กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 2 : ดวงบริพัตร (1)
โดย : ชีวาพร
กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว โดย ชีวาพร เรื่องราวของสองพี่น้องที่ชีวิตแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน คนหนึ่งใบหน้างดงามโดดเด่นเป็นที่ปรารถนาของผู้คน อีกคนใบหน้าสามัญและยังมีชะตากาลกิณีติดตัวมาตั้งแต่เกิด ชีวิตของทั้งคู่จะดำเนินไปในทิศทางใด อ่านเรื่องราวของพวกเธอได้ในเว็บไซต์อ่านเอา anowl.co และเพจ anowldotco
ยามตะวันลับฟ้า ชาวบ้านต่างเร่งปิดบ้านลงดาลประตูเรือน อาจเพราะโรคห่าใหญ่เพิ่งผ่านพ้นไปบรรยากาศยามค่ำคืนจึงวังเวงชวนขนลุก ผู้คนต่างเลี่ยงการออกจากเรือน
แม่แก้วที่ดวงตาบวมช้ำจากการร่ำไห้มาหลายคืนติดกันเดินออกจากเรือน มือเล็กข้างหนึ่งถือไต้ใช้เป็นแสงสว่างนำทางเดินลัดเลาะไปยังป่าช้าท้ายวัดท่าเกวียน ก่อนจะหยุดที่หน้ากองดินกองหนึ่งข้างป่าช้า
“พ่อจ๋า…ฉันคิดถึงพ่อยิ่งนัก”
หลังจากที่บุญมีสิ้นลม แก้วก็ขุดหลุมฝังศพพ่อด้วยตนเองไว้ที่ชายป่าช้าท้ายวัดท่าเกวียน เพราะเขตวัดที่ทางหลวงจัดให้ ไม่ว่าจะเป็นวัดสระเกศ วัดบางลำพู หรือแม้แต่วัดตีนเลน ล้วนอยู่ไกลเกินกำลังของเด็กน้อยเช่นแก้วจะนำร่างที่ไร้วิญญาณของพ่อไป ครั้นให้รอคนจากทางการมาช่วยเหลือจัดการ คนที่สิ้นลมด้วยโรคห่าตอนนั้นก็มากนัก ที่สำคัญทั้งสามวัดยังมีกองซากศพของคนที่ตกตายด้วยโรคห่ากองเป็นพะเนินเทินทึกเพราะเผาไม่ทัน เหล่านกแร้งนกกาต่างลงมาจิกกินซากศพให้เป็นที่ชวนเวทนาของผู้พบเห็น แก้วไม่ต้องการให้ร่างของพ่อเป็นเช่นนั้นจึงได้แต่ลอบจัดการเรื่องนี้ด้วยตนเอง
“ฉันจะไปอยู่กับน้าชบาตามที่พ่อบอก พ่อไม่ต้องเป็นห่วงฉัน ไปสบายเถิดนะจ๊ะ”
มือเล็กที่แตกเป็นแผลจากการขุดดินวางห่อข้าวใบตองลงที่หน้ากองเนิน ก่อนจะยกมือขึ้นปาดน้ำตาบนแก้ม เอ่ยคำอำลาคนที่ตายจากอีกพักใหญ่จึงเดินอย่างคนไร้เรี่ยวแรงกลับเรือน
สองวันต่อมาแก้วหอบผ้ามาที่เรือนของชบา แม้รู้ว่าชบาไม่ยินดีต้อนรับตนเองแต่เพราะเป็นคำสั่งเสียของพ่อก่อนตาย เพื่อให้พ่อจากไปอย่างไร้กังวล ดังนั้นต่อให้ต้องถูกคนเป็นน้าด่าทออย่างไรแก้วก็ยังคงยืนฟังอย่างสงบนิ่ง
“เป็นเสนียดเรือนกูนัก ไป! มึงเร่งไสหัวไปอยู่เรือนเล็กท้ายสวน อย่าแม้แต่จะขึ้นมาเหยียบบนเรือนกู”
นางชบา เอ่ยตวาดก้อง มองเด็กน้อยผอมแห้ง เนื้อตัวมอมแมมที่ยืนกอดห่อผ้าอยู่หน้าเรือนด้วยอารมณ์หงุดหงิด ทว่าในฐานะคนเป็นน้าให้รังเกียจเดียดฉันท์อีกฝ่ายเพียงใดก็ไม่อาจปฏิเสธไม่รับคน ไม่เช่นนั้นชาวบ้านร้านตลาดคงได้เล่าลือเรื่องของเธอจนสนุกปากเป็นแน่ สุดท้ายที่ทำได้จึงมีเพียงไล่ตัวกาลกิณีตรงหน้าไปอยู่ให้ไกลตา
“จ้ะ…”
แก้วขานรับอย่างว่าง่าย รับรู้ได้ถึงสายตาและท่าทางรังเกียจของชบา ทว่าชีวิตนี้ของเธอถูกผู้คนมองด้วยสายตาเช่นนี้มาตลอด ในใจชินชาจนไม่รู้สึกแปลกใจหรือเจ็บปวดอีก
“จ้ะ! แล้วก็ไสหัวไปสิวะ!”
ชบาเอ่ยไล่อีกครั้ง ริมฝีปากเล็กเม้มเข้าหากันแน่น หมุนตัวเดินไปยังทิศทางที่ชบาชี้บอก
“ขัดตากูยิ่งนัก”
ชบายังคงมีท่าทีหงุดหงิดแม้เด็กน้อยหน้าเรือนจะจากไปจนลับตาแล้วก็ตาม มือที่ถือพัดขยับโบกไล่ความร้อนจากอารมณ์โมโหเดินมาทิ้งตัวลงนั่งที่กลางชานเรือน หยิบหมากพลูใส่ปากเคี้ยวกินอย่างขุ่นข้องใจ
“น้าชบาอย่าหงุดหงิดไปเลย ฉันนวดให้นะจ๊ะ”
ผกากรองคลานเข่ามาบีบนวดให้คนเป็นน้าอย่างเอาใจ แม้ชั่วความคิดวูบหนึ่งจะสงสารแก้วผู้เป็นน้อง ทว่าเรือนเล็กท้ายสวนนั้นทั้งเก่า ทั้งเหม็น เหตุใดเธอต้องเอาตัวเองไปตกระกำลำบากกับแก้วด้วยเล่า
“จะว่าไปเอ็งนี่ก็น่าสงสารนะอีผกากรอง มีน้องเยี่ยงอีแก้วผู้คนก็พานรังเกียจเอ็งไปด้วย”
คำพูดของชบาคล้ายทวนหนักปักที่กลางอกของผกากรอง ตั้งแต่จำความได้เธอมักถูกผู้คนล้อเลียนเดียดฉันท์เรื่องที่มีแก้วเป็นน้อง ยามที่ไปวิ่งเล่นกับสหายวัยเดียวกันก็ต้องยอมเป็นลูกไล่ให้ละไมเอาเปรียบอยู่บ่อยๆ เพื่อที่จะเอาใจมิให้อีกฝ่ายยกเรื่องแก้วมากล่าวอ้างและชักชวนผู้อื่นไม่ให้เล่นกับตน
เธอไม่ได้ทำกระไรผิด เหตุใดต้องมารับผลกระทบจากดวงกาลกิณีของแม่แก้วด้วย ยิ่งมาได้ยินคำพูดของคนเป็นน้าในใจที่เดิมทีก็รู้สึกไม่ยุติธรรมพลันเกิดความเกลียดชังตัวต้นเหตุอย่างแก้วขึ้นเป็นทบทวี
“เยี่ยงนั้นฉันควรทำอย่างไรดีจ๊ะน้า”
“เอ็งก็อย่าได้ไปสุงสิงกับมันให้มากนัก ใครถามก็บอกว่าตัดพี่ตัดน้องไปแล้ว”
ชบาก้มลงบ้วนน้ำหมากลงในร่องเรือนแล้วเอ่ยบอกด้วยท่าทางรังเกียจ ทว่าผกากรองกลับคิดหนัก ที่ผ่านมาถึงเธอจะรู้สึกไม่พอใจกับการมีน้องกาลกิณีเยี่ยงแก้ว แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นคิดตัดขาดเช่นนั้น
“ทำเยี่ยงนั้นคนจะไม่ว่าฉันใจดำหรือจ๊ะ”
“อุว๊ะ! เอ็งอยากเป็นคนใจดำหรืออยากเป็นตัวกาลกิณีที่ใครๆ ก็รังเกียจเยี่ยงอีแก้วมัน ฮึ!”
เมื่อเห็นว่าคนเป็นน้าเริ่มไม่พอใจผกากรองก็ออกแรงมือบีบนวดไหล่อีกฝ่ายอย่างเอาใจมากขึ้น
“โธ่…เรื่องพวกนี้ฉันจะต้องคิดมากไปทำไมกัน น้าชบาว่าเยี่ยงไรฉันก็ว่าเยี่ยงนั้นจ้ะ”
“ดี! วันพุกเอ็งเข้าสวนเก็บมะพร้าวกับมะม่วงไปขาย แล้วอย่าได้ริอ่านขโมยอัฐข้าเชียว”
เก็บมะพร้าวกับมะม่วงไปขาย ใบหน้าของผกากรองเจื่อนไปเล็กน้อย ด้วยตั้งแต่เกิดมาไม่เคยได้ลงแรงทำงานเลยสักครั้ง หากแต่เมื่อเห็นว่าชบาเริ่มมีสีหน้าดีขึ้นก็ไม่ได้เอ่ยขัดอะไร
“โธ่…น้าชบาของฉันทั้งงดงามและใจกว้าง หากฉันอยากได้กระไรเพียงเอ่ยขอเอาก็ย่อมได้ จะขโมยไปทำไมกันล่ะจ๊ะ”
ริมฝีปากแดงก่ำด้วยน้ำหมากยิ้มกว้างอย่างพึงพอใจกับคำป้อยอของหลานสาว ผกากรองได้ทีก็เร่งเอ่ยปากต่อคำอย่างเอาใจ
“น้าชบาดูผิวฉันสิ ใครๆ ก็ว่าขาวเนียนได้น้ามาทั้งนั้น ฉันละภูมิใจนัก”
ผกากรองยื่นแขนเล็กขาวเนียนเกินกว่าเด็กวัยเดียวกันให้คนเป็นน้าดู ชบาเห็นแล้วรอยยิ้มก็ยิ่งกว้างขึ้น คำโบราณกล่าวไว้เด็กมักไม่โกหก เห็นทีคำของผกากรองคงจะจริงดังที่เจ้าตัวเอ่ย เช่นนี้นับว่าผกากรองก็สร้างหน้าสร้างตาให้ตนได้ดีไม่น้อย
“เช่นนั้นเอ็งไปช่วยอีแก้วเก็บมะพร้าวกับมะม่วงเสร็จก็ให้มันไปขายที่ตลาดคนเดียวพอ ยืนตากแดดขายของประเดี๋ยวผิวเอ็งเสีย ข้าจะพานเสียหน้าไปด้วย”
“จ้ะน้า”
แม้ในใจจะไม่ค่อยพอใจที่ชบาใช้ให้ตนไปทำงานในสวน แต่ผกากรองก็ยังคงแสร้งตีสีหน้ายิ้มกว้าง ตอนนี้เธอต้องพึ่งใบบุญอีกฝ่าย ดังนั้นจำต้องทำตัวว่าง่ายไปก่อน รอเมื่อไหร่ที่มีกำลังแม้แต่ดินในสวนเธอก็จะไม่ไปเหยียบเลยเชียว
เมื่อท้องฟ้าถูกม่านราตรีครอบคลุม แก้วก็ออกมานั่งที่หน้าเรือนหลังเล็ก ดวงตากลมแดงก่ำอาบไปด้วยน้ำตาช้อนขึ้นมองผืนฟ้า ใจคะนึงหาคนที่จากไป ริมฝีปากบางเล็กเม้มเข้าหากันแน่น หยาดน้ำใสไหลรินอาบแก้มนวลมองดวงจันทราแลดาราบนม่านรัตติกาล พานให้นึกถึงถ้อยคำของยายชื่น
แม่แก้วจำคำของยายไว้ให้ดี ดวงจันทร์งดงามโดดเด่นก็จริง แต่ดวงดาวก็งดงามเปล่งประกายไม่น้อยไปกว่ากัน เพราะฉะนั้นเอ็งไม่จำเป็นต้องโดดเด่นเหมือนดวงจันทร์ แต่จงเปล่งประกายงดงามเยี่ยงดวงดาว
โครก…เสียงท้องน้อยๆ ของแม่แก้วดังขึ้น ตั้งแต่มาอยู่ที่เรือนของชบา ไม่เพียงทุกวันต้องทำงานในสวน ข้าวปลาอาหารก็ได้กินบ้างไม่ได้กินบ้าง แล้วแต่ว่าอีกฝ่ายจะเจียดมาให้หรือไม่ มือเล็กกุมท้องที่แสบร้อนแล้วหันไปตักน้ำในตุ่มดินมากิน
ขนมตาล หากดึกๆ หิวก็เอามากิน
นอกจากเป็นลูกมือช่วยชื่นทำคลอดแล้ว ช้อยยังทำขนมไปขายที่ตลาดอยู่เป็นประจำ และลูกค้าคนแรกที่เธอมักเอาขนมมาให้ก็คือแก้ว เด็กน้อยเรือนข้างนั่นเอง
แก้วยกมือขึ้นลูบท้องแบนจนเห็นเป็นสันซี่โครงเล็ก ก่อนจะก้มมองมือของตนเอง มือที่ครั้งหนึ่งได้โอบกอดคนเป็นพ่อ อ้อมกอดที่แสนอบอุ่นนั้นก่อนหน้าไม่เคยได้รับเธอก็ไม่เคยรู้สึกโหยหา ทว่ายามได้สัมผัสกลับยึดติด ทั้งโหยหา ทั้งปรารถนาอย่างเป็นที่สุด วงแขนเล็กยกขึ้นกอดเข่าก้มหน้าลงร่ำไห้จนตัวสั่น คะนึงหาคนที่จากไปอย่างไม่มีวันหวนคืน
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 12 : มีเงินท่วมหัว มิเท่ามีผัวพระยา (1)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 11 : ยวนสวาท (3)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 11 : ยวนสวาท (2)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 11 : ยวนสวาท (1)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 10 : ยั่วราคะ (2)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 10 : ยั่วราคะ (1)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 9 : เปื้อนราคี (3)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 9 : เปื้อนราคี (2)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 9 : เปื้อนราคี (1)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 8 : กลรักดอกแก้ว (2)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 8 : กลรักดอกแก้ว (1)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 7 : เล่ห์ร้ายผกากรอง (2)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 7 : เล่ห์ร้ายผกากรอง (1)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 6 : เพลิงริษยา (2)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 6 : เพลิงริษยา (1)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 5 : ไฟรัญจวน (2)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 5 : ไฟรัญจวน (1)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 4 : อวลกลิ่นดอกแก้ว (2)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 4 : อวลกลิ่นดอกแก้ว (1)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 3 : กรุ่นกลิ่นผกากรอง (2)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 3 : กรุ่นกลิ่นผกากรอง (1)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 2 : ดวงบริพัตร (2)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 2 : ดวงบริพัตร (1)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 1 : ดวงกาลกิณี (2)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 1 : ดวงกาลกิณี (1)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว : บทนำ