พลิกรักทำนายใจ บทที่ 1 : นักออกแบบสาวฟ้าประทาน

พลิกรักทำนายใจ บทที่ 1 : นักออกแบบสาวฟ้าประทาน

โดย : แสนแก้ว

Loading

พลิกรักทำนายใจ โดย แสนแก้ว เรื่องราวของสายมูตัวแม่ที่ช่วยเหลือคนอื่นมากมาย แต่ความรักของตัวเองกลับไม่รอดราวกับดวงความรักอาภัพซะเหลือเกิน คงจะมีแค่ ‘พี่ภู’ เท่านั้นที่ดีต่อเธอเอ…เธอผู้รู้ใจลูกค้าดั่งมีตาทิพย์กลับไม่เคยมองเห็นหัวใจเขาเลยสักทีได้อย่างไร นวนิยายอ่านฟรีสนุกๆ ที่อ่านเอามีให้คุณได้อ่านที่ anowl.co

กลุ่มลูกค้าวัยกลางคน ท่าทางภูมิฐานก้าวออกจากห้องประชุมไปด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแช่มชื่น พอประตูกระจกดีดกลับมาปิดเท่านั้น สิงโต นักออกแบบตกแต่งภายในหนุ่มก็ร้องเฮ กำหมัดสองข้างชูเหนือหัว วิ่งตื๋อรอบห้องเหมือนนักฟุตบอลยิงลูกโทษเข้า ส่วนลูกแก้ว สาวตุ้ยนุ้ยฝ่ายวัสดุและเฟอร์นิเจอร์ ลุกขึ้นเต้นยึกยักกระเพื่อมไปทั้งตัว สนุกสุดเหวี่ยงกับทำนองในหัวใจ

ส่วนดาวเด่นของการประชุมวาระนี้ ดวงศิริ เธอสับขาไขว่ห้างแล้วกางนิ้วชี้กับนิ้วโป้งแตะประกบปลายคงเบาๆ ยิ้มเก่ง ยักคิ้วแผล็บ แล้วปิดท้ายท่วงท่าด้วยการผายมองทั้งสองไปด้านข้าง

“น้อมรับทุกคำชมจ้ะ”

“พี่หวานสุดยอด ลูกค้าชอบจนแทบไม่แก้เลย นี่ขนาดดราฟแรกนะเนี่ย”

สิงโตวิ่งวนกลับมาถึงก็บีบนวดบ่านักออกแบบรุ่นพี่แรงๆ ดวงศิริตัวคลอนไปหมด แต่ยังวางท่า สะบัดผมยาวเลยบ่านิดหนึ่งอย่างเฉิดฉาย

“ของมันแน่อยู่แล้ว นี่ใคร ขนมหวานนะจ๊ะ งานรีโนเวตคอนโดเก่าพื้นๆ แบบนี้ แค่ดีดนิ้วก็ผ่านแล้วจ้ะ”

“แต่สุดยอดจริงนะพี่หวาน” ลูกแก้วยื่นหน้ากลมป้อมมาบ้าง “หนูทำงานกับทีมอื่น เขาแก้งานสี่ห้ารอบกว่าจะผ่าน ของพี่รอบเดียว อย่างมากก็สอง ทำได้ไงเนี่ย เล่นของอ๊ะเปล่า”

ดวงศิริตวัดหางตามองคนถามแว่บหนึ่ง แล้วกลับมาชูคอตามเดิม

“เล่นของอะไร ระดับนี้แล้ว เฮอะ…”

ระดับนี้แล้ว…มีหรือจะไม่เล่น ดวงศิริยิ้มเผล่อยู่ในใจ

ว่ากันว่าในยุคการแข่งขันสูงนี้ แค่เก่งอย่างเดียวไม่พอ ต้องเฮงด้วย เรื่องความเก่งดวงศิริยอมรับว่าไม่ใช่คนที่ออกแบบภายในได้เก่งนัก ไอเดียไม่ได้สุดล้ำแสนบรรเจิดขนาดนั้น เรียกได้ว่าระดับกลางๆ ทำงานได้ ไม่ขี้เหร่ ดังนั้นคงไม่ผิดอะไรที่เธอจะมาเอาดีทางด้านความเฮง ใช้ตัวช่วยคือ ‘ไพ่ทาโรต์’ คู่มือคู่ใจที่เธอตั้งชื่อให้ว่า ‘พี่มิ่งมงคล’

รับบรีฟลูกค้าครั้งแรก เธอเค้นสมองออกแบบงานมาสามแบบ จากนั้นเปิดไพ่ถามว่าแบบไหนดีที่สุด แล้วจึงเลือกแบบเดียวไปพัฒนาต่อ

เปิดไพ่ถามอีกนิดว่าควรเพิ่มเติมอะไรบ้าง จับชาร์มหรือสัญลักษณ์เล็กๆ ว่าควรมีอะไรอีก ได้ไอเดียเพิ่มเติมก็นำมาใส่ในงาน

และแน่นอนว่าการส่งงานแบบร่างครั้งแรกนี้ไม่พลาดเป้า พี่มิ่งมงคลฟันธงไว้แล้วว่า แบบที่เตรียมมาลูกค้าจะชอบมาก เธอจึงนำเสนองานอย่างปลอดโปร่งโล่งใจเป็นที่สุด

นั่นจึงเป็นที่มาของฉายา ‘ขนมหวาน อินทีเรียดีไซเนอร์ฟ้าประทาน’ นักออกแบบผู้รู้ใจลูกค้าราวกับมีตาทิพย์

“ฟลุกตามเคยละมั้ง”

เสียงเรียบเฉียบที่ลอยมาจากอีกด้านของโต๊ะประชุม เจาะลูกโป่งสวรรค์วิมานของดวงศิริจนแตกโพละ ไม่ใช่ทุกคนที่ยินดีกับความสำเร็จครั้งนี้

“พี่เคยบอกแล้วใช่ไหมว่าให้ออกแบบหลายๆ สไตล์ให้ลูกค้าเลือก นี่ทำมาแค่แบบเดียว ลูกค้าไม่มีช้อยส์ก็ต้องเลือกอันนี้แหละ เขาบอกตั้งแต่แรกว่าอยากได้ด่วนเพราะต้องรีบเข้าอยู่ก็คงรีบๆ ตกลงแบบละมั้ง”

กิ่งกาญจน์ หัวหน้าหรือโปรเจกต์เมเนเจอร์แสดงสีหน้าเบื่อหน่ายไม่ปิดบัง สิงโตกับลูกแก้วเต้นค้าง คอหด ส่วนดวงศิริยักไหล่ไม่ยี่หระ เรื่องแบบนี้มีหรือเธอจะไม่รู้ พี่มิ่งมงคลบอกเธอหมดตั้งแต่ต้นปีโน่นแล้ว

…ดวงการงานปีนี้ไม่ค่อยลงรอยกับหัวหน้า มีทะเลาะในที่ทำงานบ้าง แต่ก็มีโอกาสใหม่ๆ เข้ามาด้วย…

หัวหน้าเธอคนนี้กำลังจะย้ายไปประจำตำแหน่งอื่น พอตำแหน่งว่างลง ตัวเต็งอันดับหนึ่งที่คาดว่าจะได้สวมแทนก็คือดวงศิริคนนี้ บางทีที่ดวงบอกว่าไม่ลงรอยกับหัวหน้าอาจกำลังจะยุติ แล้วโอกาสใหม่ๆ ที่เข้ามาก็คือเธอได้ตำแหน่งนี้แทน…ก็เป็นได้

“อย่าเอาแต่ดื้อเงียบกันแบบนี้ ที่พี่เตือนน่ะเพราะเป็นห่วงหรอก เดี๋ยวเมเนเจอร์คนใหม่มาจะได้ทำงานด้วยกันง่าย”

สิงโตกับลูกแก้วมองหน้ากัน ทำไมกิ่งกาญจน์ถึงพูดเหมือนว่าตำแหน่งจะไม่ใช่ของดวงศิริ ลูกแก้วคันปาก อดไม่ไหวต้องถามไปว่า

“เอ่อ คนมาแทนพี่กิ่งจะไม่ใช่พี่หวาน เอ้ย ไม่ใช่คนในเหรอคะ”

ผู้อาวุโสในที่นี้พเยิดหน้าทีหนึ่ง “อือ เป็นคนใหม่ มาจ่อรอพี่ย้ายออกอยู่เนี่ย ได้ข่าวว่าเขาเก่งมากนะ ประวัติดีจนไม่ต้องสอบสัมภาษณ์ เริ่มงานได้ทันที”

ดั่งฟ้าผ่ากลางโต๊ะประชุมดังเปรี้ยง แต่ที่แตกเป็นสองเสี่ยงคือความหวังของดวงศิริไม่ใช่โต๊ะ เธอตัวแข็งราวเป็นอัมพาตชั่วครู่ พอตั้งสติได้ก็ลุกพรวด

“พี่กิ่ง ทำไมเป็นอย่างงั้นล่ะ ถ้ามีคนใหม่มาอย่างน้อยต้องสอบแข่งกันก่อนสิ รับตำแหน่งตัดหน้าแบบนี้มันก็ไม่แฟร์สิพี่”

กิ่งกาญจน์ยืนขึ้นบ้าง เธอรู้สึกว่าดวงศิริออกจะเสียมารยาทไปหน่อย

“แฟร์หรือไม่แฟร์ก็ไปคุยกับผู้จัดการเองแล้วกัน คนใหม่เขาอยู่ในห้องผู้จัดการโน่น แล้วหัวหน้าใหม่มาก็ทำตัวดีๆ ด้วยล่ะ มาก้าวร้าวข้ามหัวแบบที่ทำอยู่นี่ระวังเหอะ จะกระเด็นออกจากทีมไม่รู้ตัว”

จบคำกิ่งกาญจน์ก็คว้าแท็บเล็ตก้าวฉับๆ ออกจากห้องประชุม ดวงศิริพุ่งตัวตามไปแต่เป้าหมายคือห้องผู้จัดการฝ่ายออกแบบ สิงโตกับลูกแก้วมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ละล้าละลังครู่หนึ่งก็วิ่งตามไป

หญิงสาวเคาะห้องเร็วๆ แล้วเปิดประตูผัวะ ศักดา ผู้จัดการหนุ่มใหญ่นั่งประจำอยู่ที่โต๊ะของเขาอันเป็นภาพคุ้นตา แต่วันนี้ที่นั่งตรงข้ามเขาคือใครคนหนึ่งที่เธอไม่คุ้นตา เรือนผมสีน้ำตาลทองดัดลอนสลวยทำให้รู้สึกว่าน่าจะเป็นคนสวยเอาการ

เมื่อศักดาแปลกใจกับการเข้าห้องมาโดยพลการ หญิงสาวคนนั้นก็หันมาด้วย ทันทีที่เห็นหน้ากัน ดวงศิริก็เบิกตากว้างตกตะลึงพรึงเพริด กะพริบตาถี่หลายทีจนเกือบจะยกมือขึ้นมาขยี้ตา

“มะ…มายด์เหรอ”

สิงโตกับลูกแก้วเหลือกตามองหน้ากันเอง ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าลูกพี่พวกเธอจะรู้จักกับหัวหน้าคนใหม่

“อื้ม ฉันเอง ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ ขนมหวาน”

ดวงศิริอดแปลกใจไม่ได้ ทั้งที่เธอตกใจขนาดนี้แต่ทำไมอีกฝ่ายถึงดูเรียบเฉยเหมือนรู้อยู่ก่อนแล้วว่าจะต้องได้เจอกัน

รู้ว่าเธอทำงานที่นี่ รู้อยู่แล้วว่าจะเข้ามาเป็นหัวหน้าเธอ

หรือว่า…นี่คือความตั้งใจ ไม่ใช่บังเอิญ!

“อ้าว รู้จักกันอยู่แล้วเหรอ ดีเลย ทำงานด้วยกันจะได้ราบรื่นนะ”

ศักดากล่าวยิ้มๆ อย่างเห็นเป็นเรื่องน่ายินดี แต่ดวงศิริแทบจะถลึงตาใส่

“พี่ศัก ทำไมจู่ๆ ถึงมีคนใหม่มาแบบนี้ล่ะคะ ตามหลักพอพี่กิ่งแจ้งย้ายก็ต้องประกาศรับสมัครคนใน คนนอกแล้วมาสัมภาษณ์งานก่อน แต่นี่อะไร” เธอปรายตามองพนักงานใหม่ “ไม่ยุติธรรมเลยนี่คะ”

ดวงศิริจงใจเลี่ยงว่า เธออุตส่าห์เฝ้ารอที่จะสมัครตำแหน่งนี้ต่อจากพี่กิ่ง อุตส่าห์แอบซักซ้อมตอบคำถามสัมภาษณ์งาน สไลด์รวมผลงานสวยๆ ก็ทำไว้แล้วด้วย นึกถึงตรงนี้ก็ปริ่มอยากจะร้องไห้

ศักดาโบกมือไหวๆ คล้ายว่าอย่าไปเครียด เขายิ้มโดยหวังให้บรรยากาศผ่อนคลาย แต่นั่นเท่ากับราดน้ำมันลงในกองไฟ

“เอาน่าหวาน อย่าเพิ่งโมโหไป คุณมายด์น่ะท่านประธานชวนมาทำงานเองเลยนะ เห็นว่าคุณมายด์เป็นลูกของเพื่อนสนิทท่านประธานด้วย ยังไงก็คงไม่เปลี่ยนแปลงแหละ”

“อ้อ เด็กเส้น”

ดวงศิริพูดพร้อมตวัดสายตาไปสบตากับมายด์หรือมนชิดาอย่างไม่เกรงกลัว ฝ่ายนั้นกอดอก เชิดหน้าเล็กน้อยคล้ายว่าสุขุมแต่ก็เย่อหยิ่ง ส่วนดวงตาที่สบกันนั้นประกาศความร้อนแรงไม่มีใครยอมใคร

“ไม่โอเคเลยค่ะพี่ศัก แค่เป็นลูกเพื่อนพ่อก็ได้ทำงานแล้วเหรอ แล้วเราจะมีระบบเอชอาร์ไว้ทำไม ไม่รู้ละ หวานจะยอมเป็นลูกน้องใครแบบไม่แฟร์ไม่ได้ ไม่ได้เด็ดขาด”

แต่คราวนี้ศักดาถอนใจใหญ่ เขาเองก็เริ่มมีน้ำโหบ้างแล้ว

“จะคิดอย่างงั้นก็ได้ แต่ดูนี่ซะก่อนสิ”

เขาหยิบแฟ้มบางวางบนโต๊ะ วางด้วยความแรงที่เกือบจะเรียกว่าโยนให้ ดวงศิริก็หยิบมาดู หยิบแบบที่เกือบจะเรียกว่ากระชาก

ข้างในเป็นตัวอย่างผลงานออกแบบของมนชิดา เกือบทั้งหมดเป็นโปรเจกต์ใหญ่ในต่างประเทศ นอกจากนี้ยังมีรางวัลจากการประกวดออกแบบอีกหลายรางวัล โล่ เหรียญทอง ประกาศนียบัตร เยอะจนดวงศิริอยากจะคิดว่าเป็นประวัติปลอม

“ดูเอาเองแล้วกันหวาน คุณจะให้ผมรับคนมีผลงานระดับนี้มาเป็นลูกน้องคุณเหรอ สักวันเขาก็ต้องแซงขึ้นไปเป็นหัวหน้าคุณอยู่ดีไหม หรือไง หรือคุณคิดว่าผมควรเลือกคนที่อายุงานมากกว่า ไม่ใช่เพราะมีความสามารถมากกว่า”

ดวงศิริขบฟันแน่น ก่อนจะพึมพำว่า “แต่อย่างน้อยก็น่าจะมีสัมภาษณ์สักหน่อยสิ”

ดึงดันไปก็เท่านั้น หญิงสาวรู้อยู่แก่ใจ ถึงมีการสัมภาษณ์เธอก็ยากจะชนะอยู่ดี

คงจะต้องแพ้มายด์อีก แพ้เหมือนที่เคยเป็นเสมอมา

แล้วจู่ๆ เสียงหวานแต่เฉียบคมก็ดังขึ้น

“พี่ศักคะ มายด์ขอเสนออะไรหน่อยได้ไหมคะ”

“ว่าไงครับ”

“ถ้าทางทีมไม่ยอมรับมายด์แบบนี้ ทำงานด้วยกันไปต้องมีปัญหาแน่ ให้มายด์กับหวานได้ออกแบบงานอะไรสักงานเทียบกันดูไหมคะ เผื่อเขาจะยอมรับในความสามารถกันมากขึ้น มายด์มีประสบการณ์ออกแบบในต่างประเทศก็จริง แต่อาจจะไม่เหมาะกับรสนิยมคนไทยก็ได้ ยังไงถ้าสไตล์ของมายด์ไม่เหมาะจริงๆ ให้มายด์ทำงานเป็นนักออกแบบคนหนึ่งก่อน ยังไม่ขึ้นเป็นหัวหน้าก็ไม่ติดนะคะ จะได้เรียนรู้งานมากขึ้นด้วยค่ะ”

มนชิดาเรียบเรียงคำพูดได้นุ่มนวลละมุนละม่อม แต่ดวงศิริรู้ดี นี่คือสาส์นท้า!

“เอาสิ แข่งกันก็ได้ ดีเหมือนกัน จะได้รู้ดำรู้แดงกันไปเลย”

ศักดายังอึกอัก แต่มนชิดายิ้มรับเรียบๆ

“ได้ไหมคะพี่ศัก ขอให้เป็นไปตามนี้เถอะนะคะ ถ้าเกิดอะไรขึ้น เดี๋ยวมายด์รับผิดชอบเองค่ะ”

อึดใจต่อมาผู้จัดการหนุ่มใหญ่ก็พยักหน้าตกลง ดวงศิริค่อยคลายใจยิ้มมาดมั่น อย่างน้อยเธอก็ยังมีโอกาสพิชิตตำแหน่งที่หมายปองอยู่ แม้ความหวังจะริบหรี่ก็ตาม

ขณะที่สิงโตกับลูกแก้วที่ยืนกุมมือเรียบร้อยอยู่ริมประตูห้องมองหน้ากันอย่างหวั่นเกรง สื่อความหมายผ่านสายตาโดยไม่ต้องพูดสักคำ…ลูกพี่ของพวกเธอจะเอาชนะผู้หญิงที่สั่งได้แม้กระทั่งผู้จัดการฝ่ายได้อย่างไร

 

โจทย์การแข่งขันออกรวดเร็วราวฟ้าผ่า หลังจากศักดาเข้าพบคุณวุฒิไกร ท่านประธานบริษัทในช่วงบ่าย เขาไม่ได้เข้าไปพบเพื่อขอโจทย์ให้ลูกน้องทั้งสองมาแข่งกันชิงตำแหน่งโปรเจกต์เมเนเจอร์คนใหม่ แต่เป็นคุณวุฒิไกรที่เรียกเขาเข้าพบ เนื่องจากลูกค้าวีไอพีท่านหนึ่งที่เพิ่งไปตีกอล์ฟกับคุณวุฒิไกรเมื่อสุดสัปดาห์บอกว่า อยากจะปรับปรุงตกแต่งพื้นที่ทำงานส่วนกลางของบริษัท หรือที่เรียกว่า โคเวิร์กกิ้งสเปซ

ศักดาจึงผสมโรงโดยบอกเจ้านายว่า ให้ถือเป็นการทดลองงานของมนชิดาเสียเลย เธอเพิ่งมาใหม่ ได้ร่วมทีมครั้งแรก จะได้เรียนรู้การทำงานกับเพื่อนใหม่ในบริษัท

“ลูกน้องใหม่” คุณวุฒิไกรแก้ให้ ศักดาก็ได้แต่ยิ้มแหย เขายังไม่กล้าบอกว่าไปรับปากอะไรกับพวกพนักงานสาวๆ ไว้

แต่ถึงอย่างนั้น ลึกๆ เขามั่นใจว่ามนชิดาจะชนะดวงศิริได้แน่ นักออกแบบรายหลังนั้นขึ้นชื่อเรื่องนำเสนอผลงานได้ถูกใจลูกค้าก็จริง แต่เทียบกับฝีมือระดับรางวัลอินเตอร์ของมนชิดา ยังไงเขาก็ถือหางข้างคนมาใหม่ เธอไม่ได้มีดีแค่เส้นสาย เขาเชื่ออย่างนั้น

“ธีมที่ลูกค้าอยากได้ ไม่น่ามีปัญหาอะไรใช่ไหมคุณศักดา ดูล้ำมากเลยนะ มาได้ไงก็ไม่รู้นะเนี่ย เหมือนที่ไอน์สไตน์ว่าจินตนาการสำคัญกว่าความรู้จริงๆ”

ผู้จัดการฝ่ายออกแบบกลืนน้ำลายอึกหนึ่งแล้วจึงผงกศีรษะ

“ผมก็ว่าล้ำมากอยู่ครับ ว่าแต่ลูกค้าไม่แจ้งรายละเอียดอื่นๆ ที่ต้องการเลยเหรอครับ บอกมาแค่ธีมเลยเหรอ หรือให้ผมนัดคุยรายละเอียดกับลูกค้าอีกสักทีครับ”

คุณวุฒิไกรโบกมือไหวๆ ส่ายหน้า

“โนๆ ลูกค้าบอกว่าช่วงนี้ยุ่งมาก ธุรกิจเขาร้อยล้านนะ ไม่ว่างมาคุยเรื่องสัพเพเหระพวกนี้หรอก นั่นแหละ เขาถึงได้จ้างบริษัทเราไงเพราะเคยทำงานให้กันมาหลายครั้ง เขาบอกผมว่าเขารู้ว่าพวกเรารู้ใจเขาดี”

อ้า…รู้ใจก็รู้ใจ ศักดากะพริบตาปริบๆ มึนตึ้บขึ้นมาหน่อยๆ ในเมื่อลูกค้าเชื่อมือทีมอินทีเรียดีไซน์ของเขา คุณวุฒิไกรเองก็เชื่อ งั้นเขาเชื่อด้วยคนก็ได้เอ้า

 

“ว่าไงล่ะ สรุปคราวนี้ให้ออกแบบธีมอะไร”

เสียงทุ้มนุ่มของเขาเปล่งออกมาใกล้หูซ้าย มันคงทะลุออกหูขวาไปอย่างไร้เยื่อใยตามเคย ภูริสรู้ดี เวลานี้หญิงสาวคนที่เขากำลังถามกำลังพับเพียบแต้ มือถือมาลัยพวงใหญ่พนมนบนอบอยู่เบื้องหน้ารูปปั้นพญานาคเจ็ดเศียรขนาดใหญ่ยักษ์ หลับตา คิ้วขมวด ปากเล็กๆ นั้นขมุบขมิบ ท่องคาถายาวเหยียด

ชายหนุ่มลดมือที่ถือธูปกำใหญ่รออยู่เพราะชักจะเมื่อย แต่อีกมือที่ช่วยกางร่มให้หญิงสาวนั้นยังคงมั่นคง มองท่าบูชาพญานาคของดวงศิริแล้วแอบขำคนเดียวเงียบๆ เกรงว่าเสียงหัวเราะของเขาจะทำให้คนที่กำลังอธิษฐานอย่างเอาเป็นเอาตายหลุดสมาธิ

ภูริสไม่ถึงกับเชื่อถือ แต่มิเคยคิดลบหลู่ เขามองไปรอบๆ อาณาบริเวณวัดชื่อดังทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่เคยเห็นบ่อยๆ ในข่าวแห่งนี้ มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติมาชมความงามของสถาปัตยกรรมของโบสถ์ รวมถึงประติมากรรมองค์พญานาคเจ็ดเศียร ถ่ายรูป ถ่ายคลิปวิดีโอกันน่าสนุก

ด้านหนึ่งมีชาวนักแสวงบุญทั้งหลาย นั่งคุกเข่ากลางแดดพนมมือไหว้ สวดมนต์ ขอพร ไม่ต่างกับเขาและดวงศิริ ยังไม่รวมกลุ่มที่นุ่งขาวห่มขาวปฏิบัติธรรมอีก ที่แห่งนี้มีผู้คนมากมายจนเรียกได้ว่าพลุกพล่าน แย่งกันไหว้พระ ไหว้พญานาค เบียดเสียดกันเข้าวิหารศักดิ์สิทธิ์จนบางจังหวะน่ากลัวว่าจะเกิดเหตุโกลาหล

ชายหนุ่มสงสัยจริงๆ ว่าพญานาคที่ใครเขาว่าบำเพ็ญตบะอยู่ที่นี่ เจอความอึกทึกครึกโครมขนาดนี้ท่านจะยังอยู่หรือเปล่า มิไปหาที่สงบแห่งอื่นบำเพ็ญเพียรต่อละหรือ

“เสร็จแล้วพี่ภู”

เสียงแจ่มใสเรียกขึ้นข้างๆ เขาหันมาก็พบใบหน้าขาวใสที่ดูแช่มชื่นกว่าตอนก่อนเดินทางมาก เหงื่อเม็ดเล็กๆ จับเป็นหยดอยู่บนปลายจมูกมน ลูกผมตามกรอบหน้าเปียกเหงื่อจนเรียบลู่ไปกับผิวแก้มสีเรื่อ เธอขอธูปกำใหญ่ในมือเขาไปไหว้ต่ออีกพักหนึ่ง แต่ไม่นานเท่ารอบแรก แล้วจึงลุกไปปักในกระถางธูปเป็นอันเสร็จพิธี

 

“สบายใจขึ้นหรือยัง” ชายหนุ่มถามยิ้มๆ พลางส่งขวดน้ำดื่มเย็นๆ ให้คนที่นั่งรออยู่ในรถ ส่วนตัวเขาประจำที่นั่งคนขับเพื่อจะขับรถเช่านี้ไปที่สนามบิน

“มากเลยพี่ภู ขอบคุณมากนะที่มาเป็นเพื่อนน้อง”

“แต่พี่ก็ยังงงอะ ถึงกับต้องมามูที่นี่เลยเหรอ ปกติเราทำงานออกแบบภายในไม่เห็นต้องมาไหว้บนบานอะไรขนาดนี้เลยนี่”

มูเป็นคำย่อของ มูเตลู หมายถึง บูชาหรือขอพรต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สิ่งลี้ลับ ไสยศาสตร์ ภูริสรู้ดีทีเดียวว่าระดับดวงศิริแล้ว แค่คำว่าไหว้พระขอพรยังน้อยไป ต้องเรียกว่าสายมูตัวแม่ถึงจะเหมาะสม อันที่จริงเขาอยากใช้คำว่างมงายเลยด้วยซ้ำ แต่ยังไม่เคยพูด กลัวจะมีคนเสียความมั่นใจ

ฝ่ายดวงศิริกระดกดื่มน้ำอั้กๆ แล้วลดขวดลง

“ไม่ได้บน นี่ขอเฉยๆ พญานาคท่านบำเพ็ญตบะอยู่ รบกวนท่านมากเดี๋ยวท่านไม่ช่วย”

“เออๆ นั่นแหละ”

“ออกแบบคราวนี้มันไม่เหมือนทุกทีสิพี่ภู คราวนี้หวานจะต้องเสนองานคู่กับเพื่อน เอ้อ พนักงานใหม่อีกคนหนึ่งซึ่งหวานจะแพ้ไม่ได้ ใครชนะได้ตำแหน่งหัวหน้าเลยนะพี่ภู หวานไม่ยอมหรอก หวานไม่อยากเป็นลูกน้องเขา”

ภูริสพยักหน้าทำความเข้าใจ “ก็เลยต้องมูให้ชนะว่างั้น”

“ว่างั้นแหละ”

“เขาให้เวลาออกแบบกี่วันนะ”

“เจ็ดวัน”

“นี่เสียไปหนึ่งวันละ มามูเนี่ย”

“หึย พี่ภูไม่รู้อะไร” หญิงสาวทำหน้าจริงจัง “ทำงานใหญ่ใจต้องนิ่ง เราต้องมาขอพรก่อนสิ ให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านดลบันดาลใจให้เราคิดถูกทำถูก เสียเวลาลับขวานนิดหน่อยแต่ไปตัดไม้ฉับๆ เลยนะ ดีกว่าทนทู่ซี้เอาขวานทื่อๆ ไปทุบขอนไม้ เมื่อไรจะขาด จริงไหมล่ะ”

ชายหนุ่มไม่เถียง มีแค่ยิ้มขำปนเอ็นดูอย่างที่มีให้เสมอมา แต่ไหนแต่ไรเขาไม่เคยขัดรุ่นน้องคนสนิทที่ชื่อขนมหวานคนนี้อยู่แล้ว

แม้กระทั่งตอนที่เข้าเขตตรวจสัมภาระในสนามบินแล้วพบว่าดวงศิริเอาขวดน้ำหนึ่งจุดห้าลิตรกรอกน้ำมนต์ติดมาด้วย โดยลืมไปซะสนิทว่านำของเหลวมากขนาดนี้ขึ้นเครื่องไม่ได้ก็ตาม

ตอนแรกหญิงสาวทำเป็นลืมก่อน ร้อนๆ หนาวๆ ปลดกระเป๋าเป้ใส่กระบะให้ไหลผ่านเข้าเครื่องตรวจ ผลเป็นไปตามคาด เจ้าหน้าที่สนามบินแจ้งว่ามีขวดน้ำ ให้นำออกทิ้ง

“แต่นี่น้ำมนต์หลวงพ่อเลยนะคะ ศักดิ์สิทธิ์ขนาดไหนพี่เป็นคนที่นี่น่าจะรู้ดีนี่นา”

“ทราบค่ะคุณผู้โดยสาร แต่นำขึ้นเครื่องไม่ได้จริงๆ ต้องขออภัยด้วยนะคะ”

ดวงศิริกอดขวดหน้ามุ่ย ยอมเดินไปที่ถังขยะแต่โดยดี แต่จะให้ทิ้งหรือ หญิงสาวยังตัดใจไม่ลง วนกลับไปต่อคิวท้ายแถวใหม่

ภูริสยังไม่เข้าเครื่องตรวจของสนามบินเพราะเห็นหญิงสาวกำลังมีปัญหา เขาพยายามเกลี้ยกล่อมว่า

“เอาน่า ทิ้งไปเถอะ จะออกไปซื้อน้ำหนักกระเป๋าก็ไม่ทันแล้วนี่”

“แต่น้ำมนต์ของหลวงพ่อศักดิ์สิทธิ์ขึ้นชื่อเลยนะพี่ภู อุตส่าห์ได้มาเอาถึงที่ จะให้ทิ้งง่ายๆ เหรอ”

“แล้วหวานจะทำยังไง”

หญิงสาวตัดสินใจในตอนนั้น เปิดขวดดื่ม

“เฮ้ยๆ กินได้ด้วยเหรอ พี่ว่ามันมีฝุ่นนะ”

เขาเห็นกับตา น้ำมนต์นี่ไม่ใช่เพิ่งทำพิธีใหม่ๆ ใส่ขันทองเหลืองงดงาม แต่บรรจุอยู่ในโอ่งดินเผาใบเขื่อง ลูกศิษย์ลูกหาและนักท่องเที่ยงใช้แก้วบ้าง กระบวยบ้าง จ้วงตักกันไม่มีพัก มือไม้จุ่มลงไปบ้างหรือเปล่านั้นรับรองว่าไม่มีเหลือ

ดวงศิริลดขวดลงมาอีกที น้ำมนต์ก็พร่องไปครึ่งแล้ว เธอทำเสียงอ้าราวกับดื่มน้ำอัดลมซ่าชื่นใจ

“กินได้สิพี่ภู เป็นสิริมงคล” ว่าแล้วเธอก็กางกระเป๋าเป้ ยัดขวดใส่ลงไป “อ้ะ เหลือครึ่งขวดแล้ว ดูซิจะผ่านไหม ขอบารมีหลวงพ่อช่วยลูกด้วยเถิด สาธุ”

บารมีหลวงพ่อคงมีไว้สำหรับปกป้องคนสุจริตซื่อตรงเท่านั้น เพราะพอกระเป๋าเป้ของดวงศิริผ่านเข้าเครื่องสแกนสัมภาระอีกครั้ง เครื่องก็ส่งสัญญาณเตือนอีก

เจ้าหน้าที่สนามบินยังอุตส่าห์ยิ้มทั้งที่หน้าเริ่มตึงๆ หางคิ้วกระตุกหน่อยๆ

“คุณผู้โดยสารคะ เอาขวดน้ำเข้าไม่ได้นะคะ เมื่อสักครู่ได้แจ้งแล้วนี่คะ”

“แต่นี่กินไปตั้งครึ่งหนึ่งแล้วนะ ให้ผ่านเถอะนะคะ มาจากกรุงเทพเลยค่ะ ไม่ได้มาไหว้บ่อยๆ ช่วยหน่อยเถอะนะคะ”

“เป็นระเบียบของทางสนามบิน ไม่ได้จริงๆ ค่ะ”

“แต่ว่า…”

ก่อนการทุ่มเถียงจะยืดเยื้อไปกว่านี้ และผู้โดยสารคนอื่นๆ จะยิ่งหงุดหงิด ภูริสดึงแขนรุ่นน้องสาวออกมาที่หน้าถังขยะซึ่งอยู่ห่างไปไม่ไกล

“ทิ้งเถอะหวาน ไว้พี่พามาใหม่ ไม่เป็นไร”

“แต่ถ้าหวานไม่ได้น้ำมนต์ไป หวานอาจจะแข่งแพ้เลยก็ได้ งานนี้หวานแพ้ไม่ได้นะ”

ชายหนุ่มถอนใจอย่างไม่ปิดบัง “ก็ได้ไหว้พญานาคแล้วไง”

“ก็นี่น้ำมนต์หลวงพ่อ ไม่ใช่ของพญานาคนี่ คนละวัดกัน” เธอเหลือบไปมองเจ้าหน้าที่แวบหนึ่ง “หยวนนิดหยวนหน่อยก็ไม่ได้ คนเขาไม่ได้มาบ่อยๆ แล้งน้ำใจชะมัด”

“อ้าว ไปว่าเขาอีก เขาก็ทำตามหน้าที่ไหมล่ะ”

ดวงศิริไม่อยากเถียงพี่ภู เถียงไม่ได้หรอกเพราะรู้ดีว่าเขาพูดถูก หญิงสาวเม้มปาก จ้องขวดน้ำมนต์เขม็ง เธอดื่มอีกไม่ไหวแล้ว จุกจะแย่ ดังนั้นมีอีกวิธีนั่นก็คือ…

เปิดขวดล้างหน้ามันซะเลย

เจ้าหน้าที่สนามบินมาห้ามก็ไม่ทันซะแล้ว ภูริสอยู่ใกล้ๆ ยังอึ้งไปด้วยคาดไม่ถึง ผู้โดยสารคนอื่น ๆ พากันตกใจ บ้างหลุดหัวเราะ แต่ดวงศิริไม่ใส่ใจ ก้มหน้าเทน้ำราด ใช้มือลูบหน้าไปด้วยเหมือนที่ล้างหน้าเป็นประจำทุกเช้า น้ำมนต์ผ่านจากใบหน้าและปะพรมศีรษะไหลลงถังขยะ ไม่ได้เลอะเทอะพื้นสนามบินสักเท่าไร ดังนั้นเธอไม่ได้ทำอะไรผิด อยากให้ทิ้งนักไม่ใช่หรือไง นี่ก็ลงถังเหมือนกัน

ดวงศิริไม่อาย แต่ลืมนึกไปว่าคนที่มาด้วยกันจะอายหรือเปล่า พี่ภูของเธอเวลานี้ใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีเข้ม ก้มหน้ามองแต่พื้น ไม่กล้าสบตาใครในที่นี้อีกแล้ว

เขาล้วงหยิบผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าเสื้อแจ็กเก็ตส่งให้เช็ดหน้าเช็ดตา แล้วลากแขนเธอจ้ำอ้าวไปต่อท้ายแถวให้ไกลผู้คนที่สุด

 



Don`t copy text!