โพงคำหอม บทที่ 3 : จูบแรกของเธอ

โพงคำหอม บทที่ 3 : จูบแรกของเธอ

โดย : ทศพล

Loading

โพงคำหอม โดย ทศพล สิงห์คำมา 1 ใน 5 นวนิยายจากโครงการช่องวันอ่านเอาที่กำลังจะทำเป็นละคร กับตำนานที่เล่าขานสืบต่อมาในดินแดนอีสาน เมื่อมีหญิงสาวถูกกล่าวหาว่าเป็นผีโพง ความอันลึกลับที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านอันห่างไกล และผู้เฒ่าทั้งสามที่พยายามจะตามล่าเธอด้วยเหตุผลที่มิอาจบอกใครได้ นวนิยายออนไลน์อีกเรื่องที่อ่านเอาภูมิใจนำเสนอ

คำหอมและขุนออกมานอกเขตบ้านของพรานบุญแล้ว พวกเขาทั้งสองพากันเดินกลับเส้นทางเดิมซึ่งมันมืดค่ำแล้ว แต่แสงของพระจันทร์ที่ส่องลงมาก็พอที่จะได้มองเห็นทางเดินอยู่บ้าง

อากาศเริ่มหนาวเย็นและมียุงชุกชุม คำหอมเดินกอดตัวเองและปัดไล่ยุงที่บินมารอมรุม ขุนเดินตามอยู่ข้างหลังสังเกตเห็นจึงปลดผ้าคาดเอวของเขาเองออกมาสะบัดออกแล้วนำไปโอบกายจากด้านหลังให้ เธอสะบัดผ้าออก แต่ขุนเองดึงขึงผ้าไว้แน่นแล้วโอบไปข้างหน้าจนแทบจะเหมือนกอดเธอเข้าแล้ว

“เอาออก” เธอจิกสายตาหันไปจนเกือบจะประกบหน้าจูบกัน

ขุนส่ายหัวพร้อมกับส่งยิ้มให้ รอยยิ้มนี้เหมือนจะสะกดจิตให้คำหอมหยุดดิ้น “อากาศมันหนาว อ้ายว่าน้องต้องใช้มัน”

“ข่อยไปเป็นน้องเจ้าตอนไหน”

“เป็นหยัง ถ้าเรียกน้องบ่ได้ หรือสิให้เรียกเมีย…”

คำหอมใช้จังหวะนี้ดิ้นให้หลุดจากอ้อมกอดของขุน “ข่อยสิกลับบ้านแล้ว อย่ามายุ่ง”

“เอาผ้าไปคลุมไหล่ก่อน หรือสิให้อ้ายคลุมให้อีก” ขุนยื่นผ้าให้ “เร็ว ๆ”

ลมหนาวพัดมา มันยิ่งทำให้ทวีความหนาวขึ้น คำหอมจึงตัดสินใจรับผ้าผืนนั้นมาคลุมไหล่ตัวเอง

“ขอบคุณ!”

ขุนยิ้มแฉ่ง “ก็แค่นั้น”

“งั้นเอาคืนไปเลย”

“บ่ บ่ บ่ อ้ายยกให้”

“ทีนี้ต่างคนต่างเดิน อย่าทำนิสัยเสียกับข่อยอีก บ่งั้นข่อยสิบอกทุกคนว่าเจ้าเป็นคนแบบไหน”

“เอาเลย อ้ายสิได้บอกทุกคนว่า เฮาผิดผีกันแล้ว แล้วเฮาก็จะได้อยู่ด้วยกัน”

“บ่มีทาง” เดินทำหน้าเย้ยเข้าไปใกล้ ๆ “สิบอกให้เด้อ ข่อยมีคนที่ฮักแล้ว อย่ามาเสียเวลาเลย”

“ของแบบนี้กะบ่แน่ บักคนนั้นสิเป็นใครก็ช่าง ถ้าน้องคำหอมฮักอ้ายขึ้นมา มันกะบ่มีความหมาย”

“มั่นใจเจ้าของหลายเนาะ เกิดมายังบ่มีผู้ชายใด มั่นใจเจ้าของหลายปานนี้”

ขุนขมวดคิ้วแล้วเดินไปใกล้ ๆ “รอดูก็แล้วกัน น้องคำหอมของอ้าย” ยิ้มกว้าง

เสียงกิ่งไม้หักจากด้านข้าง คำหอมสะดุ้งตกใจ เธอหันไปดูกลับเห็นแสงสีเหลืองวิบวับอยู่ไกล ๆ เธออยากรู้ว่าแสงนั่นคืออะไร จึงตัดสินใจวิ่งตามไปดู

ขุนกะจะหวานให้มากกว่านี้สักหน่อยแต่ก็ถูกขัดจังหวะก่อนวิ่งตามเธอไปติด ๆ “รออ้ายด้วย”

พวกเขาทั้งสองวิ่งตามไปดู แล้วหยุดตรงพุ่มไม้คอยสอดแหนมอยู่ไกล ๆ

“นั่นแสงอิหยัง หิ่งห้อยบอ” ขุนพูด

“หิ่งห้อยบ้านเจ้าติ ร่างเป็นคนขนาดนั้น”

สิ่งที่พวกเขาเห็นคือร่างผู้หญิง คนหนึ่งกำลังวิ่งไปที่กระท่อมน้อยปลายนา ทว่าที่น่าประหลาดใจ ใบหน้าของผู้หญิงแก่นั้นกลับเรืองแสงได้ เดี๋ยวสว่างเดี๋ยวดับ ก่อนที่ผู้หญิงคนนั้นจะวิ่งเข้าป่าทึบไปดันเหลียวหลังมองดูลาดเลา จึงเผยให้เห็นใบหน้าน่าเกลียดน่ากลัวที่มีจมูกบวมใหญ่เรืองแสงได้

คำหอมได้เห็นใบหน้าผู้หญิงนั่นเต็ม ๆ สองตา เธอเกือบจะตกใจกรี๊ดดังออกมาแล้ว แต่โดนมือของขุนโอบจากด้านหลังปิดปากไว้เสียก่อน ใบหน้าของเธอซีดเซียว ร่ายกายแทบไม่มีแรงเดิน จึงหันหน้ามาซบอกของขุนไว้

ขุนยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจเป็นอย่างมาก “เป็นหยัง”

“กะข่อยกลัว”

“บ่มีอิหยังแล้ว” ขุนไม่มีอาการตกใจกลัวเลยสักนิด “กลับเฮือนกันเถอะ”

“ข่อยบ่มีแฮงเดิน”

“อ่อยอ้ายแม้นบอ”

“บ่ได้อ่อย บ่มีแฮงเดินอีหลี”

“งั้นอ้ายอุ้มเด้อ”

“บ่เอา”

ขุนหันหลังให้ก่อนโน้มตัวก้มลง “ขึ้นมา ขืนรอให้ขามีแรง เดี๋ยวมันออกมาอีกที”

คำหอมคิดทบทวนอยู่นาน ใจหนึ่งก็กลัว ใจหนึ่งก็ไม่กล้า ไม่รู้ว่าเรี่ยวแรงมันหายไปไหนหมด

“เอายังไง งั้นอ้ายกลับก่อนนะ”

“กะได้ กะได้”

คำหอมรวบรวมแรงที่มีดันตัวเองขึ้นไปบนแผ่นหลังแกร่ง ขุนใช้แขนทั้งสองไปคล้องขาของเธอแล้วดันตัวเองลุกขึ้นเดิน เธอรู้สึกอายมาก แต่ก็ไม่มีวิธีที่ดีไปกว่านี้ เพราะเธอเป็นคนกลัวผีมากและเข้าใจว่าสิ่งที่เห็นเมื่อตะกี้คือผีอย่างแน่นอน

ขุนยังคงเดินแบกคำหอมกลับไปส่งที่บ้านตามเส้นทางเดินหลักของหมู่บ้าน

“เป็นหยังเจ้าบ่กลัว” คำหอมพูด ใบหน้าที่เกือบจะแนบชิดที่ใบหูของขุน

“ถ้าอ้ายกลัว สิมีแฮงแบกน้องคำหอมบ่”

“อย่าไปบอกใครเด็ดขาดเด้อ”

“อ้ายขอคิดดูก่อน”

คำหอมบิดหูขุนจนเขาร้องดังขึ้นด้วยความเจ็บปวด “เอาไง สิบอกคนอื่นบอ”

ขุนร้องดังลั่นด้วยความเจ็บ “เจ็บ เจ็บ เจ็บ เจ็บ เจ็บ กะได้ กะได้ อ้ายบ่บอกใคร”

“แน่นะ”

“จ้ะ อ้ายสัญญา”

ขุนถอนหายใจออกมา หลังจากคำหอมหยุดบิดหู หัวใจของชายหนุ่มกระชุ่มกระชวย มันถูกเติมเต็มไปด้วยความรักที่คาดไม่ถึงว่าจะได้อยู่กับสถานการณ์แบบนี้ ในใจเขาคงแอบขอบคุณผู้หญิงคนนั้นที่ทำให้คำหอมกลัวแล้วยอมกระโดดขึ้นมาขี่หลังแนบชิดกายกันเช่นนี้

 

“อ้ายขุน” กากะเลาเห็นขุนกำลังแบกคำหอม ใบหน้าที่แสดงออกถึงความโมโหและปริ่มน้ำตาในคราวเดียวกัน เธอกับเกิ้งเพิ่งไปรับชุดนางรำจากบ้านของช่างตัดเสื้อ เพื่อที่จะใส่ซ้อมฟ้อนรำในวันพรุ่งนี้

คำหอมเห็นกากะเลาและเกิ้ง เธอตกใจจึงรีบตะกายลงจากหลังของขุนทันที

ขุนทำหน้านิ่ง เพราะไม่รู้จะพูดอะไร

ท่าทางเกิ้งจะโมโหแทนกากะเลา จึงตะโกนด่าคำหอม “มึงมันร่าน แม่หญิงท่าขี้อ้น บ่มีใครมาเกาะหลังผู้ชายที่บ่แม้นผัวของเจ้าของเด้อ”

คำหอมเริ่มโมโหที่ถูกด่า “อีเกิ้ง ก่อนที่เจ้าสิพูดหยัง หัดคิดดี ๆ ก่อนพูดเด้อ บ่งั้นกูสิตบบ่ยั้งแน่”

“มาเลย กูกะอยากตบมึงมานานแล้ว อีคำหอม” เกิ้งถกผ้าถุงขึ้นพร้อมจะตบ แต่โดนกากะเลาจับตัวไว้

“เอื้อยเกิ้ง หยุดเถอะ เฮากลับเฮือนกันเถอะนะ” กากะเลาหัวใจเริ่มแตกสลาย แทบไม่มีแรงจะเดิน

“ฝากไว้ก่อนเถอะ” เกิ้งชี้หน้าด่าออกไป “อ้ายขุน ข่อนขอเตือนไว้เด้อ ถ้าบ่ฮักกากะเลาแล้ว กะอย่ามาให้ความหวัง เข้าใจบอ”

กากะเลาลากแขนเกิ้งกลับบ้าน “ไปเถอะเอื้อย ไป ไป” ตลอดระยะเวลาเกือบปีที่เธอคอยความรัก แต่วันนี้ทุกอย่างกลับพังลงแล้ว นี่แหละเขาเรียกว่า รักข้างเดียว

คำหอมเกิดอาการงงจึงหันไปถามขุนที่ยืนหน้าซีดคล้ายกับคนกลัวเมีย

“บอกมา ชอบพออยู่กับกากะเลาแม้นบอ”

ขุนยืนนิ่งเงียบทำหน้าซื่อ ไม่ตอบอะไร

“ไปเร็ว ไปง้อเขาสิ ไปอธิบายให้เขาเข้าใจสิ ยืนซื่อบื้ออยู่ได้”

“อ้ายบ่เคยฮักกากะเลา”

“แล้วไปให้ความหวังเขานี่นะ”

“บ่เคยให้และบ่เคยจีบด้วย”

คำหอมยืนค้ำเอวแล้วชี้นิ้วใส่หน้าขุน “อย่ามาขี้ตั๋ว ผู้ชายเจ้าเล่ห์อย่างเจ้า คงชอบหักอกผู้หญิงมาเยอะละสิท่า ข่อยล่ะบ่มักเลยผู้ชายแบบนี้”

“แล้วน้องคำหอมมักแบบไหนล่ะ” ส่งสายตาสะกดให้ตกอยู่ในภวังค์ “แล้วแบบนี้ล่ะ ชอบไหม”

ขุนจับหน้าคำหอมดึงมาจูบปาก เธอถึงกับตาโตตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนดันตัวเองออกกะจะตบหน้าขุน แต่ยังไม่ทันจะตบ ขุนก็จับหน้าเธอมาจูบอีกครั้งอย่างดูดดื่ม ปลดปล่อยอารมณ์ตามใจตัวเอง

คำหอมยืนนิ่งจนน้ำตาไหลออกมา ตั้งแต่เกิดมานี่คือครั้งแรกที่ถูกผู้ชายสัมผัสริมฝีปาก

ขุนหยุดจูบ เขารู้สึกผิดที่ไม่อาจยับยั้งช่างใจตัวเอง “อ้ายขอโทษ”

คำหอมโมโหมาก เธอดึงผ้าคลุมที่ขุนให้ออกมาแล้วฟาดไปที่หน้าเขาอย่างแรง “เจ้ามันคนฉวยโอกาส” แล้วเธอก็วิ่งกลับบ้านไปทั้งน้ำตา

 

แพงศรีกำลังนั่งเย็บชุดนางรำที่เหมือนใกล้จะเสร็จแล้วอยู่บนบ้าน เธอหันไปเห็นคำหอมที่เดินก้มหน้าขึ้นมาบนบ้าน “คำหอม มาลองชุดก่อน”

คำหอมหลบสายตาไม่หยุดคุยด้วยเลย เธอรีบเข้าห้องไปปิดประตูลงกลอนก่อนนั่งร้องไห้กอดเข่าตัวเองที่มุมห้อง

แพงศรีรู้สึกเป็นห่วงก่อนเดินไปเคาะประตู “ลูกเป็นหยัง”

คำหอมฝืนตะโกนออกมา “ลูกบ่ได้เป็นหยัง แค่อยากนอนเร็วขึ้นจ้ะ”

“งั้นกะพักผ่อนนะ พรุ่งนี้อย่าลืมไปซ้อมรำเด้อ ชุดรำวางอยู่นี่เด้อลูก” แพงศรีวางชุดรำไว้ในตะกร้าใกล้ ๆ ประตูห้องนอนของลูกสาว

คำหอมเพิ่งจะเสียจูบแรกให้กับชายหนุ่มต่างเมืองที่เพิ่งจะเจอกันวันแรก มือที่ทุบหมอนลงไปอย่างแรงและหยิบผ้ามาเช็ดปากไปมา ภาพในหัวยังคงจำรอยจูบนั่นได้ดี อาการแทบคลั่งแต่ต้องเก็บความเงียบไว้เพื่อไม่ให้แม่ได้รับรู้ว่าตัวเองไปโดนอะไรมา

 

ขุนเอาแต่นั่งนอนถอนลมหายใจอยู่ที่ระเบียงกุฏิวัด เขาคงรู้สึกผิดที่ทำอะไรออกไปโดยไม่คิด ความเลือดร้อนของชายหนุ่มที่ไม่เคยสัมผัสแม่หญิงคนใดมาก่อนเลย จึงพ่ายแพ้ให้กับอารมณ์ของตัวเองไป บางทีเขาก็ไม่สามารถอธิบายให้ตัวเองเข้าใจได้เลยว่าทำไมหัวใจถึงเรียกร้องหาแต่คำหอมคนเดียว

ผาที่นอนอยู่ต้องตื่นขึ้นมาถาม “มึงเป็นหยังวะ”

“กูทำถูกบ่วะ บ่เข้าใจตัวเองว่ะ”

ผาเดินเข้ามานั่งลงข้าง ๆ “มึงไปทำหยังมาวะ”

“นี่กูต้องแต่งกับเขาแล้วว่ะ”

“เฮ้ยบักขุน อย่าบอกนะว่ามึงทำผิดกฎแล้ว”

“เออ ทำไงได้ กูเฮ็ดไปแล้ว”

“ในที่สุดมึงกับกากะเลากะลงเอยกันจนได้” ผายิ้มออกมา “อย่าลืมนะเว้ย ครูบาบอกว่าให้มีผัวเดียวเมียเดียว ถ้ามึงแอบมีอีกคน คาถามึงเสื่อมแน่ กูขอเตือน”

“บ่แม้นกากะเลาว่ะ” ขุนหันไปยิ้มที่มุมปากซ้าย

“แล้วใครวะ อย่าบอกนะว่าเป็นแม่เกิ้ง” เขาหัวเราะออกมา

“คำหอม”

ผาชะงักงัน ทำเสียงสะอึก อ้าปากค้างจนพูดไม่ออก

บุญเที่ยงแอบได้ยินเข้าถึงกับลุกขึ้นมาจะชกหน้าขุนสักสองสามที “บักห่า มึงนี่ตัดหน้ากูหรอวะ มื้อนี้กูสิฆ่ามึง” เขากำลังจะพุ่งหมัดชกหน้า แต่ขุนก็ดันวิ่งหนีก่อน พวกเขาวิ่งไล่กันไปมาทั่วบริเวณวัด จนหมาในวัดเห่าหอนกันดังสนั่น

สาเหตุที่สามคนนี้ยังไม่มีเมีย เพรามันคือกฎข้อห้ามสำหรับคนที่เรียนคาถา ต้องมีผัวเดียวเมียเดียวตามคำบอกของครูบาที่ตนได้ร่ำเรียนมา ดังนั้น ต้องตัดสินใจให้ดีว่าจะอยู่ครองคู่กับใครไปจนแก่ชรา ถ้าหากมีเล็กมีน้อย คาถาที่ได้เรียนมาอาจจะเสื่อมลง

สามหนุ่มยังคงนั่งคุยกันที่ริมระเบียงกุฏิ หลังจากหยุดทะเลาะกันเพราะโดนหลวงปู่และพระรูปอื่นตะโกนด่ากันเกือบทั้งวัด

“มึงคิดดีแล้วหรอวะ” บุญเที่ยงพูด เขายังหอบเพราะเพิ่งจะวิ่งไล่กันเสร็จ “น้องกากะเลากะยังว่างสิวะทีนี้ มึงบ่มีสิทธิ์แล้วนะโว้ย” หัวเราะออกมา

“กูไง” ผาหัวเราะออกมา

บุญเที่ยงตบหัวผาหนึ่งที “อย่ามั่นหน้าให้มากเด้อมึง บักฝรั่งโคก น้องกากะเลาเขาบ่มักลูกครึ่งแบบมึงหรอก”

ผาสะบัดหัว “บักห่า ถ้ามึงตบหัวอีกทีนะ กูสิถีบมึงลงตรงนี้เลยนะเว้ย เจ็บชิบหาย”

บุญเที่ยงหันไปมองขุนที่ทำหน้าเศร้า แทนที่จะดีใจ “ขุน เป็นหยังมึงคือเฮ็ดหน้าเครียดคือควายใกล้ตายจังวะ”

ขุนทำหน้าเครียด นั่งคอตก “เพิ่งเจอกันวันแรก กูกะเฮ็ดเธอร้องไห้แล้ววะ ถ้าเกิดเขาบ่มักกู บ่ยอมเป็นเมียกู กูสิเฮ็ดยังไงดีว่ะ”

“กะบ่ต้องเฮ็ดหยัง มึงกะแค่อยู่ผู้เดียว มองดูควายน้อยอย่างน่าสงสาร ฮ้า ๆ ฮ้า ๆ”

บุญเที่ยงพูดเชิงตลกขบขัน พอพูดจบผาก็ลุกขึ้นกะว่าจะถีบเขา แต่ดันไหวตัวทันรีบชิ่งหนีเข้าห้องนอนไปก่อน

ผาวางมือบนไหล่ของขุน ปลอบใจเพื่อนรัก “หน้าหล่อ ๆ ขาว ๆ อย่างมึง มีศักดิ์เป็นถึงลูกเจ้าเมือง แม่หญิงคนไหนก็หลงทั้งนั่นแหละ เชื่อกู สักวันคำหอมก็ต้องหันมาหลงมึง ถ้าเขารู้ว่ามึงเป็นใคร”

“แม้นเบาะวะ”

“บ่แม้นวะเพื่อน ไปล่ะ” ผาเดินเข้าห้องนอนไป

“แล้วมึงสิพูดหาพระแสงอิหยังวะ” ขุนยังคงนั่งอยู่คนเดียวสักพัก คิดทบทวนเรื่องราวต่าง ๆ ไปเรื่อย ๆ รอจนกว่าจะง่วง

 

เช้าวันถัดมา แม่หญิงชาวท่าขี้อ้น จำนวน 20 คน พร้อมใจกันแต่งกายชุดฟ้อนรำประจำเผ่าภูไทที่เน้นสีน้ำเงินเข้มแถบแดง ใส่เล็บมือปลอมสีแดงยาวแหลม พากันมาฝึกซ้อมใหญ่ก่อนวันจริงที่ลานกว้างใต้ต้นไม้ใหญ่ของวัด วงดนตรีพื้นบ้านส่วนมากเป็นผู้ชายที่มีความสามารถในการเล่นกลอง แคน โหวด โปงลาง เป็นต้น เพื่อบรรเลงเพลงให้เหล่านางรำซ้อมฟ้อน

เหล่าชายหนุ่มจำนวน 45 คน กำลังคัดเลือกไม้พายเรือมาเป็นของตัวเอง เพื่อใช้ในการฝึกซ้อมใหญ่ในวันนี้ที่ริมน้ำหนองหาร  สายตาของหนุ่ม ๆ พากันจ้องมองสาว ๆ สวย ๆ ที่แต่งกายเสมือนวันจริงมาซ้อมฟ้อนรำอย่างกระชุ่มกระชวยใจ

 

แม่ใหญ่ผ่องผ่องเดินถือร่ม พากากะเลาและเกิ้งที่แต่งองค์ทรงเครื่องอย่างงดงามมาซ้อมรำ

หัวหน้านางรำวิ่งเข้าไปต้อนรับและยกมือไหว้ “วันนี้แม่ใหญ่มาเองเลยหรือจ๊ะ”

“ซ้อมมื้อสุดท้ายแล้ว ข่อยกะต้องมาตรวจสอบว่า นางรำบ้านเฮาพร้อมหรือยัง”

“บ่ต้องห่วง” หันไปมองกากะเลา “ได้กากะเลาคนงามกับคำหอมฟ้อนหน้าขบวนให้ รับรองขบวนหมู่บ้านเฮา สวยงามกว่าบ้านอื่นแน่นอนจ้า”

แม่ใหญ่ผ่องผ่องทำหน้าเบะปากพอได้ยินชื่อคำหอม “ไป ๆ เตรียมตัว สิได้เวลาซ้อมแล้ว”

“รอสักหน่อยจ้า ยังมาบ่ทันครบ”

 

ไม่ทันไร คำหอมในชุดสาวภูไทปล่อยผมสลวยยาว ทัดหูด้วยดอกจำปาและในมือถือร่มกางเพื่อบังแดด เธอเดินมาพร้อมกับผิวด้วยท่วงท่าการเดินที่อ่อนช้อยงดงาม สายตาทุกคนต่างจับจ้องมองไป

ขุนเหมือนตกอยู่ในห้วงของความงาม เขาเดินยิ้มออกไปหาคำหอมโดยไม่รู้ตัว จนใคร ๆ ก็ต่างมองด้วยความสงสัยว่า เป็นอะไรกัน

“มาแล้วหรอ” ขุนรีบทักขึ้น จากที่คำหอมยิ้มอยู่ก็เปลี่ยนสีหน้าเรียบนิ่ง

กากะเลายังไม่หายจากความโศกเศร้าเสียใจ ภาพที่เห็นเมื่อวานมันส่งผลกระทบต่อหัวใจอีกครั้ง          เกิ้งเห็นกากะเลามีสีหน้าที่เปลี่ยนไป หล่อนรีบคว้ามือของกากะเลามากุมไว้เพื่อให้กำลังใจ

คำหอมเดินหนีไม่คุยด้วย แต่ขุนก็คว้ามือเธอไว้ จนชาวบ้านที่เห็นพากันร้องว้าวออกมา

“ปล่อยมือข่อย เจ้าอย่ามาเฮ็ดแบบนี้คือมื้อวาน” สายตาของคำหอมเหมือนจะเริ่มโกรธ

ผิวเห็นท่าไม่ดีจึงรีบไปกระชากมือของขุนออกแล้วจูงแขนคำหอมไปรวมกลุ่มกับคณะนางรำ “เอื้อยรีบไปซ้อมเร็ว”

ผาและบุญเที่ยงวิ่งมาปลอบใจขุน ในขณะที่ชาวบ้านเริ่มซุบซิบนินทาว่าสองคนนี้เป็นอะไรกัน บางคนก็ต่างโพทะนาว่าผิดผีกันแล้วหรือยัง ไม่นานข่าวนี้คงดังไปทั่วหมู่บ้านในไม่ช้า

หัวหน้านางรำตะโกนขึ้น “เอ้า ๆ ทุกคนตั้งขบวน ได้เวลาซ้อมแล้ว”

คำหอมและกากะเลายืนอยู่ข้างกันแถวหน้าสุด ซึ่งแถวถัดมาเป็นเกิ้งและแม่หญิงคนอื่น ๆ

“ในที่สุดเจ้ากับอ้ายขุนกะสมหวังกัน” กากะเลาพูด

“ข่อยบ่ได้เป็นหยังกับผู้ชายคนนั่น อย่ามายัดเยียดผัวให้ข่อย” คำหอมตอบกลับไป

เสียงดนตรีดังขึ้น เหล่านางรำก็ตั้งท่าฟ้อนอย่างงดงามตามที่ได้ฝึกซ้อมมาอยู่ก่อนแล้ว สมกับคำร่ำลือว่า สวยสุดซึ้งสาวภูไทนั่นเอง ส่วนคณะฝีพายก็พากันไปฝึกซ้อมแข่งเรือที่หนองหาร

 

ใกล้เที่ยง เหล่านางรำและวงดนตรีหยุดซ้อม จึงแยกย้ายกันมารับประทานอาหารเที่ยงที่โรงครัว           แพงศรีกวักมือเรียกคำหอมและผิวให้มาช่วยจัดปิ่นโตกับข้าวเพื่อนำไปส่งให้กับคณะฝีพาย

แม่ใหญ่ผ่องผ่องทำทีเดินมาดูถาดอาหารแล้วตะโกนถามหัวหน้าแม่ครัวที่กำลังตักอาหารใส่ถ้วยให้กับคนอื่น ๆ “ยายอ้วน วันนี้มีแกงกระหรี่บ่จ๊ะ” น้ำเสียงแหลม ๆ ที่ต้องการจะสื่อความหมายอย่างอื่น

ยายอ้วนตอบกลับมา “บ่มีจ๊ะแม่ใหญ่ มีแต่แกงผักตบ! ใส่ปลาข่อใหญ่จ๊ะ กินบ่คะ”

“บ่หรอกจ้ะ งั้นข่อยกลับไปกินที่เฮือนดีกว่า ไปลูก” แม่ใหญ่ผ่องผ่องหัวเราะคิกคักแล้วพากันเดินกลับบ้าน เธอมองไปยังแพงศรีด้วยหางตาที่หยามเหยียด

คำหอมและผิวยืนเอามือท้าวเอว พร้อมจะสู้ได้ทุกเมื่อ แต่แพงศรีกลับไม่สนใจคำพูดเหล่านั้น

ผิวรู้สึกหมั่นไส้ “ในวัดในวา ยังปากหมาขนาดนี้”

“อย่าไปสนใจ มาช่วยกันยกของเร็ว” แพงศรีหันขึ้นไปบอกผิวและคำหอม

คำหอมและผิวช่วยแพงศรีขนปิ่นโตพร้อมกับแม่หญิงอีกสิบคน เพื่อนำอาหารไปให้เหล่าฝีพายได้รับประทานอาหารเที่ยงหลังจากฝึกซ้อมเสร็จพอดีที่ริมหนองหาร

 

เหล่าฝีพายพากันทยอยเดินกันขึ้นมา แยกย้ายกันล้อมวงกินข้าวที่จัดวางไว้ให้

ขุนและเพื่อน ๆ เห็นคำหอมและผิวกำลังจัดอาหารอยู่ จึงพากันเดินเข้าไปหา

“มื้อนี้มีหยังให้กินจ๊ะ” บุญเที่ยงพูดขึ้น

ผิวหันหน้ามายิ้มให้ “เยอะเลยครับ”

คำหอมจัดของเสร็จจึงหันไปพูดกับผิว “ไปกันเถอะผิว” เธอเดินไปหาแม่โดยไม่สนใจใยดีขุนเลย

ขุนไม่โกรธที่คำหอมแสดงกิริยาแบบนั้นออกมา เธอเองคงยังทำใจไม่ได้ที่ถูกลวนลามไปแบบนั้น ดีซะอีกทีมีแม่หญิงเกลียดเขาบ้าง เพราะที่ผ่านมาในชีวิตของเขาเจอแต่แม่หญิงที่พร้อมใจเข้าหาเขามากกว่า



Don`t copy text!