พลิกรักทำนายใจ บทที่ 2 : คู่ปรับสาวจอมหยิ่ง

พลิกรักทำนายใจ บทที่ 2 : คู่ปรับสาวจอมหยิ่ง

โดย : แสนแก้ว

Loading

พลิกรักทำนายใจ โดย แสนแก้ว เรื่องราวของสายมูตัวแม่ที่ช่วยเหลือคนอื่นมากมาย แต่ความรักของตัวเองกลับไม่รอดราวกับดวงความรักอาภัพซะเหลือเกิน คงจะมีแค่ ‘พี่ภู’ เท่านั้นที่ดีต่อเธอเอ…เธอผู้รู้ใจลูกค้าดั่งมีตาทิพย์กลับไม่เคยมองเห็นหัวใจเขาเลยสักทีได้อย่างไร นวนิยายอ่านฟรีสนุกๆ ที่อ่านเอามีให้คุณได้อ่านที่ anowl.co

ถึงแม้ภูริสจะบ่นงอนๆ ตลอดทางกลับกรุงเทพฯ จากบนฟ้าสู่พื้นราบก็ยังบ่นไม่จบว่าทำตัวป่วนแบบนี้เขาจะไม่พาไปไหนอีกแล้ว จะไม่ไปไหนมาไหนด้วยอีกแล้ว จะไม่ไปมูเป็นเพื่อนอีกแล้ว จะไม่ช่วยทำอะไรอีกแล้ว แต่ดวงศิริรู้ดี คำว่า ‘ไม่ช่วยอีกแล้ว’ จากปากเขานั้นไม่เคยศักดิ์สิทธิ์

อย่างตอนนี้เขาก็กำลังช่วยเธอออกแบบงานเต็มที่ ไม่ปล่อยให้ต้องต่อสู้แข่งขันเพียงลำพัง

“ธีมอย่างล้ำจริงด้วยแฮะ อวกาศเนี่ย”

ชายหนุ่มเขียนคำว่า อวกาศ กลางหน้ากระดาษเอสี่ วงล้อมรอบแล้วขีดเส้นแตกแขนงอย่างที่เรียกว่ามายด์แมปปิ้ง

“นั่นสิพี่ภู ทำงานอยู่บนโลกดีๆ ไม่ชอบ ดันอยากไปทำงานกันในอวกาศ บ้าเหรอ”

เขาเคาะด้ามปากกาลงกลางหน้าผากมนดังป๊อก ดวงศิริสะดุ้งเฮือก ร้องโอดโอย คลำหน้าผากป้อย

“คิดงานไป ไม่ต้องว่าลูกค้า ได้ปัญญามาบ้างไหมล่ะ กินน้ำมนต์ไปครึ่งขวดน่ะฮะ”

“เออน่า เดี๋ยวน้องก็คิดออกน่ะ”

ไม่ต่างจากพี่ภูของเธอเลย เมื่อตอนศักดาเข้ามาบอกว่า โจทย์การแข่งขันชิงเก้าอี้โปรเจกต์เมเนเจอร์คือออกแบบโคเวิร์กกิ้งสเปซของบริษัทลูกค้าวีไอพี ในธีมอวกาศนั้น เธอทั้งงง มึน แต่ก็ตื่นเต้น

งงที่จู่ๆ ลูกค้าอยากสร้างที่ทำงานให้ดูแปลกหลุดโลกขนาดนี้

มึนที่ลูกค้าไม่อธิบายเพิ่มในรายละเอียดต่างๆ ที่ควรจะบอก เช่น อยากให้เป็นโทนสีอะไร วัสดุอะไร จุดประสงค์การใช้งานล่ะ ทุกอย่างเหมือนกับว่าเธอผู้เป็นพนักงานในบริษัทที่เคยทำงานให้หลายครั้งแล้ว ควรจะรู้ได้เอง

แต่ความตื่นเต้นมีมากกว่าความสงสัยเหล่านั้น ได้ออกแบบอะไรที่นอกกรอบด้วยงบประมาณสูงลิ่ว แค่คิดก็สนุกแล้ว

ดวงศิริอดนึกถึงมนชิดาหรือมายด์ไม่ได้ คู่ปรับตั้งแต่สมัยใส่กระโปรงบานผูกคอซองเวลานี้กำลังทำอะไรอยู่ ตื่นเต้นกับธีมงานเหมือนกันหรือเปล่า ออกแบบเสร็จหรือยัง แล้วได้ไปไหว้เทพที่ไหนบ้างหรือเปล่า

จำได้ว่าสัปดาห์ก่อนเปิดแอปอินสตาแกรมยังเห็นหญิงสาวในชุดเสื้อโคตยาวสีพีชถ่ายรูปกับทิวต้นซากุระอยู่เลย เผลอแป๊บเดียวใครจะนึกว่าคุณเธอจะมาโผล่ที่ประเทศไทย ต่อหน้า ตรงหน้า และในตำแหน่งที่เธอหมายตามาตลอดด้วย

ดวงศิริคิดว่าไม่บังเอิญหรอกที่มนชิดามาแย่งตำแหน่งหัวหน้าไปจากเธอ มีโพรไฟล์การออกแบบดีเลิศขนาดนั้นทำไมไม่ไปสมัครงานบริษัทใหญ่ แต่เจาะจงมาที่บริษัทน้องใหม่ขนาดกลางแห่งนี้ มีเหตุผลเดียวนั่นแหละคือจะมาแย่งทุกอย่างไปจากเธอ ชิงดีชิงเด่นเหมือนที่ทำมาตลอดตั้งแต่สมัยเด็ก

พื้นเพของทั้งคู่เป็นคนจังหวัดชุมพร บิดาของดวงศิริกับมนชิดาเคยเป็นเพื่อนกัน ใช่แล้ว แค่เคยเท่านั้น ความบาดหมางบางอย่างทำให้มิตรภาพลูกผู้ชายขาดสะบั้น แต่ในช่วงชีวิตวัยหนุ่มทั้งสองนับกันและกันเป็นเพื่อนรัก เป็นเพื่อนตาย

สมัยเรียนประถม ดวงศิริกับมนชิดาก็เคยเป็นเพื่อนกัน แต่ความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในสองครอบครัวอันเนื่องมาจากผู้เป็นพ่อ ทำให้เด็กหญิงทั้งสองกลายเป็นไม่ชอบหน้ากันไปด้วย ดวงศิริเป็นแค่เด็กหญิงธรรมดา เติบโตในครอบครัวเกษตรกร ส่วนมนชิดาเป็นคุณหนูน้อยในครอบครัวนักธุรกิจฐานะค่อนข้างร่ำรวย

แต่ทั้งที่เป็นดาวเด่นของโรงเรียนประถม โรงเรียนมัธยม มนชิดาก็ไม่เคยพอ ชอบข่ม ชอบแข่ง ชอบหาเรื่องเปรียบเทียบกับดวงศิริเสมอแบบที่ให้ตัวเองดูดีกว่า และกดเธอให้ต่ำต้อยลงในคราวเดียวกัน

มนชิดาเป็นนางรำอ่อนช้อยอรชรบนเวทีการแสดง ดวงศิริเป็นมือเขย่าอังกะลุงในวงดนตรีไทย

มนชิดาเป็นดรัมเมเยอร์มือหนึ่งนำขบวนพาเรดกีฬาสี ดวงศิริเป็นคนถือธง แฝงกายอยู่ในขบวนธง

จนกระทั่งเรียนจบมัธยมปลาย ไม่รู้ฟ้าฝนดลใจหรืออย่างไร เธอยังได้พบกับมนชิดาอีกเพราะสอบติดคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเดียวกัน

มนชิดาเป็นเชียร์ลีดเดอร์ของคณะ ส่วนดวงศิริเป็นดาวเด่นของคณะเช่นกันแต่ในตำแหน่งกัปตันทีมรักบี้หญิง เสียแต่ว่ามนชิดามีหนุ่มๆ ตามชมตามเชียร์ไม่ขาด ขณะที่ทีมรักบี้หญิงคณะสถาปัตย์พ่ายแพ้ตกรอบแรก

ดวงศิริทำกิจกรรมหลายอย่างทั้งของมหาวิทยาลัยและของหอใน เพลิดเพลินไปหน่อยจนหลุดโฟกัสจากการเรียน ผลการเรียนออกมาย่ำแย่ ในเวลานั้นหญิงสาวตัดสินใจเริ่มต้นชีวิตใหม่ ซิ่วไปเรียนคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยอื่นแทน

เสียเวลาไปหนึ่งปีก็จริง แต่อย่างน้อยเธอได้ตัดตัวเองออกมาจากวงจรของมนชิดา นับว่าคุ้มเพราะไม่ต้องทนประสาทเสียอีกต่อไป หลังเรียนจบหลักสูตรห้าปี เธอได้ข่าวจากเพื่อนเก่าว่ามนชิดาไปเรียนต่อปริญญาโทที่ประเทศอิตาลี สาขาการออกแบบและธุรกิจออกแบบ มหาวิทยาลัยดังด้านสถาปัตยกรรมและการออกแบบภายใน

จำได้ว่าตอนนั้นเธอยินดีด้วยมากๆ ที่มนชิดามีอนาคตไกล และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะมีชีวิตที่ดีต่อไปในต่างแดน ไม่ต้องกลับมาเหยียบประเทศบ้านเกิดเมืองนอนอีก

แต่มนชิดาก็กลับมาแล้ว และจะมาเหยียบหน้าเป็นหัวหน้างานเธอด้วย

ใครอาจไม่เข้าใจ แต่เชื่อว่าฟ้าดินคงเข้าใจ องค์พญานาคเข้าใจ พี่ไพ่มิ่งมงคลก็เข้าใจ เธอยอมมนชิดาไม่ได้อีกแล้ว ยอมแพ้ไม่ได้เป็นอันขาด

 

เหมือนกับทุกครั้งที่เริ่มงานออกแบบโปรเจกต์ใหม่ ดวงศิริจะขอคำแนะนำจากไพ่ทาโรต์ก่อน

“พี่มิ่งจ๋า ครั้งนี้ทำโคเวิร์กกิ้งสเปซธีมอวกาศ มีอะไรแนะนำบ้างไหมจ๊ะ”

ตั้งจิตมั่น สับไพ่จนเกิดสมาธิ จากนั้นปาดคลี่เป็นครึ่งวงกลมแล้วใช้มือซ้ายเลือกจับมาสามใบ พลิกเปิดหน้าไพ่ทีละใบ

จักรพรรดิ หนึ่งเหรียญ และเด็กถือถ้วย

“ให้ทำตามสิ่งที่ลูกค้าต้องการงั้นเหรอ” หญิงสาวแปลความแล้วกอดอก พ่นลมดังฟู่ “ก็ใช่น่ะสิ ลูกค้าให้โจทย์มามันก็ต้องทำตามนั้นอยู่แล้ว”

ดวงศิริเลือกไพ่เพิ่มเพื่อขยายความว่าสิ่งที่ลูกค้าต้องการคืออะไร ได้ไพ่เดอะเวิลด์ เดอะเลิฟเวอร์ และเดอะสตาร์

“อืม ต้องการภาพลักษณ์ที่ดูดี ทันสมัย แล้วก็ดึงดูดสายตาผู้คนงั้นเหรอ”

ครุ่นคิดตามแล้วก็ชักเข้าเค้า ต้องการเรียกร้องความสนใจจากผู้คนนี่เองสินะ จู่ๆ ถึงได้อยากรีโนเวตโซนโคเวิร์กกิ้งสเปซขึ้นมา

นาฬิกาดิจิทัลข้างหัวนอนบอกเวลาเที่ยงคืนสิบนาที ค่อนข้างดึกแล้วก็จริงแต่เวลานี้ไม่ใช่เวลานอนของเธอ หญิงสาวเสิร์ชหาไอเดียในเว็บไซต์ต่างๆ อยู่จนเกือบรุ่งสางก็สรุปรวบยอดได้เป็นรูปเป็นร่าง

เธออยากออกแบบเป็นโดมกระจกสำหรับดูดาว

พื้นที่เดิมของลูกค้ามีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า เธอวาดภาพว่าจะขึ้นโครงเหล็กเป็นทรงครึ่งวงกลมครอบพื้นที่ด้านหนึ่ง จำลองความเป็นโดมกระจก ด้านล่างจัดวางโต๊ะและโซฟาสำหรับทำงานเป็นกลุ่ม และมีที่นั่งแบบบีนแบ็กกับเก้าอี้ผ้าใบ แทนความหมายว่าเวลาขึ้นไปบนหอดูดาว เราจะหาที่นั่งที่สบายที่สุดเพื่อมองท้องฟ้ากับเพื่อนฝูงหรือคนรักได้นานๆ

พูดถึงดวงดาวและอวกาศ แน่นอนว่าไฮไลต์จะต้องอยู่บนเพดานเหนือโครงเหล็กทรงครึ่งวงกลมนั้น

จะเพนต์ภาพหรือปูวอลเปเปอร์เป็นเวิ้งอวกาศ แล้วติดตั้งเครื่องฉายโฮโลแกรมฉายภาพขึ้นบนเพดานเป็นดวงดาวและกาแล็กซีซ้อนทับบนอวกาศนั้นอีกที อาจเป็นการเคลื่อนที่ของดวงดาวตามเวลาจริง หรือเป็นภาพเนบิวลา ดาวหาง จักรราศี สลับสับเปลี่ยนไปตามแต่ลูกค้าต้องการ

ผนังกว้างด้านในสุดของพื้นที่ หญิงสาวจะปูม่านกำมะหยี่แล้วจัดไฟประดับ ดวงเล็กบ้าง ใหญ่บ้าง เป็นแสงไฟต่อเนื่องสลับกับไฟกะพริบ ไม่ได้ดูเป็นเทคโนโลยีจ๋าอย่างโฮโลแกรม แต่ในแง่ความสวยงามแล้ว ฉากแบบนี้ให้ความรู้สึกนุ่มนวล ชวนฝัน ช่วยกระตุ้นจินตนาการและความสุขให้แก่พนักงานได้

โต๊ะทำงานในโซนฉากกำมะหยี่ เธอเลือกที่เป็นทรงกลมเข้ากับความเป็นดวงดาว เธอเสิร์ชเจอชุดโต๊ะเก้าอี้รูปดาวเคราะห์ ตัวที่เป็นโต๊ะดาวเสาร์มีขอบวงแหวนด้วย ของตกแต่งอื่นเลือกที่เกี่ยวกับดาว เน้นวัสดุเป็นโลหะ คุมธีมสีขาว ฟ้า น้ำเงิน ม่วง

 

ดวงศิริคิดว่าไอเดียโดมดูดาวน่าสนใจที่สุดแล้ว แต่พอนำเสนออย่างเมามันให้ภูริสฟัง เขากลับมีสีหน้ายุ่งยากแล้วคอมเมนต์ว่า

“นี่ออกแบบที่ทำงานหรือห้องเด็กอนุบาลนะ”

“พี่ภู!”

“เอ้า พี่พูดจริง ดูนี่สิ” เขาจิ้มลงในภาพสเกตช์ “โต๊ะเก้าอี้รูปดาวเสาร์ ของเด็กอนุบาลชัดๆ แล้วโครงเหล็กนี่คืออะไร กรงนกเหรอ”

“พี่ภูอ้ะ!”

“อีกอย่าง ธีมสีน้ำเงินๆ ม่วงๆ เนี่ย มันชวนให้นอนดูดาวจริงๆ แหละนะ แต่มันไม่ชวนทำงานเลยน่ะสิ นี่จะทำโคเวิร์กกิ้งสเปซไม่ใช่เหรอ”

“อ้าว แล้วพี่ภูเคยเห็นอวกาศเป็นสีเขียวหรือไง ทีที่ทำงานอื่นเขาทำสไตล์ป่า ลอฟต์ สวนดอกไม้ ยังได้เลย”

“ก็นั่นเขาสร้างบรรยากาศว่านั่งทำงานท่ามกลางธรรมชาติ มันช่วยให้ผ่อนคลาย นี่นั่งทำงานอยู่บนดาวเคราะห์ลูกกลมๆ ในอวกาศ พี่ว่ามันน่านอนมากกว่า”

สาวนักออกแบบตกแต่งภายในทำหน้าตูม พี่ภูไม่ซื้อไอเดียเธอเลยสักอย่าง แต่สิ่งที่เขาให้ความเห็นมาก็นับว่าเข้าคอนเซปต์อยู่ ก็เธอตั้งใจสร้างบรรยากาศให้เหมือนนั่งทำงานบนดวงดาวจริงๆ นั่นละ ส่วนพื้นที่ภายในโดมจำลองนั้นเมื่อเปลี่ยนสีเป็นฟ้าแทนน้ำเงินเข้มก็ช่วยให้ภาพรวมไม่มืดจนเกินไป

และเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า โฮโลแกรมสุดล้ำจะช่วยปรับให้ทั้งห้องดูดี ทันสมัย และดึงดูดความสนใจผู้คนได้ตามที่พี่ไพ่มิ่งมงคลบอกเป๊ะๆ

 

วันตัดสินผลงานมาถึง ลูกค้าวีไอพีผู้เป็นเจ้าของบริษัทโซลาร์เซลล์และพลังงานสะอาดมาร่วมประชุมด้วยตัวเองร่วมกับผู้จัดการฝ่ายสถานที่ของเขา ดวงศิริเป็นผู้นำเสนองานก่อน เธอขึ้นภาพแบบจำลองสามมิติบนจอภาพขนาดใหญ่ อธิบายแคล่วคล่อง ฉะฉาน ชวนให้ผู้ฟังรู้สึกตื่นเต้นไปด้วย

เมื่อจบการเสนองาน เธอสังเกตว่าแขกฝั่งลูกค้าดูชื่นชอบโคเวิร์กกิ้งสเปซธีมโดมดูดาวของเธอไม่น้อย อดกระหยิ่มใจไม่ได้ เหลือบมองมนชิดาซึ่งนั่งอยู่อีกด้านของโต๊ะประชุม เห็นเพียงนั่งกอดอกเฉยอยู่ ไม่ยินดี แต่ก็ไม่เหยียดหยาม

แล้วดวงตาอ่อนล้าบวมคล้ำเนื่องจากเร่งขึ้นงานสามมิติมาหลายคืนของดวงศิริก็มีอันต้องเบิกกว้าง ทันทีที่ได้ดูการนำเสนอผลงานของมนชิดา

เธอนำเสนอโคเวิร์กกิ้งสเปซในคอนเซปต์ ‘ยานอวกาศ’

แทนที่จะสร้างบรรยากาศว่านั่งทำงานในอวกาศ เธอพลิกแพลงเล็กน้อยเป็นนั่งทำงานในยานอวกาศ

พื้นที่โดยรวมเป็นโทนสีขาว ครีม เทา สร้างผนังเบากั้นโซนด้านหนึ่งเป็นห้องประชุมเล็กห้าห้อง ฝั่งตรงข้ามยกพื้นขึ้น ปูเบาะสีเทาเข้มยาวตลอดแนวสำหรับนั่งทำงานหรือใช้เป็นเวทีได้หากมีการเรียกประชุมหรือสัมมนาขนาดเล็ก

โต๊ะ เก้าอี้ทรงเหลี่ยม มีพื้นโต๊ะและพื้นเก้าอี้สีเทาเข้ม ส่วนขาเป็นวัสดุใส มองเผินๆ คล้ายนั่งทำงานกับโต๊ะเก้าอี้ลอยได้ ซ่อนล้อเล็กไว้ด้านล่างเพื่อเคลื่อนย้ายได้สะดวก เปรียบว่าสร้างบรรยากาศการทำงานในสภาวะสุญญากาศที่ลอยละล่องไปมา ชุดโต๊ะเก้าอี้เหล่านี้ยังรวบประกอบเป็นชุดเล็กๆ ประหยัดพื้นที่ เลื่อนเก็บใต้เวทีได้อีกด้วย

ส่วนผนังกว้างที่ดวงศิริวาดฝันว่าจะปูผ้ากำมะหยี่ประดับดวงไฟนั้น มนชิดาออกแบบกั้นเป็นช่องสามช่อง ฝังจอภาพเรียงต่อกันเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าแนวตั้งขนาดใหญ่ วันทำงานปกติขึ้นภาพในจอเป็นอวกาศเวิ้งว้าง เหมือนเหล่าพนักงานเป็นมนุษย์อวกาศ กำลังชมวิวภายนอกจากหน้าต่างยาน หากวันใดมีงานสัมมนา งานเสวนา หรือประชุม จอภาพด้านนี้สามารถใช้ขึ้นสไลด์ประกอบกิจกรรมได้

ของตกแต่งทุกอย่างเน้นความทันสมัย ประโยชน์ใช้สอย และประหยัดพื้นที่ เช่น เครื่องทำกาแฟอัตโนมัติ ตู้ของว่างแบบเวนดิ้งแมชชีน โคมไฟเปิด ปิด เปลี่ยนสี เพิ่มลดแสงได้ด้วยระบบสัมผัส และสิ่งสำคัญที่ทำเอาดวงศิริขนลุกเกรียวด้วยลืมคิดถึงเสียสนิทนั่นก็คือ ไฟฟ้าทุกจุดในยานอวกาศจำลองนี้ล้วนต่อระบบมาจากโซลาร์เซลล์ภายนอกอาคาร

บริษัทของลูกค้าวีไอพีเป็นบริการเกี่ยวกับพลังงานสะอาด มีโซลาร์เซลล์เป็นสินค้าหลัก ดังนั้นพื้นที่ปรับปรุงใหม่นี้ไม่เพียงเป็นโคเวิร์กกิ้งสเปซเท่านั้น หากแต่เป็นโชว์รูมดีๆ นี่เอง

พนักงานจะยิ่งมั่นใจในผลิตภัณฑ์ของบริษัทตัวเองมากขึ้น มีลูกค้าเข้ามาดูงานก็ยังนำชมเทคโนโลยีของบริษัทได้ด้วย

ยังไม่ต้องรอให้ลูกค้าสรุปผลว่าเลือกไอเดียของใคร ดวงศิริก็คอพับคออ่อน ศิโรราบหมดใจ

“ถึงผมจะเลือกไอเดียของคุณมนชิดา แต่ผมก็ชอบโฮโลแกรมของคุณดวงศิรินะครับ” ลูกค้าเจ้าของบริษัทพลังงานสะอาดเอ่ยขึ้นยิ้มๆ “เดี๋ยวผมจะหาซื้อเครื่องย่อมๆ ไปเปิดในห้องนอนลูกบ้างดีกว่า”

ไม่รู้ทำไม ใบหน้าเยาะเย้ยของภูริสถึงลอยไปลอยมาเต็มไปหมด

บทเรียนครั้งนี้คือ เธอหาทางเอาชนะมากเกินไป ลืมคำนึงถึงประโยชน์และการใช้งานจริงของลูกค้าไปหมดเลย

มิน่า พี่ไพ่มิ่งมงคลถึงได้บอกตั้งแต่แรกว่า ให้ทำตามสิ่งที่ลูกค้าต้องการ นั่นคือวิเคราะห์เจาะลึกไปถึงความต้องการที่แท้จริงของลูกค้านั่นเอง

 

หลังเลิกประชุมและลูกค้ากลับไปแล้ว สิงโตกับลูกแก้วก็ดอดเข้ามาในห้องประชุม ทั้งสองคอยชะเง้อชะแง้ดูลาดเลามาพักใหญ่แล้ว พอเห็นลูกพี่ใหญ่นั่งแปะหมดท่าอยู่บนเก้าอี้ก็เข้าใจความหมาย

“ไม่เป็นไรนะพี่หวาน พี่เก่งอยู่แล้ว วันนี้แค่พลาดแหละ”

ลูกแก้ว สาวตุ้ยนุ้ยปลอบเสียงอ่อนหวานพร้อมส่งยาดมให้

ส่วนสิงโตบีบบ่าบีบไหล่ พูดเสียงทุ้มจากข้างหลัง

“นั่นสิ ไม่เป็นไรนะพี่หวาน พี่เก่งอยู่แล้ว วันนี้แค่มีคนเก่งกว่า”

“เอ๊ะ ไอ้นี่”

ดวงศิริเด้งตัวจนเก้าอี้สะเทือน หันกลับมาแยกเขี้ยวใส่ สิงโตหัวเราะร่าแล้วบีบนวดต่อ

“เอาน่า ยังไงพวกผมก็ทีมพี่อยู่แล้ว”

ทันใดนั้น ประตูห้องประชุมก็เปิดออก ศักดาเข้ามาในห้องตามด้วยมนชิดา ใบหน้าสวยจัดของหญิงสาวยังคงเรียบเฉยสงบเสงี่ยมราวกับการนำเสนองานถูกใจลูกค้าเป็นเรื่องปกติ ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นทั้งนั้น ยิ่งขับดันให้โทสะในใจของดวงศิริพลุ่งพล่าน

“เอ้า ว่าไงหวาน ตามที่ตกลงกันนะ” ผู้จัดการหนุ่มใหญ่ประกาศ “จากนี้ไปคุณมายด์จะมาเป็นหัวหน้าทีมพวกเธอ ขึ้นตำแหน่งโปรเจกต์เมเนเจอร์ เป็นโอกาสดีของบริษัทเราแล้วที่มีคนเก่งๆ มาร่วมงานด้วย เรียนรู้งานจากคุณมายด์กันเยอะๆ ล่ะ”

สิงโตตอบรับครับผมทันที ส่วนลูกแก้วก็พยักหน้าและตอบค่ะ ค่ะ ขันแข็ง ดวงศิริหันซ้ายทีขวาที ไหนกันละลูกสมุนที่บอกว่าอยู่ทีมเธอเสมอ

“เข้าใจไหม หวาน”

ศักดาถามย้ำมาอีกที ดวงศิริเหลือบตามองเจ้านายใหม่แวบหนึ่ง ดวงตาตบแต่งงดงามกับขนตาเด้งๆ นั้นยามสบตาเธอฉายประกายกล้าอย่างที่คนอื่นคงไม่สังเกต และริมฝีปากได้รูปสวยเคลือบลิปสติกสีแดงกำมะหยี่นั่นก็ออกจะกระตุกยิ้มหยันอยู่เนืองๆ ด้วย

ถึงอย่างนั้น เธอก็จำใจร้องตอบไปว่า “เข้าใจแล้วค่ะพี่ศัก”

ผู้จัดการฝ่ายออกแบบยิ้มพอใจ ออกจากห้องประชุมไป ปล่อยให้สมาชิกในทีมได้ทำความรู้จักกันอย่างเป็นทางการ

ยามลงนั่งร่วมโต๊ะ มนชิดาสลัดมาดสาวทำงานผู้มาดมั่นจนเกือบเข้าขั้นนางพญาลงไปสิ้น พูดคุยยิ้มแย้มกับลูกแก้วและสิงโตถึงประสบการณ์ทำงานในอิตาลีที่ผ่านมา รวมถึงเรื่องส่วนตัวบางเรื่องที่คล้ายคลึงกันพอดี เช่น สิงโตเล่นดนตรี มายด์ก็ชอบฟังดนตรี ลูกแก้วชอบกินบุฟเฟต์อาหารญี่ปุ่น มายด์ก็ชอบกินโอมากาเสะ สิงโตกับลูกแก้วชอบไปเดินอาร์ตแกลเลอรี มายด์ก็ถามถึงหอศิลป์สองสามที่ที่อยากไปแต่ยังไม่มีโอกาสได้ไปสักที

สุดท้ายนี้ก็คงมีแต่ยัยขนมหวานคนนี้ที่ตกกระป๋องดังแอ้ก ได้แต่มองคนนั้นคุย คนนี้หัวเราะ ข้ามหน้าข้ามตาเธอไปมา

“ยังไงก็ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ พี่ยินดีมากที่ได้ร่วมงานกับน้องๆ ค่ะ”

“ผมก็ยินดีเช่นกันครับพี่มายด์”

“ลูกแก้วก็ดีใจที่จะได้เรียนรู้งานระดับอินเตอร์จากพี่ค่ะ”

“งั้น พี่ขอถือโอกาสนี้เลี้ยงกาแฟน้องๆ แล้วกันนะคะ”

สิงโตกับลูกแก้วปรบมือดีใจใหญ่ แล้วทั้งสองก็พลันชะงักค้างเมื่อมนชิดาควักธนบัตรยื่นให้ดวงศิริ

“หวาน ไปซื้อกาแฟให้หน่อยสิ” แล้วหญิงสาวก็หันไปยิ้มให้น้องๆ “ว่าไง สั่งอะไรกันดีคะ”

ลูกแก้วเอ่อไปเอ่อมา สิงโตรีบอาสา “ผมไปซื้อเองครับพี่มายด์ เดี๋ยวบริการให้เองครับ”

มนชิดาไม่ตอบ แต่หันมาทางดวงศิริ มือที่ยื่นส่งธนบัตรก็ยังค้างอยู่ในท่าเดิมแทนการยืนยัน

“ช่วยหน่อยได้ไหม”

ไม่รอให้ลูกน้องออกโรงปกป้องให้ใครเขานึกดูถูกอีก ดวงศิริตวัดดึงเงินมาจากมือเจ้านายคนใหม่รวดเร็วเกือบเป็นกระตุก กระเด้งตัวขึ้นยืนจนเก้าอี้ล้อหมุนไถลไปข้างหลัง

“จะสั่งอะไรกันก็ว่ามาสิ ชักช้าอยู่ได้ เดี๋ยวลงไปสั่งให้เอง จะได้รีบกิน รีบไปทำงาน”

สิงโตเอ้ออ้าอึกอัก ลูกแก้วไวกว่าก็ถลาไปผลักเปิดประตูห้องประชุมพร้อมบอกว่า “เดี๋ยวหนูไปช่วยถือแก้วนะพี่หวาน”

ดวงศิริก้าวพรวดออกจากประตูห้องประชุมไป ไม่รอใครสั่งกาแฟทั้งนั้น ลูกแก้วส่งเสียงบอกสิงโตเบาๆ ว่า “ไลน์มานะแก” แทนความหมายว่าให้ส่งเมนูที่จะดื่มมาทางแชต แล้วรีบวิ่งพลิ้วตามดวงศิริไป

ชายหนุ่มเกาผมสีทองของตัวเองอย่างอึดอัด ชักจะทำตัวไม่ค่อยถูก แต่ก่อนที่มนชิดาจะแจ้งเมนูเครื่องดื่มที่ฝากสั่งทางไลน์ เขาทันได้เห็นแววสะใจเจือจางในรอยยิ้มเหนือริมฝีปากสวยๆ ของหญิงสาวด้วย

 



Don`t copy text!