กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 3 : กรุ่นกลิ่นผกากรอง (1)

กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 3 : กรุ่นกลิ่นผกากรอง (1)

โดย : ชีวาพร

Loading

กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว โดย ชีวาพร เรื่องราวของสองพี่น้องที่ชีวิตแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน คนหนึ่งใบหน้างดงามโดดเด่นเป็นที่ปรารถนาของผู้คน อีกคนใบหน้าสามัญและยังมีชะตากาลกิณีติดตัวมาตั้งแต่เกิด ชีวิตของทั้งคู่จะดำเนินไปในทิศทางใด อ่านเรื่องราวของพวกเธอได้ในเว็บไซต์อ่านเอา anowl.co และเพจ anowldotco

พ.ศ.2403 ปีที่ 10 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 แห่งราชวงศ์จักรี เพียงแต่วันเวลาผันผ่านมายาวนานร่วมสิบปี รัชสมัยผลัดแผ่นดินมาแล้วหนึ่งหน กษัตริย์ปกครองแผ่นดินมีร่วมกันถึงสองพระองค์ ทว่าเรื่องราวที่ผู้คนต่างเล่าลือและสนใจกลับยังคงเป็นชะตากาลกิณีของแก้ว ผู้คนทั่วทั้งย่านชุมชนใกล้วัดท่าเกวียนยังคงหวาดหวั่นในโชคชะตาของเธอ ดังนั้นแม้เพลานี้แก้วจะมีอายุร่วมสิบเจ็ดปีแล้วก็ยังมิได้ออกเรือน

“ผกากรอง เอ็งมิต้องใส่เสื้อตัวในดอก ห่มเพียงสไบจีบก็พอ จักได้อวดผิวเนียนๆ ของเอ็งให้ท่านเศรษฐีดู”

ชบาเอ่ยพลางช่วยผกากรองหวีผมเก็บปีก ก่อนจะผัดหน้าด้วยกระแจะจันทร์ แล้วจีบปากดัดเสียงสดใส

“วันนี้ข้านัดหมายเศรษฐีมิ่งไว้ให้เอ็ง ได้ยินว่าเป็นเศรษฐีใหญ่เดินทางมาจากทางเหนือ เอ็งต้องเอาใจท่านให้มาก อะไรที่ขอได้ก็ให้รู้จักขอเข้าใจหรือไม่”

“รู้แล้วจ้ะ น้าชบาไม่ต้องห่วง ฉันจะขอจนท่านเศรษฐีหมดตัวเลย”

ตั้งแต่อายุสิบสี่ ความงามของผกากรองก็เป็นที่เลื่องลือไปทั่วทั้งย่านชุมชนใกล้วัดท่าเกวียน ตลอดไปจนถึงย่านสำเพ็ง ตลาดน้อย ชายฉกรรจ์หนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ตั้งแต่ชาวบ้านไปจนถึงเศรษฐีใหญ่ต่างก็อยากพบเจอเธอด้วยกันทั้งสิ้น ชบาจึงฉกฉวยทำตัวเป็นคนกลางรับอัฐเข้าหีบนัดหมายผกากรองให้บุรุษมากหน้า

แรกเริ่มผกากรองก็ไม่ยินดีกับการกระทำของชบา ด้วยตนเองเป็นสาวแรกแย้มการไปพบบุรุษในที่ลับตาคนอาจเป็นที่ครหาของชาวบ้านได้ ทว่ายามที่ได้ของกำนัลจากเหล่าบุรุษติดไม้ติดมือกลับมา จากเดิมที่ไม่ยินดีก็แปรเปลี่ยนเป็นเสนอตัวอาสาแทน

“ว่าแต่กำไลทองที่ได้มาคราวก่อนน้าเอาไปขายให้ฉันหรือยัง ฉันจะเอาไปซื้อสไบผืนใหม่ ในหีบนั่นใส่หลายหนจนคนจำได้แล้ว”

“เอ็งไม่ต้องห่วง เงินของเอ็งข้าไม่ยุ่งอยู่แล้ว เร่งไปเร็วเข้า อ้อ…อย่าลืมเล่นตัวให้มากหน่อยเรียกเงินเรียกทองมาให้มากเข้าไว้”

“อีผกากรองเสียอย่าง หากตระหนี่กับฉันอย่าว่าแต่ชายผมเลย ชายสไบฉันก็ไม่ให้แตะ”

ผกากรองเอ่ยเสียงหนักแน่น ก่อนที่จะเหยียดแขนมองกำไลทองเส้นเก่าบนข้อมือตนเอง แล้วถอดเก็บใส่กล่องเอาไว้เพื่อรอรับเส้นใหม่

 แต่ถ้าอัฐหนักทองถึง มากกว่าชายผมฉันก็ยินดีให้แตะ

ริมฝีปากสีแดงเข้มราวผลตำลึงแก่ยกขึ้นยิ้มเจ้าเล่ห์ มองเงาสะท้อนในกระจกอย่างพึงพอใจกับความงามของตนเอง ก่อนจะลุกขึ้นเดินลงจากเรือน

“พี่ผกากรองจะไปไหนหรือจ๊ะ”

แก้วที่กำลังยกสำรับเช้ามาส่งที่เรือนใหญ่ของชบาเอ่ยถาม หากแต่กลับถูกสายตาของคนเป็นพี่สาวตวัดมองอย่างรังเกียจ

“มิใช่เรื่องของมึงอย่ามาสอด หลบไปไกลๆ ประเดี๋ยวเสนียด กลิ่นโคลนจะมาติดกู”

เมื่อถูกตวาดแก้วก็ก้มหน้า ถอยเท้าหลบทางให้พี่สาวเดินผ่าน หากแต่ในใจก็อดเป็นห่วงอีกฝ่ายไม่ได้ ด้วยเรื่องที่ชบานัดหมายบุรุษมากหน้ามาพบพี่สาวนั้นตัวแก้วรู้ดีกว่าผู้ใด

“พี่ผกากรองเป็นหญิงออกไปเจอผู้ชายบ่อยๆ เยี่ยงนี้จะเป็นขี้ปากคนได้นะจ๊ะน้าชบา ฉันว่า…”

เพียะ! แก้วเอ่ยไม่ทันจบประโยคแก้มซ้ายก็ชาไปทั้งแถบจากแรงมือของคนเป็นน้า

“มิใช่กงการกระไรของมึง! อย่ามาสอด ไสหัวไปให้พ้นหน้ากู อีเสนียด!”

ชบาตวาดก้อง ดึงสำรับเช้ามาจากมือเล็กแล้วหมุนตัวเดินขึ้นเรือน

“สมน้ำหน้า ริอ่านจะมาสอนกู ไม่รู้จักเจียมตัว”

ผกากรองที่ก้าวลงเรือมองดูเหตุการณ์หน้าเรือนแล้วเอ่ยเย้ยหยันเสียงเบา ก่อนจะหยิบร่มมากาง นั่งหลังตรงเชิดหน้าอวดโฉมความงามของตนต่อสายตาผู้คนสองฝั่งคลอง

“นั่นแม่ผกากรองใช่หรือไม่ ช่างงามสมคำเล่าลือยิ่งนัก”

“ตาเรียว จมูกโด่ง ปากเป็นกระจับ ทั้งผิวพรรณยังเหลืองดุจทอง อ่า…ช่างงามจับใจกูเหลือเกิน”

เสียงยกย่องเยินยอของบุรุษดังเข้ามาเป็นระยะ ริมฝีปากของผกากรองยกขึ้นอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง แสร้งชม้ายชายตาทำทีเป็นเขินอาย ทว่ากิริยากลับเย้ายวนตาปลุกใจบุรุษจนบางคนถึงกับอ้าปากค้าง

หลังนั่งเรือมาราวสิบบาทในที่สุดก็ถึงท่าน้ำหน้าเรือนเศรษฐีมิ่ง ผกากรองมองเรือนหลังใหญ่ตรงหน้าแล้วกระหยิ่มยิ้มอย่างพึงพอใจ

เรือนใหญ่โตขนาดนี้คงมั่งมีไม่น้อยทีเดียว

“ท่านเศรษฐีรอแม่หญิงอยู่บนเรือน”

เสียงบ่าวชายเอ่ยบอกดึงสายตาของผกากรองมาที่แผงอกแกร่งของอีกฝ่าย ดวงตาเรียวเปล่งประกายเย้ายวน มองร่างกายกำยำตรงหน้าอย่างชื่นชม ก่อนจะขยับตัวลุกขึ้นจากเรือด้วยท่าทางไม่มั่นคงนัก ยามที่เท้าเล็กเหยียบบนกระดานท่าน้ำก็เสียการทรงตัว จนอีกฝ่ายต้องโผเข้ามารั้งเอวบางเข้าแนบอก กลิ่นเหงื่อบุรุษวัยฉกรรจ์ทำให้หัวใจของผกากรองเต้นระรัว จงใจแสร้งขยับตัวเพื่อหยัดยืน แต่กลับเสียดสีอกอวบอิ่มของตนกับอกแกร่ง เมื่อเห็นท่าทางเกร็งจนเหงื่อแตกของชายหนุ่มในใจของผกากรองก็ยิ่งย่ามใจในความงามของตน

“ขออภัยแม่หญิง”

วงแขนแกร่งปล่อยเอวบางอย่างเสียดาย ในขณะที่ผกากรองแสร้งก้มหน้าเอียงอาย เดินเลี่ยงขึ้นเรือนใหญ่ ทิ้งเพียงกลิ่นแป้งร่ำหอมไว้ให้คนที่ท่าน้ำคะนึงหา

“ท่านเศรษฐี แม่หญิงผกากรองมาแล้วขอรับ”

บ่าวหน้าห้องเอ่ยรายงาน คนที่กำลังนั่งนับเงินพลันเงยหน้าขึ้นยิ้มกว้าง ขยับร่างท้วมลุกขึ้นแล้วเดินออกมาที่กลางโถงเรือนอย่างรวดเร็ว

“แม่ผกากรองคนงาม มาถึงแล้วรึ…”

ผกากรองได้ยินเสียงคนเรียกหาตนด้วยน้ำเสียงสั่นสะท้าน ก็ค่อยๆ ขยับตัว ยกมือพนมไหว้อย่างมีจริต เศรษฐีมิ่งรีบเร่งสาวเท้ามากอบกุมมือเรียว รับไหว้จากหญิงงามอย่างแนบชิด ใบหน้าของผกากรองพลันแดงระเรื่อแสร้งชักมือออกเอียงหน้าหลบอย่างเขินอาย เศรษฐีมิ่งยกมือหยาบที่สัมผัสเนื้อนุ่มขึ้นมาสูดดมด้วยสายตาหื่นกระหาย ยิ่งเห็นหญิงสาวเขินอายหัวใจของชายวัยห้าสิบกว่าก็สั่นระรัวอย่างตื่นเต้น

“อ่า…ช่างหอมยิ่งนัก”

“ท่านเศรษฐีเย้าฉันแล้ว หญิงชาวบ้านเช่นฉันจะหอมสู้หญิงเมืองเหนือได้อย่างไร”

“หอมกว่ามากนัก หอมจนฉันอยากจะสูดดมเสียทั้งตัวเลย”

ไม่เพียงเอ่ยปากเปล่า แต่มือไม้ของเศรษฐีมิ่งยังขยับวางบนไหล่ขาวที่โผล่พ้นสไบ ผกากรองแสร้งขยับตัวเล็กน้อยหลบสัมผัสของอีกฝ่ายอย่างตื่นตระหนก ทว่ายิ่งเห็นท่าทางเช่นนี้เศรษฐีมิ่งก็ยิ่งพึงพอใจ เอ่ยกระซิบเสียงเบา

“ล่องเรือมาพระนครคราวนี้ฉันได้พบช่างทองฝีมือดี จึงซื้อสร้อยทองมาหลายเส้น แม่ผกากรองอยากได้ไว้ใส่เล่นๆ สักเส้นไหม”

เมื่อได้ยินว่าอีกฝ่ายคิดจะมอบสร้อยทอง ดวงตาเรียวก็เปล่งประกาย หากแต่ยังคงวางท่าเขินอาย

“น้ำใจของท่านเศรษฐีฉันจะกล้าปฏิเสธได้อย่างไรเจ้าคะ”

“เช่นนั้นก็เข้าไปเลือกในหอนอนฉันเถิด”

เลือกในห้อง แม้ภายนอกผกากรองจะทำราวกับเป็นหญิงสาวไร้เดียงสา แต่เธอผ่านเรื่องลึกซึ้งระหว่างชายหญิงมาหลายครั้งย่อมรู้ดีว่าคำพูดของอีกฝ่ายหมายถึงสิ่งใด

“ฉันเป็นหญิงจะเข้าไปในหอนอนของชายอื่นได้อย่างไรกันเจ้าคะ หากใครรู้เข้าคง…”

“บนเรือนของฉันใครมันจะกล้าปากมากกัน”

ผกากรองนั่งชั่งใจเพียงชั่วครู่ก็ยินยอมให้มือหนาโอบเอวบางประคองเข้าหอนอน และทันทีที่ประตูหอนอนปิดลงเศรษฐีมิ่งก็โถมตัวเข้าโอบกอดร่างอวบอิ่มจากทางด้านหลัง กดแนบใบหน้าลงบนลำคอและไหล่ขาวเนียนจนสไบจีบจวนหลุดออกจากกาย

“อะ…ท่านเศรษฐีอย่าเจ้าค่ะ”

ผกากรองร้องเสียงตื่นตระหนกดิ้นรนขัดขืน แต่กลับกลายเป็นบดเบียดเนื้อตัวแนบชิดคนด้านหลังอย่างจงใจยั่วยวน เมื่ออีกฝ่ายสัมผัสจนไฟปรารถนาในกายบุรุษตื่นตัว เธอก็พลิกตัวหลบออกมาจากอ้อมแขนดันร่างชายสูงวัยออกห่าง พร้อมกับส่งสายตาแง่งอน เอ่ยน้ำเสียงตัดพ้อออดอ้อน

“ท่านเศรษฐีหลอกฉันมารังแกหรือเจ้าคะ”

เศรษฐีมิ่งมองหญิงมากมารยาแล้วยกยิ้มอย่างรู้ทัน ตัวเขาอายุไม่น้อยแล้ว เล่ห์มารยาหญิงเหล่านี้ย่อมรู้วิธีรับมือ

“จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร สร้อยทองของแม่ผกาก็วางอยู่ที่หน้าคันฉ่องอย่างไรเล่า”

เมื่อได้ยินว่าสร้อยทองวางอยู่ไม่ไกลมือผกากรองก็ตาลุกวาวจนลืมเก็บอาการ เศรษฐีมิ่งยกมุมปากเย้ยหยันก่อนจะประคองเอวบางเดินไปนั่งที่หน้าคันฉ่อง แล้วเปิดฝาหีบไม้สักออก เมื่อสร้อยทองนับสิบเส้นปรากฏอยู่เบื้องหน้า สายตาผกากรองก็มองด้วยความละโมบ หยิบเส้นที่ใหญ่ที่สุดขึ้นวางทาบบนลำคอขาว เศรษฐีมิ่งมองอย่างเย้ยหยัน เงินทองของเขามีมากมายย่อมไม่ใส่ใจทองแค่ไม่กี่เส้นตรงหน้า

แต่กลับสนใจเรือนกายสาวในอ้อมแขนมากกว่า ขณะที่ผกากรองกำลังหยิบจับสร้อยทองเขาก็กดแนบใบหน้าซุกไซ้สูดดมกลิ่นกายสาว พลางดึงรั้งปลดสไบสีสดออกจากตัวคนในอ้อมแขน

“ว้าย! ท่านเศรษฐี” ผกากรองไม่ทันตั้งตัวปทุมถันอวบอิ่มก็เผยโฉมสะท้อนในคันฉ่องเบื้องหน้า จนต้องยกมือขึ้นปิด

“งามถึงเพียงนี้จะปิดทำไมกัน”

“ท่านเศรษฐี ฉัน…อาย”

เสียงหวานเอ่ยแผ่วเบาอย่างเขินอาย ทว่าสายตาที่ส่งผ่านกระจกเงากลับยั่วยวนอย่างเชิญชวน จนร่างกายของเศรษฐีมิ่งตื่นตัว วางมือลงบนก้อนเนื้อนิ่ม

“เยี่ยงนั้นฉันปิดให้”

“อะ…ท่านเศรษฐีฉันเจ็บจ้ะ”

ผกากรองร้องเสียงสั่นเมื่อถูกมือเหี่ยวย่นบีบเคล้นอกสาวจนเนินเนื้อล้นทะลักออกจากซอกนิ้ว เศรษฐีมิ่งหาได้สนใจความเจ็บปวดของหญิงสาวตรงหน้าไม่ จับนางพลิกตัวมาเผชิญหน้าแล้วกดลงบนตั่งนอน ทอดมองเรือนร่างเต่งตึงสมวัยสาวด้วยสายตาเต็มไปด้วยแรงปรารถนา

“ท่านเศรษฐี จะทำอะไรฉันหรือจ๊ะ”

“หึ! แม่ผกากรองมิใช่รู้อยู่แล้วรึ”

เสียงแหบพร่าเอ่ยบอก พร้อมกับลูบไล้เรียวขาขาวเปิดผ้านุ่งของเธอขึ้นช้าๆ ผกากรองพลันยิ้มกว้าง ยกมือเรียวขึ้นคล้องลำคอของอีกฝ่าย เอ่ยเสียงเย้ายวนตอบกลับ

“ฉัน…จะรู้ได้อย่างไร ท่านเศรษฐีช่วยบอกฉันหน่อยได้หรือไม่”

เศรษฐีมิ่งยกยิ้มอย่างพอใจ แม้จะรู้ว่าทั้งหมดเป็นมารยาเสแสร้งของผกากรอง แต่เขาก็ยอมรับว่าเธอช่างเป็นหญิงที่มีเรือนร่างงดงามโดยไร้ที่ติ และยังมีความสามารถในการปรนเปรอบุรุษได้ถึงใจอีกด้วย

“อ่า…ผกากรอง ดียิ่ง ช่างดียิ่งนัก”

เศรษฐีมิ่งเหงื่อแตกจนชุ่มโชกไปทั้งตัวมิรู้ว่าเป็นเพราะเพลานี้เป็นยามที่ดวงตะวันเจิดจ้าหรือเพราะรสรักของผกากรองเร่าร้อนเกินไปกันแน่ แต่ยามที่เธอพลิกตัวขึ้นคร่อมเอวของเขา ร่างกายของเศรษฐีมิ่งก็ตื่นตัวจนลืมร้อน จับเอวบางของเธอเริ่มบทรักอีกระลอก

“ออกแรงหน่อยแม่ผกากรอง อ่า…เร่งอีก เร็วอีก”

เสียงหวานร้องครวญกระเส่าดังลั่นออกมาจากหอนอนใหญ่ จนบ่าวชายหญิงต่างพากันซุบซิบถึงความร่านรักของหญิงสาวในห้อง

“งดงามแล้วอย่างไร ทำตัวราวหญิงงามเมืองมาเสนอตัวปรนเปรอท่านเศรษฐีถึงเรือน”

“เรื่องของเจ้านาย เอ็งอย่าได้ปากมากนัก ประเดี๋ยวก็หลังลายดอก”

เสียงหวานอันเร่าร้อนของผกากรองดังก้องหอนอนใหญ่ของเศรษฐีมิ่งตั้งแต่เช้าตรู่จวบจนดวงตะวันคล้อยต่ำจึงสงบลง เศรษฐีมิ่งที่สุขสมอย่างต่อเนื่องมาทั้งวัน ตอนนี้นอนแผ่สิ้นแรง หายใจหอบอยู่บนเตียงนุ่มที่ยับย่น ขณะที่ผกากรองเอนกายซบบนอกกว้างเอ่ยเสียงออดอ้อนฉอเลาะ

“เย็นมากแล้วฉันต้องกลับแล้วจ้ะ”

“เย็นแล้วจะกลับไปทำไมกัน อยู่ค้างที่เรือนฉันมิดีกว่ารึ”

ผกากรองแสร้งก้มหน้าเขินอาย หากแต่ในใจกลับเย้ยหยันดูแคลนอีกฝ่ายยิ่งนัก ร่ำรวยมีเงินแล้วอย่างไร ทั้งไร้น้ำยาทั้งอ่อนหัด ขยับนิดหน่อยก็สิ้นฤทธิ์ทำเธอค้างคาหลายหนจนน่าหงุดหงิด หากไม่ได้ไประบายออกวันนี้เธอคงคลั่งตายเป็นแน่

“ฉันยังไม่ได้ออกเรือนจะมาค้างคืนบ้านผู้อื่นได้อย่างไร หากน้าชบารู้เข้าต้องดุฉันแน่ๆ”

เศรษฐีมิ่งยกยิ้มมุมปากอย่างเย้ยหยัน มิใช่ว่าเป็นอีกฝ่ายที่เสนอประเคนหลานสาวของตนมาบำเรอเขาถึงเรือนดอกหรือ ทว่าแม้เป็นเยี่ยงนี้แต่รสรักของหญิงสาวข้างกายช่างดีนัก

“เยี่ยงนั้นวันพุกฉันจะให้คนไปรับแต่เช้า”

“ฉันจะแต่งตัวรอตั้งแต่ย่ำรุ่งเลยจ้ะ”

ผกากรองเอ่ยตอบรับอย่างเขินอายก่อนจะลุกจากอกของชายชราอย่างอ้อยอิ่ง หยิบผ้าที่กระจัดกระจายบนพื้นเรือนมาสวมใส่ แล้วเดินมานั่งสางผมที่หน้าคันฉ่อง หางตาเหลือบมองไปยังคนบนเตียงที่ตอนนี้สิ้นแรงจนหลับไปแล้ว พลางหยิบทองในหีบใส่ลงในถุงข้างเอวไปถึงสามเส้น แลสวมใส่บนคอหนึ่งเส้น ข้อมืออีกข้างละหนึ่งเส้น

เคี่ยวกรำกูหนักขนาดนี้ เอาแค่เส้นสองเส้นจะคุ้มได้เยี่ยงไร

 



Don`t copy text!