กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 1 : ดวงกาลกิณี (2)

กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 1 : ดวงกาลกิณี (2)

โดย : ชีวาพร

Loading

กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว โดย ชีวาพร เรื่องราวของสองพี่น้องที่ชีวิตแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน คนหนึ่งใบหน้างดงามโดดเด่นเป็นที่ปรารถนาของผู้คน อีกคนใบหน้าสามัญและยังมีชะตากาลกิณีติดตัวมาตั้งแต่เกิด ชีวิตของทั้งคู่จะดำเนินไปในทิศทางใด อ่านเรื่องราวของพวกเธอได้ในเว็บไซต์อ่านเอา anowl.co และเพจ anowldotco

 

เช้าวันถัดมาแก้วตื่นตั้งแต่ย่ำรุ่งเร่งหุงข้าวย่างปลาแล้วห่อใส่ใบตองมัดผูกซ่อนในห่อผ้า ยามสายก็ลอบออกจากเรือนไปยังเรือนข้าง ทว่ายามที่เดินมาถึงเรือนของชื่นหมอตำแยประจำหมู่บ้าน ก็เห็นทหารหลวงแบกร่างที่ม้วนห่อด้วยเสื่อสานลงมาจากเรือน ไม่ไกลนักมีชาวบ้านกลุ่มหนึ่งมามุงดูห่างๆ ภาพตรงหน้าไม่ต้องเอ่ยร้องถามแก้วก็กระจ่างชัด

ยายชื่นกับน้าช้อยจากเธอไปแล้ว

สองมือเล็กพลันอ่อนแรง ห่อข้าวตกกระทบพื้นจนใบตองแตกเม็ดข้าวกระจัดกระจาย เฉกเช่นเดียวกับหัวใจของเธอที่แตกสลาย สองขาทรุดลง แม้ใจอยากวิ่งเข้าไปโอบกอดอำลาคนทั้งสองเป็นครั้งสุดท้าย ทว่ากลับไร้เรี่ยวแรงแม้แต่จะลุกยืน ทำได้เพียงมองทหารหลวงนำร่างที่ไร้วิญญาณจากไปด้วยน้ำตาที่อาบแก้ม

ยายชื่นจ๋า…ยายไม่อยู่แล้วใครจะร้องเพลงเล่านิทานกล่อมฉัน

น้าช้อยจ๋า…ไม่มีน้าแล้วยามฉันทุกข์ใจผู้ใดจะปลอบโยน

เหตุใดทุกคนจึงทิ้งฉันไปเยี่ยงนี้ หรือเพราะฉันมันเป็นตัวกาลกิณีจริงๆ เช่นที่ผู้คนเล่าลือ

แก้วคร่ำครวญน้ำเสียงสะอื้น ก่อนจะลากสังขารของตนเองกลับไปที่เรือน นั่งกอดเข่าเม้มริมฝีปากร่ำไห้เพียงลำพังเงียบๆ อยู่ที่ใต้ถุนเรือน

 

“นี่พ่อก็ติดโรคห่ากับเขามาด้วยรึ!”

“แม่ผกากรองอย่าเพิ่งถามให้มากความ เร่งลงไปต้มยามาให้พ่อก่อน”

บุญมีวางห่อยาลงบนโต๊ะข้างตั่งให้ลูกสาวคนโต ก่อนจะหันไปอาเจียนอีกระลอก

“พ่อติดโรคห่าแบบนี้จะเอามาติดฉันด้วยหรือไม่”

ผกากรองมองอาการป่วยของพ่อด้วยท่าทางรังเกียจ เท้าเล็กถอยห่างไปอีกสามก้าว ไม่แม้แต่จะแตะห่อยาที่วางอยู่ตรงหน้า ท่าทางนี้ของลูกรักทำให้หัวใจของบุญมีเจ็บปวดยิ่งนัก ดวงตาคมแดงก่ำเบนหน้าหลบสายตาเหยียดหยันของลูกสาวแล้วเอ่ยบอกลอดไรฟัน

“หากเอ็งรังเกียจพ่อถึงเพียงนี้ ก็ย้ายไปอยู่กับน้าชบาของเอ็งก่อนก็แล้วกัน”

“จริงด้วย! เช่นนั้นฉันย้ายไปอยู่กับน้าชบาก่อน รอพ่อหายดีแล้วฉันจะกลับมาอยู่ด้วยนะจ๊ะ”

ผกากรองร้องบอกอย่างยินดี เร่งเข้าไปเก็บข้าวของของตนใส่ห่อผ้าวิ่งลงเรือนอย่างเร่งรีบ

เมื่อบุตรสาวคนโตจากไปด้วยท่าทางรังเกียจ บุญมีก็ได้แต่ทอดถอนหายใจ ทั้งรู้สึกเสียใจและผิดหวัง แต่กระนั้นก็ไม่นึกเคืองโกรธผกากรองเลยแม้แต่น้อย เขาโก่งคออาเจียนอีกครั้ง ร่างกายอ่อนแรงจนแม้แต่จะลุกไปเปลี่ยนกระโถนก็ไม่มีกำลัง ทำได้เพียงทิ้งตัวลงนอนตัวงอกุมท้องที่บิดมวนอยู่บนตั่ง

แก้วได้ยินเสียงพ่อกับพี่สาวโต้เถียงกันดังลั่นเรือนก็เดินออกมาจากโรงครัว เมื่อเห็นผกากรองหอบห่อผ้าวิ่งลงบันไดมาก็ขยับเข้าไปขวางทาง จับต้นแขนของพี่สาวเพื่อรั้งอีกฝ่ายไว้

“พี่ผกากรองจะไปไหนจ๊ะ”

“ฉันจะไปอยู่เรือนน้าชบา”

“พี่ผกากรองอย่าทิ้งพ่อไปเลย พ่อรักพี่มาก ถ้าพี่ทำแบบนี้จะกลายเป็นคนอกตัญญูเอานะจ๊ะ”

ผกากรองได้ยินน้องสาวเอ่ยราวกับตำหนิตนก็เบิกตากว้าง จ้องอีกฝ่ายเขม็งก่อนจะออกแรงผลักจนแก้วล้มลงไปกองกับพื้น ยกมือขึ้นชี้หน้าอีกฝ่ายพลางตวาดเสียงแข็งกร้าว

“กูไม่อยู่ มึงอยากอยู่ก็อยู่ไปคนเดียว”

รักแล้วอย่างไร ยามนี้พ่อของเธอติดโรคห่ามา อีกไม่กี่วันก็ต้องตาย หากเธอไม่เร่งหนีจะให้ตกตายตามกันไปหรือไร

“หากกล้าขวางทางกูอย่าหาว่ากูไม่เตือน”

ผกากรองที่ถูกความกลัวเข้าครอบงำตวาดน้องสาวอย่างที่ไม่เคยเป็น แก้วมองพี่สาวที่เปลี่ยนไปราวกับคนละคนแล้วดวงตาแดงก่ำ มองร่างเล็กที่เดินลับตาไปแล้วหันกลับมามองบันไดเรือน

อย่าได้เอาเสนียดมาติดเรือนกู หาไม่กูจะเฆี่ยนให้หลังขาด

แก้วนึกถึงคำพูดของพ่อในวันวานที่สั่งห้ามเธอขึ้นไปบนเรือนใหญ่แล้วเม้มริมฝีปากเล็กแน่นอย่างชั่งใจ ทว่ายามที่ได้ยินเสียงอาเจียนชุดใหญ่ดังก้อง ความห่วงใยก็ทำให้ความหวาดกลัวในใจจางหายไปจนหมดสิ้น จึงลุกขึ้นแล้ววิ่งขึ้นบันไดไปในทันที

“มึงจะขึ้นมาให้เป็นเสนียดเรือนกูทำไม หรืออยากมาดูน้ำหน้ากู”

แม้สีหน้าของบุญมีจะอิดโรย ไร้เรี่ยวแรงแม้แต่จะลุกนั่ง ทว่ายังคงเปล่งถ้อยคำเดียดฉันท์ลูกสาวคนเล็กอย่างเช่นเคย

แก้วชะงักฝ่าเท้าในทันทีเมื่อได้ยินน้ำเสียงดูแคลนของพ่อ ความหวาดกลัวเจ็บปวดแผ่ซ่านอยู่ในหัวใจ รีบปฏิเสธเสียงสั่น

“ปะ…เปล่าจ้ะ…ฉัน…ฉันแค่จะขึ้นมาเอายาไปต้มให้พ่อ”

พูดจบแก้วก็เร่งฝีเท้าเดินไปหยิบห่อยา แล้วเดินก้มหน้าก้มตาไปหยิบกระโถนใบใหม่มาวางไว้ใกล้มือคนป่วย

ดวงตาอิดโรยของบุญมีมองบุตรสาวคนเล็กถือห่อยาเดินก้มหน้าก้มตาจากไปด้วยท่าทางตื่นกลัว ก็รู้สึกปวดหน่วงในห้วงอก รู้สึกผิดที่รีบร้อนกล่าวถ้อยคำแดกดันใส่อีกฝ่าย แต่ยังไม่ทันที่จะพลิกกายนอนหงาย ท้องไส้ก็ปั่นป่วนปวดบิดขึ้นมาอีกครั้ง จนต้องรีบลุกพาร่างอ่อนแรงลงจากเรือนไปปลดทุกข์ที่ด้านล่างเรือน

แก้วที่กำลังต้มยาอยู่ในห้องครัวใต้เรือนหันไปเห็นบุญมีเดินออกมาจากป่าข้างเรือนด้วยท่าทางอ่อนแรงก็วางพัดในมือ วิ่งเข้าไปหาพ่อ

“ฉันช่วยจ้ะ”

แก้วพูดพร้อมกับยื่นมือไปหมายช่วยประคองพ่อ แต่ไม่ทันสัมผัสแขนของพ่อก็ชะงักมือเล็ก เมื่อสบเข้ากับสายตารังเกียจ

“ตัวเอ็งเล็กแค่นี้จะพาข้าขึ้นเรือนได้อย่างไร ดีไม่ดีจะพานพาข้าตกกระไดหัวร้างข้างแตก หลีกไป! อย่ามาอวดดี”

บุญมีตวาดลั่น จ้องหน้าขาวซีดของบุตรสาวคนเล็กด้วยดวงตาเข้มดุ ทว่ายังไม่ทันจะก้าวเท้าเดินไปยังหัวกระไดเรือน ก็ต้องหันหลังรีบสาวเท้าเข้าไปในป่าเพื่อปลดทุกข์อีกรอบ

“จะปวดกระไรหนักหนาวะ!”

บุญมีสบถเสียงดังในระหว่างที่เดินเข้าเดินออกชายป่าอีกหลายครั้ง สุดท้ายแม้แต่แรงจะยืนก็ยังไม่มี จำต้องใช้สองมือหยาบกร้านจับต้นไม้พยุงไม่ให้ทรุดลงบนพื้น

ทว่าแม้แก้วจะถูกห้ามไม่ให้เข้าไปยุ่ง แต่เธอก็คอยชำเลืองมองพ่อของตนอยู่ตลอดเวลา ในระหว่างที่มือก็ขยับโบกพัดเร่งไฟในเตาเพื่อให้ยาในหม้อต้มเดือดไวๆ

“โอ๊ย!”

แก้วได้ยินเสียงร้องพร้อมกับร่างที่ล้มลงของพ่อ ก็รีบวางพัดในมือวิ่งไปประคองเขาลุกขึ้นในทันที

“ให้ฉันช่วยเถอะจ้ะพ่อ”

แก้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนครานี้แม้จะถูกดุด่าเธอก็จะไม่ยอมปล่อยแขนของพ่ออีก บุญมีพยักหน้ารับอย่างจำใจ เพราะตระหนักได้ว่าเวลานี้เขาคงไม่อาจดื้อดึงปฏิเสธความช่วยเหลือจากบุตรสาวคนเล็กได้อีกแล้ว ด้วยแข้งขาของเขามันอ่อนแรงและสั่นจนแทบจะเดินไม่ได้

“พ่อนอนพักข้างล่างก่อนเถิดจ้ะ ประเดี๋ยวฉันเอาฟูกมาปูบนแคร่ให้”

“วุ่นวายมิเข้าเรื่อง”

แม้ปากจะยังดุด่าเช่นเดิม ทว่าบุญมีก็ยอมเดินไปนอนบนแคร่ตามที่เด็กน้อยเอ่ยบอก แก้วเดินขึ้นไปบนเรือน หอบข้าวของพะรุงพะรังลงมาจัดแจงจัดที่หลับที่นอนให้บุญมีอย่างใส่ใจ ดวงตาของคนเป็นพ่อทอดมองมือเล็กๆ ที่ทำทุกสิ่งอย่างคล่องแคล่วราวกับคุ้นเคยการกระทำเช่นนี้มาโดยตลอด คิ้วหนาขมวดสงสัย

ที่ผ่านมาเป็นแม่แก้วที่ทำทุกอย่างอย่างหลบๆ ซ่อนๆ หรือเป็นเขาที่ไม่เคยใส่ใจเธอกันแน่

แน่นอนว่าคำตอบย่อมชัดเจน เขาช่างเป็นพ่อที่ย่ำแย่ยิ่งนัก ในใจของบุญมีสั่นสะท้านอย่างละอายใจ หากแต่ดวงตายังคงมองร่างเล็กที่วุ่นวายไม่หยุดด้วยความสนใจ ไม่นานนักมือเล็กก็ยกถาดยาแลข้าวต้มปลาป่นมาวางตรงหน้าเขา

“พ่อกินข้าวกินยาเสียหน่อยนะจ๊ะ จะได้มีแรง”

“สู่รู้นัก”

น้ำเสียงที่อ่อนลงกว่าทุกครั้งทำให้หัวใจที่โศกเศร้าของแก้วดีขึ้นมาบ้าง ริมฝีปากเล็กคลี่ยิ้มกว้างมองคนเป็นพ่อในระยะประชิดเป็นครั้งแรก

“มองกระไร ฟ้าใกล้มืดแล้วยังไม่เร่งไปจุดไต้อีก”

“จ้ะ”

เสียงใสขานรับอย่างว่าง่าย บนใบหน้าเล็กยังคงมียิ้มกว้างเร่งไปก่อไฟจุดไต้ตามที่บุญมีบอก ก่อนจะมานั่งพัดวีให้คนป่วยอย่างใส่ใจ

“ดึกแล้วไม่นอนหรือไร”

บุญมีเห็นคนตัวเล็กนั่งเฝ้าเขาไม่ละสายตาก็เอ่ยถามเสียงอ่อนโยนอย่างห่วงใย

“ฉันเป็นห่วงพ่อจ้ะ”

เพราะหวาดกลัวว่าคนเป็นพ่อจะจากไปเช่นยายชื่นและน้าช้อย ดังนั้นแก้วจึงไม่กล้าแม้แต่จะข่มตาหลับลง นั่งเฝ้าอยู่ข้างแคร่จวบจนดึกดื่นร่างกายทนไม่ไหวจึงเอนตัวพิงเสาเรือนหลับไปอย่างไม่รู้ตัว

คนบนแคร่ปรือตาตื่นทอดสายตามองร่างเล็กที่นั่งขดตัวงอเข่ากอดตัวเองแล้วเกิดระลอกคลื่นบางอย่างในใจ มองใบหน้าที่พยายามยิ้มกว้างให้เขาทั้งวัน แล้วถอนหายใจยาว ให้แม่แก้วพยายามเสแสร้งมีความสุขอย่างไรดวงตาของเธอก็ไม่อาจซ่อนความเศร้าในใจได้ แน่นอนว่าความเศร้านี้ย่อมมาจากเรื่องที่ยายชื่นและช้อยตายจากไปด้วยโรคห่า

แม่แก้ว นับจากนี้พ่อจะดูแลเอ็งเอง

บุญมีตั้งปณิธานในใจ สายตาที่มักจ้องมองเด็กน้อยอย่างแข็งกร้าวอยู่เป็นนิจแปรเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนอบอุ่น ก่อนจะหยิบผ้าแพรผืนบางวางลงบนคนที่หลับใหลอย่างเบามือ แล้วเอนกายลงนอนบนแคร่ไม้ ปิดตาลงหลับด้วยความอ่อนล้า

ผ่านมาสามวันแล้วที่บุญมีล้มป่วย แม้จะกินยาไม่ขาดทว่าร่างกายก็ยังคงอ่อนล้าลงเรื่อยๆ ท้องเดินสลับกับอาเจียนไม่หยุด

“แม่แก้ว…หากพ่อตายไปเอ็งก็ย้ายไปอยู่กับน้าชบานะ”

บุญมีย่อมรู้ดีว่าตนเองคงไม่อาจผ่านเคราะห์ร้ายคราวนี้ไปได้ จึงเอ่ยสั่งเสียกับแก้วเอาไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ

“ไม่เอาจ้ะฉันจะอยู่กับพ่อ พ่อเร่งกินยานะ…กินยาแล้วเดี๋ยวก็หายจ้ะ”

แก้วส่ายหน้าไปมาอย่างไม่ยอมรับคำพูดของพ่อ มือเล็กรีบหยิบถ้วยยามาส่งให้ทั้งน้ำตา บุญมีรับยาจากลูกสาวมาดื่ม เพียงแต่ไม่ทันกลืนยาร่างกายก็ต่อต้านอาเจียนออกมาอีกยกใหญ่

“พ่อ!”

แก้วร้องเรียกพ่อเสียงหลง รีบเข้าไปลูบหลังลูบไหล่ ส่งน้ำให้ แม้เธอจะไม่ยอมรับในคำสั่งเสียของพ่อ แต่เมื่อเห็นอาการที่ทรุดลงเรื่อยๆ ของบุญมีในใจของแก้วก็ไม่อาจสงบ ทั้งหวาดกลัว ทั้งห่วงใย จนหยาดน้ำตาไหลอาบแก้ม

“แม่แก้ว…อย่าร้องไปเลย”

มือหนาเอื้อมมาซับน้ำตาบนแก้มของลูกสาวอย่างอ่อนล้า แม้แต่เสียงที่เปล่งออกมาก็แผ่วเบา จนหัวใจของแก้วไม่อาจอดกลั้นได้อีก มือเล็กจับมือหนามากอบกุมพลางเอ่ยเสียงปนสะอื้น

“พ่อจ๋า พ่ออย่าทิ้งฉันไปเลยนะจ๊ะ ฉันรักพ่อ…พ่ออย่าทิ้งฉันไปนะจ๊ะ”

บุญมีมองดูท่าทางเจ็บปวดราวใจกำลังจะสลายของแก้วแล้วสะท้อนในอก สูดลมหายใจเอ่ยเสียงเบาหนักแน่น

“พ่อก็รักเอ็ง แม่แก้วเอ๋ย”

ถ้อยคำเพียงหนึ่งประโยค หากแต่คล้ายสายฝนที่หลั่งรินลงบนผืนดินที่แห้งแล้งมานาน หัวใจที่เจ็บปวด และโดดเดี่ยวมาถึงหกปีของแก้วพลันสั่นสะท้าน อิ่มเอมไปด้วยความยินดีระคนปวดร้าว ขยับตัวเข้าโอบกอดคนบนแคร่แน่น

“กอดพ่อเสียแน่น ไม่เหม็นรึไง”

แก้วที่ได้สัมผัสความอบอุ่นของพ่อเป็นครั้งแรกร้องไห้จนตัวสั่น ส่ายหน้าไปมาบนอกกว้างแล้วกระชับวงแขนเล็กแน่น ราวกับจะโอบกอดเขาเข้าไปในตัวเธอ

“ยังกอดไม่พออีกหรือไง”

“ไม่พอจ้ะ ฉันอยากกอดพ่อ กอดไว้ตลอด กอดไปตลอดชีวิตเลย”

บุญมีเม้มริมฝีปากหนากลั้นก้อนสะอื้นเอาไว้ในอก แม้ร่างกายจะอิดโรย แต่หัวใจของเขากลับอิ่มเอมยิ่งนัก

ทว่าให้แก้วดูแลบุญมีดีเพียงใด เจ็ดวันต่อมาอาการของนายบุญมีก็ทรุดลงจนแม้แต่น้ำก็กินไม่ได้

“แม่แก้ว…”

เสียงแหบพร่าอ่อนแรงของบุญมีร้องเรียกหาบุตรสาวคนเล็ก บุตรสาวที่ตลอดเวลาหกปีเขาไม่เคยเรียกหาเธอเลย มือหยาบกร้านที่อ่อนแรงยื่นออกไปหาเด็กน้อยที่กำลังพัดวีเร่งไฟต้มยาอยู่หน้าเตา สองดวงตาแดงก่ำหยาดน้ำตาไหลลงอาบแก้มสาก ในอกนึกละอายใจนัก ทั้งที่แม่แก้วเป็นเด็กดีและกตัญญูถึงเพียงนี้ เขากลับไม่เคยมองเห็น อีกทั้งไม่เคยใส่ใจเธอเช่นคนที่เป็นพ่อควรกระทำเลยสักครั้ง

แม่แก้ว…อภัยให้พ่อที่โง่เขลาคนนี้ด้วยเถิดหนา

นายบุญมีค่อยๆ พลิกตัวนอนหงายสองมือยกพนมแนบอก หลับตาตั้งจิตอธิษฐาน

ตัวข้านายบุญมีขอตั้งจิตอธิษฐาน บุญกุศลใดที่เคยสร้างเคยก่อ ทั้งอดีตชาติก็ดี ปัจจุบันชาติก็ดี ขอจงบันดาลส่งเสริมปกป้องแม่แก้วลูกของข้า ภายหน้าเภทภัยใดอย่าได้กล้ำกราย เรื่องร้ายใดอย่าได้มาสู่ ขอให้แม่แก้วลูกของข้าจงพบแต่ความสุขความเจริญด้วยเถิด…

สิ้นคำอธิษฐานจิต ลมหายใจสุดท้ายของบุญมีก็ขาดหาย สองแขนตกลงข้างลำตัว

“พ่อ!…”

เสียงของแก้วร่ำร้องเรียกคนที่สิ้นสติดังก้องเรือน มือเล็กจับร่างที่แน่นิ่งเขย่าไปมาอย่างไม่ยินยอม หยาดน้ำตาไหลอาบแก้มนวลด้วยใจที่เจ็บปวด ทว่าแม้ไม่อยากยอมรับแต่ก็ไม่อาจปฏิเสธว่ายามนี้บิดาของเธอได้จากไปแล้ว จากไปตลอดกาลอย่างไม่มีวันหวนกลับ ขาเล็กทรุดลงคุกเข่าที่พื้นข้างแคร่ ยกสองมือพนมแนบอกก้มลงกราบร่างที่ไร้ลมหายใจของพ่อเป็นครั้งสุดท้ายด้วยใจที่แตกสลาย เฉกเช่นเดียวกับผู้คนทั่วทั้งพระนครดินแดนสยาม

พ.ศ.2392 แรมหนึ่งค่ำ เดือนเจ็ด ปีระกา เกิดความไข้ป่วงทั้งแผ่นดิน…ความไข้ครั้งนั้นตรวจดูตามบัญชีเบี้ยหวัดที่ยื่นจำหน่ายตายในปีนั้นอยู่ในราวสิบลดสองทุกหมู่ทุกกรม…(ตัดคัดลอกจากบันทึกในสมัยรัชกาลที่ 3)

 



Don`t copy text!