กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 2 : ดวงบริพัตร (2)

กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 2 : ดวงบริพัตร (2)

โดย : ชีวาพร

Loading

กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว โดย ชีวาพร เรื่องราวของสองพี่น้องที่ชีวิตแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน คนหนึ่งใบหน้างดงามโดดเด่นเป็นที่ปรารถนาของผู้คน อีกคนใบหน้าสามัญและยังมีชะตากาลกิณีติดตัวมาตั้งแต่เกิด ชีวิตของทั้งคู่จะดำเนินไปในทิศทางใด อ่านเรื่องราวของพวกเธอได้ในเว็บไซต์อ่านเอา anowl.co และเพจ anowldotco

“แม่แก้ว! แม่แก้วตื่นหรือยัง”   

ผกากรองยืนตะโกนเรียกน้องสาวอยู่ที่หน้าเรือนเล็กอย่างหงุดหงิด หรือหากจะกล่าวให้เหมาะสมนี่คือกระท่อมไม้ไผ่เก่าๆ หลังหนึ่งมากกว่าจะใช้เป็นเรือนพัก ริมฝีปากเล็กยกเหยียดยิ้มอย่างดูแคลนในวาสนาของแก้ว ช่างเป็นดวงกาลกิณีจริงๆ

“ตื่นแล้วจ้ะพี่ผกากรอง”

ผกากรองมองน้องสาวตัวผอมแห้งเดินลงมาจากกระท่อมไม้ไผ่แล้วยกแขนเรียวเล็กขึ้นกอดอกอย่างขัดใจ

“เหตุใดจึงตื่นเอาป่านนี้ มิเห็นรึว่าฟ้าสางแล้ว หากพ่อยังอยู่ฉันจะบอกให้ลงหวายเสียให้เข็ด”

ตั้งแต่ย้ายมาอยู่กับชบาคนเป็นน้าก็ปลุกให้แม่ผกากรองลุกขึ้นมาจัดการพืชผลในสวนตั้งแต่ฟ้าสาง แม้ไม่ยินดีแต่ผกากรองก็ไม่กล้าขัดข้อง ได้แต่ยิ้มรับเก็บความไม่พอใจเอาไว้ในอกแล้วมาระบายอารมณ์กับคนตรงหน้าแทน

“ขออภัยด้วยจ้ะ”

แก้วที่ถูกดุได้แต่ยืนก้มหน้าขออภัยไม่กล้าโต้แย้งคำพี่สาว เมื่ออีกฝ่ายไม่โต้เถียงอารมณ์ขุ่นเคืองของผกากรองก็เบาบางลงเล็กน้อย โยนตะกร้าสานแลกระบุงหาบให้อีกฝ่าย

“ไปเก็บมะม่วงกับมะพร้าวแล้วเอาไปขายให้หมด หากขายไม่หมดก็ไม่ต้องกลับเรือน”

แก้วมองตะกร้าแลกระบุงตรงหน้าแล้วเบิกตากว้าง ตัวเธอเป็นเพียงเด็กวัยหกขวบจะหาบกระบุงใบใหญ่เช่นนี้ไหวได้เยี่ยงไร

“พี่ผกากรอง กระบุงหาบนี่ใหญ่เกินไปฉันหาบคนเดียวไม่ไหวดอกจ้ะ พี่ช่วยฉันหาบไปได้หรือไม่”

“ไหวหรือไม่ไหวมันก็เรื่องของเอ็ง ข้าจะไปเล่นกับแม่น้ำทิพย์”

ผกากรองเอ่ยอย่างขัดใจ ก่อนจะหมุนตัวเดินจากไปในทันที วันนี้เธอได้ยินมาว่าญาติของแม่น้ำทิพย์ที่เป็นขุนนางใหญ่จะพาลูกสาวมาเยี่ยมที่เรือน การคบหาบุตรสาวขุนน้ำขุนนางไว้ย่อมเป็นผลดีในภายหน้า ดังนั้นผกากรองจึงไม่แม้แต่จะลังเลทอดทิ้งให้แก้วทำงานในสวนเพียงลำพัง

แก้วขมวดคิ้วเล็กมองตะกร้าใบใหญ่ตรงหน้าแล้วเม้มริมฝีปากแน่น ก่อนเงยหน้าขึ้นมองตามแผ่นหลังของพี่สาวด้วยสายตาตัดพ้อ ทว่าแม้จะรู้สึกน้อยใจเพียงใดสุดท้ายก็ทำได้เพียงหยิบตะกร้าใบใหญ่เดินเข้าไปในสวนปีนขึ้นต้นมะม่วงแล้วเก็บผลของมันอย่างระวังก่อนจะนำไปขายในตลาด

“นั่นอีแก้วมิใช่รึ”

“ได้ยินว่าตอนห่าลงมันอยู่เรือนเดียวกับไอ้บุญมี ไม่รู้ติดโรคมาด้วยหรือไม่”

“มันเป็นตัวกาลกิณี เอ็งอย่าไปซื้อของมันเชียวประเดี๋ยวจะซวยเอา”

“จริงของเอ็ง ทั้งพ่อทั้งแม่ แม้แต่ยายชื่นนางช้อยที่ชุบเลี้ยงมัน สุดท้ายก็ตายเสียทั้งหมด”

แก้วแต่ไหนแต่ไรไม่เคยสนคำคนที่นินทาว่าร้ายตน หากแต่ยามที่ได้ยินว่าทั้งพ่อ แม่ ยายชื่นและน้าช้อยล้วนตกตายเพราะชะตากาลกิณีของตนเองในใจก็รู้สึกคล้ายถูกบีบรัด ยกตะกร้าใบใหญ่ลุกเดินออกจากตลาดไปนั่งร่ำไห้อยู่ที่ท่าน้ำท้ายสวนของชบา

“นั่นใครกัน เหตุใดจึงมานั่งร่ำไห้อยู่ตรงนี้”

เสียงของหญิงสาวนางหนึ่งเอ่ยขึ้น แก้วที่กำลังร่ำไห้ยกแขนขึ้นปาดน้ำตาบนแก้มมองอีกฝ่ายที่นั่งเรือมากับคนพายเรือและเด็กชายอีกคนหนึ่ง

สายมองเด็กหญิงที่ใบหน้ามอมแมม เนื้อตัวผอมแห้ง นั่งกอดเข่าร่ำไห้อยู่ริมน้ำแล้วในใจก็พลันเกิดความรู้สึกเวทนาขึ้นมา

“สินเทียบเรือเข้าฝั่งก่อน”

เมื่อเห็นอีกฝ่ายลงจากเรือเดินมาหาตน แก้วที่มักถูกผู้คนรังเกียจและเดินหนีก็ขมวดคิ้วเล็ก มองหญิงแปลกหน้าอย่างสงสัย

“ฉันชื่อสาย เพิ่งย้ายมาอยู่ที่ท้ายคุ้ง เอ็งเล่าชื่อกระไร”

แก้วไม่ได้แปลกใจกับการปรากฏตัวของหญิงสาวตรงหน้า นั่นเพราะแม่น้ำเล็กท้ายสวนสายนี้เป็นทางลัดตัดผ่านไปท้ายคุ้ง หลายครั้งจึงมีเรือของชาวบ้านท้ายคุ้งพายผ่าน เพียงแต่ไม่เคยมีใครหยุดพักทักทายเธอเช่นนี้เลยสักคน

“ฉันชื่อแก้วจ้ะ เป็นหลานน้าชบา”

“อ้อ…แล้วนี่เป็นกระไร เหตุใดมานั่งร่ำไห้เยี่ยงนี้”

เพราะเห็นว่าข้างกายเด็กน้อยมีตะกร้ามะม่วงอยู่หลายใบ สายจึงเข้าใจว่าอีกฝ่ายปีนป่ายเก็บมะม่วงจนถูกมดกัดหรืออาจพลัดตกต้นไม้จนเจ็บตัว ทว่าแก้วกลับส่ายหน้าไปมา ก่อจะมองไปยังตะกร้ามะม่วงข้างตัว

“ฉันอยากขายมะม่วง แต่คนในตลาดไม่อยากซื้อของฉัน”

สายเห็นท่าทางไร้เดียงสาของอีกฝ่ายในใจก็ให้รู้สึกเวทนา ถอนหายใจยาว ตัวแค่นี้ก็ให้ออกมาหาบเร่ขายของแล้ว น้าชบาที่เด็กหญิงเอ่ยถึงเป็นคนเยี่ยงไรกันแน่จึงใช้งานเกินตัวคนเยี่ยงนี้

“ขายของเป็นด้วยรึ นับเลขได้แล้วหรือ”

เด็กชายบนเรือเอ่ยถามด้วยความสงสัย เด็กหญิงมอมแมมผู้นี้ให้ดูอย่างไรอายุก็คงไม่เกินหกขวบสามารถขายของได้ย่อมต้องคิดคำนวณได้ เช่นนี้จึงนับว่าเก่งไม่น้อย ทว่ายามที่เห็นแก้วส่ายหน้าไปมาคิ้วเข้มก็ขมวดเข้าหากันแน่น

“นับเลขยังมิได้จักคำนวณเงินขายของได้อย่างไร”

นั่นสินะ เธอนับเลขไม่ได้ คำนวณก็ไม่เป็นแล้วจะขายของได้อย่างไร แก้วที่ได้ยินคำถามของเด็กชายบนเรือพลันก้มหน้าลงอับอายในความโง่เขลาของตน

“เอาเถิดๆ ไหนๆ ก็ได้เจอกันแล้ว ข้าเองก็กำลังจะเอามะพร้าวไปส่งที่ตลาดน้อย เช่นนั้นก็ไปเสียด้วยกัน เรื่องนับเลขแลคิดคำนวณประเดี๋ยวจะให้พ่อปราบสอนให้ดีหรือไม่”

แก้วเบิกตากว้าง เป็นครั้งแรกที่เธอได้รับความเมตตาสงสารจากคนแปลกหน้า ในใจทั้งตื่นเต้นและตื่นตระหนกหวาดกลัวไปพร้อมกัน หากแต่มะม่วงเหล่านี้ถ้าขายไม่หมดหลังของเธอคงต้องโดนหวายลงแน่ๆ ดังนั้นแม้จะหวาดหวั่นแต่เท้าเล็กก็ยอมลงเรือล่องข้ามฟากไปพร้อมอีกฝ่าย

“ที่ตลาดน้อยคนส่วนมากเป็นชาวต่างเมือง ภาษามิเหมือนเรา แต่หากเอ็งไปบ่อยๆ ก็จะเจรจาได้เอง”

นางสายเอ่ยพลางใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้เด็กน้อยตรงหน้า ไม่รู้เพราะเคยสร้างบุญมาด้วยกันหรือไม่ ทว่ายามเห็นหน้าเด็กน้อยผู้นี้ก็ให้นึกเอ็นดูยิ่งนัก

“แม้จะเป็นเรื่องเล็กๆ แต่คนค้าขายเนื้อตัวจะมอมแมมมิได้ ที่สำคัญให้ใจทุกข์เพียงใด ยามค้าขายบนใบหน้าก็ต้องยิ้มเข้าใจหรือไม่”

“จ้ะ”

“ว่านอนสอนง่ายน่าเอ็นดูนัก นับจากนี้ดูแลน้องให้ดีเข้าใจหรือไม่พ่อปราบ”

“จ้ะแม่”

นับจากนั้นยามที่ต้องขายผลหมากรากไม้ในสวน แก้วก็จะขอติดเรือของนางสายข้ามฟากไปที่ตลาดน้อยฝั่งตรงข้าม โดยระหว่างล่องเรือข้ามฟากปราบเด็กชายแก่วัยกว่าถึงห้าปีก็จะคอยสอนนับเลขแลคิดคำนวณ

“มิใช่ว่าการนับเลขหลักร้อยนี้พี่สอนเอ็งไปแล้วหรือไร เหตุใดจึงสอนยากสอนเย็นนัก”

คนที่รับบทเป็นครูสอนนับเลขเอ็ดเด็กหญิงเสียงเข้ม จนหญิงสาวที่หัวเรือเงยหน้าขึ้นมอง

“พ่อปราบเอ็ดน้องด้วยเรื่องอันใดกัน”

“เป็นฉันที่โง่เขลา พี่ปราบสอนอยู่หลายคราแล้วก็ยังมิจำจ้ะ”

แก้วเห็นว่านางสายคล้ายจะไม่พอใจที่ปราบดุตนก็รีบหันไปเอ่ยปากออกตัวแทนเด็กหนุ่ม นางสายเห็นท่าทางปกป้องเล็กๆ นี่ของเด็กหญิงก็ยิ้มอ่อนโยนตอบกลับ ทว่ายามที่เลื่อนสายตาไปสบกับเด็กชายท้ายเรือน้ำเสียงก็พลันเข้มขึ้น

“เรื่องนับเลขแลคิดคำนวณหาใช่เรื่องง่ายๆ ที่จะเรียนรู้ได้ในระยะเวลาสั้นๆ เมื่อคราวแม่สอนพ่อปราบก็ต้องพูดอยู่หลายคราถึงจดจำได้มิใช่รึ”

คนถูกแม่ดุถอนหายใจยาวอย่างระอาใจ ล้วนเป็นเช่นนี้เสมอ ยามที่เขาดุเด็กน้อยหัวทึบผู้นี้คราใดคนเป็นแม่ก็จะออกตัวปกป้องเสียทุกครั้ง แก้วเห็นท่าทางหงุดหงิดของปราบก็เม้มริมฝีปากบาง ก่อนจะส่งห่อใบตองให้เขาอย่างเอาใจ

“กระไร”

“มะม่วงแผ่นจ้ะ น้าสายเคยบอกว่าพี่ปราบชอบกิน”

“ตัวแค่นี้ก็รู้จักติดสินบนแล้วรึ”

แก้วส่ายหน้าไปมาจนผมจุกคลอน ทว่าไม่กล้าเอ่ยโต้แย้งเพราะกลัวจะถูกดุอีกระลอก ท่าทางเช่นนี้ของเธอทำให้อารมณ์ที่ขุ่นเคืองของปราบจางหายไปในทันที ทว่าหากกล่าวจากใจแล้ว เขาไม่เคยรู้สึกขุ่นเคืองในตัวแก้วจริงๆ จังๆ เลยสักหน ตรงกันข้ามกลับชื่นชมเด็กน้อยผู้นี้อยู่ไม่น้อย

อีแก้วมันเป็นตัวกาลกิณี แม่สายอย่าได้ไปวุ่นวายกับมันเลย ประเดี๋ยวจะติดเสนียดตัวซวยมา

เป็นคำพูดที่ชาวบ้านชุมชนใกล้วัดท่าเกวียนมักเอ่ยถึงแก้วอยู่เสมอ ทว่าทั้งที่ถูกผู้คนดูแคลนแลติฉินนินทาถึงเพียงนี้ เด็กน้อยตรงหน้ากลับยังคงรักษารอยยิ้มและจิตใจที่ดีงามเอาไว้ได้โดยไม่สั่นคลอน ช่างเป็นคนที่มีหัวใจเข้มแข็งนัก

มือหนายื่นไปหยิบห่อใบตองมาจากมือเล็ก ทันทีที่คนรับของไปใบหน้าของแก้วก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม ยิ่งเห็นอีกฝ่ายหยิบมะม่วงแผ่นของนางกินดวงตากลมก็เปล่งประกายอย่างยินดี

“เป็นเยี่ยงไรบ้าง รสดีหรือไม่จ๊ะ”

“ก็พอใช้ได้”

แม้ปากจะบอกว่าพอใช้ได้ ทว่านิ้วยาวกลับหยิบมะม่วงแผ่นในห่อใบตองใส่ปากไม่หยุด อีกทั้งยังไม่ยอมแบ่งผู้ใด

แม่แก้วบอกว่าทำมาให้เขา เหตุใดเขาต้องแบ่งให้ผู้อื่นด้วยเล่า

นางสายมองลูกชายของตนแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ ส่ายหน้าไปมาอย่างขบขัน ก่อนที่เสียงทุ้มต่ำจะเริ่มสอนคนตัวเล็กนับเลข แลคิดคำนวณอีกครา

 



Don`t copy text!