โพงคำหอม บทที่ 1 : ข้าพเจ้าบ่แม้นคน…

โพงคำหอม บทที่ 1 : ข้าพเจ้าบ่แม้นคน…

โดย : ทศพล

Loading

โพงคำหอม โดย ทศพล สิงห์คำมา 1 ใน 5 นวนิยายจากโครงการช่องวันอ่านเอาที่กำลังจะทำเป็นละคร กับตำนานที่เล่าขานสืบต่อมาในดินแดนอีสาน เมื่อมีหญิงสาวถูกกล่าวหาว่าเป็นผีโพง ความอันลึกลับที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านอันห่างไกล และผู้เฒ่าทั้งสามที่พยายามจะตามล่าเธอด้วยเหตุผลที่มิอาจบอกใครได้ นวนิยายออนไลน์อีกเรื่องที่อ่านเอาภูมิใจนำเสนอ

แพงศรีค่อย ๆ ลืมตาตื่นขึ้นมา ก่อนพบว่าตัวเองนอนอยู่บนศาลาโล่ง ๆ มืดค่ำเช่นนี้เห็นเพียงแสงเทียนที่จุดบนโต๊ะหมู่บูชาพระที่เต็มไปด้วยหยากไย่และฝุ่นหนาเตอะ

เสียงเท้าเดินกระทบพื้นไม้เก่าค่อย ๆ ย่างก้าวเข้ามาใกล้ ๆ ตรงจุดที่เธอนอนอยู่

“ฟื้นแล้วเหรอโยม” เสียงของพระภิกษุรูปหนึ่ง ท่านกำลังชะโงกหน้าลงมา

แพงศรีดันตัวเองลุกขึ้นนั่งด้วยอาการงงงวย ก่อนนึกขึ้นได้ว่า “คำหอม” เธอกวาดสายตามองรอบศาลาเห็นพระภิกษุหลายรูปกำลังนั่งมองอยู่ไกล ๆ

ชายหนุ่มวัยกลางคน มีหนวดยาวเต็มหน้า บนหัวเขาผูกผ้าลายขาวม้าโพกไว้บนหัวเพื่อปิดผมอันหยักศกไว้ เขากำลังอุ้มทารกน้อยที่นอนหลับยื่นให้กับผู้เป็นแม่ “นี่ ๆ ลูกเจ้าอยู่นี่แล้ว หลับสนิท บ่ร้องแล้ว”

“ขอบใจเจ้า” แพงศรีรับคำหอมทารกน้อยมาไว้ในอ้อมกอด ก็อดนึกสงสัยไม่ได้ว่าตนกับลูกมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร “ข้าพเจ้าอยู่ที่ไหนเจ้า”

“วัดร้าง” พระภิกษุตอบ “โยมนอนอยู่ริมน้ำกับลูก อาตมาเห็นจึงให้พรานบุญช่วยขึ้นมาบนศาลานี้”

แพงศรียกมือขึ้นไหว้ขณะที่วางลูกไว้บนตัก “ขอบพระคุณมากเจ้า ที่ช่วยชีวิตลูกและข้าพเจ้าไว้” เธอกำลังมองหาใครอีกคนที่มาด้วยกัน “แต่ยังมีอีกคนเจ้า เขาอยู่ไหนเจ้า”

“ใครกันโยม อาตมาเห็นเพียงโยมและลูกเท่านั้น”

“สามีข้าพเจ้า ท้าวมิ่ง บ่เห็นเลยหรือเจ้า เขาถูกยิง….” อาการรุกรี้รุกรน

“บ่เห็นหรอกโยม”

พระท่านไม่มีกิจที่ต้องอธิบายแล้วจึงหันหลังเดินขึ้นไปนั่งบนพระแท่นติดกับโต๊ะหมู่บูชาเก่า ๆ

ความโศกเศร้าคืบคลานเข้ามาในจิตใจของแพงศรี อยู่ ๆ น้ำตาก็ไหลพรากออกมาให้นึกย้อนเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ ซึ่งเธอเพิ่งกอดร่างสามีที่ถูกยิงเข้ากลางหลังอยู่บนเรือที่เทียบฝั่ง

พระภิกษุอีกรูปหนึ่งลุกเดินมาหาแพงศรี “อาตมาขอถามโยมได้บ่ อาตมาได้ยินโยมพูดถึงท้าวมิ่ง”

แพงศรีหันหน้าขึ้นมองดูพระภิกษุรูปนั้น “ท่านฮู้จักท้าวมิ่งหรือเจ้าคะ”

“ฮู้จัก เขาเป็นราชองครักษ์ที่เวียงโพงคำ”

แพงศรีประหลาดใจ “แม้นเจ้าค่ะ”

“ถ้าอย่างนั้นเจ้าคงมาจากเวียงโพงคำ เจ้าพูดว่าเขาถูกยิง แล้วตอนนี้เขาอยู่ไหน”

คำถามตอกย้ำความรู้สึก เธอหลับตาส่ายหน้าช้า ๆ “บ่ฮู้เจ้าค่ะ” ความสับสนวุ่นวายและความคิดมากมายที่พร้อมจะระเบิดออกมาได้ทุกเมื่อ เพราะมันเป็นไม่ได้เลยที่จะมีแต่เธอและลูกนอนอยู่ริมหาด ก็เมื่อวานท้าวมิ่งเพิ่งถูกยิงกลายเป็นศพ แล้วศพจะหายไปได้อย่างไร

“อาตมารู้สึกคุ้นหน้าโยม โยมเป็นข้าหลวงอยู่ในวังหลวงหรือบ่”

เธอพยักหน้าแล้วเงยหน้ามองขึ้นไป “ใช่เจ้าค่ะ ข้าพเจ้าเป็นนางข้าหลวงของเทวีเจ้า”

พระภิกษุท่านนั้นยิ้มออกมา “จำอาตมาได้บ่ อาตมาเป็นพระอุปัฏฐากสมเด็จเจ้าศรีชัยยา”

“สมเด็จเจ้า” เธอยิ้มออกมาอย่างมีความหวัง “ตอนนี้สมเด็จเจ้าอยู่ไหนเจ้าคะ”

พระภิกษุรูปนั้นกลับมีใบหน้าเศร้าขึ้นมาทันที พอที่จะสันนิษฐานได้เลยว่าอาจไม่ใช่เรื่องดีแน่   “สมเด็จเจ้าสิ้นพระชนม์แล้ว”

ความหวังสุดท้ายของแพงศรีหมดสิ้นแล้ว “เพราะเหตุใดเจ้าคะ” น้ำตาเริ่มไหลออกมาอีกครั้ง

“พ่อเฒ่าแสง เอาปืนบุกเข้ามายิงถึงในโบสถ์……”

….ย้อนเหตุการณ์ไปครั้งสมเด็จเจ้าศรีชัยยาเสด็จธุดงค์มาอยู่วัดแห่งหนึ่งในเวียงจันทน์

ช่วงเวลากลางคืน พระภิกษุหลายรูปกำลังนั่งสมาธิอยู่ภายในโบสถ์ พ่อเฒ่าแสง หน้าแก่ ๆ ผมหงอกขาวโพลนไปทั้งหัว ร่างกายกำยำราวกับชายหนุ่ม กำลังถือปืนสั้นบุกยิงภิกษุที่ยืนขวางทาง

“สมเด็จสังฆราช อยู่ไหน” พ่อเฒ่าแสงตะโกนดังลั่นโบสถ์พร้อมกับยิงปืนขึ้นหลังคาโบสถ์

“กูอยู่นี่” สมเด็จเจ้าศรีชัยยาเดินออกมาประชันหน้า

“แม้นมึงอีหลีเบาะ” ปลายกระบอกปืนชี้ไปตรงหน้าผากและพร้อมลั่นไกปืน “กูบ่เชื่อ”

เสียงปืนดัง ปัง! กระสุนทะลุกลางหน้าผากของสมเด็จเจ้าศรีชัยยาล้มลงไปหัวกระแทกพื้น ดวงตาเปิดกว้างมองดูพ่อเฒ่าแสงที่กำลังบ้าคลั่งยิงพระภิกษุรูปอื่น แล้วสิ้นพระชนม์ทันที….

 

แพงศรีได้ฟังแล้วรู้สึกเศร้าสลดใจยิ่งนัก “แม้แต่สมเด็จเจ้าเป็นพระ ก็ยังบ่เว้น”

“คนที่ยิงท้าวมิ่งก็คือกลุ่มของพ่อเฒ่าด้วย แม้นอยู่เบาะ”

“แม้นเจ้า พ่อเฒ่าแอดเจ้าค่ะ”

“โลกนี้ล้วนแต่อนิจจัง เฮาบ่อาจหลีกพ้นความตายได้ ขอให้ท้าวมิ่งไปยังภพภูมิที่ดี”

“แล้วท่านรอดมาได้อย่างไรเจ้าคะ”

“อาตมาวิ่งหลบกระสุนได้ จนกระทั่งมาเจอคณะธุดงค์ของหลวงปู่ทองคำ ท่านช่วยอาตมาไว้”

“ช่างเป็นบุญยิ่งนักที่ได้เจอท่านที่นี่เจ้าค่ะ อย่างน้อยท่านก็เป็นชาวเวียงโพงคำ ข้าพเจ้าดีใจยิ่งนัก”

พรานบุญมองดูท้องฟ้าที่เริ่มจะมองเห็นแสงดวงอาทิตย์ เขาพนมมือขึ้นไหว้หลวงปู่ทองคำ “หลวงปู่ครับ จะเช้าแล้ว คงได้เวลาต้องออกเดินทางแล้วครับ”

พระภิกษุรูปอื่นพากันเก็บเครื่องอัฐบริขารและกลดสำหรับพระธุดงค์ เพื่อเตรียมตัวออกเดินทาง

เธอได้ยินคำที่พรานบุญเอ๋ย จึงรีบถามพระภิกษุรูปนี้ต่อว่า “คณะธุดงค์จะเดินทางไปไหนเจ้าคะ”

“หลวงปู่ทองคำจะธุดงค์กลับเมืองสกลนคร อาตมาบ่มีที่ไป เลยขอติดตามท่านไปนำ”

“เมืองสกลนคร?”

“ตอนนี้เราอยู่เมืองหนองคาย ฝั่งสยาม…อาตมาต้องไปเก็บของก่อนเด้อโยม”

พระภิกษุท่านเหลือบมองไปดูทารกน้อยที่นอนนิ่งอยู่บนตักของแพงศรี ท่านพยักหน้าเหมือนกับทราบอะไรบางอย่างก่อนผันตัวเดินไปเก็บเครื่องอัฐบริขารของท่าน

 

แพงศรีนั่งคิดหนัก เธอก็ไม่มีที่จะไปเช่นกัน นอกเสียจากจะเดินทางไปพร้อมกับพระภิกษุรูปนี้ อย่างน้อยท่านก็เป็นชาวเวียงโพงคำ จึงอยากจะขอติดตามไปกับคณะธุดงค์ด้วย เธอจึงตัดสินใจอุ้มทารกน้อยไปนั่งใกล้ ๆ พระแท่นที่หลวงปู่ทองคำนั่ง สองมือวางทารกน้อยนอนลงข้าง ๆ ก่อนบรรจงก้มลงกราบ “หลวงปู่เจ้าคะ โปรดเมตตาเราสองแม่ลูกด้วยเถิด”

“สิให้อาตมาเมตตาเรื่องหยังหรือโยม” หลวงปู่ทองคำพูด

“ข้าพเจ้ากับลูก ขอติดตามไปอาศัยเมืองสกลนครด้วยได้เบาะเจ้าคะ”

“เมืองสกลนครไกลมากเด้อ เหตุใดเจ้าไม่กลับบ้านเกิดของเจ้า”

“บ่มีแล้วเจ้าค่ะ บ้านของข้าพเจ้าบ่มีแล้ว หลวงปู่เจ้าคะ ช่วยพวกเราด้วย” น้ำตาไหลพรากอีกครั้ง ย้ำคำขอไม่มีที่จะไปแล้ว ไม่เหลือใครให้พึ่งพาแล้วจริง ๆ

หลวงปู่ทองคำหลับตาลงเพ่งจิตสร้างสมาธิ ท่านคงกำลังใช้ฌานดูภูมิอดีตของสองแม่ลูกคู่นี้อยู่หรือไม่นั้น ก็ไม่อาจมีใครทราบได้ สมาธิของท่านนานพอที่พรานบุญจะเก็บเครื่องอัฐบริขารและกลดให้จนแล้วเสร็จ “อาตมาให้เจ้ากับลูกเดินทางร่วมได้ แต่เจ้ากับลูกต้องปฏิบัติตามกฎ ห้ามใกล้ชิดพระสงฆ์มากจนเกินไป ระหว่างเดินทางจะให้พรานบุญช่วยดูเจ้าและลูกด้วย”

แพงศรีรู้สึกดีใจมาก เธอรีบก้มกราบ “ขอบพระคุณหลวงปู่มากเจ้าค่ะ ข้าพเจ้าและลูกสิบ่ลืมบุญคุณครั้งนี้เลยเจ้าคะ” เธอคงรู้สึกเหมือนพบทางสว่างขึ้นมาบ้าง อย่างน้อยก็จะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่หลังจากผ่านเรื่องเลวร้ายนานัปการ

“เจ้าและลูกมีชื่อว่าหยัง”

“ข้าพเจ้าชื่อแพงศรี ส่วนลูกสาวชื่อ คำหอม เจ้าค่ะ”

“พรานบุญ มานี่สิ” หลวงปู่ทองคำตะโกนเรียกหา

พรานบุญวางสิ่งของลงแล้วรีบคลานเข่ามานั่งใกล้ ๆ “ครับหลวงปู่”

“สองแม่ลูกสิเดินทางไปกับเฮานำ ระหว่างทางช่วยดูแลพวกเขานำเด้อ”

“หลวงปู่ครับ ระยะทางจากนี้ไกลและลำบาก มีลูกเล็กแบบนี้สิเดินทางไหวหรือครับ”

“มึงอย่าพูดหลาย” หลวงปู่ทองคำรีบสวนคำพูดขึ้น “ทำตามที่กูบอกก็พอ”

“ครับหลวงปู่” พรานบุญก้มกราบหลวงปู่ โดยไม่เซ้าซี้พูดต่อให้มากความ

เส้นทางเดินจากเมืองหนองคายสู่เมืองสกลนครต้องเดินฝ่าแม่น้ำลำห้วยและทิวเขาในเขตมณฑลอุดร ต้องใช้เวลานานนับเดือนในการเดินทาง

สำหรับภิกษุสงฆ์นั้น การธุดงค์เป็นวัตรปฏิบัติที่พระพุทธเจ้าอนุญาตไว้ ซึ่งต้องมีการแวะพักและค้างคืนโดยไม่ได้เร่งรีบ เพื่อกำจัดกิเลส สร้างความสันโดษ ฝึกจิตให้เบาสบาย

แสงแดดอ่อน ๆ ในยามเช้า บนท้องฟ้าครามสวยงามดั่งท้องทะเล วันนี้แพงศรีกำลังอุ้มทารกน้อยเดินทางอยู่ท้ายขบวนของคณะธุดงค์  โดยมีพรานบุญผู้มีใบหน้ายิ้มแย้มและเป็นมิตร คอยเดินตามหลังสุดให้และในมือของเขาถือปืนแก๊ปยาวไว้ ซึ่งนายพรานทุกคนต้องมีไว้เสมอ

พอมืดค่ำแล้วคณะธุดงค์พากันปักกลดนั่งสมาธิกลางป่า ตั้งแต่เดินทางมา ยังไม่พบหมู่บ้านคนเลย ต้องอาศัยผลไม้ป่าประทังความหิวระหว่างวัน กองไฟถูกก่อขึ้นโดยพรานบุญและยังจัดแจงสถานที่ด้วย แพงศรีนั่งอุ้มลูกอยู่ข้าง ๆ กองไฟ เธอคอยเคี้ยวกล้วยออกมาจากปากป้อนลูกพร้อมกับหยอกล้อไปมาหัวเราะคิกคัก

“ลูกเจ้านี่โตขึ้นทุกวัน บัดนี้เลี้ยงลูกคนเดียวกะคงสิลำบากมาก” พรานบุญพูดไปพร้อมกับหยิบท่อนไม้ที่เก็บมาสุมไฟ

แพงศรียิ้มให้ “เมืองสกลนคร เป็นยังไงหรือเจ้า”

“เมืองสกลนครกะคือเมืองทั่ว ๆ ไปนี่แหละ ตั้งอยู่เขตมณฑลอุดร มีหลายชนเผ่ารวมกลุ่มเป็นหมู่บ้าน ทุกคนทำนาเป็นอาชีพหลัก จับปลา ปลูกผัก ทอผ้าบ้างในยามว่าง ไปเดี๋ยวก็ฮู้เอง เชื่อลุง”

“เจ้า”

“ถ้าคิดว่าสิอยู่ที่เมืองสกลนครกะต้องปรับตัวหน่อยเด้อ ทั้งอาหาร คำพูด ประเพณี”

“พอไปถึงโน่นกะบ่ฮู้สิเริ่มจากตรงไหนเจ้า”

“มีหลวงปู่อยู่ บ่มีหยังที่เจ้าต้องกลัวเลย เดี๋ยวท่านสิหาที่อยู่ให้เอง” ลดน้ำเสียงเบาลงเชิงกระซิบ

“บารมีท่านหลาย เจ้านี่บุญหลายเด้อที่ได้เจอกับหลวงปู่ สมัยลุงลำบากกะได้หลวงปู่นี่แหละช่วยไว้”

แพงศรียิ้มออกมาอย่างโล่งใจ เธอเองก็โชคดีมากเช่นกัน แต่จู่ ๆ เธอก็รู้สึกคลื่นไส้อาเจียน “ลุงเจ้า ข้าพเจ้าขอฝากลูกหน่อยได้เบาะเจ้า” ใบหน้าดูซีดเซียวอย่างเห็นได้ชัด

พรานบุญเห็นใบหน้าของแพงศรี เหลืองอย่างกะไก่ต้ม “ได้ ๆ เอาลูกเจ้ามา” เขาลุกไปรับเด็กมาอุ้มไว้ในอ้อมแขนอย่างทะนุถนอม

 

แพงศรีวิ่งเข้าไปในป่าพอให้ห่างจากสถานที่ปักกลดของพระภิกษุ ขณะที่ยืนค้ำต้นไม้ใหญ่แล้วอาเจียนเศษอาหารออกมาจนแทบจะหมดท้องอยู่แล้ว สักพักเธอก็เกิดอาการหิวกระหายอย่างหนัก แล้วใบหน้าก็เปลี่ยนสภาพคล้ายผี จนไม่เหลือเค้าโครงหน้าเดิม จมูกบวมใหญ่และมันเรืองแสงได้ราวกับแสงจากโคมไฟ สองมือลองลูบคลำสัมผัสบนใบหน้า รู้สึกรับสภาพตัวเองไม่ได้จนต้องนั่งทรุดลงกับพื้นดิน

ดวงจิตของเธอเริ่มถูกคุกคามควบคุมพฤติกรรมกลายเป็นอีกคนที่จำตัวเองไม่ได้เลย พอได้ยินเสียงกบเขียดดังเจื้อยแจ้วดังมาจากป่าด้านโน้น ยิ่งทวีคูณความหิวขึ้นเรื่อย ๆ จึงทำให้ต้องวิ่งตามเสียงนั่นไปจนเจอเข้ากับทุ่งกว้างที่ติดอยู่กับหนองน้ำ เธอมีแรงกายมากพอที่จะกระโดดจับสัตว์เหล่านี้กินเข้าไปในปากสด ๆ อยู่นานนับชั่วโมง

 

พรานบุญรู้สึกแปลกที่แพงศรีไปนานเหลือเกิน เขากะคิดจะออกตามหา แต่มีเสียงคนห้ามไว้…

“อยู่นี่แหละ เดี๋ยวกูไปตามเอง” เสียงของหลวงปู่ทองคำ ท่านยืนอยู่ข้างหลังตอนไหนไม่รู้

พรานบุญตกใจสะดุ้งนิดหน่อย “ครับ”

หลวงปู่ทองคำก็เดินเข้าไปในป่าตามเส้นทางของแพงศรีไปเรื่อย ทุกย่างก้าวดูสงบนิ่งและไม่ตื่นตระหนกหวาดกลัวสิ่งใดเลย สายตาที่มองและเดินไปราวกับรับรู้แล้วว่าเธออยู่ที่ไหน

 

แพงศรีในสภาพที่ไม่ใช่คนแล้ว กำลังเขมือบของสด ฉีกแข้งฉีกขากบเขียดกินเข้าไปในปากสด ๆ กระโดดโลดเต้นจับสัตว์ไปมาอย่างมีความสุขจนเหล่านกตื่นรังนอนบินหนีว่อนฟ้า แสงจากจมูกของเธอเรืองแสงส่องสว่างไปทั่วบริเวณ ทำให้ส่องเห็นกบเขียดได้ชัด

หลวงปู่ทองคำยืนมองดูแพงศรีอยู่ห่าง ๆ จิตเมตตาของท่านแผ่บารมีออกไปถึงตัวเธอ ปลุกตัวตนที่แท้จริงของเธอออกมาให้มีสติหยุดโลดโผนกินของสดตามใจปากของปีศาจที่แฝงตนอยู่ในร่าง

หลังจากได้สติกลับคืนมา แพงศรีนั่งชะโงกหน้าบนน้ำที่แสงของพระจันทร์ส่องมาให้เห็นเงา ๆ น้ำตาของเธอไหลพรากออกมา ให้หวนนึกถึงครั้งแรกที่ต้องเผชิญกับใบหน้าแบบนี้มาก่อน แถมครั้งนี้กลับต้องมาเจอซากกบซากเขียด คราบเลือดเลอะตามยอดหญ้า จนแทบไม่อยากจะเชื่อว่านี่คือฝีมือของตัวเธอเองซึ่งทำไปโดยไม่รู้ตัว

“ตั้งสติไว้เด้อโยม”

แพงศรีหันไปมองว่านั่นเสียงใคร เธอรู้สึกอายจนต้องหันหน้าหนี “หลวงปู่อย่าเข้ามาเจ้าค่ะ”

หลวงปู่ทองคำเดินมายืนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลมากนัก “อาตมาฮู้แล้ว หันหน้ามาเถอะโยม”

เธอส่ายหน้าไปมา เบ้าน้ำตาช่างตื้นเขินพรางไหลออกมาจนได้ “หลวงปู่คงบ่อยากให้ข้าพเจ้าเดินทางด้วยแล้ว”

“อย่าคิดแทนอาตมาเลยโยม”

“ข้าพเจ้าบ่แม้นคน ข้าพเจ้าน่าเกลียดน่ากลัว ใครเห็นคงบ่อยากเข้าใกล้”

“เจ้ารู้จักตัวตนของตัวเจ้าเองดีกว่าใคร บ่ใช่อาตมาหรือคนอื่นที่จะมารู้ดีกว่าตัวเจ้า”

แพงศรีหันหน้ามาแล้วนั่งพับเพียบพนมมือไหว้ แววตาอันเศร้าหมองส่งผ่านความรู้สึกแสนปวดร้าว “โปรดชี้ทางสว่างแก่ข้าพเจ้าด้วยเถิดหลวงปู่ ข้าพเจ้ามองไม่เห็นทางแล้วจริง ๆ”

“มองดูแสงนั่นสิโยม”

บนพื้นดินมีแสงสีทองขึ้นเป็นหย่อม ๆ ตามต้นชนิดหนึ่ง แสงของมันเปล่งประกายงดงามในยามกลางคืนอย่างน่าประหลาด ระยิบระยับละลานตามาก

“เป็นหยังต้นนั่นคือเรืองแสงเจ้าคะ”

“มันคือว่านไฟ ว่านชนิดนี้หากได้เจอกับสิ่งชั่วร้ายหรือของดำ มันสิส่องแสงเพื่อขับไล่บ่ให้เกิดสิ่งบ่ดี เหตุที่มันเรืองแสงตอนนี้น่าจะมาจากคราบน้ำลายของเจ้า ดึงหัวมันขึ้นมา แล้วกินมันซะโยมแพง”

แพงศรีรีบดึงหัวว่านไฟที่ใกล้ตัวมากที่สุดขึ้นมาล้างน้ำ เธอไม่ลังเลอะไรจึงรีบกัดกินมันลงไปทันที

“อานุภาพของมันเป็นเพียงสมุนไพรรักษา หากรู้สึกว่าร่างกายสิเปลี่ยนสภาพ กะจงกินมันลงไปเพื่อยับยั้งไว้เด้อโยม”

ใบหน้าของแพงศรีเริ่มหายกลับมาเป็นใบหน้าคนปกติ ร่างกายรู้สึกโล่งเตียน สองมือลองจับลูบคลำบนหน้าตัวเองไปมาอย่างน่าอัศจรรย์ เธอรู้สึกปราบปลื้มใจก่อนก้มกราบหลวงปู่ทองคำ “ขอบคุณเจ้าค่ะ” แต่ต้องชะงักงันเมื่อเงยหน้าขึ้นมากลับไม่เห็นท่านแล้ว เธอเหลียวมองซ้ายแลขวาก็ไม่เจอ แต่ไม่อยากคิดอะไรไปมากกว่านี้แล้ว ตอนนี้ต้องดึงหัวว่านขึ้นมาเก็บไว้ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะหอบไหว

 

พรานบุญยืนมองแพงศรีด้วยความประหลาดใจ “กลับมาแล้วเบาะ เจ้าเป็นไงบ้าง”

“ขอบคุณเจ้า…ลุง” แพงศรีเดินไปรับลูกมากอดไว้ก่อนนั่งลงบนพื้นหญ้าใกล้กองไฟ เสียงกล่อมลูกน้อยโอ้ละเห่คลอเบา ๆ ขอให้คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายของผีร้าย จงอย่าปรากฏออกมาให้ใครได้พบเห็นอีกเลย



Don`t copy text!