ทับทางผี

ทับทางผี

โดย : มาลา คำจันทร์

ตำนานพงไพร เรื่องสั้นชุดจบในตอน โดย มาลา คำจันทร์ เรื่องราววิถีชีวิตชาวล้านนาในอดีตที่ผูกพันกับความเชื่อ ผีสางและพุทธศาสนา ซึ่งนับวันจะจางหายไปตามเหตุปัจจัยและยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป หากแต่อ่านเอาไม่อยากให้วันนั้นมาถึง จึงขอชวนนักอ่านทุกท่านมาร่วมกันซึมซับและส่งต่อเรื่องราวจากรุ่นสู่รุ่นในรูปแบบของการอ่านออนไลน์

หลีกเลี่ยงทางเส้นหลัก เลาะล่องลงมาตามห้วยแม่ยาบ  ตะวันก็เริ่มรอนๆจะอ่อนแสงลงไปเรื่อยๆ แล้ว คะเนเวลาเห็นว่าควรแก่กาลแล้ววันนี้ หนานสีวงศ์ปลง ปืนลงจากไหล่ ปลงย่ามลงจากบ่า

“ไม่ไปนอนห้วยตองกงหรือพ่อหนาน ข้าว่าไปถึงก่อนค่ำ”

“เลี่ยงก่อนดีกว่า บ้านคนอาจมีสายตำรวจ เราไม่รู้ใครเป็นใคร”

“ข้าจะไปหาของกิน” ไอ้จายพูด

“อย่าใช้ปืน เสียงปืนอาจดังไปถึงห้วยตองกง เขาจะสงสัย”

นั่งลงริมโคนไม้ใหญ่ ขยับย่ามหนักแอ้ เอากลักยาสูบและใบตองมามวนยาสูบ ก้นย่ามมีฝิ่นราวกิโลกรัมกว่าๆ แล้งนี้ทางหน่วยงานราชการท่านปราบปรามขนาดหนัก การเป๊อะฝิ่นหรือลักลอบขนฝิ่นลำบากกว่าแล้งก่อน เส้นทางหลักที่เคยใช้ไม่สะดวกเพราะมีทั้งสายลับ สายตรวจและการตั้งด่านสกัดจับ จำเป็นต้องหลบมาใช้เส้นทางที่ไม่ค่อยคุ้นเคย ซึ่งบางทีก็ทำให้หลงทาง อย่างคราวก่อนหลงไปถึงห้วยแม่หยวก แล้วไปเผชิญเสือเย็นที่ห้วยหยวก มันเป็นคนที่กลายร่างเป็นเสือ ยิงมันตาย มันกลายร่างเป็นคน ในปากมันยังอมหัวแม่ตีนเหยื่อที่มันฆ่าตาย

ไอ้จายผู้ลูกเขยไปหาของกินได้มากินกับน้ำพริกที่เหลือจากมื้อกลางวัน ไอ้แดงหนุ่มใหม่เอามีดถากถางพุ่มพงพอโล่งแล้วก่อไฟ หนานสีวงศ์สูบยาพออิ่มก็เอาย่ามใส่บ่าอีกครั้ง ชะล่าใจไม่ได้ ไว้ใจไม่ได้ ของดิบของแดงแพงค่าราคามหาศาล หากสูญหายไปด้วยเหตุใดก็ตาม ไม่มีปากจะไปอธิบายให้พ่อเลี้ยงเมืองไจยเชื่อได้ คบหากันมานาน ท่านไว้วางใจตน ตนก็ควรซื่อสัตย์ต่อท่าน

“ข้าอาบน้ำก่อนนะ พ่อหนาน”

“เออ ระแวดระวังตัวไว้ อย่าได้ประมาทลาสา กลางป่าง่าไม้ไม่ใช่บ้านคน”

ตักเตือน ให้สติ ไม่ใช่ลูกหลานก็เหมือนลูกหลานเพราะเป็นคนบ้านเดียวกัน เห็นมันมาแต่ตีนเท่าช้อนนอนดิ้นกระแด่วๆ ชักตีนชักมือเหมือนท่านชักยนต์ ไอ้แดงอาจไม่คล่องแคล่วสันทัดเท่าหนานทอง แต่หนานทองเมียมันไม่ให้มาเป๊อะฝิ่นแล้ว กลัวจอมพลสฤษดิ์เอาไปยิงเป้า เมียมันว่าอย่างนั้น แกเองก็อยากวางมือเหมือนกัน แต่สินจ้างรางวัลมันยั่วใจ คราวละร้อยบาท ครูมีสอนหนังสือเด็กทั้งเดือน ได้เงินเดือนแค่สี่ร้อยกว่าเท่านั้น

 

“ได้อะหยังมากิน ไอ้จาย”

“ได้กบมาสองสามตัว มันผอม เป็นกบแล้งน่ะอีพ่อ”

“ไอ้แดงขึ้นน้ำมาแล้ว พ่อไปอาบน้ำก่อน”

น้ำห้วยยังเย็นใสไหลแรงอยู่ ป่าไม้ยังหนา ดงคายังแน่น ดงดอยยังไม่พลิกปลิ้นเปลี่ยนมาเป็นไร่ข้าวโพด เป็นที่ทางทรัพย์สินส่วนตัวของผู้มีเงินมีอำนาจเหมือนสมัยนี้ หากหนานสีวงศ์มีชีวิตอยู่สืบมาอีกสี่ห้าสิบปี หรือหนานสีวงศ์ตายแล้วมาเกิดใหม่แล้วระลึกชาติได้ ก็คงใจหายว่าอันนี้หรือบ้านกูเมืองกูที่ผีปู่ผีย่ารักษาไว้ ไยมันพินาศฉิบหายไปได้ถึงขนาดนี้

วางย่ามกับปืนไว้ใกล้ตัวขนาดเอื้อมมือถึง ลงแช่น้ำทั้งเสื้อผ้า หันหน้าไปทางต้นน้ำแล้วยกมือไหว้ร่ายคาถาเสกน้ำก่อนอาบ แก้เสื้อออกก่อน ถือโอกาสซักเสื้อซักผ้าที่นุ่งมาแต่เมื่อวานตอนค่ำ แดดอ่อนรอนลับ พุ่มพงดงไผ่สองฝั่งแผ่เงางำห้วย เนื้อตัวแขนขาของชายวัยห้าสิบเศษดูสว่างกว่าหินผา หลังไหล่หน้าอกลงถึงโคนขามีลายสักอักขระเวทมนต์จนลายพร้อย แกเองเป็นศิษย์มีครู ไม่เก่งกาจหาญกล้าถึงขั้นข่ามคงหนังเหนียว แต่ขั้นแคล้วคลาดปลอดภัยพอจะมั่นใจ เติบใหญ่มาทางนี้ ทางแคล้วคลาด ไม่ใช่ทางข่ามคง ไม่กล้ารับ “กำ” หรือข้อปฏิบัติทางข่ามคง ไม่ใช่เพราะมันลำบากยากจะปฏิบัติ แต่ดูตัวเองออก อ่านใจตัวเองทะลุว่าไม่ดุดันกลั่นกล้าถึงขั้นฆ่าคน ก็เลยไม่รับเอาทางข่ามคง

 

“ครูอีพ่อเป็นไผ”

กินเหล้า กินข้าวกันอิ่มแล้ว เรอเอิ้กอ้ากไล่ลมในท้อง ต้มยำกบฝีมือไอ้แดงดีกว่าหนานทอง เขาะขอดกินจนกระทั่งน้ำแกงช้อนสุดท้าย ดีปลีที่มันใส่ลงไปไล่ลมดีนัก

สูบยา อมเมี่ยง นั่งครึ่งนอนอิงโคนจำปีป่าต้นใหญ่ขนาดสองโอบสามโอบ ไฟกองใหญ่ลุกแรง ไอ้แดงชำระเช็ดถูปืนแก๊ปกระบอกเก่าแก่ที่ได้ตกทอดมาจากพ่อมัน ไอ้จายลูกเขยแกเอาเครือหนามแน้มาทอนเป็นท่อนๆ ไว้จุดเอาควันเป็นยากันยุง

“ครูอีพ่อมีหลาย แต่ครูเค้าคือครูบาอินถา วัดสันต้นแหน”

“ครูเค้ากับครูปลายแตกต่างกันอย่างใด พ่อหนาน” ไอ้แดงถาม

“ครูเค้าก็คือครูคนแรกที่เราไหว้สาขอเรียนวิชาจากท่าน ครูปลายก็คือครูที่เราไปได้อันนั้นอันนี้มา คล้ายๆ ไปเรียนวิชาเพิ่มเติมนั้นละ ไอ้แดง”

“ข้าบ่มีครู ข้าขอพ่อหนานเป็นครูเค้าแก่ข้าได้ไหม”

“บ่ได้”

“อ้าว…”

“บ่ต้องมามาอ้าวมาเอิ้วเหมือนค่างต้องปืน กูบ่ฮับเป็นครูเค้าแก่ไผสักคน เพราะกู…วิชาปัญญากูยังต้อยต่ำนัก  กูเองมีบาปเก่าเศร้าหมองครอบงำ  อยากมีครู ควรแต่มึงไปเสาะหาเอาในวัดวา วิชาปัญญาท่านถึง ปารมีก็แก่กล้าบำเพ็ญมามาก แต่กู…ทาน ศีล ภาวนา…ยังบกพร่องนักมึงเอ๋ย กู่บ่ฮับไผเป็นศิษย์ เพราะกูฮู้ตัวดีว่าคุณแห่งกูปกหัวห่มเกล้าผู้ใดไม่ได้  บ่ใช่กูหวงวิชา”

“มีอยู่หนหนึ่ง…” ไอ้จายผู้ลูกเขยเอาเครือหนามแน้ที่ทอนเป็นท่อนๆ วางเรียงกัน “นอนใต้ร่มไม้ แผ่นดินไหว ไม้ใหญ่สั่นคลอนเหมือนคนเขย่า อี่พ่อเสกมีดแล้วปักฉึก ต้นไม้ตั้งนิ่งเหมือนเก่า”

“แล้วสูเขาจะรู้ไหม…อี่พ่อต้องแลกด้วยอันใด”

 

ไม่กังวลว่าเสือสางช้างร้ายจะมาแวดล้อม ริมห้วยแม่ยาบไม่ใช่ป่าลึกดึกดำอันเป็นถิ่นที่กินที่อยู่ของเขา  หนานสีวงศ์เองไม่ใช่พราน ไม่ใช่ผู้ดำรงชีพในทางไล่ล่าฆ่าสัตว์แต่ก็พอมีความรู้จักมักคุ้นป่าดิบดอยดงอยู่บ้าง คนกลัวเสือ แต่ลึกๆ แล้วเสือก็กลัวคน ไม่จำเป็นจริงๆ เสือจะไม่เข้าใกล้บ้านคน เว้นแต่จะเป็นเสือผี เสือดุ เสือพิการที่วิ่งไล่เก้งกวางไม่ทัน มันก็อาจดอดเข้าบ้านคน จะว่าไป คนตายเพราะเสือกัดน้อยกว่าตายเพราะงูฉกเสียด้วยซ้ำ

ยึดเอาโคนจำปีสูงใหญ่หลายโอบเป็นศูนย์กลาง เสกคาถากั้งก่าหลวงใส่หินขาวสี่ก้อนเอาไปวางสี่มุมป้องกันภูตผีปีศาจอันกาจอันร้ายไม่ให้มารังควาน คำว่ากั้งก่าแปลว่าป้องกัน ครูบาอินถาวัดสันต้นแหนท่านบอกว่าหากอำนาจจิตแก่กล้า จะป้องกันกระทั่งสิงห์สาสัตว์ร้าย แต่หนานสีวงศ์เชื่อว่าอำนาจจิตตนไม่แก่กล้าถึงขนาดนั้น ระดับครูบาอาจทำได้ แต่ตนทำไม่ได้เพราะทาน ศีล ภาวนายังย่อหย่อน มือยังเปื้อนเลือด ใจยังเปื้อนหลง ได้แค่ป้องกันผีสางนางร้ายก็พอใจแล้ว

ปืนกับย่ามวางอยู่เหนือหัวนอน ปืนนี้เป็นปืนลูกซองอานุภาพแข็งกล้ากว่าปืนแก๊ปหลายเท่า เอาไว้ป้องกันตัว พ่อเลี้ยงเมืองไจยให้ยืมแต่ก็เหมือนให้เพราะไม่เคยทวงคืนเลย ท่านไว้วางใจตนถึงขนาดนี้ จะให้คิดคดทรยศต่อท่านได้อย่างไร เงินเป็นพัน บางทีหลายพันด้วยซ้ำท่านให้ตนถือมา หากเชิดเงินแล้วหนีหายเข้าป่าเข้าดงเชื่อว่าพ่อเลี้ยงเมืองไจยตามจับไม่ได้ แต่ไม่เคยคิด ไม่เคยทำ

“อีพ่อ”

“หือ”

“ข้าได้ยินเสียง อืดๆ อือๆ เหมือนคนคร่ำครวญ”

“อีพ่อก็ได้ยิน”

“คน หรือผี หรือสัตว์สิงห์หิงสาตัวใด”

“อยู่เฉยๆ นอนนิ่งๆ อย่ากระโตกกระตากอันใด”

ไอ้แดงเองก็เหมือนยังนอนไม่หลับ มันนอนกลางเพราะอ่อนด้อยที่สุด มันขยับเข้ามาเบียดแก หนานสีวงศ์ลูบหัวมันเหมือนมันเป็นลูก

เงียบเชียบ สงบสงัด น้ำในลำห้วยแม่ยาบไหลเลาะโขดหินในห้วยดังจอกๆ แจกๆ ลมพัดไหว พุ่มไผ่ใบบงลากยอดซู่ๆ ยินเสียงคั้งคากร้องโขกๆ อุ่นใจได้เลยว่าไม่มีเสือ คำคนเฒ่าเก่าแก่สั่งสอนสืบกันมาว่าหากคั้งคากหรือคางคกร้อง เสือไม่มาใกล้เพราะมันกลัวคั้งคาก

นอนอยู่นิ่งๆ เคลิ้มๆ พอจะหลับ เสียงกรอบแกรบเบาๆ คล้ายใบไม้แห้งถูกเหยียบก็ดังขึ้น ผงกหัวขึ้นเล็กน้อย กวาดตาดู นอกเขตแสงไฟออกไปมืดดำดั่งใครเอาผ้าดำผืนใหญ่มากั้งมาบัง ฟังๆ ไม่เหมือนเสียงตีนย่อง แต่คล้ายเสียงเลื้อย  กลัวจะเป็นงูเห่าจงอาง เภทภัยในป่ามีร้อยแปดยากจะระวังป้องกันได้ถ้วนทั่ว ชีวิตคนเดินป่าสมบุกสมบัน กลางวันกลางคืนมีความตายแวดวังขังล้อม ผิดพลาดนิดเดียวอาจถึงตาย ไม่ตายก็อาจเจ็บใหญ่ไข้ยาว

เสียงกรอบแกรบเบาบางห่างหาย ลดหัวลงหนุนย่ามทำทีเหมือนหลับ กำชับลูกเขยกับลูกน้องคนใหม่ให้เฉยๆ แต่ตื่นตัวเข้าไว้ คงไม่ใช่สายตรวจบังเอิญมาพบเห็นแล้วไปรายงานด่านตรวจบนทางหลักแล้วยกกำลังมาล้อมจับเพื่อเอาสินไหมค่านำจับ เป็นไปได้ยากมาก  ไม่ได้ดูถูกดูแคลนความสามารถของเขา แต่รู้ซึ้งถึงกำพืดเขาดี เขารอบนทางหลักเหมือนคนวางกับดักรอให้เหยื่อวิ่งมาติดกับเอง ยากมากที่เขาจะเอาปืนออกมาล่าเอง

เงียบกันไปอีกหน หนานสีวงศ์ทำเสียงกรนหลอกๆ ไอ้จายแกล้งละเมอฟาดตีนฟาดมือ ไอ้แดงนอนนิ่งไม่กระดุกกระดิก ช้า นาน ยาวนานมาก ลมพัดไหว เปลวไฟลู่ อากาศเย็นลงฮวบฮาบ แล้วเสียงอืดๆอื้อๆ เหมือนคนคร่ำครวญหวนไห้ก็ดังมาอีก ไม่ใช่คนเดียว แต่มีเป็นสิบ อาจมีเป็นร้อย มาแล้ว  เขามาแล้ว

ผงกหัวขึ้นดู

อะไรไม่รู้ เรื่อๆ เรืองๆ คล้ายใครเคลื่อนทัพ หลามไหลไต่ทางมา ดูคล้ายงูไฟตัวใหญ่ยาวกำลังเลื้อยมา

 

หลีกเลี่ยงลงจากทางเส้นหลักอีกหน หลบหลีกบ้านคนเพราะกลัวมีสายลับได้กินสินจ้างอยู่ในบ้านคน แต่คืนนี้ไม่ต้องนอนแรมแกมป่าเพราะว่าจะถึงเรือนตนอยู่แล้ว สองคืนก่อนนอนใต้โคนไม้จุมปีป่าริมห้วยยาบ ไม่มีสัตว์สิงห์หิงสาราวี ไม่มีสายสืบสายลับด่านตรวจอันใดมาแวดอ้อมล้อมจับ

แต่เขามา

มาเป็นหมู่ เป็นเส้นเป็นสายดังงูไฟไหลเลื้อย เขาเป็นผีป่า ครูบาอินถาท่านว่าเป็นผู้ผ่านทาง

ตัวเขาผอมๆ ตัวเขาบางๆ เป็นหมอกเป็นควันขาวๆ ขุ่นๆ คล้ายควันไฟหัวเช้าหน้าหนาว เขาถือคบไฟ เคลื่อนไหวคล้ายไหลคล้ายลอยไม่แตะพื้น เสียงอืดๆอื้อๆ เปล่งออกปากไม่เป็นคำคน แต่ได้ยินแล้วชวนหนาวหนังหัว นึกไปถึงกรงเล็บแหลม เขี้ยวคม เลือดและความตาย

“สัพเพ สัตตา อเวรา โหนตุ…”

น้อมเอาบทแผ่เมตตาขึ้นมาภาวนา ก่อนถึงหินขาวสองก้อนด้านหน้าเขาก็วะแหวกแยกเป็นสองสาย สายหนึ่งไหลอ้อมเหนือ สายหนึ่งไหลอ้อมใต้ แล้วไปบรรจบเป็นสายเดียวเมื่อสุดเขตหินขาวสองก้อนด้านหลัง

“สัพเพยักขา สัพเพเปตา สุขิตาโหนตุ ทุกขัปปมุญจันตุ…”

ผู้ผ่านทางไปตามทางของเขา แต่พวกตนทับทางผี เกะกะกีดขวางทางเขา บุญยังมีที่พระคุณของครูยังปกหัวห่มเกล้า เขาเกรงอำนาจหินขาวจึงไม่รุกรานรังควาน

 



Don`t copy text!