พลิกรักทำนายใจ บทที่ 3 : ดวงความรักปีนี้มีเกณฑ์รักซ้อน

พลิกรักทำนายใจ บทที่ 3 : ดวงความรักปีนี้มีเกณฑ์รักซ้อน

โดย : แสนแก้ว

Loading

พลิกรักทำนายใจ โดย แสนแก้ว เรื่องราวของสายมูตัวแม่ที่ช่วยเหลือคนอื่นมากมาย แต่ความรักของตัวเองกลับไม่รอดราวกับดวงความรักอาภัพซะเหลือเกิน คงจะมีแค่ ‘พี่ภู’ เท่านั้นที่ดีต่อเธอเอ…เธอผู้รู้ใจลูกค้าดั่งมีตาทิพย์กลับไม่เคยมองเห็นหัวใจเขาเลยสักทีได้อย่างไร นวนิยายอ่านฟรีสนุกๆ ที่อ่านเอามีให้คุณได้อ่านที่ anowl.co

กลางดึกของค่ำคืนที่ดวงศิริยังมีเรี่ยวแรงเหลือพอจะไปที่อื่นบ้างที่ไม่ใช่กลับไปสลบที่คอนโดฯ หญิงสาวนั่งรถไฟฟ้าที่เริ่มร้างราผู้โดยสารไปที่ร้านกาแฟชื่อว่า สตาร์โรสเทอรี ไม่ใช่เพราะต้องการกาแฟเข้มๆ ไว้ถ่างตาในยามดึกหรือหาที่ทำงานโต้รุ่ง แต่เพราะร้านกาแฟแห่งนี้มีเพื่อนสาวสมัยเรียนมหาวิทยาลัยที่เธอสนิทด้วยมากที่สุดคนหนึ่งเป็นเจ้าของ

สาวหมวยหน้าผ่อง ยิ้มทีไรดวงตาเป็นรูปจันทร์เสี้ยวคว่ำผู้นี้มีชื่อว่าอิ๋ม หรืออริสา หญิงสาวเก็บกวาดร้านเสร็จพักใหญ่แล้ว กำลังอบครอฟเฟิลไส้แฮมชีสและอุ่นนมอัลมอนด์เตรียมไว้สำหรับคนที่บ่นมาในสายโทรศัพท์ว่าหิวมากและยังไม่ได้กินข้าวเย็นที

ดวงศิริผลักประตูร้านเข้ามาหน้ามุ่ยๆ พอเห็นอริสานั่งอยู่ที่โต๊ะพร้อมรอยยิ้มแจ่มใสก็ทักว่า

“อ้าว อิ๋ม ยังไม่ปิดร้านเหรอ”

รอยยิ้มแจ่มใสเปลี่ยนเป็นเบะปากใส่ทันควัน

“ยังจะมีหน้ามาถามอีก แกบอกว่าจะมาหาเพราะมีเรื่องอยากบ่นไม่ใช่หรือไง ฉันก็อยู่รอน่ะสิ”

ผู้มาใหม่ยิ้มเผล่ ชะโงกไปทางหลังร้าน ถัดจากลานจอดรถเล็กๆ มีห้องขนาดกว้างพอกับตัวคาเฟ่แต่หลังคาสูงโปร่งกว่า จุดนั้นไม่เปิดให้ลูกค้าเข้าไป อนุญาตให้เข้าได้เฉพาะพนักงานเท่านั้นเพราะเป็นห้องคั่วกาแฟ

เวลานี้ปิดไฟมืดอยู่ ดวงศิริจึงถามขึ้น

“สกายกลับแล้วเหรอ”

“อื้ม กลับไปแล้ว”

“อะไรวะ ไม่อยู่รอเจอเพื่อนฝูง”

ดวงศิริบ่นไม่จริงจังนัก ส่วนอริสายิ้มขำ

สำหรับดวงศิริ สกายเป็นแค่เพื่อนเรียนร่วมภาควิชาเท่านั้น ไม่ใช่เพื่อนสนิทร่วมอดตาหลับขับตานอนทำโมเดลส่งอาจารย์เหมือนอย่างอริสา เธอจึงไม่ได้สนใจเท่าไร

เพียงแต่เมื่อเวลาผ่านไป อริสาเรียนปริญญาโทด้านโลจิสติกส์ สกายจบปริญญาโทบริหารธุรกิจ โคจรกลับมาพบกันในงานแต่งงานของเพื่อนร่วมรุ่นคนหนึ่ง ได้พูดคุยแล้วพบว่าสนใจเรื่องกาแฟเหมือนกัน จึงตกลงทำธุรกิจเกี่ยวกับเมล็ดกาแฟคั่วและเปิดร้านกาแฟร่วมกันจนถึงทุกวันนี้

ส่วนดวงศิริที่เป็นพนักงานประจำในบริษัทรับออกแบบตกแต่งภายในขนาดกลางตามสายงานที่เรียนจบมา อดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าถูกแย่งเพื่อนสนิท

แต่อิ๋มเพื่อนรักก็เข้าข้างเธอเสมอ แค่เธอทำหน้าตูม เบะปากน้อยใจ อ้อมกอดอบอุ่นของเพื่อนรักก็โอบล้อมกระชับมา พร้อมกับเสียงหวานๆ ว่า

‘สกายมันก็แค่หุ้นส่วน ฉันรักแกที่สุดอยู่แล้ว’

เพียงเท่านั้นดวงศิริก็ยิ้มออก

ดวงศิริมีโลกส่วนตัวสูง ไม่ชอบสุงสิงกับใคร จึงกลายเป็นคนมีเพื่อนน้อย แต่หญิงสาวไม่เคยคิดเดือดร้อน การมีอริสาอยู่หนึ่งคนอุ่นใจยิ่งกว่ามีเพื่อนทั้งคณะสถาปัตย์ซะอีก

สาวนักออกแบบกินไปบ่นไปว่า

“โคตรเซ็งเลยแก นึกว่ายัยมายด์จะไปพ้นๆ จากชีวิตฉันแล้วนะ นี่กลับมาจองล้างจองผลาญไม่เลิก ฉันต้องเป็นลูกเบ๊ยัยนี่เฉยเลย แล้วมันก็ชอบจิกใช้ ชอบหักหน้าฉันต่อหน้าพวกน้องๆ อ้ะ”

อริสาไม่รู้จักมนชิดาเป็นการส่วนตัว ไม่เคยพบสักครั้ง แต่ดวงศิริเคยเล่าให้ฟังอยู่หลายครั้งตั้งแต่สมัยเรียนจึงพอจะมีตัวตนของฝ่ายนั้นอยู่ในจินตนาการบ้าง

“สงครามประสาทสินะ แล้วเป็นไง ทำงานด้วยกันมาพักหนึ่งแล้วแกโอเคไหม”

“ตอนแรกก็ตึงๆ แหละ แต่ถ้าพูดแบบไม่อคติเลยมายด์เขาก็เก่งจริงอะ พวกน้องๆ ในทีมฉันเริ่มเปลี่ยนไปชอบเขาแล้ว” พูดแล้วก็บิครอฟเฟิลชิ้นใหญ่ใส่ปาก “ฉันเหมือนหมาหัวเน่าเลยอะแก ฉันอดคิดไม่ได้จริงๆ นะเว้ย ว่ายัยมายด์เป็นเจ้ากรรมนายเวรที่มาแย่งทุกอย่างไปจากฉัน”

“ไหน ขอดูหน้าหน่อยซิ”

ดวงศิริเปิดแอปอินสตาแกรมของมนชิดาแล้วส่งโทรศัพท์ไปให้ อริสารับมาดูแล้วเบิกตากว้าง เจ้ากรรมนายเวรที่ไหนถึงได้สวยเหมือนนางฟ้าแบบนี้

“เอ แต่หน้าคุ้นๆ นะ เหมือนเคยเห็นที่ไหน”

หญิงสาวพูดพลางเลื่อนดูรูปอีกสามสี่รูป นึกไม่ออกก็ส่งโทรศัพท์คืนเจ้าของ

“คนหน้าคล้ายละมั้ง แกจะเคยเจอได้ยังไง ฉันไม่เคยมาพาให้เจอแน่ๆ ไม่อยากจะยุ่งเกี่ยวด้วยเลย เขาก็ยังหาเรื่องฉันไม่เลิก ผีบ้าสิงหรือไง”

อริสาเลื่อนแก้วนมอัลมอนด์อุ่นไปใกล้อย่างเอาใจ

“อาจจะบังเอิญก็ได้นะแก”

“อือ ถ้าไม่บังเอิญเกิดอยากจะแกล้งฉันอีก ก็คงบังเอิญตรงกับคำทำนายเฉยเลย งั้นละมั้ง”

เมื่อตอนเช็กดวงรายปี พลิกเปิดไพ่ในเรื่องงาน เธอได้ไพ่ห้าไม้เท้า ห้าดาบ ราชินีไม้เท้า สองไม้เท้า และสามเหรียญ

สามใบแรกนั้นแปลได้ชัดยิ่งกว่าชัดว่าเธอจะมีปัญหาจุกจิกกวนใจและขัดแย้งกับเจ้านายผู้หญิง

เมื่อตอนหน้าไพ่ปรากฏแก่สายตา ดวงศิริไม่แปลกใจเลยด้วยซ้ำเพราะแต่ไหนแต่ไรก็ไม่ค่อยกินเส้นกับกิ่งกาญจน์อยู่แล้ว แต่วันนี้ดูท่าคนที่พี่มิ่งมงคลหมายถึงน่าจะเป็นมนชิดามากกว่า หรือจริงๆ ก็ทั้งคู่นั่นละ

ปมปัญหาความบาดหมางระหว่างตัวเธอกับมนชิดานั้น ดวงศิริเองก็จำที่มาที่ไปไม่ได้แน่ชัดเพราะเป็นเรื่องสมัยเด็ก มันค่อยๆ ก่อตัวขึ้นทีละเล็ก ทับถมมากเข้าทีละน้อย เริ่มจากพ่อของเธอกับพ่อของฝ่ายนั้นเคยเป็นเพื่อนสนิทกัน ตอนที่ต่างฝ่ายต่างมีครอบครัวเล็กๆ แสนอบอุ่น พ่อของเธอเป็นเกษตรกรเจ้าของสวนผลไม้ยี่สิบไร่ ส่วนพ่อของมนชิดาทำธุรกิจขายปุ๋ย ขายยา และอุปกรณ์การเกษตรอยู่ในเมืองชุมพร

แม่เคยเล่าให้ฟังว่า มีอยู่ปีหนึ่งที่ฤดูมรสุมค่อนข้างรุนแรง มีพายุเข้าหลายลูก ทำให้ต้นไม้ในสวนเสียหายค่อนข้างหนัก พ่อตัดสินใจขอยืมเงินพ่อของมนชิดามาเพื่อฟื้นฟูสวนผลไม้ ต่อลมหายใจให้ครอบครัว ฝ่ายโน้นกำลังอู้ฟู่เพราะใครๆ ก็มาซื้อของที่ร้านไปปรับปรุงสวนหลังโดนพายุทั้งนั้น เขาให้พ่อยืมเงินก็จริงแต่โขกสับกันด้วยดอกเบี้ยโหดมหาโหด ราวกับไม่เคยเป็นเพื่อนกันมาก่อน

‘พอจ่ายคืนช้าหน่อย พวกเขาก็ส่งนักเลงมาทวงหนี้ ตีพ่อแกได้ลงคอ’ แม่เคยพูดอย่างนั้น

ในวัยเยาว์ดวงศิริยังไม่เข้าใจทั้งหมด อะไรคือดอกเบี้ย และหากจ่ายช้าต้องโกรธถึงกับทำร้ายร่างกายกันเชียวหรือ แต่สิ่งหนึ่งที่รู้คือมนชิดาเริ่มไม่พูดด้วย หมางเมิน เฉยชา หลายครั้งเธอร้องเรียกแต่มนชิดากลับทำเป็นไม่ได้ยิน เดินสวนกันก็ไม่ทักทาย ราวกับเธอเป็นอากาศธาตุที่ล่องลอยและไม่มีใครมองเห็น

มนชิดาเป็นเด็กห้องหนึ่ง อยู่ในแก๊งเด็กเรียนตัวท็อป ล่ารางวัลวิชาการ เป็นประธานนักเรียนซะด้วย ขณะที่ดวงศิริอยู่ห้องห้า แก๊งนักกีฬา เล่นวอลเลย์บอลสนุกๆ อยู่หลังโรงเรียนแท้

ความจริงควรต่างคนต่างอยู่ แต่พวกมนชิดาก็ชอบฟ้องครูว่าเธอกับเพื่อนโดดเรียนไปเล่นกีฬา ส่งโพยข้อสอบให้เพื่อนหน้าห้องสอบ มาเรียนสายเพราะแวะไปเล่นเกม ดวงศิริทั้งงอนทั้งรำคาญใจ จริงอยู่ว่าวีรกรรมต่างๆ นั้นเธอทำจริง แต่ก็ไม่ใช่หน้าที่ที่ใครจะต้องมาจ้องจับผิดแล้วคาบข่าวไปฟ้องครูฝ่ายปกครองเลยนี่นา

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนคนนั้นเป็นเพื่อนรักของเธอ อย่างน้อยๆ ก็เคยเป็น

ตอนที่เรียนสถาปัตยกรรมศาสตร์ ชั้นปีที่หนึ่ง ดวงศิริกับมนชิดากลายเป็นไม่ถูกกันแล้วโดยสิ้นเชิง เธอตั้งใจว่าจะอยู่แบบไม่รู้จักกันแล้วแท้ๆ แต่กิจกรรมคณะก็ช่างพยายามจะละลายพฤติกรรมให้เข้ากันกับเพื่อนๆ ซะทุกที มนชิดาชอบทำให้เธอกลายเป็นตัวตลกอยู่เรื่อย เธอไม่เคยตลกด้วยเลย

เหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ ไม่มีอะไรคอขาดบาดตายสักหน่อย แต่ดวงศิริไม่ชอบและรำคาญใจที่สุดตรงที่เธอหนีจากสถานการณ์น่าอึดอัดพวกนี้ไม่ได้เสียที ถูกกลั่นแกล้งแท้ๆ แต่ใครๆ กลับนิยมชมชอบมนชิดาว่าทั้งสวยทั้งเก่ง เป็นดาว เป็นตัวอย่าง เธอถูกยัยคนนี้ทำไม่ดีไว้ตั้งมากมาย ทำไมไม่มีใครเห็นใจเธอบ้าง

กระทั่งตัดสินใจซิ่วไปเรียนที่อื่นนั่นละ จึงหาความสงบสุขให้ชีวิตได้ แม้จะดูเป็นไอ้ขี้แพ้หน่อยๆ ก็ตาม

แต่ไอ้ขี้แพ้คนนี้ไม่เคยคิดว่าตัวเองคิดผิดเลยที่เลือกเส้นทางนี้ เพราะการมาเรียนในมหาวิทยาลัยแห่งใหม่ทำให้เธอได้พบกับภูริส หรือพี่ภูของน้องๆ

เขาเป็นคนชุมพรเหมือนกัน ได้รู้จักกันในชมรมค่ายอาสาของนิสิตชุมพร ตอนเธอเรียนชั้นปีที่หนึ่ง พี่ภูเป็นพี่บัณฑิตที่เพิ่งจบการศึกษาไปเมื่อปีก่อน พี่ภูเคยเป็นประธานค่ายอยู่หลายสมัยและยังคงมาช่วยงานค่ายอยู่ทุกปี

พี่ภูเก่ง ตัดสินใจฉลาดและเฉียบขาด เป็นผู้นำที่รับฟังทุกคนเสมอ พี่ภูใจดีมากโดยเฉพาะกับเธอ ดวงศิริจึงตั้งตนเป็น ‘ลิ่วล้อ’ ติดตามพี่ภูไปทุกหนทุกแห่งทั้งออกค่ายและไปเที่ยวกันเองในกลุ่มเพื่อน

จนวันนี้เธอทำงานแล้ว ก็ยังมีพี่ภูอยู่ใกล้ๆ เสมอ ถ้าตัดเรื่องมนชิดาออกจากความคิดสักแป๊บหนึ่ง ดวงศิริก็เชื่อว่าเธอเป็นคนที่โชคดีที่สุดเพราะมีพี่ภูก็เหมือนมีทุกอย่าง แลกกับอะไรก็ไม่เอา

“นี่ หวาน” อริสาสะกิดแขนยิกๆ “ฟังฉันอยู่หรือเปล่า”

ดวงศิริสะดุ้ง “เอ้อ ฟังสิฟัง แกว่าไงนะ”

“ใจลอยอีกแล้ว ฉันถามแกว่าจากนี้จะเอาไงต่อ ทนไหวไหม ค่อยๆ ปรับตัวหรือยังไง นี่แค่ไม่ถึงเดือนแกยังเซ็งขนาดนี้ ต่อไปต้องทำงานกับมายด์เป็นปีๆ เลยนะ”

“ยังคิดไม่ออกเลยแก คงต้องทนไปก่อนจนกว่าจะคิดออก”

อริสาครุ่นคิด เคาะนิ้วกับโต๊ะเบาๆ

“ฉันว่าแกลองหางานเสริมไหม ยุคนี้ใครๆ ก็มีกระเป๋าสอง กระเป๋าสามกันเพราะเงินไม่ค่อยพอใช้ เผื่อว่าวันหน้าแกเกิดฟิวส์ขาด ไม่ไหวจริงๆ จะได้มีทางไปด้วยไง ไม่ต้องอดทนอยู่ตรงนั้นเพื่อเงินเดือนอย่างเดียว ถ้าอาชีพเสริมแกไปได้ดี แกจะลาออกมาทำเต็มตัวก็ยังได้ หรือถ้ายังไม่มั่นคงขนาดนั้น แล้วแกอยากลาออกจริงๆ อย่างน้อยก็มีทุนสำรองนะ”

ภาพพี่ไพ่มิ่งมงคลลอยขึ้นมาในความทรงจำของดวงศิริอีกครั้ง ดวงการงานปีนี้นอกจากจะมีปัญหากับเจ้านายผู้หญิงแล้ว ยังมีโอกาสใหม่ๆ ด้วยนี่นา ไพ่สองไม้เท้ากับสามเหรียญบอกว่าเธอยังมีหวัง

แต่นี่จะห้าทุ่มอยู่แล้วและเธอยังไม่ได้กลับไปอาบน้ำนอนอย่างใครเขา หญิงสาวก็โพล่งตอบว่า

“ขี้เกียจอะ ช่างก่อน ไว้ว่างๆ ค่อยคิดละกัน”

ในเมื่อเป็นดวงแล้วเดี๋ยวก็คงเกิดเองละมั้ง ไม่ต้องพยายามมากหรอก ดวงศิริคิด ก็ทีเรื่องไม่ถูกกับเจ้านาย เธอไม่ได้ขอสักหน่อยยังเกิดเองเลยนี่นา

อริสาเก็บจานกับแก้วนมไปล้างแคล่วคล่อง มีไอศกรีมมาให้ด้วยสองกระปุก

“อ้ะ เอาไอติมไปกินแก้เครียดนะ แล้วก็ถุงนี้ให้พี่ภู”

“โห มีฝากให้พี่ภูด้วยอ้ะ” ดวงศิริรับมาถือไว้พลางคิดว่า อริสากับพี่ภูของเธอแม้ว่าจะไม่ได้สนิทสนมกัน แค่รู้จักกันผ่านเธอซึ่งเป็นคนกลางเท่านั้น แต่ก็ดูเคมีเข้ากันได้อย่างประหลาด อาจเป็นเพราะทั้งสองเป็นคนจิตใจดีและน้ำใจงามเหมือนกัน

“ใช่ คราวก่อนพี่เขาเลี้ยงข้าวฉันยังไม่ได้ตอบแทนเลย ฝากไปหน่อยนะ”

คราวก่อนที่เพื่อนว่า คือไปซื้อเดินหาไอเดียแต่งบ้านกันสามคนแล้วพี่ภูเลี้ยงข้าว อริสาส่งไอศกรีมมาตอบแทนแล้ว แต่เธอใกล้ชิดภูริสมากกว่า อีกทั้งเขายังเลี้ยงข้าวตลอด บ่อยกว่าอริสาไม่รู้กี่สิบเท่า เธอยังไม่เคยเลี้ยงเขาคืนบ้างเลย

คิดถึงตรงนี้ก็แอบละอายใจนิดหน่อย แต่พี่ภูคงไม่คิดอะไร เขาใจกว้างดั่งมหาสมุทรสุดขั้วโลกอยู่แล้ว

 

เมื่อเวลาทำงานออกแบบภายในของดวงศิริตีได้มากถึงหกสิบกว่าเปอร์เซ็นต์ในหนึ่งวัน การทำงานไม่ราบรื่นเพียงเพราะไม่ชอบหัวหน้างานจึงทำให้ชีวิตเซ็งไปมากกว่าสองในสามส่วน ถึงจะค้างคาใจ แต่เธอไม่เคยคิดจะถามว่ามนชิดาไม่ชอบเธอเพราะอะไร มันเลยจุดที่อยากปรับความเข้าใจไปตั้งนานแล้ว ได้แต่ปล่อยให้ปัญหาค้างคาและฝืนทำงานร่วมกันต่อไป

อีกเรื่องหนึ่งที่ดวงศิริไม่ชอบคือ มนชิดาไม่ใช่หัวหน้าที่พร้อมให้ปรึกษาตลอดเวลาเหมือนเช่นกิ่งกาญจน์ รายนั้นถึงจะทิฐิสูง หัวโบราณ ยึดแต่ทฤษฎีมากไปหน่อย แต่อย่างน้อยก็พร้อมให้ทุกคนติดต่อได้ตลอดเพื่อเป้าหมายของทีม แต่มนชิดาไม่ใช่แบบนั้น

เวลาเข้างานคือแปดโมงเช้า เลิกห้าโมงเย็นก็จริง แต่คนทำงานศิลปะสุดติสต์มีใครบ้างสามารถปิดและเปิดสวิตช์ความคิดสร้างสรรค์ได้ตรงเวลาเป๊ะ หลายครั้งดวงศิริกับน้องๆ นัดคิดงานกันต่อตอนเย็น และไอเดียมักพุ่งกระฉูดตอนหัวค่ำ ทำนองว่าคิดออกเร็วๆ สิไม่งั้นไม่ได้กลับบ้าน แต่มนชิดากลับไม่ทำตัวให้กลมกลืนกับวัฒนธรรมการทำงานของทีมเลยสักนิด

โปรเจกต์เมเนเจอร์คนสวยของน้องๆ บอกว่า

‘ถึงเวลาเลิกงานก็คือเลิก ไม่ต้องโทรมาด้วยนะ เพราะถึงโทรมาก็จะไม่รับ’

นึกถึงสีหน้าแววตาเหยียดหยันนั้น ดวงศิริก็หมดอารมณ์คิดงาน เธอตบโต๊ะทีหนึ่ง สิงโตกับลูกแก้วที่กำลังแทะเฟรนช์ฟรายอยู่ในร้านฟาสต์ฟูด คิดงานอยู่ด้วยกันก็สะดุ้งโหยง

“คนแบบนี้เป็นเจ้านายคนได้ไงวะ ขี้เกียจ ปล่อยให้พวกเราทำงานหนักกันเอง เดี๋ยวถ้าไปผิดทางก็คิดงานฟรีอีกสิ”

ลูกแก้วเช็ดคราบเกลือบนริมฝีปากลวกๆ

“แต่หนูว่าตอนอยู่ที่ออฟฟิศพี่มายด์เขาก็เต็มที่นะ งานเราคืบหน้ากันตั้งเยอะ เขาเรียกว่าอะไรนะ”

คำหลังหันไปกระทุ้งศอกถามสิงโต หนุ่มผมทองก็ชี้นิ้วไปข้างหน้า พลางว่า

“ไม่เวิร์กฮาร์ด แต่เวิร์กสมาร์ต”

“เออนั่นแหละ แล้วที่ว่าแบ่งเวลาได้น่ะ อะไรนะ”

สิงโตชี้นิ้วอีกที

“เวิร์ก ไลฟ์ บาลานซ์”

ดวงศิริไม่ได้ออกอาการหงุดหงิดทันทีที่ลูกน้องเข้าข้างมนชิดา เพราะนึกแปลคำภาษาอังกฤษอยู่ พอแปลออกถึงได้ชักสีหน้าฉุนๆ

“เออใช่ พี่มันเวิร์กฮาร์ด เป็นควายถึกไถนา ไม่เหมาะจะเป็นหัวหน้าพวกเอ็งหรอก”

“โอ๋ๆ พี่หวานอย่าเพิ่งน้อยใจ” ลูกแก้วเอื้อมมือป้อมๆ มาลูบแขนดวงศิริ หญิงสาวสะบัดสะบิ้งทำงอน แต่จริงๆ คือหนีคราบเกลือเฟรนช์ฟรายด์จากมือของอีกฝ่าย สิงโตเอนหลังกระดิกขา พยักหน้าหงึกๆ

“จริงๆ พี่มายด์เขาไม่ได้ใจดำขนาดนั้นหรอกนะพี่หวาน ตอนดึกๆ พี่เขาก็ตอบเมลผมนะ”

สาวท้วมที่นั่งข้างๆ นึกขึ้นได้

“เออใช่ เหมือนพี่เขาจะไม่ว่างแค่ช่วงค่ำๆ แต่ดึกๆ นี่ตอบคนอื่นรัวๆ เลย หนูอยู่ในลูปก็เลยได้เมลด้วยน่ะ”

ดวงศิริทำหน้าเฉย ไม่อยากแสดงออกว่าไม่รู้มาก่อน เพราะเดี๋ยวเจ้าพวกลูกน้องจะรู้หมดว่าเธอไม่สนใจดูงานตอนกลางคืน ไปๆ มาๆ จะโดนล้อว่า ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเองซะเปล่าๆ

 

แยกย้ายกับสิงโตและลูกแก้วแล้ว ดวงศิริก็กลับคอนโดฯ โดยรถไฟใต้ดิน สถานีที่เชื่อมต่อกับห้างสรรพสินค้าและรถไฟฟ้าบีทีเอสแห่งนี้ยังมีคนเดินทางขวักไขว่ ค่อนข้างหนาตา หญิงสาวเดินทอดน่องเรียบเรื่อย ขี้เกียจรีบเร่งไปเข้าคิวลงบันไดเลื่อน จึงปลีกตัวมาเดินลงบันไดปกติซึ่งแทบไม่มีคนใช้งานแทน

ลงมาถึงชั้นชานชาลา หญิงสาวก็ขี้เกียจรีบไปยืนต่อคิวเพื่อเข้ารถไฟใต้ดินอีก แต่ละขบวนที่ผ่านมาและผ่านไปมีผู้โดยสารยืนเต็มขบวน จริงอยู่ว่าพอจะเบียดเข้าไปได้ พอจะมีที่ยืนที่เกาะได้อยู่ แต่หลายครั้งหญิงสาวรู้สึกว่าการต้องหาทางเบียดเสียดเช่นนั้นมันแปลว่าโลกนี้ไม่มีพื้นที่สำหรับเธอเลย

ดังนั้นดวงศิริจึงนั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ในชานชาลา วางกระเป๋ากับถุงผ้าไว้ข้างตัว เฝ้ามองรถไฟฟ้าขบวนแล้วขบวนเล่าผ่านมาและผ่านไปพร้อมๆ กับฝูงชนที่ลงจากบันไดเลื่อนมาเข้าคิว และหลั่งไหลเข้าขบวนรถไม่ขาดสาย

อยู่ใจกลางเมืองหลวงสุดแสนศิวิไลซ์แท้ๆ แต่ดวงศิริเหงาใจอย่างบอกไม่ถูก หญิงสาวหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา ชั่งใจว่าจะโทร.หาคนรักดีหรือไม่ พี่พุฒิของเธอเป็นวิศวกรหนุ่มไฟแรง มีโปรเจกต์ที่สนใจกับไฟทะเยอทะยานเสมอ เวลานี้เกือบสี่ทุ่มแล้วก็จริง แต่หญิงสาวไม่แน่ใจว่าพ่อหนุ่มบ้างานเขาเลิกงานแล้วหรือยัง

ดวงศิริกดโทรศัพท์หาแฟนหนุ่ม อมยิ้มรอ กระแอมวอร์มเสียงสองเต็มที่ แต่น่าเสียดายที่เขาไม่ได้รับสาย

บางทีเขาอาจจะไปแท่น หญิงสาวคิด พุฒิพงศ์เป็นวิศวกรบริษัทน้ำมันใหญ่ ประจำโรงงานที่จังหวัดระยอง เขามักไปทำงานที่แท่นน้ำมันกลางทะเลบ่อยๆ จนเธอจำไม่ไหวแล้วว่าไปวันไหนบ้าง เขาเคยบอกกับเธอว่า จะเร่งทำงานหนักเพื่อเก็บเงินค่าสินสอด สร้างอนาคตครอบครัวที่มั่นคง และเขามีเธออยู่ในอนาคตนั้น

ดวงศิริเอียงหน้าคิด นั่งงอหลังห่อเหี่ยวแต่ใบหน้ายังเจือรอยยิ้มบาง หากเธอแต่งงานแล้วไปเป็นแม่บ้านวิศวกรที่ระยอง อะไรๆ จะดีกว่านี้ไหมนะ เจ้ากรรมนายเวรที่ชื่อมายด์จะยังตามไปหลอกหลอนถึงที่โน่นไหม และถ้าไปจริง พี่พุฒิจะช่วยปกป้องเธอหรือเปล่า

หญิงสาวนึกถึงพี่ไพ่มิ่งมงคล ตอนเช็กดวงรายปีเรื่องความรัก ผลออกมาค่อยดีสักเท่าไร

เดอะเลิฟเวอร์ สามดาบ เดวิล แปดถ้วย และหนึ่งถ้วย

แปลความได้ว่า มีเกณฑ์เกิดรักซ้อนซ่อนเงื่อน สามดาบยิ่งย้ำชัดเจน ไพ่รูปหัวใจที่มีดาบยาวแหลมคมเสียบทะลุถึงสามเล่ม เป็นไพ่แห่งความเจ็บปวด อกหัก รักสามเส้าที่ใครเปิดมาเจอก็ต้องหวั่นเกรง ต่อด้วยไพ่เดวิลอีก มันหมายถึงความหมกมุ่นอยู่ในวังวนแห่งกิเลสตัณหา

แปดถ้วยกับหนึ่งถ้วยบอกเธอว่า ต้องเดินออกมาก่อนถึงจะได้พบกับความรักครั้งใหม่ การบอกเล่าของไพ่ห้าใบนี้ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเป็นคำทำนายของตัวเธอเอง

หญิงสาวชักหวั่นใจ แต่พอเปิดโทรศัพท์ดูรูปถ่ายคู่กับคนรัก เห็นหน้าหนุ่มวิศวกรอนาคตไกลผู้มีความจริงใจ จริงจัง มั่นคงให้เสมอมาแล้ว เธอนึกไม่ออกว่าจะไปถึงวันแห่งไพ่สามดาบนั้นได้อย่างไร

เธอเองไม่คิดมีใครแน่ๆ แล้วหนุ่มบ้างานเป็นพายุอย่างพุฒิพงศ์ล่ะ มีเวลาไปสานสัมพันธ์กับสาวไหนด้วยหรือ ตอนนั้นเธอร้อนรนจนทำอะไรไม่ถูก วิ่งเข้าวัดจีนเพื่อแก้ชงก่อนอย่างอื่น ตามด้วยตระเวนขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ช่วยคุ้มครองความรักของเธอ

ทุกวันนี้ความสัมพันธ์ค่อนข้างราบเรียบแต่ก็ราบรื่น ดวงศิริค่อยคลายใจ บางทีเทพองค์ไหนสักองค์คงรับเคสเธอเข้าดูแลแล้ว

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น แรงสั่นน้อยๆ ในอุ้งมือทำให้เธอสะดุ้ง พี่พุฒิโทร.กลับมาแล้ว

“ฮัลโหล พี่พุฒิจ๋า ทำอะไรอยู่คะ ทำงานอยู่หรือเปล่า”

ในที่สุดเสียงสองที่วอร์มไว้ก็ได้ใช้

“พี่เตรียมสไลด์พรีเซนต์พรุ่งนี้อยู่จ้ะ หวานเป็นยังไงบ้าง กลับถึงคอนโดหรือยังครับ”

“ยังเลยค่ะ” หญิงสาวทอดเสียงยาวออดอ้อน “วันนี้หวานเหนื่อยมากเลยพี่พุฒิ โปรเจกต์ลูกค้าก็เร่ง พยายามระดมสมองกันแล้วแต่ยังคิดได้ไม่ถึงไหนเลย…”

รถไฟใต้ดินขบวนใหม่แล่นมาถึง เทียบจอดที่ชานชาลา ดวงศิริคุยโทรศัพท์พลางลุกก้าวเดินเข้าขบวนไป ส่งเสียงงุ้งงิ้งเล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ให้ชายหนุ่มฟัง พุฒิพงศ์รับฟังเงียบเชียบ โอ๋เธอบ้าง ให้กำลังใจบ้าง ช่วยแนะนำบ้างในบางจังหวะ ดวงศิริรู้สึกว่าการมีใครสักคนที่เธอเปิดเผยความอ่อนแอได้นั้นมันช่างดีจริงๆ

ดีจนไม่อยากให้ไพ่สามดาบกลายเป็นเรื่องจริงขึ้นมาเลย

 



Don`t copy text!