โพงคำหอม บทที่ 4 : ผีอิหยัง

โพงคำหอม บทที่ 4 : ผีอิหยัง

โดย : ทศพล

Loading

โพงคำหอม โดย ทศพล สิงห์คำมา 1 ใน 5 นวนิยายจากโครงการช่องวันอ่านเอาที่กำลังจะทำเป็นละคร กับตำนานที่เล่าขานสืบต่อมาในดินแดนอีสาน เมื่อมีหญิงสาวถูกกล่าวหาว่าเป็นผีโพง ความอันลึกลับที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านอันห่างไกล และผู้เฒ่าทั้งสามที่พยายามจะตามล่าเธอด้วยเหตุผลที่มิอาจบอกใครได้ นวนิยายออนไลน์อีกเรื่องที่อ่านเอาภูมิใจนำเสนอ

อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันออกพรรษาแล้ว ชาวบ้านหลายหมู่บ้านก็คงวุ่นอยู่กับการทำหอผึ้งให้วิจิตรงดงาม เพื่อไปถวายแก่องค์พระธาตุเชิงชุมและต้องแล้วเสร็จให้ทันก่อนวันงานจะเริ่ม

บ่ายวันนี้สายฝนก็โปรยปรายลงมา โดยไม่มีทีท่าว่ามันจะหยุดเลย แพงศรีกับคำหอมกำลังนั่งสอยผ้ากันอยู่บนบ้าน ผ้ากองโตกำลังถูกจัดการให้เรียบร้อยแล้วพับเรียงไว้เตรียมส่งขายให้กับพ่อค้าคนกลาง

“ผ้าย้อมครามหอมเนาะแม่” คำหอมสูดกลิ่นหอมของผ้า

“มีหยังอยากบอกแม่อยู่บ่”

คำหอมตกตะลึง เธอหยุดสอยผ้า “บ่จ้ะ” ยิ้มกลบเกลื้อน

“เดี๋ยวนี้หัดขี้ตั๋วแม่แล้วเด้อ”

คำหอมพยายามหลบสายตาแม่ด้วยการก้มหน้าสอยผ้าต่อ “เรื่องอิหยังจ๊ะแม่”

“แม่ฮู้เรื่องหมดแล้ว ระหว่างลูกกับพ่อหนุ่ม…ชื่อขุน”

“แม่ สิ่งที่แม่ฮู้มามันบ่เป็นความจริงเลย เขาเป็นผู้ชายนิสัยบ่ดี” สีหน้าดูจริงจังขณะอธิบาย

“บ่ดียังไง พรานบุญบอกแม่หมดแล้ว ว่าเขาเป็นใครมาจากไหน มีนิสัยใจคอเป็นยังไง”

“แล้วแม่กะเชื่อพ่อลุงนี่นะ เขาเพิ่งเข้ามาในหมู่บ้านเฮาแค่บ่กี่มื้อเองนะจ๊ะแม่”

“ปีก่อนเขากะมา…ช่วยแข่งเรือ”

“ข่อยว่าแม่ตัดสินคนเร็วไปเด้อ”

“แล้วจะให้แม่เฮ็ดยังไง ในเมื่อลูก…” แพงศรีไม่อยากพูดคำนั้น “ผิดผีกันแล้ว ชาวบ้านเขาลือกันไปทั่วตลาดแล้ว แล้วพ่อหนุ่มคนนั้นกะคือสิมักลูกมากด้วย”

“มันบ่แม้นความผิดข่อยนิแม่” คำหอมร้องไห้ออกมา

แพงศรีเข้าไปโอบกอดลูกสาวที่กำลังร้องไห้ “ในเมื่อลูกบ่ได้มักเขา พรุ่งนี้แม่สิไปบอกหลวงปู่ให้ลงโทษเขาเอง โทษฐานมาทำให้ลูกแม่อับอาย”

คำหอมส่ายหัวทั้งน้ำตา “บ่ต้องไปบอกหลวงปู่หรอกจ้ะ เดี๋ยวเรื่องมันกะเงียบ”

แพงศรีเริ่มมีอาการบีบหัวใจ มือกดเข้าไปตรงหน้าอกจนแทบจะหายใจไม่ออก

คำหอมรีบลุกไปเอาตะกร้ายาที่ริมห้องมาให้ เธอหยิบว่านแห้ง ๆ ที่ฉีกไว้เป็นชิ้นยื่นให้ “นี่จ้ะ”

แพงศรีรับยามาแล้วรีบเคี้ยวแล้วกลืนมันลงไปทันที หลังจากนั้นอาการก็เริ่มดีขึ้นเรื่อย ๆ

“ไปหาหมอในเมืองไหมแม่ เป็นแบบนี้มาหลายปีแล้วกะบ่เห็นหาย”

“บ่เป็นหยังหรอก มีว่านนี้กะช่วยได้แล้ว”

“แม่กินว่านนี้มาเยอะแล้ว โรคหยังกะบ่ฮู้ มาเฮ็ดให้แม่เจ็บปวดเป็นครั้งคราว”

แพงศรีมองหน้าคำหอม “ฟังแม่เด้อ ว่านนี้ช่วยแม่ไว้ ถ้าในวันหน้าลูกเป็นอะไร กะให้กินว่านนี้เด้อ”

“ว่านนี้แก้โรคหยัง เป็นหยังลูกต้องกิน”

“แก้ได้หมด บ่เห็นแม่เบาะ กินทีไรหายตลอด”

คำหอมเห็นแม่ร่างกายอ่อนเพลีย “เชื่อแล้วกะได้ ว่าแต่แม่ไปนอนพักก่อน ข่อยสิเฮ็ดต่อเองจ้ะ”

แพงศรีพยักและส่งยิ้มให้ “จ้ะ” เธอวางเข็มและด้ายลงในกล่อง

คำหอมพยุงแม่ไปนอนที่ห้อง เธอจัดการที่นอนหมอนมุ้งเรียบร้อยก่อนเดินออกมานั่งเหม่อมองสายฝนปะทะกับใบต้นว่านไฟที่ปลูกเต็มรอบบ้าน เธอเหลือบไปเห็นขุนยืนตากฝนอยู่หน้าบ้าน  ผ่านไปหลายชั่วโมงเขาก็ยังยืนอยู่แบบนั้น จนเธอรู้สึกเป็นกังวลจึงรีบไปคว้าร่มเดินลงไปหา

พวกเขาสองคนยืนอยู่ในร่มด้วยกัน ท่ามกลางสายฝนที่ยังสาดลงเรื่อย ๆ ร่างกายของขุนเหมือนจะทนไม่ไหว เขาเริ่มมีอาการสั่นไปทั้งตัว

“ทำแบบนี้เฮ็ดหยัง” คำหอมพูด

“อ้ายขอโทษ”

ขุนอ่อนเพลียมากจากการยืนตากฝนเป็นเวลานาน เขาฝืนยิ้มออกก่อนจะเป็นลมล้มลง แต่คำหอมประคองไว้ทัน เธอกอดเอวเขาลากเข้าไปนอนบนแคร่ใต้ถุนบ้านอย่างทุลักทุเล

คำหอมไปหาผ้าห่มมาปูไว้บนแคร่และหาผ้ามาเช็ดร่างกายให้ขุน เธอถอดเสื้อของเขาออกและหาผ้ามาปิดตรงเป้าของเขาก่อนค่อย ๆ สอดมือปลดเชือกที่มัดผ้าเตี่ยวไว้แล้วกระชากออกมา เธอหายใจเข้าลึก ๆ กล้า ๆ กลัว ๆ ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าต้องมาทำอะไรแบบนี้ด้วย ทั้งเช็ดตัวให้แห้ง ใส่เสื้อผ้าให้ใหม่และห่มผ้าหนา ๆ ให้ จะไปบอกให้ผิวมาช่วยก็ไม่ได้เพราะติดฝน

ผ้าชุบน้ำร้อนแล้วบิดหมาด ๆ เช็ดหน้าของขุนอย่างทะนุถนอม ไล่ลงมาเช็ดตรงซอกคอและแผลงหน้าอก เธอพยามไม่มองหุ่นล่ำหนา โดยหรี่ตาให้เล็กที่สุด แต่แล้วมือของขุนก็จับมือของคำหอมฉุดเข้ามานอนกอดกัน เธอพยายามดิ้นให้หลุดมากเท่าไหร่ เท้าของขุนก็พยามเกี่ยวทับขาของเธอไว้แน่นให้อยู่ภายใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน ถึงแม้ว่าอยากตะโกนให้คนอื่นช่วยแทบตายก็ไม่อาจทำได้ หากทุกคนรู้ว่านอนกอดรัดกันขนาดนี้คงถูกจับแต่งงานวันพรุ่งแน่

ขุนนอนอมยิ้มอย่างมีความสุขก่อนบรรจงจูบคำหอมก่อนกระซิบข้างหู “อุ่นจัง อยู่แบบนี้ตลอดไปได้บ่ อ้ายหนาวมานานแล้ว” คำหอมหยุดดิ้นแล้วทำใจให้สบาย กายอุ่น ๆ ของเขา ทำให้หัวใจอันเย็นชาของเธอหลอมละลายลง แล้วทั้งคู่ก็พากันนอนหลับไปด้วยความอ่อนแรง

 

ตกดึก ฝนที่ตกอยู่ก็หยุดลง ทำให้ท้องทุ่งชุ่มช่ำ เสียงกบเขียดร้องประสานเสียงกันดังทั่วท้องนา ชาวบ้านบางส่วนก็พากันออกหากิน โดยแยกย้ายกันไปตามจุดต่าง ๆ ที่คาดว่าจะมีกบเขียดที่ตนเองต้องการ เพื่อนำมาประกอบอาหารได้

สองพ่อลูกกำลังส่องโคมไฟเดินไปตามคันนา อุปกรณ์ของผู้เป็นพ่อถือเสียมด้ามยาว ส่วนลูกชายวัย 10 ขวบ ช่วยถือข้องไว้ใส่กบเขียด

“อีพ่อ มื้อนี้เบิ่งแล้วน่าสิได้หลายเด้อ” ลูกชายพูดขึ้นขณะเดินตามหลังผู้เป็นพ่อ

“เงียบ ๆ น่า เดี๋ยวคนสิฮู้ว่าเฮามาที่นี่”

“ป่าฟากนี้บ่มีใครกล้ามาหรอก มันอยู่ใกล้ถิ่นบ้านโพนเกินไป ใคร ๆ กะกลัวกัน”

ผู้พ่อหยุดเดินแล้วหันมาคุยกับลูกชาย “บักคำผาน เขากลัวอิหยัง เป็นหยังกูคือบ่ฮู้เรื่อง”

คำผานส่ายหัว “แทนที่อีพ่อสิฮู้ก่อน เป็นหยังข่อยถึงฮู้ก่อนเจ้าตลอด”

“กะมึงได้แม่ สอดเรื่องชาวบ้านไปทั่ว…เล่ามาเร็ว กูสิได้ตัดสินใจถูก”

“เล่าตอนนี้ เจ้าบ่กลัวติ”

“กลัวหยังวะ ป่าฟากนี้มีหยัง บอกกูมาเร็ว”

“ผี”

ผู้เป็นพ่อขาเริ่มสั่น แต่ก็ยังอยากรู้ต่อ “ผีอิหยังวะ กระสือบ่วะ”

“ผีบ่มัว ผัวบ่มี” หัวเราะลั่นที่อำพ่อได้สำเร็จ แต่กลับโดนพ่อตบหัวอย่างแรง

“บักอันนี้ เจ็บไหม ไปเดินทางต่อ อย่ามาล้อเล่นกับกูอีก” เขาเดินนำและบ่นตลอดทาง “เพื่อนเล่นมึงเหรอ บักคำผาน”

“หยอกแค่นี้กะบ่ได้…ตบแรงกว่าอีแม่อีก” คำผานเดินตามพ่อไปอย่างไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่

“สมหัวมึง”

สองพ่อลูกยังคงเดินเข้าไปในป่าเรื่อย ๆ เพื่อผ่านไปท้องนาอีกฟากของป่า แต่เสียงมันเงียบผิดปกติ แต่พวกเขาก็ไม่ได้หวาดกลัวมาก ความหนาวเย็นยังคงแผ่กระจายไปทั่วป่าเพราะฝนเพิ่งหยุดตก

คำผานเริ่มหนาว เพราะเสื้อบาง ๆ ไม่ได้ช่วยให้เขาอบอุ่นขึ้นเลย “อีพ่อ นานบ่กว่าสิถึง”

“ใจเย็น ๆ ใกล้สิถึงแล้ว มึงเห็นแสงไฟโน่นบ่”

“ไหน” คำผานเห็นแสงไฟที่มันกระพริบอยู่ไกล ๆ “นั่นไง มีคนมาชิงตัดหน้าเฮาแล้วพ่อ”

“บ่เป็นหยัง หากินนำกัน คนกันเอง”

“โคมไฟของเขา เป็นหยังมันกระพริบแท้ล่ะอีพ่อ”

“ไป ๆ อย่าถามหลาย กูขี้คร้านตอบ”

พอเดินหลุดออกจากป่ามา พวกเขาก็ยังคงเดินตามคันนาไปหาแสงไฟนั่น พอเดินเข้ามาใกล้ ๆ เห็นผู้หญิงคนหนึ่งกำลังนั่งยอง ๆ หันหลังให้ เหมือนเธอกำลังก้มมองหากบเขียดที่โดดไปมา

“มานานแล้วเหรอ กบเขียดเยอะบ่” พ่อของคำผานพูดด้วย แต่ผู้หญิงคนนั้นกลับไม่หันมาพูดด้วย

คำผานเริ่มมองผู้หญิงคนนั้นอย่างผิดสังเกตว่าทำไมแสงด้านหน้าของเธอเหมือนไม่ใช่โคมไฟ

“อีพ่อ กลับเถอะ ลาวคือบ่อยากให้เก็บนำแล้ว” ขาของเขาเริ่มสั่นระริก ๆ ขนแขนขนขาเริ่มชูตั้งขึ้น

“มาตั้งไกล ถ้าบ่ได้หยังกลับ แม่มึงกะสิด่ากูตายแล้ว”

“เจ้ากลัวอีแม่มากกว่าติอีพ่อ”

“เออ” ผู้เป็นพ่อเดินเข้าไปใกล้ ๆ ผู้หญิงคนนั้น “ได้ยินข่อยอยู่เบาะ ขอเก็บนำได้บ่”

คำผานตะโกนขึ้น “อีพ่อ” มือถือโคมไฟสั่นไม่เป็นจังหวะ

ผู้หญิงคนนั้นค่อย ๆ หันหน้ามาแล้วยิ้มอ้าปากกว้าง ๆ พวกเขาเห็นใบหน้าอันน่าเกลียดและเรืองแสงได้ ทำให้สองพ่อลูกผวาหวาดกลัวทิ้งสิ่งของทุกอย่างแล้ววิ่งหนีกลับบ้านไปในสภาพขวัญหนีดีฝ่อ เหมือนคนไร้สติ เสียงตะโกนว่า “ผี ผี ผี” ดังลั่นป่า

 

รุ่งเช้าข่าวที่สองพ่อลูกเจอผีดังไปทั่วหมู่บ้านในระยะเวลาอันรวดเร็ว จนชาวบ้านพากันมามุงยืนดูรอบบ้านของพวกเขา พ่อบ้านและแม่ใหญ่ผ่องผ่องต้องเดินทางมาพบลูกบ้านถามไถ่ว่าเกิดอะไรขึ้น เนื่องจากสองพ่อลูกยังไม่ได้สติเลยตั้งแต่เมื่อคืน

“ไหว้จ้ะ พ่อบ้าน แม่ใหญ่” แม่ของคำผานก็เอาแต่นั่งร้องไห้อยู่ข้าง ๆ ลูกและสามี

“บักบัวพากับลูกมึงเป็นยังไงอีเจ้ย เมื่อคืนมันไปเจอดีมาแถวไหน รู้บ่”

เจ้ยนั่งเช็ดน้ำตาท่วมหน้า “พ่อบ้านเอ้ย เมื่อคืนมันบอกข่อยว่าสิไปหากบเขียดฟากป่าแถวโน้น เป็นหยังกะบ่ฮู้ พากันวิ่งหนีตายมาตัวเปล่า พูดแต่คำว่า ผี ผี ผี ผีเรืองแสง น่าเกลียด กลัว กลัว แล้วกะหลับไป จนป่านนี้กะยังบ่ตื่นเลยจ้ะ” บรรยายด้วยสีหน้าอารมณ์ซะเห็นเป็นภาพลอยตามมาเลย

ชาวบ้านเริ่มซุบซิบนินทาพากันผวากับคำว่าผีที่สองพ่อลูกเพิ่งไปเจอมา

“ใจเย็น ๆ เด้อ เจ้ย เดี๋ยวหมอเหยากะมาแล้ว ให้ลาวเหยาเบิ่งว่าเกิดหยังขึ้น” แม่ใหญ่ผ่องผ่องพูดปลอบประโลมใจ

“จ้ะ แม่ใหญ่”

หมอเหยาเป็นผู้หญิงแก่ หัวหงอกขาว เดินขึ้นมาบนบ้านพร้อมกับหมอแคนอีกคน ทุกคนที่นั่งรอบบริเวณนั้นต่างพากันหลีกทางให้แม่หมอเข้ามาจัดพิธีเหยา

ขันดอกไม้ธูปเทียนวางไว้บนหมอน สิ่งที่ขาดไม่ได้คือเหล้าไห หมอเหยาเริ่มพิธีเหยา โดยการยกขันดอกไม้ขึ้นวางพร้อมกับจุดเทียนแล้วเรียบร้อย บัดนี้ในมือข้างซ้ายถือขันดอกไม้อีกข้างถือไข่ไก่หนึ่งใบใช้กลิ้งไปมาบนเสื่อ แล้วเสียงแคนก็บรรเลงดังขึ้น แม่หมอเริ่มร่ายรำร้องคร่ำครวญถามผี “โอย…อาชญาเอ้ย ….” ร่ายรำวงวนไปมาใกล้ ๆ กับผู้ป่วยวกวนไปมาเหมือนเป็นอีกคนที่ไม่ใช่แม่หมอ

ความเชื่อพิธีกรรมเหยาเป็นการเสี่ยงทาย เมื่อมีคนในบ้านเจ็บป่วย โดยเชื่อว่าเป็นการกระทำของผี จึงต้องมีพิธีเหยาเพื่อแก้ ถามผีว่าต้องการอะไร ให้แก้อะไร หากทำตามที่ผีต้องการก็จะหายเจ็บป่วย

สามหนุ่มเดินผ่านมาเห็นชาวบ้านมุงดูบ้านหลังนั้น จึงพากันเดินเข้าไปถาม

“เบิ่งหยังกันครับ พ่อใหญ่” บุญเที่ยงเดินเข้าไปถามชายแก่ที่ใกล้ที่สุด

“บักบัวพาและบักคำผานลูกมัน เจอผีเข้านะสิ ตอนนี้นอนป่วยจนให้แม่หมอมาเหยา”

“ผีอิหยัง” ผาพูดแทรก

“ระวังตัวไว้เด้อ พ่อหนุ่ม ท่าขี้อ้นบ่เคยได้ยินว่ามีผีแบบนี้เลย มันเรืองแสงได้ หน้ามันเละและมีหนอนเจาะนำเด้”

ขุนเริ่มสงสัยแล้วว่าใช่คนเดียวกันหรือไม่ที่เคยเจอในวันนั้น ภาพของผู้หญิงที่มีใบหน้าน่าเกลียดและเรืองแสงได้ก็ผุดเข้ามาในหัว

ชายหนุ่มร่างผอมสูงคนหนึ่งวิ่งตาตื่นมาอย่างรวดเร็วพร้อมกับตะโกนเสียงดัง “พ่อบ้าน พ่อบ้าน” เขาวิ่งขึ้นไปบนบ้านแล้วมุ่งตรงไปหาพ่อบ้านทันที “พ่อบ้าน ไปเบิ่งเร็ว ซากกบเขียดนอนตายกองกันเยอะเลย”

“แน่ใจเด้อบักตุ๋ย ว่าเป็นที่เดียวกันที่บักบัวพากับลูกไป”

“โคมไฟกับข้องกะตกอยู่แถวนั้น บ่ผิดที่แน่นอนครับ”

“ไป พากูไปเบิ่ง”

พ่อบ้านพันศรพร้อมกับชาวบ้านบางส่วนพากันเดินตาม ๆ กันไปยังสถานที่เกิดเหตุ ก็พบว่ามีซากกบเขียดเต็มท้องนาเกลื่อนกลาดไปหมด จนใคร ๆ ก็พากันอึ้งกับสิ่งที่เกิดขึ้น

“ผีหยังวะ มักกินกบเขียดดิบ” พ่อบ้านพันศรพูด

ตุ๋ยนั่งมองดูซากเหล่านั้นที่ปนคราบเลือด “เมื่อวานฝนตกหนัก กบเขียดกะเลยเยอะ แม้นผีกระสืออยู่เบาะ”

“บักตุ๋ย ผีกระสือกินกบเขียดเบาะ” ยายแก่ที่เดินตามด้วยพูดแทรก

“ยาย” ตุ๋ยลุกขึ้นมา “ถ้าบ่แม้นผีกระสือแล้วสิเป็นผีอิหยัง”

“กูกะบ่ฮู้แล้ว เป็นตาย่านหลายแท้น้อพ่อบ้าน ถ้าเป็นข่อยเจอ สิบ่เป็นลมตายเลยติ”

“พวกเฮาลองไปถามหลวงปู่เบิ่งก่อน ว่าหมู่บ้านเฮาเกิดหยังขึ้น”

พ่อบ้านพันศรพาชาวบ้านกลุ่มนี้เดินทางไปหาหลวงปู่ทองคำที่วัด ซึ่งหลวงปู่นั้นกำลังนั่งพูดคุยกับพรานบุญ แพงศรี คำหอม ผิว และชาวบ้านบางส่วนกันบนศาลา เกี่ยวกับงานออกพรรษา

สามหนุ่มก็พากันมากับชาวบ้าน ขุนเหลือบไปเห็นคำหอม เขาจึงรีบเดินเข้าไปหาเพื่อจะได้นั่งใกล้ ๆ แต่โดนผิวดักนั่งคั่นกลางไว้

ทุกคนพากันกราบหลวงปู่ลงพร้อมกัน

“มีหยังโยมพ่อบ้าน พากันมาหลายแท้ล่ะ” หลวงปู่ทองคำเอ๋ย

“หลวงปู่ครับ เมื่อคืนบักบัวพาและลูกไปหากบเขียดแถวฟากป่าบ้านโพน เจอดีเข้า คือคนใกล้ตายอยู่ เลยอยากฮู้ว่าหมู่บ้านเฮามีผีหยัง หน้ามันเรืองแสง กินกบกินเขียดสด ๆ ตอนนี้เหลือแต่ซากกบซากเขียดเต็มพื้นเลยครับ”

หลวงปู่เหลือบตามองไปหาแพงศรีที่นั่งนิ่ง ๆ  แล้วหันไปพูดกับพ่อบ้านว่า “บ่มีอิหยังหรอก อย่าตื่นตระหนกเกินเหตุ สิเฮ็ดหยังกะให้มีสติ ผีมันบ่ทำร้ายใครหรอก”

“บักบัวพากับบักคำผานลูกมัน คือคนสิตายเด้อครับหลวงปู่ ป่านนี้กะยังบ่ฟื้นเลย” ตุ๋ยพูดแทรก

“มันบ่ตายหรอก”

คำหอมหันหน้าไปมองขุน เธอกำลังใช้สายตาถามว่าผีที่ชาวบ้านลือกันจะใช่ผีคนเดียวกันกับที่เจอในวันนั้นไหม ขุนส่ายหน้าไปมาพยายามสื่อว่าไม่รู้ ผิวที่นั่งตรงกลางเหล่ตาไปทางซ้ายทีทางขวาทีดูพวกเขากำลังสื่อถึงกันด้วยท่าทางแทนการพูด

“หลวงปู่ สรุปมันเป็นผีหยังครับ”

“บ่มีผีหยังหรอกโยมพ่อบ้าน”

“หมู่บ้านเราสิมีผีได้ยังไง” พรานบุญพูด “เชื่อหลวงปู่แหน่สู”

“หลวงปู่บ่บอกพวกเฮากะบ่เป็นหยัง เดี๋ยวหมู่เฮาสิสืบกันเอง” พ่อบ้านพันศรพูด

จากหลักฐานที่เห็นกัน จะให้ปักใจเชื่อว่าไม่มีผีตามที่หลวงปู่ทองคำบอกได้อย่างไร หลังจากที่พูดคุยกันอย่างเคร่งเครียด ชาวบ้านก็พากันแยกย้ายเดินทางกลับบ้านของตนเอง บางคนก็แวะไปดูอาการของสองพ่อลูกนั่น

ขณะที่ทุกคนแยกย้ายกันกลับ พ่อบ้านพันศรยืนรอแพงศรีอยู่ด้านล่างของบันไดวัด โดยมีตุ๋ยคนสนิทยืนอยู่ด้วยกัน

“พ่อบ้าน มีหยัง” แพงศรีพูด

“ช่วงนี้อย่าออกไปไหน รีบเข้านอนเร็ว ข่อยเป็นห่วง”

คำหอมพูดขัดขึ้น “แม่ข่อย ดูแลเองได้ พ่อบ้านบ่ต้องมาเป็นห่วง…ตอนนี้ห่วงชีวิตเจ้าของก่อนเถอะ มาโน่นแล้ว”

สายตาทุกคนหันไปเห็นแม่ใหญ่ผ่องผ่องเดินถือร่มมากับเกิ้งด้วยความเร่งรีบ

แม่ใหญ่ผ่องผ่องเห็นสามีตนเองกำลังยืนคุยกับแพงศรี หล่อนโมโหมากและบ่นมาตลอดทาง “กูว่าแล้ว มันต้องหาโอกาสมาเจอกันอีก คือบาดสายตากูแท้น้ออีเกิ้ง”

“แม้นค่ะ นี่มันหยามหน้าแม่ใหญ่ผ่องผ่องกันชัด ๆ ในวัดในวามันยังมายืนหวานแหววกันได้ บ่อายแม้กระทั่งบันไดวัดเลยค่าแม่ใหญ่” เกิ้งพูด ยิ่งทำให้แม่ใหญ่ผ่องผ่องโกรธขึ้นมากกว่าเดิม

“รีบไปกันอีเกิ้ง”

“ได้จ้ะ”

ตุ๋ยเห็นท่าไม่ดี “พ่อบ้าน รีบหนีกันก่อนเถอะ ถ้ารอให้แม่ใหญ่มาถึง เฮาได้ตายกันหมดแน่”

“อ้ายไปก่อนนะแพงศรี แล้วค่อยเจอกันอีกเด้อ”

พ่อบ้านพันศรส่งสายตาอาลัยอาวรณ์แล้วรีบวิ่งหนีไปอีกทางพร้อมกับตุ๋ย

เสียงตะโกนของแม่ใหญ่ผ่องผ่องดังขึ้นเมื่อเห็นสามีตัวเองวิ่งหนี “มึงหยุดเดี๋ยวนี้เลย บักพันศร” หล่อนตัดสินใจไม่ถูกว่าจะเดินไปด่าแพงศรีหรือตามสามีไป เธอชี้นิ้วด่าแพงศรี “ฝากไว้ก่อนเถอะมึง” แล้วเดินเร็วตามสามีหล่อนไป

เกิ้งวิ่งตามไป “แม่ใหญ่ ถ่าเกิ้งแนค่า แม่ใหญ่”

 

แพงศรีเดินเหม่อลอย ในหัวของเธอเต็มไปด้วยคำถามมากมายว่าผีที่ชาวบ้านเจอคือใครกันแน่ คำหอมเดินประคองแขนแม่ ผิวเดินถือตะกร้าอยู่ข้าง ๆ ซึ่งพวกเขาไม่รู้ว่าสามหนุ่มคอยเดินตาม

“เมื่อไหร่พ่อบ้านจะเลิกมายุ่งกับแม่สักที…อันนี้เป็นตาย่านกว่าผีซะอีก”

“พ่อบ้านเจ้าชู้หลาย น้าแพงอย่าไปหลงคารมพ่อบ้านเด้อครับ” ผิวพูดเสริม

“บ่เชื่อใจน้าหรอผิว น้าแก่แล้ว บ่คิดสิมีใครให้มาปวดสมองหรอก ยิ่งผิดศีลธรรม น้าบ่เอานำ”

“จริงแม่ อยู่ผู้เดียวดีสิตาย”

แพงศรีหยุดเดิน “บ่ดี สักมื้อลูกต้องมีผัว”

ผิวถึงกับทำตาโตเก็บอารมณ์ขันไว้ “น้าแพงสิยอมให้เอื้อยหอมมีผัวแล้วเบาะครับ”

“ข่อยบ่เอาผัว ลูกบ่อยากมีผัว”

“บ่ได้ ลูกต้องมีผัว ถ้าแม่แก่ไปแล้วลูกสิอยู่กับใคร”

“ผิวไงแม่”

“บ่ได้ ผิวกะต้องมีเมีย”

ผิวกรอกตาไปมา “ผมอยากอยู่ผู้เดียวมากกว่า”

“พากันเป็นหยังไป นี่กะโต ๆ กันแล้ว แม่บ่อยากพูดนำแล้วเด้อ” แพงศรีเดินนำล่วงหน้าไป

คำหอมและผิวยังคงยืนนิ่งอยู่กลางทาง

“จู่ ๆ กะอยากให้มีครอบครัว ผิว ช่วงนี้แม่เป็นหยัง” เธอมองดูแม่ที่เดินไปไกลมากแล้ว

“บ่ฮู้คือกันเอื้อย”

“ครอบครัวเป็นสิ่งสำคัญอยู่เด้อ” ผาพูดขึ้นจากด้านหลัง

คำหอมและผิวหันไปหาเสียงนั่น เห็นสามหนุ่มกำลังเดินเข้ามาใกล้ ๆ

ผิวทักขึ้น “พวกเจ้าตามพวกข่อยมาติ”

ผาเดินเข้าไปใกล้ผิว “นี่มันทางหมู่บ้าน ใครสิย่างกะได้บ่แม้นเบาะน้องผิว” มือแตะไปบนแก้มบาง ๆ ของผิว แล้วยิ้มเย้ยใส่ สายตาของทั้งคู่จ้องกัน

คำหอมหันหน้าหนีจะกลับบ้าน “เฮากลับกันเถอะผิว อย่ามัวเสียเวลาเลย”

ขุนคว้ามือคำหอมไว้ “คำหอมจ๊ะ อ้ายมีอิหยังสิบอก”

ผาและบุญเที่ยงได้จังหวะพากันหิ้วผิวออกไปให้ห่าง เพื่อให้ขุนและคำหอมได้พูดกันสองต่อสอง

ผิวพยายามดิ้นให้หลุดแล้วร้องโวยวาย “ปล่อยกู” ดังลั่น แต่ร่างบางจะไปสู้แรงหนุ่มใหญ่กล้ามได้

คำหอมตกใจที่ผิวโดนหิ้วไป เธอพยามสะบัดมือให้หลุด แต่ก็โดนขุนกระชากดึงเข้ามากอด

“อ้ายคิดถึงใจสิขาดอยู่แล้ว”

“ปล่อยข่อยเดี๋ยวนี้”

ขุนส่ายหน้า “บ่ อยากย้อนเวลาไปเหมือนวันนั้นอีกบ้างจัง”

คำหอมกระทืบเท้าของขุน จนเขาร้องโอ๊ยจนปล่อยตัวเธอ

ขุนแกล้งปวดขาหนักมาก เขานั่งทรุดลงไปกับพื้นเหมือนคนขาหัก “อ้ายเจ็บจังเลย” คำหอมยืนมองว่าเจ็บจริงหรือเจ็บปลอม “อ้ายเจ็บอีหลี รีบมาพยุงเลย”

“บ่ได้โกหกแม้นบ่”

ขุนพยักหน้าอ้อนอย่างหนักจนคำหอมยื่นมือเข้าไปช่วย แต่ขุนกลับดันตัวเองขึ้นยืนก่อนอุ้มเธอไว้

“ปล่อยข่อยลงเดี๋ยวนี้”

“บ่ บอกฮักอ้ายก่อน”  ขุนทำน้ำเสียงอ้อนเหมือนแมว คำหอมจึ้งอยู่นาน “เร็ว ๆ”

มันช่างเป็นคำที่พูดยากจริง ๆ คำหอมจึงตัดสินใจยื่นปากเข้าไปหอมแก้มของขุน

ขุนกับคำหอมจ้องหน้ากันอยู่นาน จนแขนของเขาเริ่มชาและปล่อยคำหอมลงก่อนโผกอดเธออีกครั้ง บัดนี้หัวใจของชายหนุ่มได้รับการตอบรับแล้ว สิ่งที่คาดหวังเอาไว้ก็ได้สมหวังดังปองสักที เขาคงอยากตะโกนบอกใครต่อใครว่ากูมีเมียแล้วโว้ย

 



Don`t copy text!