ฤทัยยักษ์ บทที่ 1 : ยักษ์สองฝั่งแม่น้ำ

ฤทัยยักษ์ บทที่ 1 : ยักษ์สองฝั่งแม่น้ำ

โดย : เวฬุวลี

Loading

ฤทัยยักษ์ โดย เวฬุวลี นวนิยายที่อ่านเอานำมาให้อ่านออนไลน์ที่ anowl.co กับเรื่องราวของ ‘ฤทัยมาศ’ ตำรวจสาวที่้องเข้าไปสืบคดีที่เชื่อมโยงกับอดีตของเธอที่มีร่วมกับยักษ์หนุ่มจากวัดโพธิ์นามว่า ‘แสงอาทิตย์’ และยังไปเกี่ยวพันกับเบื้องลึกเบื้องหลังของศึกยักษ์วัดโพธิ์กับยักษ์วัดแจ้งที่เล่าขานกันมาเนิ่นนาน

ราพแสงอาทิตยเชื้อ       พรหมพงษ

มงกุฎกระหนกทรง        ฤทธิเร้า

ฉวีวรรณลักษณองค์      อสุรเฉก ชาติแฮ

บุตรพระยาขรเจ้า          เขตรแคว้นโรมคัล

ผู้นิพนธ์โคลง หลวงอินทรอาวุธ

“เด็กๆ รู้เรื่องยักษ์วัดโพธิ์กับยักษ์วัดแจ้งไหมคะ” เสียงหวานใสของสตรีวัยกลางคนดังขึ้น เธอพยายามจะดึงดูดความสนใจจากบรรดาเด็กนักเรียนที่เธอพามาทัศนศึกษานอกสถานที่ในวันนี้

ทัศนศึกษา หรือก็คือพามาเที่ยวนั่นแหละ เด็กมัธยมศึกษาปีที่สามที่เธอดูแลอยู่ต่างตื่นตาตื่นใจกับสถาปัตยกรรมที่อยู่รายรอบวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรวิหาร หรือที่รู้จักกันในนามวัดโพธิ์

“หนูรู้ค่ะ” เสียงเล็กๆ ดังขึ้น พร้อมกับมือของผู้พูดที่ชูขึ้นมาอย่างกระตือรือร้น “ยักษ์วัดโพธิ์ทะเลาะกับยักษ์วัดแจ้ง”

คุณครูหันไปมองเด็กสาวอย่างเอ็นดู “ถูกจ้ะ เก่งมากจ้ะ ฤทัยมาศ”

เด็กสาวนามฤทัยมาศยิ้มตาหยีอย่างถูกใจ บรรดาเพื่อนชายและหญิงของหล่อนเริ่มหันมาฟังครูอย่างสนใจบ้าง

“ที่ที่เรายืนอยู่ตอนนี้คือวัดพระเชตุพนฯ หรือวัดโพธิ์ ส่วนวัดแจ้ง ก็คือวัดอรุณฯ ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามของแม่น้ำเจ้าพระยา วัดทั้งสองวัด มีทวารบาลหรือผู้พิทักษ์รักษาประตูเป็นยักษ์…เดี๋ยวเราเดินเข้าไป ก็จะเห็นยักษ์วัดโพธิ์แล้ว”

“ถ้าอยู่กันคนละฝั่งแม่น้ำแล้ว ยักษ์จะมาทะเลาะกันทำไมเหรอครับครู” เด็กหนุ่มคนหนึ่งถามขึ้นบ้าง

“เรื่องนี้หนูรู้ค่ะ” เด็กสาวถักผมเปียที่ยืนอยู่ข้างฤทัยมาศหันมาชูมือตอบบ้าง “ยักษ์วัดโพธิ์เบี้ยวหนี้ ไม่ยอมคืนเงินยักษ์วัดแจ้ง”

“โอ๊ะ ยักษ์วัดโพธิ์จนเหรอครับ” เด็กหนุ่มยังถามต่อด้วยน้ำเสียงสงสัย “เหมือนพ่อผมเลย แม่ผมก็บอกว่าพ่อผมแอบจิ๊กเงินแม่ไปไม่คืนเหมือนกัน พ่อบอกว่าพ่อจน”

คุณครูของเขาถึงกับหัวเราะกับคำพูดของเด็กหนุ่มก่อนอธิบายต่อ “นั่นเป็นตำนานหนึ่งที่เล่าต่อกันมา ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เรื่องที่ยักษ์วัดโพธิ์ไม่ยอมคืนเงินจนทะเลาะกับยักษ์วัดแจ้งเป็นเรื่องที่ถูกเล่ามากที่สุด เชื่อว่าการต่อสู้ของยักษ์ที่ร่างกายใหญ่โตมโหฬารทำให้ที่บริเวณนี้โล่งเตียนไปเป็นแถว จนถูกเรียกว่า ‘ท่าเตียน’”

คุณครูชี้ชวนให้นักเรียนของเธอดูสภาพตึกรามบ้านช่องรอบๆ ท่าเตียนก่อนเอ่ยต่อว่า “แต่จริงๆ ตามประวัติศาสตร์แล้ว ในสมัยรัชกาลที่สี่ เกิดไฟไหม้ใหญ่แถวนี้ เผาผลาญบ้านเรือนไปเป็นจำนวนมาก เลยมีข้อสันนิษฐานว่าเรื่องยักษ์วัดโพธิ์กับยักษ์วัดแจ้งอาจจะเป็นตำนานเล่าขานเพื่อปลอบประโลมผู้คนที่บาดเจ็บล้มตายจากไฟไหม้ครั้งนั้น”

เมื่อถึงประตูวัดโพธิ์ฯ ความสนใจที่นักเรียนมีให้กับเรื่องเล่าของคุณครูก็หันเหไปสู่รูปปั้นตุ๊กตาจีนขนาดใหญ่ ที่ตั้งอยู่บริเวณหน้าประตู เด็กนักเรียนก็กรูเข้าไปถ่ายรูปกันอย่างตื่นเต้น

เด็กยุคนี้มีมือถือติดตัวไว้ถ่ายรูปกันทุกคน กว่าคุณครูจะต้อนนักเรียนให้เดินต่อไปด้านในก็ใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมง

แต่พอเดินเข้าไปใกล้ถึงบริเวณที่รูปปั้นยักษ์วัดโพธิ์ตั้งอยู่ กลับมีรั้วกั้นไว้ไม่ให้สามารถเดินไปต่อได้ คนงานที่อยู่ละแวกนั้น หันมาบอกกับกลุ่มของครูและนักเรียน “ตรงนี้กำลังบูรณะอยู่ครับ เข้าไปไม่ได้”

คุณครูเลยหันไปบอกกับบรรดาลูกศิษย์ “วันนี้เราเข้าไปไม่ได้นะคะ ไม่เป็นไร เดี๋ยวครูค้นรูปจากอินเทอร์เน็ตให้ดูทีหลังนะ”

กลุ่มนักเรียนมัธยมต้นผิดหวังอยู่เพียงชั่วครู่ แล้วก็หันไปสนใจอย่างอื่นที่ตื่นตาตื่นใจในวัดนั้น มีแค่เพียงเด็กสาวตัวน้อยที่ยังจ้องตาแป๋ว ไม่เดินไปไหน แม้ว่ากลุ่มคุณครูและนักเรียนเพื่อนร่วมชั้นจะเดินออกไปแล้วก็ตาม

ฤทัยมาศได้ยินเรื่องยักษ์วัดโพธิ์มาตลอดจากแม่ของเธอ เธอตั้งตารอที่จะมาทัศนศึกษาในวันนี้เพื่อให้เห็นยักษ์วัดโพธิ์กับตาตนเอง แค่เพียงไม่กี่คืบก็จะเข้าไปถึงแล้ว เด็กสาวเลยไม่ยอมหักใจง่ายๆ

เด็กสาวสังเกตเห็นคนงานอีกคนเดินออกมานั่งพักภายนอกและเปิดประตูรั้วด้านหนึ่งทิ้งไว้ พอสบโอกาสที่ไม่มีใครมอง ฤทัยมาศก็รีบวิ่งเข้าไปด้านใน

ไม่ช้าไม่นานเด็กสาวก็มาอยู่ด้านหน้าซุ้มประตูที่มีรูปปั้นยักษ์ขนาบทั้งสองข้าง

รูปปั้นนั้นขนาดไม่ใหญ่โตเหมือนกับที่แม่ของหล่อนเคยเล่าว่ายักษ์วัดโพธิ์ถูกย่อเหลือเพียงขนาดใกล้เคียงมนุษย์ แต่ยังคงความองอาจแบบยักษ์อยู่

เด็กสาวจับตามองดูสีของยักษ์ทั้งสองตน “สีเขียว…กับสีหงเสน (1) นี่เป็น ขร กับ สัทธาสูร สินะ”

ฤทัยมาศรีบวิ่งไปอีกฝั่งซุ้มประตูก่อนที่จะเจอสิ่งที่เธอต้องการในที่สุด รูปปั้นยักษ์สีม่วงอ่อนและสีแดงตั้งตระหง่านอยู่ข้างหน้า “เจอแล้ว…มัยราพณ์ กับ แสงอาทิตย์!”

เด็กสาวเอ่ยคำสุดท้ายด้วยความตื่นเต้น ในบรรดายักษ์ทั้งสี่ตนที่วัดโพธิ์ ขร สัทธาสูร มัยราพณ์ และแสงอาทิตย์ เด็กสาวชอบแสงอาทิตย์ที่สุด พญายักษ์ที่มีกายเป็นสีแดงและมีอาวุธเป็นแว่นแก้วสุรกานต์ที่ใช้ในการจุดไฟเผาผลาญทุกสิ่งได้ เป็นอาวุธที่ฤทัยมาศเห็นว่า ‘เท่’ ที่สุดในบรรดายักษ์ทั้งหมดจากรามเกียรติ์ที่แม่ของเธอเล่าให้ฟัง

‘แว่นแก้วสุรกานต์เป็นอาวุธที่พระพรหมประทานให้กับแสงอาทิตย์’ ฤดีแม่ของหล่อนเคยอธิบายตั้งแต่สมัยเธอยังอยู่ชั้นประถม ‘เป็นอาวุธที่หากใช้ส่องไปที่ใครแล้ว คนคนนั้นจะถูกไฟเผาตายทันที คนโบราณนี่ช่างคิดใช่ไหม แม่ว่ามันไม่ต่างอะไรจากเลนส์รวมแสงสมัยนี้เลยนะ’

ฤทัยมาศพยักหน้าเห็นด้วยกับแม่ แต่ก็ยังไม่วายสงสัย ‘ถ้าแสงอาทิตย์มีอาวุธที่น่ากลัวขนาดนี้ ทำไมถึงแพ้พระรามได้ล่ะแม่’

‘ก็แสงอาทิตย์ไม่ทันได้ใช้อาวุธน่ะสิ…แสงอาทิตย์ฝากแว่นแก้วสุรกานต์ไว้กับพระพรหม พระรามเลยให้องคต (2) แปลงกายไปเป็นจิตรไพรีพี่เลี้ยงของแสงอาทิตย์ ไปขอเบิกแว่นแก้วสุรกานต์จากพระพรหมมาก่อน ทีนี้พอแสงอาทิตย์จะใช้จริงๆ ก็ไม่มีอาวุธแล้ว สุดท้ายแสงอาทิตย์ก็เลยโดนศรของพระรามยิงตายไปเหมือนกับญาติยักษ์ตนอื่นๆ’

‘โอ๊ย’ ฤทัยมาศถึงกับร้องขึ้นทันใด หลังจากที่ฟังแม่เล่าจบ ‘ไม่ไหวเลย พระรามโกงนี่แม่’

‘ไม่ใช่สิ ที่พระรามต้องกำจัดแสงอาทิตย์เพราะแสงอาทิตย์อยู่ข้างทศกัณฐ์ที่ลักตัวนางสีดามา พระรามเป็นพระเอก ส่วนแสงอาทิตย์เป็นตัวโกง’

‘ไม่เอาๆ’ เด็กหญิงส่ายหน้าอย่างไม่พอใจ ‘ฤทัยไม่อยากให้แสงอาทิตย์ตาย ฤทัยอยากให้แสงอาทิตย์ได้แว่นแก้วสุรกานต์กลับมา’

แม่ของฤทัยมาศเลยหยุดเล่าเรื่องตั้งแต่นั้น และต้องหันไปปลอบเด็กหญิงให้หายเศร้ากับบทสรุปของเรื่องราวในวรรณคดี

นานหลายปีแล้วที่ฤทัยมาศได้ยินเรื่องเล่านี้จากแม่ และทำให้เธอฝังใจนักหนาที่จะต้องมาดูรูปปั้นยักษ์นามแสงอาทิตย์ที่วัดโพธิ์ให้ได้

รูปปั้นของแสงอาทิตย์หน้าซุ้มประตูถือกระบอง แต่ไม่มีอาวุธอย่างแว่นแก้วสุรกานต์ กายสีแดงดูน่าเกรงขามกลางแสงยามเย็นของพระอาทิตย์ที่กำลังตกดิน ฤทัยมาศยกมือถือขึ้นมาเพื่อบันทึกภาพ

ในชั่วแวบหนึ่ง เด็กสาวรู้สึกเหมือนเห็นว่า ‘ปากขบ’ ตามลักษณะของยักษ์นั้นเหมือนเหยียดยิ้มให้น้อยๆ แต่เมื่อฤทัยมาศถอนสายตาจากเลนส์กล้องมือถือ ก็เห็นรูปปั้นนิ่งอยู่ตามเดิม

เด็กสาวถ่ายรูปอีกหลายรูปจนพอใจ จากนั้นจึงเดินลัดเลาะออกไปตามทาง คุณครูของเธอเคยนัดหมายไว้ว่ารถของโรงเรียนจะจอดอยู่ที่ด้านข้างของวัด แต่เมื่อเด็กสาวเดินไปถึง กลับไม่มีรถคันนั้นอยู่แล้ว

ฤทัยมาศเริ่มกระวนกระวาย เธอหยิบมือถือขึ้นมาจะโทร.ไปที่หมายเลขโทรศัพท์ของครูที่ครูเคยให้ไว้ แต่กลับพบว่ามือถือของเธอดับไปแล้วเช่นกันเนื่องจากแบตเตอรี่หมด

เด็กสาวย้อนกลับไปทางเดิมอีกครั้ง กะว่าจะขอยืมมือถือคนในวัดเพื่อโทร.ติดต่อหาคุณครู แปลกที่เมื่อเด็กสาวเดินย้อนกลับไป วัดโพธิ์ที่เคยคลาคล่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวเมื่อครู่กลับเงียบสงัดลงจนร้างผู้คน ฤทัยมาศแม้จะเป็นเด็กที่เก่งกล้าแค่ไหน แต่พอเริ่มเห็นว่าไม่มีคนที่เธอพอจะพึ่งพาได้ขณะที่บรรยากาศก็ใกล้มืดลงทุกขณะ เด็กสาวก็เริ่มใจแป้ว

ระหว่างที่เธอกำลังหันซ้ายหันขวาอยู่นั้นเอง ฤทัยมาศก็ได้ยินเสียงหนึ่งที่ดังขึ้นมาด้านหลังของเธอ

“หลงทางเหรอ”

เด็กสาวสะดุ้งก่อนจะหันไปมองต้นเสียงที่เป็นชายหนุ่มร่างสูงที่มายืนอยู่ด้านหลังตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เขายืนย้อนแสงกับดวงตะวันทำให้ใบหน้ามีเงาทาบทับ เด็กสาวจึงไม่เห็นหน้าของเขาจนชายหนุ่มเดินเข้ามาใกล้ เธอจึงเห็นหน้าตาคมเข้ม คิ้วที่หนาอยู่บนดวงตาสีดำสนิทที่มองมาทางเธอ

“หลงทางเหรอ”

เขาถามอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน ทำให้ฤทัยมาศเริ่มไม่กลัวและกล้าที่จะพูดตอบกลับ “หนูคลาดกับเพื่อนที่โรงเรียน…เขาน่าจะขึ้นรถกลับไปกันแล้ว คุณลุงมีโทรศัพท์ให้หนูยืมไหมคะ”

ชายหนุ่มชะงักไป ฤทัยมาศเอะใจว่าเขาอาจจะไม่พอใจที่เธอเรียกเขาว่าลุง ทั้งที่อายุของเขาก็น่าจะไม่ถึงสามสิบด้วยซ้ำ

“คุณอามีโทรศัพท์ให้หนูยืมไหมคะ”

เด็กสาวเปลี่ยนสรรพนามใหม่ที่ทำให้ชายหนุ่มยิ้มขัน เขาส่ายหน้าก่อนบอกกับเธอ “ไม่มี แต่อยู่เป็นเพื่อนให้ได้นะ จนกว่าจะมีคนกลับมารับ”

คนที่ไม่ยอมเรียกตนเอง ไม่ว่าจะเป็นคุณลุงหรือคุณอา ชี้ให้ฤทัยมาศไปนั่งที่เก้าอี้ม้านั่งแถวนั้นกับเขา เด็กสาวนั่งสักพัก ก็เริ่มพยายามชวนอีกฝ่ายคุย

“คุณเป็นคนแถวนี้เหรอคะ…” เด็กสาวตัดสินใจเรียกเขาแบบไม่ระบุวัย ชายหนุ่มยิ้มอีกครั้งก่อนพยักหน้ารับ “ใช่ ฉันอยู่มานานแล้ว”

“นานขนาดไหนเหรอคะ”

คราวนี้ชายหนุ่มนิ่งไปนาน เหมือนพยายามคำนวณในใจว่ากี่ปี

‘ท่าจะนานจริงๆ’ ฤทัยมาศคิดในใจ แต่ชายหนุ่มกลับตอบมาว่า

“ก็นานพอที่จะรู้ว่าเรื่องไหนจริง…เรื่องไหนไม่จริง”

“เรื่องอะไรคะ” เด็กสาวฉงน

“ก็เรื่องยักษ์วัดโพธิ์กับยักษ์วัดแจ้งน่ะสิ” ชายหนุ่มมีท่าทางฉุนเมื่อกล่าวถึง “ยักษ์วัดโพธิ์ไม่ได้เคยยืมเงินยักษ์วัดแจ้ง พูดกันไปเองทั้งนั้น”

ฤทัยมาศประหลาดใจ แต่สีหน้าของชายหนุ่มเหมือนเป็นคนวงในอย่างแท้จริง ทำให้เด็กสาวอดไม่ได้ที่จะถามเขาต่อ “แล้วยักษ์สองวัดเขาทะเลาะกันเรื่องอะไรล่ะคะ”

คราวนี้ชายหนุ่มกลับเงียบไป ดวงตาสีนิลที่จ้องมาทางเด็กสาวนั้นมีแววครุ่นคิด

“แล้วนี่ทำไมถึงหลงกับเพื่อนได้ล่ะ” แทนที่เขาจะตอบคำถาม กลับย้อนถามเธอเสียนี่

“หนูมัวแต่ถ่ายรูปยักษ์อยู่นะคะ” ฤทัยมาศสารภาพ

“ชอบยักษ์วัดโพธิ์เหรอ”

เด็กสาวพยักหน้ารับอย่างกระตือรือร้น

“แล้วรู้หรือเปล่าว่ายักษ์วัดโพธิ์ชื่ออะไรกันบ้าง”

“รู้สิคะ แม่หนูเล่าเรื่องรามเกียรติ์ให้ฟังตั้งแต่เด็ก ยักษ์วัดโพธิ์สี่ตนมี ขร ที่เป็นน้องของทศกัณฐ์ สัทธาสูร เพื่อนของทศกัณฐ์ แล้วก็ มัยราพณ์ กับ แสงอาทิตย์ ที่เป็นหลานของทศกัณฐ์”

แววตาของชายหนุ่มดูพึงพอใจกับคำตอบที่แสดงออกว่าเด็กสาวจดจำยักษ์วัดโพธิ์ได้จริงๆ

“แล้วเคยได้ยินเรื่องถอดดวงใจไหม…”

แม้จะแปลกใจที่ชายหนุ่มถามคำถามนั้น แต่ฤทัยมาศก็ยังยินดีที่จะตอบคำถามของเขา “เคยค่ะ ยักษ์หลายตนถอดดวงใจไปเก็บไว้นอกตัวเพื่อจะไม่ให้ตนเองถูกฆ่าได้ง่ายๆ อย่างทศกัณฐ์ก็ถอดดวงใจฝากไว้กับพระฤๅษี มัยราพณ์ถอดดวงใจไว้ในแมลงภู่”

“การถอดดวงใจไม่ได้มีประโยชน์แค่นั้นหรอกนะ” ชายหนุ่มกล่าวต่อ “ยักษ์เป็นเผ่าพันธุ์ที่โชคร้าย ถึงจะมีฤทธิ์มาก แต่ก็กลับไปรักคนที่ไม่ควรรักเสมอ…”

ฤทัยมาศพยักหน้าเห็นด้วยทันที “เหมือนที่ทศกัณฐ์รักนางสีดาใช่ไหมคะ นี่ถ้ารู้ความจริงว่านางสีดาเป็นลูกสาวของตนเอง คงไม่ต้องสู้รบกันจนตายไปทั้งตระกูลยักษ์แบบนี้”

“ใช่” ชายหนุ่มมีแววเศร้าอย่างลึกซึ้งเมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้

“แล้วถอดดวงใจจะช่วยได้ยังไงคะ” เด็กสาวยังถามอย่างข้องใจ

“ถอดดวงใจ…จะช่วยให้ยักษ์ไม่สามารถรักใครได้อีก”

ฤทัยมาศนิ่งอึ้งกับคำตอบนั้น

“สงสารยักษ์นะคะ” เด็กสาวผู้ที่เข้าข้างฝ่ายอธรรมในรามเกียรติ์มาแต่ไหนแต่ไรพูดเสียงเศร้า “ถึงจะรอดชีวิต แต่มีความรักไม่ได้…คงเศร้ามากๆ เลยนะคะ”

ชายหนุ่มยิ้มให้เธออีกครั้ง แปลกที่เจอกันเพียงไม่ถึงชั่วโมงแต่เด็กสาวกลับคุ้นเคยกับรอยยิ้มนั้นอย่างประหลาด

“แต่ก็มียักษ์บางตนเลือกที่จะไม่ถอดดวงใจนะ…ถึงจะทำให้ตนเองตายได้ง่ายๆ ก็ตาม”

“ทำไมคะ…”

ชายหนุ่มหันมามองเด็กสาว แม้จะเจอกันเพียงครั้งแรก แต่เธอก็ไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับเขา

“คงเพราะว่า…ยังรักใครบางคนอยู่”

ฤทัยมาศนิ่งงันกับคำตอบนั้น เหมือนจะระลึกถึงขึ้นมาอีกครั้งว่าเธอเคยได้ยินคำตอบนี้มาแล้ว แต่เมื่อไหร่นะ และใครที่เป็นคนพูดกัน

เด็กสาวยังไม่ทันหาคำตอบ เธอก็ได้ยินเสียงวิ่งมาอย่างกระหืดกระหอบของหญิงสาววัยกลางคนที่เป็นคุณครูของเธอ

“อยู่นี่เอง!” คุณครูมาหยุดยืนหอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนข้างๆ เธอ “ขอโทษนะ ครูนับคนพลาดไป ตกใจแทบแย่ พอไม่เห็นหนู”

คุณครูรีบหันไปขอบคุณชายหนุ่มที่เป็นคนช่วยดูแลเด็กสาว หลังจากนั้นเด็กสาวก็เดินตามคุณครูไปโดยที่ยังไม่ทันได้พูดร่ำลากัน ชายหนุ่มเป็นฝ่ายที่ตะโกนไล่หลังขึ้นมา

“โชคดีนะฤทัยมาศ”

ฤทัยมาศชะงัก หันกลับมาหาชายหนุ่มอีกครั้ง เขารู้ชื่อเธอด้วยเหรอ เธอจำไม่ได้เลยว่าแนะนำตัวกับเขาตั้งแต่เมื่อไหร่

“คุณ…” ฤทัยมาศลังเลก่อนตัดสินใจถาม “คุณชื่ออะไรคะ”

ชายหนุ่มยิ้มกว้างกว่าทุกครั้งก่อนตอบกลับเธอ

“ฉันชื่อแสงอาทิตย์”

 

“จริงๆ นะคะแม่ เขาบอกว่าเขาชื่อแสงอาทิตย์จริงๆ” ฤทัยมาศเล่าเรื่องผู้ชายที่เธอเจอที่วัดโพธิ์ให้ฤดีแม่ของเธอฟังในทันทีที่กลับมาถึงบ้าน

“อืม” ผู้เป็นแม่ซึ่งกำลังเตรียมอาหารอยู่ในครัวแกล้งเออออตาม ก่อนจะถามว่า “แล้วเขามีเขี้ยว รูปร่างใหญ่โต ใบหน้าเป็นสีแดงหรือเปล่า”

“ไม่ค่ะ” ฤทัยมาศส่ายหน้า “เขาก็หน้าตาเหมือนกับคนธรรมดาทั่วๆ ไป”

‘แต่จริงๆก็หน้าตาดีกว่าคนทั่วไปอยู่นะ’ ฤทัยมาศแอบคิดในใจ

“งั้นแสดงว่าเขาก็ไม่ใช่ยักษ์แสงอาทิตย์แล้วละ” มารดาสรุป ที่จริงฤดีไม่เชื่อตั้งแต่แรกแล้วที่ลูกสาวมาเล่าให้ฟัง หล่อนคิดว่าลูกสาวคงอ่านหนังสือมากเกินไป จนเก็บไปจินตนาการเมื่อเจอคนที่ชื่อเดียวกันกับยักษ์ในวรรณคดี

“แต่…เขาดูรู้เรื่องที่วัดโพธิ์มากเลยนะคะ เขาบอกด้วยซ้ำว่าจริงๆ ยักษ์วัดโพธิ์ไม่ได้ไปยืมเงินยักษ์วัดแจ้งมา”

“ใครยืมเงินใครนะ” เสียงหนึ่งดังแทรกขึ้นมา มนัสพ่อของฤทัยมาศที่เพิ่งกลับมาถึงบ้าน เดินมาสมทบกับสองแม่ลูก

“พ่อ…พ่อรู้จักยักษ์แสงอาทิตย์ใช่ไหมคะ”

คนเป็นพ่อชะงัก เกาหัวแกรก เขาทำงานเป็นตำรวจและไม่ได้อ่านวรรณคดีอย่างลึกซึ้งเหมือนกับฤดีที่ทำงานเป็นครูสอนภาษาไทยในโรงเรียนประถม

“อย่าเพิ่งพูดเลย พ่อน่าจะหิวแล้ว” ฤดีตัดบท และหันไปสั่งลูกสาว “มาช่วยแม่ตักอาหารใส่จานไปวางที่โต๊ะหน่อยสิฤทัย”

ฤทัยมาศหน้ามุ่ย เธอรู้ว่าแม่ไม่ได้ต้องการจะพูดถึงเรื่องนี้อีก แต่ดวงตาสีเข้มของผู้ชายที่เธอพบในวัดโพธิ์ก็ยังติดอยู่ในความทรงจำ จนทำให้ฤทัยมาศไม่อาจข่มตานอนในคืนนั้น

เด็กสาวไม่อาจทนเก็บความสงสัยอยู่ได้นาน หลังเลิกเรียนในวันรุ่งขึ้น ฤทัยมาศก็นั่งรถไฟฟ้าใต้ดินมาลงที่สถานีซึ่งอยู่ไม่ไกลจากวัดโพธิ์ ก่อนเดินตรงเข้าไปดูรูปปั้นยักษ์แสงอาทิตย์อีกครั้ง รออยู่เพียงไม่นาน เสียงหนึ่งที่คุ้นหูก็ดังขึ้น

“ทำอะไรน่ะ”

ฤทัยมาศชะงัก ยิ้มกว้างเมื่อหันไปหา

“แสงอาทิตย์!”

ชายหนุ่มนามแสงอาทิตย์ยิ้มให้กับเด็กสาว เขาลอบมองเธอมานานแล้ว ตั้งแต่ที่เห็นเธอเข้ามาในวัด

“แล้วนี่ทำอะไร”

“ก็มาหา…” ฤทัยมาศพูดแล้วกลับหยุดชะงักอยู่แค่นั้น ไม่อยากยอมรับกับชายหนุ่มตรงๆ ว่าหล่อนมาที่นี่เพื่อเจอเขา

“เจอก็ดีแล้ว หนูมีเรื่องจะถามคุณ” เด็กสาวข่มความเขินอาย ก่อนเดินไปใกล้เขาอย่างมุ่งมั่น จนแสงอาทิตย์อดขำในท่าทางจริงจังของเธอไม่ได้ “ทำไมคุณชื่อแสงอาทิตย์”

“แล้วทำไมจะชื่อแสงอาทิตย์ไม่ได้ล่ะ” ชายหนุ่มย้อนถาม

“ก็…แสงอาทิตย์มันเป็นชื่อยักษ์นี่คะ”

“แล้วยังไงล่ะ”

“แปลว่า…” เด็กสาวท่าทางลังเลเมื่อกล่าวต่อ “คุณเป็นยักษ์เหรอคะ”

แสงอาทิตย์ไม่ทั้งตอบรับและปฏิเสธ ฤทัยมาศยังคงไล่ถามต่อ

“หน้าตาคุณก็ไม่เห็นเหมือนยักษ์เลยสักนิด”

“จะให้ฉันแยกเขี้ยวใส่เธองั้นหรือ…ถ้าเป็นแบบนั้น แล้วเธอจะกลัวฉันอีกหรือเปล่าฤทัยมาศ”

ฤทัยมาศมัวแต่สงสัยในคำพูดของเขา จนไม่ทันสังเกตว่าเขาใช้คำว่า อีก เหมือนเหตุการณ์ดังกล่าวเคยเกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้

เด็กสาวหันไปมองรูปปั้นยักษ์แสงอาทิตย์กับชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าสลับไปมา ใจยังเชื่อครึ่ง ไม่เชื่อครึ่ง “ก็ในเมื่อยังมีรูปปั้นยักษ์แสงอาทิตย์อยู่ตรงนี้ แล้วคุณจะเป็นยักษ์แสงอาทิตย์ไปได้ยังไง”

“รูปปั้นนี่…เป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น สร้างเพื่อให้เป็นสัญลักษณ์ว่ามียักษ์คอยพิทักษ์สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในวัดนี้…เหมือนเป็นบ้านให้กับพวกยักษ์ แต่ตัวตนของยักษ์อาจจะอยู่ข้างในหรือออกมาข้างนอกก็ได้”

ฤทัยมาศอึ้งไป ในใจก็เริ่มคล้อยตามในสิ่งที่เขาพูด

“แปลว่า…คุณออกมาจากวรรณคดีเหรอคะ”

“ไม่ใช่ ฉันไม่ได้เป็นแค่ตัวละคร ฉันเคยมีชีวิตอยู่จริงๆ เรื่องที่ถูกบันทึกไว้ในรามเกียรติ์หรือรามายณะ ก็มาจากประวัติศาสตร์หลายพันปีก่อนสมัยที่ยังมีพวกยักษ์อยู่ แต่ก็เชื่อไม่ได้ทุกอย่างหรอกนะ” ยักษ์หนุ่มเตือน “นักประพันธ์แต่ละคนก็ชอบแต่งเติมตามใจชอบ”

“แต่ในเรื่องที่หนูเคยอ่าน คุณตายไปแล้ว”

“ใช่ ตายไปแล้ว แต่ก็กลับฟื้นคืนมีชีวิตมาอีก”

แสงอาทิตย์มองไปที่รูปปั้นของเขาที่อยู่ที่ซุ้มประตู “ฉันคิดว่าคงเป็นเพราะว่ามีรูปปั้นนี้ ทำให้พวกยักษ์มีเหตุผลในการดำรงอยู่ พวกเราถึงได้ฟื้นกลับมามีชีวิตเพื่อทำหน้าที่ทวารบาล”

“พวกคุณ?” เด็กสาวตาโต “นี่จะบอกว่า ขร สัทธาสูร มัยราพณ์ ก็มีชีวิตเหมือนกันเหรอคะ”

ชายหนุ่มพยักหน้ายิ้มๆ เด็กสาวตื่นเต้นกับความจริงที่เพิ่งค้นพบ หากแต่เธอก็ยังต้องการหลักฐาน

“ถ้าคุณเป็นยักษ์แสงอาทิตย์จริงๆ ก็ต้องมีแว่นแก้วสุรกานต์สิ อยู่ไหนล่ะคะ”

พญายักษ์เงียบไป คำถามนั้นสะกิดบาดแผลบางอย่างของเขา

“หายไปแล้ว” ชายหนุ่มตอบกลับมาในที่สุด

“หายไป?” ฤทัยมาศสะดุดใจกับคำตอบดังกล่าว “หรือว่า…เป็นอย่างในวรรณคดี ที่โดนองคตขโมยไป”

“ใช่” ชายหนุ่มพยักหน้ารับ “หายไปตั้งแต่ตอนนั้น…”

“หนูไม่เชื่อแล้ว…” เด็กสาวยิ้มกระหยิ่มเมื่อจับกลโกงของอีกฝ่ายได้ “ถ้าไม่มีแว่นแก้วสุรกานต์ที่จุดไฟได้ หนูก็ไม่เชื่อหรอกว่าคุณเป็นยักษ์แสงอาทิตย์จริงๆ”

ที่จริงชายหนุ่มไม่ควรจะเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงให้กับใคร แต่รอยยิ้มของฤทัยมาศ ทำให้แสงอาทิตย์อดไม่ได้ที่จะแกล้งเย้าแหย่เด็กสาวต่อ

“จริงๆ…ถ้าแค่จุดไฟ ไม่ต้องใช้แว่นแก้วสุรกานต์ก็ได้นะ”

ชายหนุ่มหยิบใบไม้ที่ร่วงหล่นอยู่บริเวณนั้นมาไว้อยู่ในมือ เขาถือมันอยู่เพียงชั่วครู่ก่อนที่ใบไม้ดังกล่าวจะมีไฟลุกท่วมขึ้นมา

ฤทัยมาศตะลึงงัน หล่อนมองเห็นใบไม้ที่ไฟลุกค่อยๆ ร่วงหล่นที่พื้น ก่อนที่ไฟกองเล็กๆ นั้นจะมอดดับไปเองในที่สุด

“คุณทำได้ยังไงน่ะ!” เด็กสาวหันไปถามชายหนุ่มทันที เขายิ้มให้กับหล่อน แต่ก่อนที่จะเอ่ยคำอธิบายใดๆ นักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่ก็เดินเข้ามาทางซุ้มประตูใกล้กับที่ทั้งสองยืนอยู่ แสงอาทิตย์ชะงัก

เพียงพริบตาเดียว…ฤทัยมาศเห็นว่าเพียงพริบตาเดียวเท่านั้น แสงอาทิตย์ก็เดินหายลับเข้าไปในรูปปั้นที่ที่เป็น ‘บ้าน’ ของเขา และในเพียงชั่วพริบตาเดียวกันนั้น ฤทัยมาศก็ปักใจเชื่อเสียแล้วว่าชายหนุ่มที่ยืนสนทนากับเธอเมื่อครู่ เป็นใครไปไม่ได้ นอกจากยักษ์เจ้าของแว่นแก้วสุรกานต์ที่ชื่อแสงอาทิตย์

 

เชิงอรรถ :

(1) สีหงเสน คือ สีแดงเสนผสมสีขาว คล้ายสีชมพูอิฐ เป็นสีไทยโบราณชนิดหนึ่ง

(2) องคต เป็นหนึ่งในทหารเอกของพระรามในเรื่องรามเกียรติ์ เป็นลูกของนางมณโฑ ซึ่งเกิดกับพาลี เมื่อพาลีแย่งตัวนางมณโฑมาจากทศกัณฐ์

 



Don`t copy text!