา คำจันทร์ เรื่องราววิถีชีวิตชาวล้านนาในอดีตที่ผูกพันกับความเชื่อ ผีสางและพุทธศาสนา ซึ่งนับวันจะจางหายไปตามเหตุปัจจัยและยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป หากแต่อ่านเอาไม่อยากให้วันนั้นมาถึง จึงขอชวนนักอ่านทุกท่านมาร่วมกันซึมซับและส่งต่อเรื่องราวจากรุ่นสู่รุ่นในรูปแบบของการอ่านออนไลน์
***************************
– ไอ้สี่ตา –
ไอ้สี่ตาเป็นหมาพื้นเมือง หูสั้น ขนสีน้ำตาลจางออกมาทางเหลือง เหนือตามันมีรอยแต้มเหมือนใครเอาสีดำหรือมินหม้อไปแต้มเป็นรูปตา หากหมามีลักษณะนี้ก็มักจะได้ชื่อว่าไอ้สี่ตาทุกตัว
ไอ้สี่ตาเป็นหมาฉลาด เก่งกาจ กล้าหาญและรู้คำคน แม่มันก็เป็นหมาแม่ด้องธรรมดา พ่อมันเป็นหมาตัวใดในหมู่บ้านไม่รู้ มันได้เชื้อดุเชื้อกล้ามาจากไหนไม่รู้ แต่เมื่อเล็กๆ โน่นแล้ว ตายังไม่แตกด้วยซ้ำมันก็เก่งเกินพี่เกินน้องร่วมท้องแม่มัน มันจะดุน มันจะดัน มันจะเบียดพี่ๆ น้องๆ ของมันแล้วเอาปากงาบหัวนมเต้าที่มีน้ำนมมากที่สุดของแม่มันไปอม ต่อมาเมื่อตาแตกมันก็เป็นตัวแรกที่คลานตุ๊ต๊ะตุ้มตุ้ยออกมาจากใต้ถุนร้านฟาง เวลาเล่นกัน มันก็มักจะชนะพี่ๆ น้องๆ ของมันเสมอ
“เอ็งเลี้ยงมันให้ดี หมาตัวนี้จะเป็นคุณแก่เอ็ง”
พ่อกำชับ เด็กชายไปขอตาให้เอาเสื้อผ้าเก่าขาดไม่ใช้แล้วมาฟั่นเป็นเกลียวเชือกสวมคอมันไว้ หมาน้อยตัวใดมีเชือกสวมคอ แสดงว่าเป็นหมามีเจ้าของหรือมีคนจองไว้แล้ว คนอื่นจะไม่เอา เวลาพี่น้องบนดอยบางเผ่าลงมา เอาพริกหรือถั่วงามาแลกหมา เขาก็จะไม่เอาตัวที่มีปลอกคอไป
ไอ้สี่ตาเป็นหมาโปรดของเขา แม้เมื่อหมาแม่ด้องนมยานโทงเทงตกลูกครอกใหม่ ก็ไม่มีตัวใดมาแทนที่มันได้ คำว่าด้องแปลว่าผอม ภาพพบเห็นจดจำคือมันมักผอมอยู่ตลอด เมื่อไรที่มันตุ้ยคืออ้วนท้วนมีเนื้อหนังสมบูรณ์ เราก็รู้ได้เลยว่ามันอุ้มลูกครอกใหม่ไว้ในท้องแล้ว การเลี้ยงดูหมาหลายไม่ค่อยเป็นปัญหาอะไรนัก ไม่เคยมีใครในหมู่บ้านซื้ออาหารหมาให้หมากิน เพราะว่าวันเวลาครั้งนั้นยังไม่มีอาหารหมาสำเร็จรูปออกมาขายอย่างในปัจจุบัน เวลาเรากินข้าวอิ่มแล้ว ก็เอาข้าวเหนียวใส่ชามสังกะสีบุบบู้ใบใหญ่ เทน้ำแกงลงไป ขยำๆ ให้ข้าวกับน้ำแกงเข้ากันดีแล้วจะร้องว่าโอ๊ะๆๆ หมามันรู้มันก็มาแย่งกันกิน ตัวใดที่อ่อนแอแพ้พ่ายก็จะผอม เรามักคัดไอ้ตัวผอมๆ แลกกับพริกของพี่น้องชาวดอย เขาจะเอามันไปขุนให้มีเนื้อมีหนังแล้วฆ่าเลี้ยงผีของเขา แต่ผู้ใหญ่บางคนก็บอกเราว่าเขาเอาไปฆ่ากิน
“เขากินหมาหรือตา”
“เออ จะแปลกอันใดกับเรากินหมู”
ตาแก่แล้ว อายุสักหกสิบ ตาอาจมองเห็นจนทะลุว่าหมากับหมูก็ไม่แตกต่างกัน แต่สำหรับเขา เด็กชายเล็กๆ อายุเพียงหกเจ็ดขวบที่มีหมาเป็นเพื่อนเล่นมองไม่ทะลุ ได้แต่เศร้า แต่ความเศร้าก็มักอยู่กับเราไม่นาน ไม่กี่วันก็ลืม
บ้านเราเป็นหมู่บ้านชายป่า ลึกเข้าไปในป่ามีม่อนดอยสูงใหญ่เป็นแท่งทึบทึมเรียกชื่อว่าดอยผาแดง พวกเราไม่เคยไปถึง พวกผู้ใหญ่ในหมู่บ้านก็มีไม่กี่คนที่ไปถึง แต่พวกพี่น้องบนดอยผาแดงเขามักลงมาที่บ้านเรา เอาพริกมาแลกหมา เอาหวายหรือน้ำผึ้ง หรือเขากวางหนังเสือมาขายแล้วซื้อเกลือ ยาแก้ไข้ ยาใส่แผล ปลาแห้งปลาเค็ม แก๊ปปืน ตะกั่วหลอมลูกปืนกลับขึ้นไปบนดอย ที่น่าแปลกอยู่อย่างหนึ่งคือเขาไม่เคยเอาเงินมาซื้อหมา อาจเกี่ยวข้องกับข้อห้ามความเชื่อของเขา
“ไอ้สี่ตาเป็นลูกหมาแม่ด้อง แล้วหมาแม่ด้องเป็นลูกไผล่ะ ตา”
“เป็นลูกแม่มัน”
“แม่มันเป็นไผ”
“วะ” ตาเกาหัว “กูบ่ฮู้ ตายไปละแม่มัน เป็นหมาติดหอติดเฮือนสืบมา จำบ่ได้ละ”
คนบ้านเรามักเลี้ยงหมากันทั้งนั้น บ้านละตัวสองตัว สามสี่ตัวก็มี หมายังมีความจำเป็นอยู่มากในยุคนั้น เอาไว้เห่าไว้หอน ไว้กันขโมย กันผีเข้าบ้าน เวลาผีเข้าบ้านมันจะรู้ก่อนคน มันจะหอนเสียงเยือกเสียงเย็นไม่เหมือนมันหอนในฤดูติดสัด หากคืนใดหมาหอนโหยหวน ตามักลุกมา เขาเองก็มักลุกตามตา ตั้งแต่ยายตาย พ่อก็ไล่ให้เขาเข้านอนในเรือนใหญ่หรือห้องนอนหลักของบ้าน อ้างว่าให้ไปนอนเป็นคู่ตา แต่เหตุผลเบื้องลึก เหตุผลที่แท้จริงมารู้เอาตอนโตแล้ว พ่อกับแม่นอนด้วยกันในเรือนน้อยหรือห้องนอนรองของบ้าน ตอนที่ยายตาย เด็กชายชาวดงอายุได้สักห้าขวบ พ่อกับแม่ก็ยังไม่แก่ ยังมีกิจกรรมผัวเมียกันอยู่ พ่อแม่คงเกรงว่าลูกชายจะตื่นมาดูรู้เห็นกิจกรรมอันนั้นจึงไล่ให้ไปนอนกับตา ส่วนน้องชายของเขาตอนนี้เพิ่งได้สี่ขวบยังไม่โดนไล่ ปีหน้าก็ไม่แน่ เพราะแม่ได้น้องออกมาอีกคนแล้ว
เรือนเรานี้มีตาเป็นใหญ่ พ่อเข้ามาเป็นเขย ยังอยู่ในอำนาจพ่อตาแม่ยาย มานึกย้อนดูในตอนนี้ พ่อเองก็คงอยากเป็นใหญ่ในตัวเอง คือลงจากเรือนตาไปปลูกแปลงหอเฮือนเดือนดาวเป็นของตัวเอง แม่เองคงไม่มีปัญหาอะไร เพราะอะไรๆ แม่ก็เอาใจพ่อว่าอยู่แล้ว แต่ตาไม่อยากให้แยกเรือนไป ไม่ใช่กลัวเสียอำนาจ แต่แม่บังเอิญเป็นลูกสาวคนเล็กต้องอยู่เฝ้าเรือน พ่อก็เลยจำใจต้องอยู่เรือนน้อยมาตลอด ลูกคนใดโตพอจะรู้ความก็เลยผ่องถ่ายในนอนเรือนใหญ่คือห้องของตา อยู่ไปอยู่มาในห้องตาเริ่มคับแคบ เขาเองในฐานะหลานชายคนโตเลยระเห็จออกมานอนที่โถงเรือน
ไอ้สี่ตาเป็นหมาเก่ง เวลาพ่อไปไร่หรือแบกปืนเข้าป่าไปเสาะล่าหากิน พ่อก็กระเดาะปากดังเด๊าะๆ เรียกมันไปด้วย คนบ้านเราถือสาเรื่องผิวปาก ไม่ค่อยมีใครผิวปาก เขาว่าหากินแกนคืออับโชค พ่อเป็นทั้งชาวนา เป็นทั้งชาวไร่ และเป็นทั้งชาวดงเข้าป่าล่าสัตว์ สมัยก่อนผู้ชายคนหนึ่งเป็นอะไรได้ตั้งหลายอย่าง หากไปแค่ไร่ หรือไปหากินเล็กๆ น้อยอย่างขุดดักแย้ ขุดตุ่น รมหนูพุกซึ่งมันไม่อันตราย พ่อก็จะให้เขาไปด้วย แต่หากเป็นเรื่องใหญ่โตอย่างยิงหมูป่า ไล่กวางไล่ฟานซึ่งต้องเข้าป่าลึกพ่อก็ไม่ให้ไปด้วย
ปีนั้นเขาเองเพียงเจ็ดขวบ ไอ้สี่ตาอายุเพียงสามปีแต่ดูมันเป็นผู้ใหญ่หมาแล้ว พ่วงพี กำยำ หูตั้ง ขนเรียบลื่นเป็นมัน เอาน้องคนเล็กเกาะคอขี่หลังมัน หลังมันไม่แอ่นลงเลย มันรักพวกเราทุกคน แต่จะรักเขามากเป็นพิเศษ อาจเพราะเป็นคนเอาเกลียวเชือกคล้องคอมัน ให้ข้าวให้น้ำมันมาแต่เล็ก ยามนอนยังอยากเอามันนอนด้วยเลย ติดแต่แม่กับตาห้ามไว้ว่าไม่ดี เอาหมาขึ้นนอนด้วยบนเรือนจะเป็นการลบหลู่ผีเรือน
“มึงรักมันมากก็ลงไปนอนใต้ถุนเรือนกับมันโน่นซิ” ตาว่า
เวลากินข้าว ได้กินอะไรเขาก็ไม่เคยลืมจะเก็บไว้เผื่อมัน ตื่นนอนเช้าๆ ยังมืดสลัวอยู่เลย เขาไปทุ่งมันก็ไปเฝ้า คำว่าไปทุ่งเป็นศัพท์ แปลว่าไปขี้
เมื่อไอ้สี่ตาอายุได้สักสามปี หมาแม่ด้องแม่มันก็หมดอายุ ตอนมันจะถอดใจน่าสงสารมาก มันนอนตะแคงสะอึกดังอ๊อกๆ มันไม่กินข้าวกินน้ำเลย เอาอะไรให้กินก็ไม่กิน ลูบหัวมัน ปลอบโยนมันก็เหมือนมันจะรู้แต่ไม่ยอมยกหัวขึ้นมา อย่างเก่งก็แค่กระดิกหูหรือกระดิกหางบอกให้เรารู้ว่ามันเข้าใจ
วันนั้นเป็นวันแรม ๗ ค่ำกลางพรรษา ตาไปจำศีลภาวนาที่วัดสองวัน เรียกกันเป็นภาษาพื้นบ้านว่าไปนอนวัด ไปตอนเย็นแรม ๗ ค่ำ จะกลับบ้านตอนเช้าวัน ๙ ค่ำ อีด้องยังไม่ยอมถอดใจ คางมันแข็งไปแล้ว ตาก็หรี่ลืมๆ ไม่ปิดสนิท สีข้างยังขยับอยู่ นานๆ ทีถึงจะมีเสียงสะอึกดังอ๊อกๆ กระทั่งเช้า ๙ ค่ำ มันก็กระดิกหางแล้วพรวดพราดลุกออกมาจากใต้ถุน มันรอตา พอตาลูบหัวลูบขนมันแล้วบอกมันว่ามึงไปเทอะอีด้อง บ่ต้องห่วงต้องหามกู ลูกหลานกูมีอยู่ เขาบ่ละบ่ขว้างกู อีด้องเห่าบ๊อกๆ สองสามคำแล้วนอน แล้วก็ถอดใจตายไป แม่ร้องไห้ หากยายยังอยู่ ยายก็คงร้องไห้อีกคน
“ไอ้อ้ายบ่ดีแอ่วไกลนะ” พ่อกำชับเขาแล้วหันไปตบหัวไอ้สี่ตา “มึงก็เฝ้าลูกกูไว้นะ หื้อมึงรักลูกกู เหมือนแม่มึงรักพ่อเมียกู”
วันนั้นเป็นวันแดดแก่ ฝนท้ายฤดูร้างห่าง พ่อแบกปืนขัดพร้าไปไร่ เขาเองแล่นตามพ่อ ไอ้สี่ตาก็แล่นตาม มันเป็นเพื่อนเล่นกับเขามาแต่เริ่มหย่านมแม่โน่นแล้ว แต่ก่อนก็อุ้มมันจนแม่ว่าปล่อยมันบ้าง มันจะช้ำขี้มือตาย มันชอบเอาจมูกชื้นๆ มาชนแก้มเขา ต่อมาก็ชอบแลบลิ้นเลียหน้าเขา เด็กๆ มักชอบ แต่ผู้ใหญ่ไม่ค่อยชอบ เขาว่าเลี้ยงหมาหากหมาเลียปาก ต่อไปมันจะไม่เชื่อฟังเรา เขาเองก็ระวังดีอยู่ หากมันจะเลียปากก็ยกแขนขึ้นกัน บางทีก็ตบหัวมันบ้าง บางทีก็เล่นกับมันเจ็บๆ แต่ไอ้สี่ตาไม่เคยตอบโต้ ไม่เคยแว้งกัดมือที่ให้ข้าวให้น้ำมันเลย
ห้างเฝ้าไร่ของพ่ออยู่เกือบกึ่งกลางไร่ ทางเดินเข้าห้างมีหญ้ารกเรื้อเลื้อยคลุมเพ่นพ่าน พ่อถอนหญ้า ถางหญ้าไม่ให้มันเลื้อยพันต้นข้าวที่กำลังติดรวง เขาเองแอ่วไปตามริมลำห้วยที่เป็น “แหล่งน้ำจึ๊” คำนี้แปลเป็นไทยยาก หมายถึงบริเวณริมลำห้วยที่น้ำมันซึมเข้ามาพอแฉะแต่ไม่ขังท่วม ตามแหล่งน้ำจึ๊จะเป็นที่อยู่ของปูห้วยชนิดหนึ่ง ตัวยาวๆ ท้องขาวๆ ท้องก้ามขาวแต่หลังก้ามเป็นสีส้ม เอามาจี่กินกับน้ำพริก หรือไม่จะเอาแกงใส่ผักไม้ไซ้เครืออะไรก็ได้ สมัยก่อนผู้ชายเรามักจะสะพายย่ามกันทั้งนั้น ไม่ว่าผู้ชายตัวน้อยสักหกเจ็ดขวบ หรือตัวโตๆ เป็นพ่อคนตาคนต่างก็มีย่ามประจำตัว ย่ามมีประโยชน์สารพัด ไปย่ำปูห้วย ปูออกมาก็จับใส่ย่ามนั่นเอง
เสียงพ่อหวดพร้าฉับๆ ยังได้ยินอยู่ เสียงพ่อสับจอกบึกๆ ก็ได้ยินชัดเจน พ่ออยู่ห่างไปไม่ไกลนัก ฉับพลันทันใด มีเสียงเลื้อยแกรกกราก เด็กชายชาวดงเย็นเฉียบไปทั้งร่าง
งูเหลือมสีเหลืองลายดำใหญ่เท่าน่องตัวหนึ่งยื่นหัวพ้นพง มันจ้องตาเขาเหมือนจะสะกดจิต เด็กชายยืนแข็งทื่อร้องไม่ออก
ไอ้สี่ตาเป็นหมาพื้นเมือง หูสั้น ขนสีน้ำตาลจางออกมาทางเหลือง เหนือตามันมีรอยแต้มเหมือนใครเอาสีดำหรือมินหม้อไปแต้มเป็นรูปตา หากหมามีลักษณะนี้ก็มักจะได้ชื่อว่าไอ้สี่ตาทุกตัว
ไอ้สี่ตาเป็นหมาฉลาด เก่งกาจ กล้าหาญและรู้คำคน ไอ้สี่ตารักเขา เขาเองก็รักมันมาก ยิ่งรักมากยิ่งขึ้นเมื่อมันสละชีวิตมันเองช่วยชีวิตเขาไว้ มันตายไปแล้ว ก่อนสิ้นใจตายยังแลบลิ้นเลียหน้าเขา เด็กชายร้องไห้ขนาดหนัก แต่มันเลียน้ำตาให้เหมือนปลอบใจว่าอย่าร้องไห้อาลัยหามันเลย
ไอ้สี่ตาตายในอ้อมแขนเขา งูเหลือมจะรัดเขาแต่ไอ้สี่ตาเห่ากระโชกแล้วกระโจนเข้างับคองูเหลือม งูรัดมันไว้ แว้งกัดมัน มันก็กัดงูไม่ยอมปล่อย พ่อได้ยินเสียงลูกชายและเสียงหมาร้องก็รีบวิ่งมาหา ไอ้สี่ตาโดนรัดจนซี่โครงหัก พ่อจ่อปืนยิงหัวงู งูตายแต่ไอ้สี่ตาก็ไม่รอด มันสละชีวิตป้องกันเขา เขาจึงรักมันไม่มีวันลืม