กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว : บทนำ
โดย : ชีวาพร
กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว โดย ชีวาพร เรื่องราวของสองพี่น้องที่ชีวิตแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน คนหนึ่งใบหน้างดงามโดดเด่นเป็นที่ปรารถนาของผู้คน อีกคนใบหน้าสามัญและยังมีชะตากาลกิณีติดตัวมาตั้งแต่เกิด ชีวิตของทั้งคู่จะดำเนินไปในทิศทางใด อ่านเรื่องราวของพวกเธอได้ในเว็บไซต์อ่านเอา anowl.co และเพจ anowldotco
“น้ำคร่ำแตกแล้ว อีช้อยเร่งส่งขันน้ำมนต์มาให้ข้า”
“นี่จ้ะแม่”
หญิงสาววัยสามสิบต้นๆ ส่งขันน้ำมนต์ให้ผู้เป็นแม่ เมื่อรับขันน้ำมนต์มาแล้วชื่นก็เริ่มท่องพระคาถาอังคุลิมาลปริตร ตามหลักความเชื่อที่ยึดถือสืบกันมาว่าบทพระคาถานี้จะช่วยให้หญิงมีครรภ์คลอดลูกได้อย่างปลอดภัย
“ยะโตหัง ภะคินิ อะริยายะ ชาติยา ชาโต นาภิชานามิ สัญจิจจะ ปาณัง ชีวิตา…”
“ว้าย! มะ…แม่”
เสียงช้อยร้องอย่างตื่นตระหนกขัดจังหวะการท่องมนต์ ชื่นที่ตื่นตกใจจนไหล่ยกหันมาตวาดดุคนเป็นลูกเสียงดังอย่างหงุดหงิด
“เป็นกระไรของเอ็งอีช้อย! ร้องเสียข้าตกอกตกใจหมด!”
“ตะ…ตะวันจ้ะแม่ ตะวันกำลังจะดับ!”
“ตะวันจะดับได้เยี่ยงไร ปากพล่อยนักนะเอ็งเนี่ย”
ชื่นเอ่ยเสียงก้องก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อหันไปมองยังพื้นเรือนแล้วเห็นว่าแสงที่ลอดผ่านทะลุช่องรูรั่วเป็นดวงกลมตามรอยแตกของหลังคาค่อยๆ ถูกความมืดกลืนกินอย่างช้าๆ
“โอ๊ย! ปวด!…ปวดจนทนไม่ไหวแล้ว”
สติของชื่นกลับคืนมายังคนเจ็บท้องตรงหน้า อาการตื่นตกใจกับความเปลี่ยนแปลงของท้องฟ้าพลันจางหายกลับมาสนใจทารกในครรภ์ที่ผ่านมาร่วมครึ่งวันแล้วก็ยังไม่ยอมออกจากท้องมารดา มือเหี่ยวตามวัยสอดนิ้วเข้าไปสำรวจในช่องทางคลอด เมื่อสัมผัสได้ถึงเส้นผมก็ยิ้มกว้างร้องบอกด้วยเสียงยินดี
“หัวเด็กลงมาแล้วแม่จำปา เบ่งเลย! แม่จำปาเบ่ง!”
มือหยาบกร้านสีคร้ามแดดกำผ้าขาวม้าสีซีดผืนยาวที่โยงลงมาจากขื่อคานเรือน ก่อนจะออกแรงโหนขับลมเบ่งตามคำของชื่นหมอตำแยประจำหมู่บ้าน เพียงแต่มิรู้เพราะเหตุอันใดเด็กในท้องคนนี้จึงคลอดยากนัก จำปาเบ่งจนเหงื่อโชกตัวก็ไม่ยอมเคลื่อนตัวออกจากครรภ์ จวบจนท้องฟ้ามืดมิดกลางวันแปรเปลี่ยนเป็นกลางคืนศีรษะเล็กจึงโผล่พ้นออกมาจากร่างของคนเป็นแม่
“คลอดแล้ว! จำปาลูกเอ็งคลอดแล้ว”
ช้อยเร่งยื่นกาบหอยให้คนเป็นแม่ใช้ตัดสายสะดือพร้อมกับเอ่ยร้องบอกอย่างยินดี ก่อนที่ใบหน้าจะเปลี่ยนเป็นซีดเผือดรอยยิ้มแข็งค้างเมื่อเห็นว่าคนที่กรีดร้องลั่นเรือนเมื่อครู่ยามนี้หมดสิ้นสติไปแล้ว
“จำปา! จำปาเอ็งเป็นอันใดไป แม่! มาดูจำปามันเร็วเข้า”
“เอ็งดูมันไปก่อน เด็กไม่ร้อง!”
ชื่นเร่งผูกมัดสายสะดือ เช็ดเนื้อตัวให้เด็กน้อยอย่างคล่องแคล่ว ก่อนจะห่อด้วยผ้าสะอาดผืนใหม่วางร่างที่แน่นิ่งลงกลางกระด้งแล้วลุกขึ้นยืน ปัง! ปัง! ปัง! เสียงฝ่าเท้าของชื่นที่กระทืบพื้นเรือนดังก้อง เฉกเช่นเดียวกับเสียงตีเกราะเคาะไม้ของผู้คนด้านนอก
ปี พ.ศ.2386 ตรงกับขึ้น 1 ค่ำ เดือนยี่ ปีเถาะ บนน่านฟ้าแดนสยามมีปรากฏการณ์ตะวันดับ ชาวเมืองในพระนครต่างพากันแตกตื่นวุ่นวาย บ้างหยิบหม้อ บ้างหยิบไห แลใช้ด้ามมีดด้ามไม้เคาะส่งเสียงดังลั่นก้องไปทั่วทุกคุ้งน้ำ ตามความเชื่อที่ว่าราหูกลืนตะวันนับเป็นลางร้ายจักต้องใช้เสียงอันดังนี้ขับไล่ให้ราหูยอมคายตะวันออกมาดังเดิม
“เฮ้!” / “อุแว้!”
เสียงร้องยินดีของชาวเมืองดังสอดประสานกับเสียงแรกของเด็กน้อยในเรือนจำปา เช่นเดียวกับผืนฟ้าที่มืดมิด พลันเจิดจ้าเปล่งประกายสว่างไสวดังเดิม
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 12 : มีเงินท่วมหัว มิเท่ามีผัวพระยา (1)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 11 : ยวนสวาท (3)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 11 : ยวนสวาท (2)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 11 : ยวนสวาท (1)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 10 : ยั่วราคะ (2)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 10 : ยั่วราคะ (1)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 9 : เปื้อนราคี (3)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 9 : เปื้อนราคี (2)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 9 : เปื้อนราคี (1)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 8 : กลรักดอกแก้ว (2)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 8 : กลรักดอกแก้ว (1)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 7 : เล่ห์ร้ายผกากรอง (2)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 7 : เล่ห์ร้ายผกากรอง (1)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 6 : เพลิงริษยา (2)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 6 : เพลิงริษยา (1)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 5 : ไฟรัญจวน (2)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 5 : ไฟรัญจวน (1)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 4 : อวลกลิ่นดอกแก้ว (2)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 4 : อวลกลิ่นดอกแก้ว (1)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 3 : กรุ่นกลิ่นผกากรอง (2)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 3 : กรุ่นกลิ่นผกากรอง (1)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 2 : ดวงบริพัตร (2)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 2 : ดวงบริพัตร (1)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 1 : ดวงกาลกิณี (2)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 1 : ดวงกาลกิณี (1)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว : บทนำ